วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๑๗



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ห้องรับแขกคอนโดมีนา

            เมื่อเจ้าของห้องเข้าไปดูเด็กหญิงในความปกครอง ผู้ชายอีกสองคนจึงมีโอกาสมานั่งคุยปัญหาอีกเรื่อง ซึ่งเหมือนจะไม่เกี่ยวกับประเด็นบ้านเด็กกำพร้าดาวัน

            “วันนี้คุณณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมงมาหาผม” ธันวาเริ่ม

            “ไม่แปลกหรอกคุณธัน เพราะตำรวจเริ่มงานตั้งแต่ก่อนเหยื่อรายแรกแจ้งความแล้ว” ธงรบบอก

            “อีกนานมั้ยกว่าจะสาวถึงนายมาโนชได้” คุณหมอถามอย่างสงสัย

            “ตอนนี้เราออกหมายเรียกตัวนายมาโนชมาสอบปากคำแล้ว” นายตำรวจตอบ

            “หลักฐานจากแฟลชไดร์ฟที่ผมให้ไปพอจะมัดตัวเขาอยู่มั้ย” ธันวาถามต่อ

            ธงรบนิ่งชั่วขณะ ดวงตาฉายรอยสงสัย

            “พี่ว่ามันมากเหลือเฟือจนน่าแปลกใจด้วยซ้ำ”

            “น่าแปลกใจยังไงครับ” ธันวาเปิดดูคร่าว ๆ แต่ยังไม่เข้าใจในมุมมองตำรวจ

            “หลักฐานความผิดของนายมาโนชในแฟลชไดร์ฟนั้น ทุกอย่างเป็นความผิดส่วนตัวของเขาในคดีฉ้อโกง ปั่นหุ้นบริษัทอื่นทั้งนั้น...โดยไม่เกี่ยวกับ W.คอร์ป ทั้งที่บริษัทใหญ่ขนาดนี้น่าจะมีรูรั่ว ช่องทางให้ทำผิดได้มากกว่า แต่เหมือนคนขุดข้อมูลให้คุณธันวาจะช่วยเซฟบริษัทนี้ไว้...ทำให้ตำรวจเอาผิด ดำเนินคดีกับนายมาโนชได้แค่คนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเขาเลย”

            ธันวาอึ้ง หรี่ตาครุ่นคิด อดไม่ได้ช่วยแก้ตัวแทน ‘คนขุดข้อมูล’

            “ถ้าประธานบริษัทอย่างนายมาโนชโดนดำเนินคดี ยังไงก็ต้องกระทบกับบริษัทเขาอยู่ดี อย่างน้อยหุ้นก็ตก ความน่าเชื่อถือโดยรวมลดลง”

            “W.คอร์ปมีรากฐานมาเป็นยี่สิบปี ผลงานโดดเด่นยอมรับกันเกือบทั่วโลก ต่อให้นายมาโนชร่วงไป พวกกรรมการก็สามารถตั้งซีอีโอคนอื่นขึ้นมาได้อยู่ดี บริษัทเขาไม่เจ๊งเพราะเรื่องแค่นี้หรอกคุณธัน” ธงรบค้าน

            จิตแพทย์หนุ่มนิ่งฟัง เกิดประเด็นสงสัยคาใจขึ้นบาง ๆ ในหัว ก่อนจะรีบสลัดมันออกไปอย่างเร็ว

            “หลังจากเราออกหมายเรียกแล้ว...นายมาโนชเขาจะทำยังไงต่อครับพี่” ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อถาม

            “เท่าที่พี่คิด มีอยู่สองทาง ข้อแรกเขาอาจแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยอมมาให้ปากคำดี ๆ หรือถ้าเขารู้ข่าววงในว่าเราได้หลักฐานมัดตัวมากขนาดไหน ก็อาจให้ทนายความมาขอผ่อนผัน ยืดเวลา แล้วอาศัยพวกนักการเมืองมากดดันตำรวจอีกที”

            “ขนาดนั้นเลยหรือ?” ได้ยินทางเลือกที่สองแล้วอดเป็นห่วงบิดาตนกับบิดามีนาไม่ได้

            “เขาต้องดิ้นสุดฤทธิ์นั่นแหละคุณธัน” นายตำรวจเห็นรอยกังวลในน้ำเสียงคุณหมอ ก็พอรู้ว่าเจ้าตัวเป็นห่วงใคร “แต่ไม่ต้องห่วง ‘พวกท่าน’ หรอก ตำแหน่งของพ่อคุณกับพ่อน้องมีนาตอนนี้ เป็นรองแค่ ผบ.สำนักงานตำรวจฯ เท่านั้นเอง แต่พวกผู้ใหญ่ดี ๆ ที่มีบารมีในบ้านเมืองตอนนี้ ก็คอยสนับสนุนท่านทั้งสองตลอด ไม่น่ามีอำนาจมืดที่ไหนมากดดันพวกท่านได้หรอกคุณธัน”

            คำพูดชวนให้คนฟังเบาใจ ถึงอย่างนั้นก็มีบางสิ่งสะกิดใจธันวา

            “ผมคิดว่า...เรื่องทั้งหมดที่เข้ามาหาเราตอนนี้ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญ เริ่มจากเสี่ยหมง โยงไปถึงกัญญา และไปจบที่นายมาโนช แล้วผีเสี่ยหมงก็เป็นคนพามีนาไปเจอมือสังหารที่คลินิกงามพิศ จนพบวิญญาณเด็กผู้ชาย กระทั่งได้ช่วยส้มน้อย แล้วโยงมาถึงบ้านดาวัน...”

            รายชื่อที่ถูกกล่าวไม่น่าเกี่ยวข้องกัน แต่พอถูกลากโยงใย มันกลายเป็นแผนผังที่มีรูปแบบหนึ่ง ซึ่งชี้เป้าไปยังสถานที่ที่ไม่น่ามีใครคาดถึง ‘บ้านดาวัน’

            “เสี่ยหมง นายมาโนช มือสังหาร คลินิกงามพิศ บ้านดาวัน มีความเกี่ยวข้องกันยังไง” นายตำรวจตั้งคำถามสำคัญ

            “ผมว่า...ถ้าเริ่มสืบความเป็นมาของบ้านดาวันอย่างละเอียดในเชิงลึก เราอาจพบปมสำคัญที่เชื่อมโยงกันได้”

            “ถ้าอย่างนั้น คงต้องขอแรงน้องมีนาอีกครั้งแล้วล่ะ” นายตำรวจบอก...เพราะเมื่อครู่หญิงสาวบอกว่าเคยทำสกู๊ปที่นี่...แสดงว่ามีข้อมูลเก็บไว้พอสมควร และอาจเข้าออกบ้านดาวันได้สะดวก

            “ผมก็คิดอย่างนั้น” คุณหมอเห็นด้วย

            นายตำรวจกำลังจะคุยต่อ...เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวก็ดังขึ้น พอเห็นเบอร์ที่โทรมาก็ขยับตัวลุกขึ้นเลี่ยงไปรับสาย...พูดคุยเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาบอกจิตแพทย์หนุ่ม

            “คุณธัน...พี่มีธุระด่วนมาก ต้องรีบไป อยู่คุยต่อไม่ได้แล้ว ยังไงฝากบอกน้องมีนาเรื่องบ้านดาวันด้วย แล้วยังไงพี่จะให้ทางตำรวจหาข้อมูลเชิงลึกของที่นี่อีกแรง”

            “ได้ครับ” ธันวาตอบรับ ชะงักนิดนึงแล้วพูดดักคอขึ้นมา “ธุระด่วนนี่...เกี่ยวกับนายมาโนชหรือเปล่า?”

            ธงรบยิ้มเฉย ไม่ตอบวาจา เพียงเท่านี้คุณหมอก็ไม่ซักไซ้ต่อ...คำตอบชัดในใจแล้ว



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เด็กชายปกป้องยืนอยู่ปลายเตียง สายตามองเด็กหญิงในอ้อมอกมีนาด้วยรอยอาทร เป็นห่วง กระแสเสียงแล่นสู่ใจหญิงสาว จับใจความได้ว่า...

            “ส้มน้อยฝันร้าย...ฝันเห็นเหตุการณ์ที่เธอหวาดกลัวนั่นอีกแล้ว”

            “เหตุการณ์...อะไร?” มีนาตั้งสติ ส่งคำถามผ่านจิตใจ

            “เหตุการณ์...น่ากลัว...ที่...โรงพยาบาล...” คำตอบชวนขนลุก

            ความหวาดกลัวแผ่เป็นริ้วในใจ ก่อนเกิดสติ จิตเปลี่ยนเป็นความเมตตา สงสาร

            ส้มน้อยพบความน่ากลัวใดในโรงพยาบาล เด็กหญิงตัวน้อยขนาดนี้ต้องประสบกับเหตุการณ์แบบไหนจึงจำฝังใจ ตามไปหลอกหลอนถึงในความฝัน

            มีนาอยากเห็นเหตุการณ์นั้น สาเหตุแห่งฝันร้าย อยากรู้ว่าส้มน้อยกำลังหลบหนีใคร คนเหล่านั้นต้องการอะไรจากเธอ

            จิตตั้งมั่นด้วยใจเมตตา มือลูบหลังเด็กหญิงเบา ๆอย่างอ่อนโยน จนแม่หนูน้อยหายตื่นกลัว สงบลง ค่อย ๆ เลื่อนผล็อยนอนหนุนตักมีนาอย่างวางใจ

            หญิงสาวสบกับดวงตาเด็กชายปลายเตียงด้วยใจแน่วแน่กว่าเคย ส่งเสียงทางใจออกไปถามไถ่

            “ปกป้อง...” เธอเรียกชื่อเด็กชัดเจน “ช่วยบอกหน่อย เธอกับส้มน้อยเจอเรื่องร้ายแรงอะไรมา...พวกเธอกำลังหนีใคร...มีอะไรที่ฉันพอช่วยได้บ้าง”

            วิญญาณดวงนั้นคลานขึ้นเตียงอย่างเชื่องช้า หากเป็นปกติ มีนาคงรีบกระถดตัวหนีพร้อมส่งเสียงร้องกรี๊ดกรี๊ด ไม่ก็กระโจนหนีลงจากเตียงไปแล้ว

            ทว่าครั้งนี้ ด้วยใจที่เปี่ยมกรุณา อยากช่วยเหลือ ทำให้มองเห็นความกลัวที่เกิดเป็นแค่อารมณ์วูบไหวผ่านไปมา จิตใจสงบ ตั้งมั่น เกิดกำลัง ทำให้นั่งดูเฉย ๆ จนกระทั่งเด็กชายคลานมาถึงตรงหน้า ขยับตัวนั่งพับเพียบเรียบร้อย

            สองสายตาสานสบกันในระยะใกล้ บังเกิดคลื่นเฉพาะตัวเข้าครอบคลุม กลายเป็นกระแสไหลวนเวียนโดยรอบ...จากฝ่ายหนึ่งถ่ายทอดความรู้สึก ความทรงจำ ส่วนอีกฝ่ายก็เปิดกว้าง รับรู้ด้วยใจอ่อนโยน เมตตา...ปราศจากความหวั่นไหว ไม่มีความกลัวเกรงหลงเหลือในจิตใจ



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            หลังจากธงรบกลับไปก่อนโดยไม่ร่ำลาเจ้าของห้อง ธันวาก็นั่งคอยคนเดียวที่ห้องรับแขก รอให้หญิงสาวปลอบส้มน้อยเรียบร้อย แล้วออกมาเรียกเขาไปตรวจดูอาการเด็กหญิงอีกครั้ง

            หากจะว่าไป นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ธันวาเข้ามาห้องหญิงสาว ทั้งที่อยู่ร่วมคอนโดหลังเดียว ห่างชั้นกันไม่เท่าไหร่

            อาจเพราะต่างฝ่ายขีดเส้นความสัมพันธ์เอาไว้ โดยไม่มีใครกล้าก้าวข้าม ล่วงล้ำออกมา

            พอเกิดเรื่องทำให้ทั้งสองจำเป็นต้องหันหน้าพูดคุย ใกล้ชิดกว่าเดิม เส้นความสัมพันธ์ที่ขีดกั้นไว้ก็ดูเลือนราง เหมือนต่างฝ่ายแกล้งมองไม่เห็น ยอมปรับตัวตามสถานการณ์

            ธันวาตอบไม่ถูก นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่

            ...แกร๊ก...ประตูห้องนอนเปิด ธันวาหันไปมอง เตรียมขยับตัวลุกขึ้น พบหญิงสาวเดินออกมาด้วยกิริยาอ่อนระโหย ใบหน้าดูซูบเซียว ดวงตาแดงช้ำ เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก

            ชายหนุ่มรีบลุกจากที่นั่ง เดินเข้าไปหา ขณะที่หญิงสาวยืนนิ่งตัวสั่นระริกด้วยอารมณ์ประเดประดังกันเข้ามามากมาย

            “เกิดอะไรขึ้น...มีนา” ชายหนุ่มจงใจเรียกเสียงหนัก ให้อีกฝ่ายเกิดสติ

            “พวกนั้น...” เสียงตอบไม่เกินกระซิบ เงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาแดงช้ำ ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บใจ “พวกนั้น...คิดจะทำกับ...เด็ก...ตัวแค่นี้...ได้ยังไง”

            วาจาพูดเหมือนเค้น เสียงสั่น ร่างสะท้านแรงด้วยความโกรธเกลียด หวาดกลัว เป็นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาจนหญิงสาวตั้งรับไม่ทัน

            ธันวาสัมผัสความรู้สึกได้ เขาก้าวไปหา โอบหญิงสาวไว้ในอ้อมกอด กระชับวงแขนแน่น อาการสั่นระริกผสมแรงสะท้านเยือกกระทบถูก ชวนให้ใจอ่อนไหว พร้อมร่วมซึมซับ รับรู้ความรู้สึกเดียวกับเธอ อยากแบ่งปันความทุกข์ เจ็บแค้น เกลียดชังนั้นมาด้วย...ไม่ว่ามันจะเกิดจากเหตุใดก็ตาม



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            มาโนชกำลังหัวปั่น หงุดหงิด อยากอาละวาดเต็มแก่...เนื่องจากการสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อครู่...

            “ตำรวจได้หลักฐานมัดตัวคุณมากพอแล้ว เขาออกหมายเรียกให้ไปพูดคุย สอบสวนเพื่อให้ตายใจ จากนั้นจะมีหมายจับออกมา...ยังไงคุณก็ดิ้นไม่หลุด อาจต้องเข้าคุกก่อน”

            “คุณ ‘ทำ’ อะไรไม่ได้เลยหรือ” มาโนชพยายามสงบใจ พูดด้วยเสียงทรงอำนาจ กับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเคยรับ ‘ค่าช่วยเหลือ’ จากตนเอง

            “เท่าที่ผมโทรมาบอกคุณตอนนี้ ก็ถือว่ายอมเสี่ยงช่วยเหลือได้มากที่สุดแล้วนะ”

            “ไม่เป็นไร...ผมจะลองโทรหาคนอื่นดู...น่าจะมีใครที่ ‘ทำ’ อะไรให้ผมได้มากกว่านี้”

            นั่นเป็นรายที่หนึ่ง

            หลังจากนั้นนักธุรกิจใหญ่ก็ต่อสายตรงไปหา ‘ผู้เคยรับความช่วยเหลือ’ อีกหลายราย...รายที่สอง รายที่สาม รายที่สี่ไม่ยอมรับสาย จนมาถึงรายที่ห้า...ยอมรับสาย พูดคุยพร้อมคำแนะนำ

            “ผมว่าคุณควรยอมไปตามหมายเรียกก่อน ยังไงคุณก็มีทีมทนายความมือหนึ่งของประเทศอยู่แล้ว ต่อให้มีหมายจับตามหลังมา ผมก็เชื่อว่าทีมนี้จะมีวิธีช่วยให้คุณได้ประกันตัวออกมาสู้คดี คุณอาจติดคุกแค่วันสองวัน ก็ออกมาสู้คดีได้ ขึ้นศาลให้การปฏิเสธไปเรื่อย ๆ สุดท้ายยังไงก็หลุด”

            “ถ้าศาลไม่ให้ประกันตัวล่ะ...ยังไงผมก็ไม่ยอมอยู่ในคุกแน่ ๆ ...ต่อให้เป็นแค่วันเดียวก็เถอะ”

            มาโนชประกาศกร้าว นักธุรกิจใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศอย่างเขาไม่ยอมติดคุกเด็ดขาด ความอหังการในอำนาจ บารมีเงินทอง ทำให้ไม่ยอมก้มหัวต่อกฎหมาย ไม่ยอมแม้แต่จะเฉียดใกล้คุกตาราง

            ผู้ฟังถอนใจ พยายามพูดเกลี้ยกล่อม

            “เรื่องคดีนี้มันต้องเป็นข่าวออกสื่อแน่ ถ้าคุณหนีก็แสดงว่ายอมรับผิด คุณต้องอยู่ยืนยันความบริสุทธิ์ วางตัวให้ดีต่อหน้ากล้อง พยายามพูดให้มวลชนเห็นใจ ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยการไม่หนีไปไหน ผมว่ายังไงศาลต้องให้ประกันตัวออกมาสู้คดีแน่ ๆ”

            มาโนชแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง ตัดสายด้วยความขัดใจ อยากอาละวาดเต็มแก่ ไม่รู้เวลานี้ควรตัดสินใจทำอย่างไรต่อไป

            ขณะอารมณ์กรุ่นโกรธ เดินงุ่นง่านในห้องทำงาน ก็ได้รับการติดต่อทางวิดีโอทางไกลจากรหัส K-Killer

            “แม่ง...จะเอายังไงกับกูอีกวะ” นักธุรกิจใหญ่ระบายความอึดอัดด้วยวาจา ก่อนปรับสีหน้า สงบใจเปิดจอรับการติดต่อ

            เรื่องถูกหมายเรียกนี้ เขาไม่อยากแสดงอาการตื่นตูม ด้วยการขอความช่วยเหลือจากนายใหญ่ หรือตาแก่ ยายแก่ ‘ผู้คุ้มกฎ’ ทั้งสอง มั่นใจว่าตนเองจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ ด้วยอำนาจบารมีของตน

            จอภาพฉายใบหน้าชราของ Killer มองมาด้วยดวงตาสงบราบเรียบ ลึกลงไปในนั้นมีความเยียบเย็นบางอย่างแผ่ซ่านออกมา

            “ได้หมายเรียกแล้วใช่มั้ย” คำถามไม่แสดงความรู้สึก

            “ข่าวไปเร็วจริง” พูดกึ่งประชด ทั้งที่รู้อีกฝ่ายมีสายในพวกตำรวจมากขนาดไหน

            “รีบหนีไปซะ” พูดกึ่งสั่ง

            “จะบ้าเหรอ...ถ้าหนีก็แสดงว่าผมผิดจริงน่ะสิ เรื่องแค่นี้เอาผมเข้าคุกไม่ได้หรอก” มาโนชเถียง ไม่ยอมทำตามคำสั่ง

            “ตอนนี้ตำรวจมีหลักฐานมากพอเอาคุณเข้าคุกได้ทันที หลังจากหมายเรียก คือหมายจับ...อยากติดคุกนักหรือไง”

            คำพูดไม่ต่างจาก ‘ผู้เคยรับความช่วยเหลือ’ รายแรก ทำให้มาโนชใจหล่นวูบ มือเย็น กลัวขึ้นมาจับใจ

            “ต่อให้มีหลักฐาน ผมก็เชื่อว่าพวก ‘ผู้ใหญ่’ ที่เคยอาศัยเรา ต้องไม่ยอมให้ตำรวจเอาผมเข้าคุกง่าย ๆ แน่ ไม่งั้นผมคงมีเรื่องแฉ ลากพวกเขาลงน้ำได้อีกเยอะ” กัดฟันแสร้งพูดอย่างมั่นใจ

            ดวงตาชายชราฉายรอยเยาะชั่วแวบ

            “คนที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินคดีครั้งนี้ เป็นนายตำรวจใหญ่สองคน ตำแหน่งสำคัญเกือบเทียบเท่า ผบ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถมยังเป็นตำรวจตงฉินมาตลอดอายุราชการ ผู้ใหญ่สายขาวในบ้านเมืองตอนนี้สนับสนุนพวกเขาเต็มที่ ไม่มีใครกล้าถือหางคุณเด็ดขาด”

            มาโนชนึกถึงการต่อสายตรงถึงบุคคลสำคัญสองสามรายหลัง แล้วไม่มีใครยอมรับสาย...นั่นหมายความว่าตนเองโดนลอยแพแล้ว

            นักธุรกิจใหญ่ถอนใจอย่างอึดอัด ฝืดฝืน

            “ถ้าอย่างนั้น...คุณมีคำแนะนำอะไร?”

            Killer มองมาแววตาปราศจากความรู้สึกดังเดิม คล้ายมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองจะได้รับวาจานี้จากนักธุรกิจใหญ่ รหัส W-Wolf



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            รถยนต์แล่นเข้ามาจอดในโรงเก็บเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวอย่างเงียบเชียบ มาโนชสวมสูทสีดำอำพรางตัว ลูกน้องคนสนิทถือกระเป๋าเอกสารสำคัญเดินตามหลัง สายตาสอดส่ายมองรอบกายอย่างระแวดระวัง

            เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวติดเครื่อง พร้อมออกเดินทาง เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องรีบออกมาต้อนรับ

            “เครื่องพร้อมแล้วครับท่าน”

            มาโนชพยักหน้า แล้วรับกระเป๋าจากลูกน้องคนสนิท

            “ขอบใจมาก” พูดด้วยสีหน้าเคร่งปนอึดอัด

            แผนการหนีครั้งนี้ เป็นไปอย่างจำยอม เลือกไม่ได้...

            เส้นทางหนีถูกกำหนดไว้แล้ว เขาต้องเดินทางโดยเครื่องบินส่วนตัวอย่างลับ ๆ ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเส้นทางอื่นถูกตำรวจสกัดกั้นจนหมด

            เมื่อถึงประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะมีรถมารับ พาไปขึ้นเครื่องอีกลำ ซึ่งจะนำไปส่งยังประเทศจุดหมายปลายทาง ซึ่งที่นั่น W.คอร์ป ยังมีอำนาจบารมีมากพอปกป้องเขาได้



            มาโนชขึ้นมานั่งบนเครื่องอย่างโล่งใจ มือลูบคลำกอดกระเป๋าเอกสารสำคัญส่วนตัวเอาไว้ มันจะเป็นหลักประกันว่าเขาจะยังยิ่งใหญ่ มีอำนาจเต็มในประเทศปลายทางแห่งนั้น

            เครื่องบินเริ่มวิ่งออกจากโรงเก็บเพื่อไปตั้งลำที่หัวสนามบิน ระหว่างนั้นมาโนชใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ กลัวได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจแล่นมาขวาง สั่งให้หยุดเครื่อง ระงับการเดินทางหนี เพราะการเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวนี้ต้องส่งแผนการบินล่วงหน้า เพื่อขออนุญาต แต่ส่วนลึกในใจ มาโนชเชื่อในความสามารถของ K-Killer ที่จะทำให้เรื่องยากนี้กลายเป็นเรื่องง่ายได้

            ...แล้วความเชื่อมั่นของเขาก็เป็นจริง...

            ทุกอย่างปลอดโปร่ง ราบรื่น เครื่องบินเจ็ททะยานสู่ฟากฟ้า โดยปราศจากปัญหา นักธุรกิจใหญ่ค่อยระบายลมหายใจโล่งอก เชื่อว่าอีกไม่กี่นาที ตนเองจะปลอดภัยที่สนามบินประเทศเพื่อนบ้าน

            จากนั้นเขาก็สามารถติดปีกโบยบินอย่างอิสระไปยังประเทศปลายทาง ซึ่งเงื้อมมือกฎหมาย ตำรวจไทยไม่อาจเอื้อมแตะต้องได้

            อากาศบนเครื่องบินเจ็ทเย็นสบาย เบาะนั่งนุ่มเป็นส่วนตัว นักธุรกิจใหญ่อยู่ภายในห้องโดยสารเพียงลำพัง ไม่มีผู้ติดตาม ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องบินคอยบริการ ซึ่งไม่น่าแปลกเพราะแผนหลบหนีครั้งนี้ปกปิดอย่างลับสุดยอด

            มาโนชไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่นาทีจะไปถึงสนามบินประเทศเพื่อนบ้าน เขาคิดอาศัยช่วงเวลาสั้น ๆ นี้หลับตา พักผ่อนสักครู่...จมูกได้กลิ่นหอมเย็น ๆ เป็นกลิ่นดอกไม้ไทยลอยอบอวลในห้องโดยสาร

            นักธุรกิจใหญ่ไม่รู้สึกผิดปกติอย่างใด คิดว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศเครื่องบิน หนำซ้ำกลิ่นหอมนี้ช่วยให้เขาผ่อนคลาย สบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

            กลิ่นหอมกระจายกรุ่นอบอวล ชวนให้เคลิบเคลิ้มผ่อนคลาย พอนานไปกลิ่นดอกไม้ไทยนั้นเข้มข้น รุนแรงขึ้น ความผ่อนคลายกลับกลายเป็นเขม็งเกร็ง เหมือนในหัวมีแมลงตัวเล็กนับร้อยนับพันวิ่งพล่านอย่างไร้ทิศทาง

            มาโนชพยายามปลุกตนเองให้ตื่น ลุกขึ้น สลัดศีรษะขับไล่สัตว์ประหลาดในหัวออกไป ทว่าทั้งร่างคล้ายเป็นอัมพาต ไม่สามารถขยับตัวได้

            ร่างกายเสมือนถูกมัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ยิ่งพยายามขยับเท่าใดยิ่งเจ็บปวดไปทั่ว เหลือเพียงความรู้สึกตัวที่บอกว่า กลิ่นหอมประหลาดนั้นไหลมาพร้อมกับลมหายใจ แล้วแทรกซึมเข้าสู่สมอง ปั่นป่วนระบบความคิด สติสัมปชัญญะจนเรรวน เสียสภาพไปหมด

            นักธุรกิจใหญ่พยายามฝืนสติ ฉุดรั้งความรู้สึกตัวอันน้อยนิดให้กลับคืนมา...ทว่า...กลิ่นหอมประหลาดนั้นเข้าไปทำลายความรับรู้ ความทรงจำต่าง ๆ ทีละน้อย จนเหมือนแสงเทียนริบหรี่ ใกล้ดับ หรี่แสงลงทีละน้อยจน...ดับวูบ

            มาโนชอยู่ในท่านั่งกึ่งเอนนอนตามสบาย กระเป๋าเอกสารสำคัญถูกกอดไว้แนบอก ไม่อาจรับรู้เลยว่า เครื่องบินที่ตนโดยสารไม่ได้มุ่งสู่จุดหมายที่ตกลงไว้แต่แรก...

            มันบินวนเวียนอยู่ในเส้นทางการบินภายในประเทศประมาณชั่วโมงเศษ แล้ววกกลับมายังสนามบินเดิม จากนั้นค่อยแล่นลงสู่รันเวย์ วิ่งมายังโรงเก็บ...คล้ายเจ้าของเครื่องสั่งให้บินชมวิวเล่นเท่านั้น



            นักบินเปิดประตูออกจากห้องคนขับโดยมีหน้ากากกันสารพิษคลุมใบหน้า เหลือบมองผู้โดยสารเพียงแวบเดียว แล้วรีบลงจากเครื่องอย่างรวดเร็ว

            หน้าโรงเก็บเครื่องบินมีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่...

            ด้านหน้ารถคันนั้นปรากฏชายชรา กับหญิงสาวกำลังยืนรอใจเย็น

            ชายชราใส่เสื้อเชิ้ตสีพื้นแขนสั้น ใบหน้าเรียบ ๆ ผมหงอกขาวดูไม่มีพิษสง หญิงสาวที่ยืนข้างอยู่ในวัยยี่สิบแปด แต่งกายเรียบร้อยทะมัดทะแมง หน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรสะดุดตาผู้พบเห็น

            นักบินเดินเข้ามาใกล้ค่อยถอดหน้ากากออก สูดลมหายใจเต็มปอดก่อนพูดจา

            “เรียบร้อยแล้ว”

            หญิงสาวเอ่ยวาจาแทนชายชรา

            “เช็คเงินในบัญชีคุณสิ”

            นักบินหยิบโทรศัพท์มือถือ กดเช็คยอดเงินที่เข้าบัญชี พอเห็นจำนวนเงินที่ตกลงเข้าบัญชีเรียบร้อย ก็ก้มศีรษะขอบคุณ แล้วเดินจากไป ไม่เหลียวหันกลับมามอง

            “เม...ไปดูสิว่าเรียบร้อยจริงมั้ย” ชายชราสั่ง

            หญิงสาวเดินไปที่เครื่องบิน หยิบผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก ก่อนก้าวขึ้นบันไดเครื่อง พอไม่ได้สัมผัสกลิ่นหอมประหลาดภายในห้องโดยสาร จึงค่อยลดผ้าเช็ดหน้าลง สูดกลิ่นอีกครั้ง มั่นใจว่าไม่มีร่องรอยหลงเหลือ จึงเดินตรงไปยังผู้โดยสารคนเดียวนั้น

            มาโนชอยู่ในสภาพหมดสติ คล้ายคนนอนหลับ กอดกระเป๋าอย่างหวงแหน หญิงสาวเลิกเปลือกตานักธุรกิจใหญ่ดู พบว่ามันไม่แสดงอาการต่อต้านรับรู้ใด

            พอมั่นใจว่างานเสร็จสมบูรณ์ ค่อยดึงกระเป๋าออกจากมือของ ‘เหยื่อ’ แล้วจัดท่าทางการนอนให้เป็นธรรมชาติ วางมือปกติเหมือนคนพักผ่อนท่วงท่าสบาย

            ลงจากเครื่อง เข้าไปบอกชายชราสั้น ๆ พร้อมยื่นกระเป๋าให้

            “เรียบร้อยค่ะ”

            ชายชรารับกระเป๋าหันหลังกลับ ขึ้นไปนั่งด้านหลังรถอย่างวางใจ ขณะที่หญิงสาวก้าวไปนั่งหลังพวงมาลัย ทำหน้าที่คนขับ แล่นรถไปยังทางออกถนนอีกสายซึ่งปกปิด ไม่มีใครรู้

            ดวงตาชายชราหลังรถทอประกายสาสมใจที่งานสำเร็จเรียบร้อย โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่อง

            ...เมื่อหมาป่ามันคิดจะแว้งกัดเจ้าของ ด้วยการติดปีกกระโจนออกจากเงื้อมมือผู้เป็นนาย...คนเป็นนายย่อมไม่อยู่เฉย แสดงศักดาให้เห็นชัด...

            ...วงการนี้ เมื่อเข้ามาแล้วจะออกไปง่าย ๆ ไม่ได้...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



           
            หลังจากรถชายชรา หญิงสาวแล่นออกจากสนามบินไม่เกินห้านาที ก็มีเสียงไซเรนรถตำรวจดังมาระงม บอกถึงการเตรียมล้อมจับวายร้ายสำคัญ...ซึ่ง...มันไม่จำเป็นเลย








บทที่ ๑๑



            ฟ้ามืด

            ภายในคอนโดมีนาเปิดไฟสว่าง เจ้าของห้องนั่งขดตัวอยู่มุมห้อง ใบหน้าซีด ดวงตาทอประกายสับสน อ่อนล้า คล้ายจมอยู่ในห้วงความทรงจำน่ากลัวเพียงลำพัง

            จิตแพทย์หนุ่มยืนชงชาร้อนสองถ้วยอยู่ตรงเคาน์เตอร์ไม่ห่างนัก สายตาเหลือบมองหญิงสาวอย่างเป็นห่วง ริมฝีปากหุบสนิท ไม่เอ่ยวาจาใด พอชงชาเสร็จก็ยกมาวางตรงหน้าเธอ พร้อมกับทรุดนั่งฝั่งตรงข้าม

            ตั้งแต่ออกจากห้องนอน มีนาพูดแค่ประโยคเดียว จากนั้นเงียบงันไม่ขยายความ ไม่บอกว่าตนพบเห็นรับรู้เรื่องราวใด

            ธันวาไม่เร่งร้อนไถ่ถาม รู้ว่าหญิงสาวต้องใช้เวลาปรับสภาพจิตใจสักพัก

            ชาร้อนตรงหน้ามีนาส่งควันกรุ่น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ช่วยผ่อนคลายแตะจมูก หญิงสาวยกชาขึ้นจิบ รสชาติแตะปลายลิ้น แผ่ซ่านกระตุ้นความรู้สึกรับรู้ นำความอบอุ่นเข้าสู่ร่างกาย

            ธันวามองหญิงสาวจิบชาเหมือนร่างไร้วิญญาณ ก่อนจิบชาตนเองอย่างใจเย็น รอคอย

            ทั้งสองผ่านเวลาเงียบงันครู่ใหญ่ กว่าหญิงสาวจะพร้อม เอ่ยปากประโยคแรก

            “ฉันรู้แล้ว คนพวกนั้นมาจับตัวส้มน้อยไปเพื่ออะไร...” หญิงสาวทอดสายตาลงต่ำ ไม่คิดสบตาชายหนุ่ม ไม่อยากให้เขาเห็นรอยหวาดหวั่น โกรธแค้นในดวงตา

            คนเป็นจิตแพทย์ทำได้เพียงระบายลมหายใจแผ่ว รอรับฟัง

            “พวกมัน...ตั้งใจทำให้ส้มน้อยโคม่า...แล้วส่งร่างกายสมบูรณ์ไปที่ประเทศหนึ่ง...เพื่อผ่าตัดเอาหัวใจไปเปลี่ยนให้กับลูกสาวบุคคลสำคัญที่นั่น”

            คุณหมอหนุ่มนั่งอั้น กัดกรามแน่น...การขายอวัยวะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่การฆ่าเด็กกำพร้าคนหนึ่ง เพื่อไปต่อชีวิตลูกสาวบุคคลสำคัญ มันร้ายกาจเกินไป ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมมีนาถึงตกใจ โกรธแค้นขนาดนี้

            ...หัวใจคนพวกนั้น มันทำด้วยอะไร?...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP