วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๑๕



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ที่มาของแฟลชไดร์ฟ ข้อมูลสำคัญไม่อาจบอกใครได้ เพราะคนนำมาให้ขอร้องเอาไว้

            “เอาไปแล้วเงียบ ๆ อย่าบอกใครว่าเป็นฝีมือกูนะมึง...ข้อมูลระดับนี้ตำรวจยังขุดไม่ได้เลย” แฮกเกอร์หนุ่มกำชับ

            “อ้าว...ทำไมวะ” ธันวาสงสัย...การช่วยงานตำรวจควรเป็นเรื่องน่ายกย่องด้วยซ้ำ

            “มึงไม่รู้หรือแกล้งโง่วะ” ภูริชทำหน้าเบื่อโลก “การขโมยข้อมูลน่ะ มันผิดกฎหมาย...หรือมึงอยากให้เพื่อนหน้าหล่อ ๆ อย่างกูต้องไปแดกข้าวในคุก”

            “เออ...กูขอโทษ” คุณหมอหนุ่มเพิ่งนึกได้



            เมื่อตอนกลางวัน ภูริชโผล่หน้ามาโรงพยาบาล ตามหาคุณหมอธันวา เพื่อนำแฟลชไดร์ฟ ข้อมูลของนายมาโนช และ W. คอร์ปมาให้ โดยตั้งราคาข้อมูลของตนเป็นอาหารกลางวัน ซึ่งธันวาสะดวกเลี้ยงข้าวที่โรงอาหารภายในโรงพยาบาล

            “โธ่...ไอ้หมอโรคจิต มึงรู้มั้ยว่าราคาข้อมูลแต่ละชิ้นที่กูแฮกฯให้พวกบริษัทคู่แข่งที่โน้นน่ะ มูลค่ามันเท่าไหร่” ภูริชบ่น “หนอยพากูมาเลี้ยงกระจอกจริง ๆ”

            “แล้วมึงจะกินมั้ย” ธันวาถามอย่างไม่ใส่ใจ

            “เออ กินก็ได้” ตอบรับอย่างงอน ๆ

            ธันวามองเพื่อนอย่างขำขัน ทว่ามีรอยสนเท่ห์อยู่ในนั้น...หากภูริชสามารถหาเงินจำนวนมากจากการขโมยข้อมูลมาขาย เหตุใดเขาจึงทำตัวซอมซ่อ อยู่ในห้องเช่ารูหนู เท่าที่เคยดูในภาพยนตร์ พวกแฮกเกอร์ฝีมือระดับเทพขนาดนี้ถึงจะต้องซ่อนตัวบ้าง แต่ก็มีเงินในบัญชีไม่ต่ำกว่าหลักพันล้าน แอบซื้อคฤหาสน์ส่วนตัวไว้บนเกาะที่กฎหมายระหว่างประเทศเอื้อมไปไม่ถึง

            แต่นั่น...เป็นแค่เรื่องในภาพยนตร์ ชีวิตแฮกเกอร์จริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งธันวาไม่มีวันปริปากถาม นอกจากอีกฝ่ายพร้อมบอกเล่าให้ฟังเอง

            “มีนาเป็นยังไงบ้าง” ภูริชเอ่ยถามถึงผู้หญิงที่ตนเคยยุให้เพื่อนสารภาพรัก

            “สบายดี” ตอบสั้นจนคนฟังชักสงสัย

            “เขาสบายดีจริง ๆ หรือมึงไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไง เพราะเลิกกันแล้ว” ภูริชซัก

            “อย่างหลัง...” ธันวาตอบ

            “เลิกกันนานหรือยัง” ถามอย่างไม่แปลกใจ เพราะความรักครั้งแรกสมัยวัยรุ่น มีไม่มากนักที่จะราบรื่นยืนยาว

            “นานแล้ว” คุณหมอตอบสั้น ๆ

            ภูริชชักสงสัย สังเกตจากการถามคำตอบคำ ถนอมวาจาเกินกว่าเหตุ และแววตาบางอย่างของอีกฝ่ายแสดงว่าต้องการเลี่ยงพูดถึงเรื่องนี้

            “เพราะอะไรวะ” ถามพร้อมจ้องตาหาคำตอบจริงจัง “มันเกี่ยวกับเรื่องที่มึงช่วยไปส่งกูคราวนั้นหรือเปล่า”

            ธันวาไม่ตอบ...การไม่ตอบเท่ากับยอมรับ...

            การที่เขาตามไปส่งภูริช เมื่อประมาณสิบห้าปีก่อน ตอนใกล้จบมัธยมปลาย เป็นเหตุให้เกิดการบาดหมาง ทำผิดต่อมีนาจนต้องเลิกรา มองหน้ากันไม่ติดเป็นปี



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            หากจะว่าไป ความรักระหว่างธันวากับมีนาในช่วงวัยรุ่น ไม่ได้สดใสสวยงามเป็นสีชมพูอย่างคู่รักครั้งแรกทั่วไป

            ด้วยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิงเรื่องเยอะ เอาแต่ใจ คาดหวังในตัวคนรักสูง ต้องการให้เขาเอาอกเอาใจ โรแมนติก ใส่ใจทุกรายละเอียด ซึ่งหาไม่ได้ในตัวธันวา

            เด็กหนุ่มเป็นคนพูดน้อย ไม่ชอบแสร้งเอาอกเอาใจถ้าไม่รู้สึกอยากทำจริง ๆ ต่อให้รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการอะไร แล้วเห็นว่ามันไร้สาระ ไม่จำเป็น เขาก็ไม่ทำ

            ดังนั้นทั้งสองจึงมักขัดอกขัดใจ ทะเลาะง้องอนกันประจำ ที่สามารถคบกันได้เป็นปี ๆ เพราะบ้านติดกัน เคืองกันอย่างไร ตื่นเช้ามาก็ต้องเจอหน้า อีกทั้งต่างฝ่ายก็รู้ไส้รู้พุง เข้าใจนิสัยกันมาตั้งแต่เล็ก มีหลายครั้งที่ธันวายอมลงให้มีนา และมีอีกหลายครั้งที่เด็กสาวแสนงอนต้องยอมมองข้ามความกระด้าง ไม่ใส่ใจรายละเอียด ไม่ยอมตามใจของเขา

            ถึงอย่างนั้นจุดแตกหัก ทำให้มีนาบอกศาลา ตัดขาดความรักกับธันวาก็เกิดขึ้นจนได้

            ทั้งสองแอบนัดเดตกัน ก่อนวันเกิดมีนา เพราะในวันคล้ายวันเกิดมีนาจริง ทั้งคู่ต้องอยู่ฉลองร่วมกับครอบครัว ซึ่งจะไม่มีความเป็นส่วนตัว

            เวลานัดหมายคือหกโมงเย็น

            ด้วยความที่ธันวาต้องช่วยดูรุ่นน้องซ้อมกีฬา รวมถึงต้องทำกิจกรรมอื่น และช่วงปลายมัธยม ตัวเองก็ต้องเรียนพิเศษหนัก ติวเข้มเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเวลาอันใกล้ ทำให้เวลาจำกัด ไปตามนัดหมายช้าเป็นประจำ

            ครั้งนี้เด็กสาวจึงคาดคั้น...

            “เย็นนี้ห้ามไปช้านะแก เพราะถ้ากลับบ้านค่ำ แม่ฉันสงสัยแน่” มีนากำชับ

            “เออน่า...จะพยายามเร่งงานพวกมันให้เสร็จ ถ้าไม่ทันจริง ๆ คงเลทไม่เกินครึ่งชั่วโมงหรอก” ธันวามีกิจกรรมกลุ่มต้องทำในวันนัดหมาย จึงต้องบอกเผื่อไว้ก่อน “แต่ถ้าช้าจริง ๆ ฉันจะโทรบอกล่วงหน้าแล้วกัน”

            ธันวาไม่เคยผิดนัด ต่อให้มาสาย หรือติดธุระสำคัญ เขาจะโทรบอกก่อน หรือรีบเลื่อนนัด ไม่เคยให้เธอคอยเก้อสักครั้ง แต่ด้วยความที่มีนายังอยู่ในช่วงวัยรุ่น มองเห็นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางโลก จึงสะสมความขัดเคืองใจมาตลอด ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายเห็นตนไม่มีความสำคัญมากพอ

            “ไม่ได้...คราวนี้ห้ามเลทห้ามเลื่อนเด็ดขาด” ครั้งนี้ถือเป็นการเดตฉลองวันเกิดเธอล่วงหน้า โอกาสอย่างนี้มีไม่บ่อย เด็กสาวไม่อยากให้มันต้องพลาดไป

            “เอาน่า...จะพยายามจริงๆ” ธันวาให้คำมั่นได้เท่านี้

            “ไม่ได้” เด็กสาวไม่ยอม “ถ้าคราวนี้แกปล่อยให้ฉันคอยเก้ออีก...เราเลิกกันเลย”

            มีนาพูดตามประสาเด็กสาวเอาแต่ใจ ไม่เคยคิดเลิกกับเขาจริง ๆ

            ธันวาถอนใจหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจ ทำไมผู้หญิงชอบใช้คำว่า ‘เลิกกัน’ มาเป็นคำขู่ ข้อต่อรอง ทั้งที่ใจจริงไม่เคยคิดอยากเลิกราสักนิดเดียว

            สำหรับเขา...คำว่า ‘เลิกกัน’ ไม่ใช่จะนำมาพูดล้อเล่นได้

            “ถ้าฉันมาช้า หรือติดธุระสำคัญมาไม่ได้จริง เธอจะเลิกกับฉันจริง ๆ เหรอ” ธันวาถามด้วยอารมณ์ไม่พอใจ

            มีนาชะงักนิดนึง รู้ว่าเขาเริ่มโกรธแล้ว แต่ด้วยความคิดว่าตนเองก็สำคัญจึงฝืนตอบไปแบบไม่ยอมถอย

            “จริงสิ...คราวนี้ไม่ต้องมาง้อกันเลย ฉันไม่ยอมคืนดีอีกแล้ว”

            “โอเค...ได้!” ธันวาตอบรับด้วยความโกรธ ในใจไม่คิดจะผิดนัดอยู่แล้ว

            ใจมีนาหล่นวูบเมื่อได้ยินวาจานั้น รู้สึกว่าตนเองพูดเอาแต่ใจเกินไปแล้ว นิสัยอย่างธันวาคำไหนคำนั้น...เมื่อเขาตอบรับนัด เขาต้องมาแน่นอน ยกเว้นมีเรื่องอื่นสำคัญกว่ามาแทรก แต่เขาจะรีบโทรมาบอก ไม่เคยให้ต้องรอเก้อ

            คำตอบรับว่า หากครั้งนี้เขามาช้า จะยอมเลิกราเด็ดขาด...นั่นย่อมเป็นวาจาจริง ไม่เปลี่ยนแปลง

            มันทำให้เธอใจหาย รู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง...นึกโทษตัวเองที่ทำตัวงี่เง่า ไร้สาระ อยากถอนคำพูด...นำวาจานั้นคืน...แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว



            ในวันนัดหมาย ธันวาไม่ได้มาช้า...เขาไม่มาเลย

            มีนายืนรอที่จุดนัดพบตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสามทุ่มโดยไม่ได้รับโทรศัพท์เลื่อนนัดจากเด็กหนุ่ม โทรไปหาก็ไม่ติด โทรถามพิจิก น้องชายเขาก็บอกว่ายังไม่กลับบ้าน โทรถามเพื่อนสนิทธันวาก็ไม่มีใครรู้

            เด็กสาวกังวล แต่ไม่กล้าไปไหน เพราะต้องรอจนกว่าจะเจอตัว...รู้ดีว่า...ถ้าวันนี้ไม่เจอกัน ทั้งสองต้องเลิกราจริง ๆ

            มีนาไม่อยากเลิกกับเขา ต่อให้ธันวาไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติก ไม่ใช่คนช่างเอาอกเอาใจ ไม่ใจดีอ่อนหวานเหมือนพระเอกละคร บางทีก็เห็นเรื่องอื่นสำคัญกว่าเธอ แต่เธอไม่เคยต้องการเลิกรา

            นั่นเพราะเธอรักเขาจริง ๆ รักอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะรักผู้ชายคนไหนได้มากเท่านี้

            สามทุ่ม...ถือเป็นเวลาดึกสำหรับคนต่างจังหวัด มีนาตั้งใจรอธันวาถึงเช้า เพื่อแสดงว่าเธออดทนจนถึงที่สุดแล้ว...แต่กลับเกิดเหตุร้ายมาแทรก...

            ผู้ชายแปลกหน้าต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งเข้ามาลวนลาม พูดคุย เด็กสาวขับมอเตอร์ไซค์หนีกลับบ้าน พวกมันไล่ตาม จนเกิดอุบัติเหตุตอนใกล้ถึงบ้านพอดี

            รถล้ม มีนาขาหัก ถลอกปอกเปิกทั้งตัว คนในบ้านรีบออกมาช่วย เด็กสาวสลบไป รู้สึกตัวอีกทีตอนอยู่โรงพยาบาลแล้ว เธอจึงไม่รู้ว่าธันวาหายจากบ้านสามวันโดยไม่บอกใครเหมือนกัน

            เมื่อเขากลับมา ก็รีบไปโรงพยาบาลด้วยสภาพฟกช้ำ บาดเจ็บเพื่อขอโทษเธอ

            “ไอ้หมาธัน...แกทำอย่างนี้ทำไม” มีนาเอ่ยถามด้วยความโกรธ เจ็บใจ

            คำถามที่ว่า ทำอย่างนี้’ ย่อมหมายรวมถึงการกระทำทั้งหมด ผิดนัด หายตัว ไม่โทรบอก ไม่ส่งข่าว...และ...ทำให้เธอเป็นห่วงด้วยการกลับมาในสภาพฟกช้ำขนาดนี้

            “ขอโทษ”

            “แกไม่มีอะไรอธิบายดีกว่านี้หรือไง” เด็กสาวมองสภาพร่างกายเขา ต้องการให้เด็กหนุ่มอธิบายถึงสาเหตุการเจ็บตัว ซึ่งมันต้องเป็นเหตุผลที่เขาผิดนัด

            “ไม่มี” ธันวาตอบเพียงเท่านี้ เหมือนเป็นวาจายินยอมให้ทั้งสองเลิกรา

            มีนารอคอยคำพูด คำอธิบาย คำโกหกอะไรก็ได้ที่เขาจะสรรหามาอ้าง สภาพเขาเจ็บตัวแบบนี้ พูดอะไรมาเธอก็เชื่อและพร้อมจะ ‘ให้อภัย’ อยู่แล้ว

            เมื่อได้ยินอย่างนั้น เด็กสาวจึงพูดอะไรไม่ออก เกิดทิฐิขึ้นมา เพราะเหมือนได้รับคำบอกเลิก โดยเด็กหนุ่มไม่ต้องเอ่ยวาจาตัดรอนสักคำ

            มีนาปล่อยให้น้ำตารินไหล ร้องไห้เงียบเชียบเดียวดาย กับความรักครั้งแรกที่กำลังเลือนหาย หลุดลอยไป



            เด็กสาวไม่รู้หรอกว่า ธันวาได้ยินคำบอกเล่าจากน้องชายตนเองแล้ว เรื่องที่เธอยืนรอเขาจนดึกดื่น แล้วถูกกลุ่มผู้ชายต่างถิ่นมาลวนลาม ต้องขับมอเตอร์ไซค์หนีและเกิดอุบัติเหตุเจ็บตัวขนาดนี้

            ธันวาไม่เคยอยากเลิกกับมีนาเหมือนกัน รู้ว่าแค่ตนอ้างเหตุผลอะไรสักอย่าง เธอก็พร้อมจะเชื่อ ให้อภัย และถือว่าคำสัญญานั้นเป็นโมฆะทันที...ไม่จำเป็นต้องเลิกกัน

            แต่เด็กหนุ่มกำลังโทษตัวเอง เขาไม่ควร ‘ทิ้ง’ มีนาไว้อย่างนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

            การเกิดเรื่องร้ายอย่างนี้ แสดงว่าเขาไม่สามารถปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองรักได้

            หากปกป้องผู้หญิงที่สำคัญขนาดนี้ไม่ได้ ‘ความรัก’ ของเขา มันก็เป็นแค่คำพูดเลื่อนลอย

            เขาจึงไม่มีสิทธิขอให้มีนาอภัย ไม่มีสิทธิได้รับความรักจากเธอ

            ถ้าการนิ่งเงียบของเขา ทำให้คำสัญญา ‘เลิกรา’ เป็นผล เขาก็จะกัดฟันทนเงียบงัน ลงโทษตัวเอง ด้วยการยอมสูญเสียความรักครั้งนี้ไป



            มีนาเพิ่งมารู้ทีหลัง กระทั่งปู่ย่า พ่อแม่ ธันวาก็ไม่ปริปากบอกว่าสามวันนั้นตนเองหายไปไหน ประสบเหตุใดมาถึงมีรอยฟกช้ำทั่วตัวขนาดนี้ ต่อให้ผู้ใหญ่ใช้วิธีขู่ คาดโทษอย่างไรก็ไม่อาจง้างปาก หาคำตอบจากเขาได้

            ส่วนเรื่องคดีของหล่อนเอง พวกผู้ใหญ่เตรียมจะเอาเรื่อง จัดการผู้ชายกลุ่มนั้นตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่ช้ากว่าเด็กหนุ่มใจร้อนอย่างธันวา

            หลังจากธันวามาขอโทษเธอที่โรงพยาบาล เขาก็บุกเดี่ยวไปถึงถิ่นผู้ชายกลุ่มนั้น อาศัยตัวคนเดียวเข้าไปตะลุยแก้แค้นพวกผู้ชายสามสี่คนที่ทำให้หล่อนบาดเจ็บ ส่งผลให้คนกลุ่มนั้นต้องเข้าโรงพยาบาลตามเด็กสาวเหมือนกัน

            ผู้ใหญ่ฝ่ายธันวา กับผู้ใหญ่ฝ่ายมีนาจึงต้องปรึกษากัน ก่อนเข้าไปไกล่เกลี่ยประนีประนอม ให้สองฝ่ายเลิกแล้วต่อกัน ซึ่งฝ่ายนั้นจะไม่ยอมก็ไม่ได้ เนื่องจากตนเองทำผิดก่อน อีกทั้งก็เพิ่งรู้ว่าพวกตนได้ไปมีเรื่องกับหลานสาว หลานชายสองเสือร้ายผู้มีอิทธิพลคับเมืองเสียแล้ว

            คดีความนี้จึงยุติ ไม่มีการเอาเรื่องเอาราวใด

            เด็กหนุ่มยินยอมรับโทษจากผู้ใหญ่ทุกอย่าง โดยไม่โต้แย้ง คัดค้าน พวกผู้ใหญ่โมโหจนไม่รู้จะลงโทษอย่างไร แค่คดีหายตัวสามวันโดยไม่บอกกล่าวก็แย่พอแล้ว กลับมาเพียงแค่วันเดียวก็ไปสร้างเรื่องทำร้ายร่างกายจนอีกฝ่ายต้องเข้าโรงพยาบาลอีก

            ต่อให้รู้ว่าคดีหลังเป็นการแก้แค้นให้มีนา ซึ่งผู้ใหญ่ที่เคยเป็นนักเลงอย่างเผด็จ คงคาก็ไม่อยากเอาผิดอะไร แต่รู้ว่าขืนทำอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็จะได้ใจ

            คุณย่าร้อยกรอง กับคุณย่าประนอมจึงเสนอทางออก ให้ธันวาทำดีไถ่โทษ...

            “ผมจะสอบเรียนหมอให้ได้ครับ” เด็กหนุ่มรู้ว่าพวกผู้ใหญ่แอบตั้งความหวังในใจกับหลานชายอย่างไร

            ปู่เผด็จ ปู่คงคานั้นไม่เท่าไหร่ แต่คุณย่าทั้งสองนั้นย่อมยินดีต่อคำสัญญานี้

            ธันวาจึงสามารถอ้างการเรียนพิเศษ มุ่งมั่นกับตำราการสอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะ พูดคุยปรับความเข้าใจกับมีนาได้

            เด็กสาวเห็นอย่างนั้น ก็รู้ว่าเด็กหนุ่มมีเจตนาอย่างไร...สุดท้ายยอมรับว่าคงเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์อะไรไม่ได้แล้ว

            เรื่องราวการหายตัวของธันวาคงถูกสองผู้เฒ่าแอบสืบสาว จนรู้เบื้องหลังไม่ยาก ถ้าหากว่าสองครอบครัวไม่เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นมาก่อน

            ‘ประนอม’ ย่าของมีนาเสียชีวิตกะทันหัน ปู่เผด็จ ปู่คงคาเกิดอุบัติเหตุวันเดียวกัน นับเป็นเรื่องราวร้ายแรงใหญ่โตอย่างยิ่งสำหรับสองครอบครัว

            เรื่องของธันวาจึงถูกพักไว้ก่อนและเมื่อไม่มีใครฟื้นฝอยพูดถึง มันจึงถูกลืมเลือนในเวลาต่อมา

            หลังจากนั้นไม่นาน ธันวาสอบติดคณะแพทย์ ทำให้ย้ายไปเรียนที่กรุงเทพฯ ส่วนมีนาก็สอบได้คณะนิเทศศาสตร์ คนละมหาวิทยาลัยกัน เมื่อไม่มีเหตุให้พบปะ เจอหน้าทุกวันเหมือนเมื่อก่อน ทั้งสองจึงห่างเหิน ความสัมพันธ์จืดจางในที่สุด



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ธันวาไม่ต้องการเล่าเรื่องราวการเลิกราของตนกับมีนาให้เพื่อนสนิทอย่างภูริชฟัง อาจเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายโทษตัวเอง ที่เป็นต้นเหตุให้ทั้งคู่บาดหมาง

            เรื่องอย่างนี้ คนช่างสังเกตอย่างภูริชย่อมคาดเดาออก

            “มึงไม่ได้เล่าให้เขาฟังหรือว่า...สามวันที่มึงหายไปกับกู...เราสองคนเจออะไรกันมาบ้าง”

            ธันวาหลุบสายตาลงต่ำ เขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเก่าพวกนี้

            “กูรับปากคนที่ช่วยพามึงขึ้นเรือไว้แล้ว...ว่าจะไม่เล่าเรื่องเกี่ยวกับมึงให้ใครฟัง...จนกว่าศัตรูของมึงจะถูกกำจัดจนหมด”

            ภูริชชะงัก ดวงตาฉายแววแปลก คล้ายโทสะอันมืดดำในใจถูกปลุกขึ้นมา

            “ขอบใจว่ะ” เขาพูดแค่นั้น

            “ขอบใจกูทำไมวะ เรื่องมันผ่านมาตั้งสิบห้าปีแล้ว...”

            ธันวาไม่ใส่ใจเรื่องเก่า อีกทั้งไม่ถามอีกด้วยว่า ‘ศัตรู’ ของภูริชถูกกำจัดหมดหรือยัง

            “เออ กูขอบใจ...ที่มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่นี่ไง”

            “ไอ้บ้า...แค่ไม่เจอกันสิบกว่าปี ไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ จะเลิกเป็นเพื่อนกันเลยหรือไง” นานครั้งธันวาจะมีอารมณ์หยอกล้อคนใกล้ชิดขนาดนี้

            ภูริชถอนใจเฮือกใหญ่ เหมือนต้องการสลัดความรู้สึกบางอย่างออกไป

            “เออ...กูกลับก่อนล่ะ มีอะไรให้ช่วยก็โทรมา”

            “ได้เลยเพื่อน” สีหน้าธันวาไม่ต่างจากเด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนสนิทเมื่อสิบห้าปีก่อน

            แฮกเกอร์หนุ่มหันหลังกลับ แววตาเปลี่ยนทีละน้อย จากสดใสรื่นรมย์ เป็นมืดดำรุนแรงแล้วเลือนหาย ว่างเปล่าคล้ายปราศจากความรู้สึกใด

            ภูริช...อาจไม่ใช่เพื่อนคนเดิมที่ธันวารู้จักอีกต่อไปแล้ว



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            การประชุมลับ...สถานที่ไม่กำหนด

            ผู้ร่วมประชุมสามคน สนทนาผ่านวิดีโอคอล เข้ารหัสชื่อเฉพาะส่วนตัว ป้องกันข้อมูลสนทนารั่วไหล

            บุคคลรายแรก ใช้รหัสส่วนตัว L-Light เป็นหญิงชราวัยหกสิบเศษ สวมสูทสีขาว ดวงหน้าดุ นัยน์ตาสงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึก

            บุคคลที่สอง ใช้รหัสส่วนตัว W-Wolf ชายกลางคน อายุห้าสิบต้น ๆ ร่างท้วมผิวคล้ำ ตาโตแบบแขกอินเดีย ใส่สูทสีเข้ม ภูมิฐาน ลักษณะท่าทางเหมือนนักธุรกิจใหญ่ ผู้เหยียบโลกทั้งใบไว้ใต้ฝ่าเท้า

            บุคคลที่สาม ใช้รหัสส่วนตัว K-Killer ชายชราวัยหกสิบกว่า ผมหงอกขาวเกือบทั้งศีรษะ รูปร่างผอมบาง ใส่เสื้อเชิ้ตสีพื้น ดูสุภาพไม่มีพิษภัย ดวงตาฉายแววคมวับเหมือนใบมีด ลักษณะบอกว่าสามารถสั่งฆ่าคนได้โดยนัยน์ตาไม่กะพริบ

            ผู้เริ่มต้นสนทนาคือชายชรา เจ้าของรหัสส่วนตัว Killer

            “ยังหาเด็กไม่พบ” คำพูดสั้น ส่งผลให้สีหน้าผู้ฟังทั้งสองเคร่งเครียด

            “ทำไมถึงปล่อยให้เด็กหลุดมือไปได้” หญิงชรา รหัส Light ถามเรียบ ๆ

            “ฉันส่งลูกน้องค้นหาทุกตารางนิ้ว ทุกตึกรอบคลินิกนั่นแล้ว คนที่ปล่อยให้เด็กหลุดมือน่าจะเป็นเธอมากกว่า ทำยังไงถึงพลาด ให้เด็กหนีออกจากโรงพยาบาลได้ ทั้งที่ควรจัดการให้โคม่าได้แล้ว” ชายชราตอบโต้ น้ำเสียงเบา ทว่าเฉียบคม

            หญิงชราถอนใจเบา แววตาทอประกายประหลาดวูบหนึ่ง ก่อนประสานมือตรงหน้าไม่ตอบโต้แสดงอารมณ์

            “พวกคุณโทษกันเองจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าหาเด็กจากรอบคลินิกไม่พบ ทำไมไม่ตรวจสอบตามสถานีตำรวจ โรงพยาบาล ศูนย์พิทักษ์เด็ก ยังไงมันก็ไปไม่กี่ที่นี้หรอก” ชายกลางคนเจ้าของรหัส Wolf พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด และเหมือนยังมีประเด็นคาใจจึงกล่าวต่ออย่างขัดเคือง

            “รู้มั้ย อีกสองสัปดาห์จะเป็นวันเซ็นสัญญา ถ้าเราไม่มีตัวเด็กไปให้...เขาก็จะยกเลิกสัญญาทั้งหมด คราวนี้คง ‘พัง’กันหมดแน่ ทั้งเมกะโปรเจ็กต์สามสี่โครงการที่เขาจะให้สิทธิเราเจ้าเดียว ทั้งสิทธิพิเศษที่เขาจะยกเว้นข้อจำกัดให้พวกเราในอีกหลายเรื่อง...”

            คราวนี้หญิงชราเงยหน้ามองผ่านจอด้วยดวงตานิ่งเรียบ

            “มันไม่ถึงกับ ‘พัง’ ขนาดนั้นหรอก...แค่เมกะโปรเจ็กต์สามสี่โครงการมูลค่าหลักแสนล้าน...ดอลล่าร์ กับสิทธิพิเศษที่จะปลดข้อจำกัดหลายอย่างในประเทศมั่งคั่งประเทศหนึ่งในโลก...เท่านั้น”

            คำพูดไม่แยแส น้ำเสียงกลับประชดซ่อนนัยบาดลึก

            ชายชราส่งรอยยิ้มหยัน ไม่หวั่นอารมณ์ฝ่ายตรงข้าม

            “เอาเถอะ...เรื่องเด็กนั่น ฉันจะให้ลูกน้องทั้งหมดสืบหาจาก ‘ทุกทาง’ ไม่เกินสามวันต้องได้ร่องรอยแน่”

            เมื่อ Killer กล้าพูดเช่นนี้ อีกสองฝ่ายย่อมไม่แสดงความสงสัย เพราะรู้ซึ้งถึงขอบข่ายชายชราคนนี้ดีว่ากว้างขวาง มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ขนาดไหน

            “ตอนนี้ เรื่องน่าเป็นห่วงที่สุด มันเกี่ยวกับตัวคุณ” ชายชราชี้นิ้วไปยัง Wolf“คุณกำลังทำให้เบี้ยเล็ก ๆ ตัวหนึ่งสะเทือนถึงกระดานพวกเรา”

            “เรื่องเสี่ยหมงหรือ” ชายกลางคนรู้ความหมายในคำตำหนิ “โครงการเมืองใหม่ มันก็แค่แผนหาเศษสตางค์ค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกเราเคยทำมาตั้งหลายครั้ง สุดท้ายก็จับได้แค่เหยื่อ ไม่มีใครเคยรู้ว่าเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกโกงนั้นหายไปอยู่ไหน...”

            หากคำพูดนี้หลุดออกไปสู่โลกภายนอก คงมีหลายคนหนาววูบ นึกถึงกลโกง หลอกต้มมวลชนครั้งใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ คดีต้มตุ๋นหลอกให้นักธุรกิจร่วมลงทุน...พอความแตก ‘ตัวการ’ ถูกจับได้ กลับไม่มีเงินเหลือ ไม่เคยมีใครรู้เลยว่า เงินที่พวกเขาโกงไปนับพันล้าน หมื่นล้านหายไปอยู่ที่ไหน หรือแปรสภาพกลายเป็นอะไรไปแล้ว

            ‘ตัวการ’ ที่ถูกจับได้เป็นตัวการจริง หรือเป็นแค่เบี้ย ‘เหยื่อ’ รายหนึ่งในคดีนั้น

            “แน่ใจได้ยังไง” คำถามจากชายชราทำให้ Wolf ชะงัก

            “คุณเก็บทั้งเสี่ยหมง และนางนกต่อเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ ต่อให้ตอนนี้พวกนักธุรกิจที่ถูกโกงจะร่วมเข้าชื่อฟ้องบริษัทของมัน ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วง ยังไงก็สาวถึงตัวผมไม่ได้แน่” ชายกลางคนพูดอย่างมั่นใจ

            ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเนือย

            “ตำรวจรู้แล้วว่าเสี่ยหมงมาหาคุณที่บริษัทตอนบ่าย ก่อนจะตายด้วยอุบัติเหตุตอนกลางดึก เราไม่แน่ใจว่าหลังจากที่มันพบคุณแล้ว ได้เตรียมหลักฐาน เอกสารอะไรซุกซ่อนไว้เล่นงานหรือเปล่า...บางที มันอาจเตรียมหลักฐานตั้งแต่แรก ซึ่งมันอาจสาวถึงคุณได้ง่าย ๆ”

            ชายกลางคนหน้าผิดสี ก่อนฝืนตอบอย่างพยายามแสดงความมั่นใจ

            “ไม่มีทาง ผมซื้อตัวทนายความของมันไว้...ทนายนั่นบอกว่าได้ทำลายหลักฐานทุกชิ้นที่จะสาวถึงผมไปจนหมดแล้ว”

            “คุณจะไว้ใจมันได้ยังไง” ชายชราพูดเยาะหยัน “คนที่ถูกซื้อตัวง่าย มักเอาตัวรอดเก่ง...ฉันแกล้งให้คนไป ‘อุ้ม’ มันมาข่มขู่ อ้างว่าหนึ่งในผู้เสียหายสั่งให้มาเอาเรื่อง มันก็รีบปฏิเสธบอกไม่รู้เรื่องอะไร...ขู่ไปขู่มามันก็หลุดมาว่าเสี่ยหมงมันเก็บหลักฐานเบื้องหลังโครงการเมืองใหม่ไว้ ซึ่งมีข้อมูลหลายอย่าง ที่มันยังดูไม่ละเอียด แต่หลักฐานชิ้นนั้นมันล่องหนไปไหนแล้วไม่รู้!”

            ชายกลางคนหนาวเยือก เหงื่อซึมออกฝ่ามือ พยายามฝืนข่มสีหน้าให้เป็นปกติ

            “กลัวอะไร...ถ้าหลักฐานชิ้นนั้นถึงมือตำรวจ...คุณก็มีวิธีเอามันมาได้อยู่ดี”

            Killer หัวเราะเสียงต่ำ ชวนขนลุก

            “อย่าลืมนะ...สายในตำรวจของเรามีแค่หยิบมือ ถ้าเทียบกับตำรวจทั้งหมด”

            Wolf ฝืนยิ้ม

            “ถึงอย่างนั้น ผมก็มั่นใจว่า ‘สาย’ หยิบมือที่คุณมี...ไม่มีทางทำให้กระดานนี้สะเทือนแน่...คุณแก่เกินไปหรือเปล่า ถึงกลัวเบี้ยเล็ก ๆ อย่างเสี่ยหมง...คนที่ตายไปแล้ว”

            ชายชราไม่ตอบโต้ สงบนิ่ง ดวงตาคมวับก่อนงำประกาย คล้ายดาบถูกสอดคืนใส่ฝัก

            คนที่เอ่ยปากเตือนคือหญิงชรา Light

            “คุณท่านมักพูดเสมอว่า...จะทำอะไรก็อย่าประมาท”

            “บิ๊กบอส...นายใหญ่ของเรา ท่านจะพูดอะไรก็ได้นี่...ก็อยู่ในจุดที่ใครแตะไม่ถึงอยู่แล้ว ปล่อยให้พวกเรางก ๆ ทำงานออกหน้าตลอด” ชายกลางคนเถียงกึ่งระบายอารมณ์

            “อย่าลืม...พวกเรามีวันนี้ได้เพราะ ‘คุณท่าน’”

            เสียงเรียบเบาแฝงคำตำหนิ พร้อมแววตาดุ เอาเรื่อง

            ชายกลางคนไม่สนใจ พูดวกกลับมาประเด็นแรกที่คุย

            “พวกคุณยังไม่ต้องห่วงเรื่องหลักฐานนั่นหรอก ผมว่าตอนนี้เรื่อง ‘เด็ก’ สำคัญกว่า...ถ้าคุณตามตัวมันไม่เจอก่อนวันเซ็นสัญญา น่าจะรู้ว่าเราต้องเสียหายขนาดไหน”

            หญิงชรานิ่งเงียบ มองมาด้วยแววตาปราศจากความรู้สึก ชายชรากลับขยับตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เหมือนเพิ่งได้รับข้อมูลใหม่ สด ๆ ร้อน ๆ

            “ได้ร่องรอยเด็กแล้ว”Killer บอกคนทั้งสอง “มีใครบางคนกำลังตรวจสอบประวัติเด็กจากลายนิ้วมือ”

            “รู้มั้ยว่าใคร...อยู่ที่ไหน?” ชายกลางคนดีใจ

            “ยังตอบไม่ได้ คนที่ตรวจสอบก็เข้ารหัสป้องกัน ไม่ให้ใครสืบสาวถึงตัวเองเหมือนกัน”

            “ตะกี้คุณบอกว่าขอเวลาสามวันใช่มั้ย” หญิงชราถามเสียงเรียบเบา

            “ใช่...สามวันนี้ต้องได้ร่องรอยที่จับต้องมากกว่านี้”

            “ก็ดี” พูดจบ สัญญาณภาพจากจอคอมพ์รหัส L-Light ดับลง

            ดวงตาชายชราไม่แสดงอารมณ์ต่อการตัดบทกึ่งสั่งการนั้น หน้าจอรหัส K-Killer ดับตาม เหลือแค่จอคอมพ์สุดท้าย รหัส W-Wolf

            ชายกลางคนเอื้อมมือปิดคอมพ์ตนเอง โทสะขัดเคืองอัดแน่นในใจ ทุกครั้งที่มีการประชุมเขาเหมือนถูกผู้มีวัยวุฒิสูงกว่าดูแคลนเสมอ ทั้งที่พวกนั้นรู้ว่าเขาคือใคร?



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP