สารส่องใจ Enlightenment

ศีลธรรมสำหรับครอบครัว (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
เทศน์อบรมฆราวาส ณ กรมทหาร ร. พัน. ๓ อุดรธานี
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙




วันนี้ได้มาเยี่ยมพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย
หลวงตาบัวรู้สึกว่ายุ่งมาก ตามปกติไม่ค่อยมีเวลาว่างพอจะมาเยี่ยมพี่น้องทั้งหลาย
วันนี้มีโอกาสเรียกว่าวาสนาอำนวยเราได้มาพบกัน
เนื่องจากวันหนึ่งๆ เวลามีน้อยมาก จึงได้ให้ชื่อว่าหลวงตายุ่ง
เวลานี้อยู่ในตำแหน่งหลวงตายุ่ง มี ๓ ชื่อด้วยกัน
คือ หลวงตาบัว หลวงตายุ่ง หลวงตาลาก กำลังถูกลากกันอยู่นี่ พอเข้าใจไม่ใช่เหรอ
หลวงตายุ่งก็คือหลวงตาบัวนี่แหละมันยุ่งมากทั้งวันทีเดียว
มิหนำซ้ำกลางคืนบางคืนยังยุ่งอีก
นอกจากนั้นเขาก็ลากเอาไป เรียกว่าหลวงตาลาก ลากไปโน้นลากไปนี้
หลวงตายุ่งกับหลวงตาลากกำลังอยู่ในตำแหน่งเดียวกันและกำลังยุ่งกัน
วันนี้จะพูดธรรมะให้ท่านทั้งหลายฟังตามโอกาสที่มี



คำว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก โลกเราหากไม่มีธรรมะเป็นน้ำดับไฟอยู่บ้างแล้ว
โลกจะอยู่กันลำบากมากและจะอยู่ไม่ได้
ธรรมะเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยว
ธรรมะเป็นเครื่องบำรุงส่งเสริมจิตใจของประชาชนให้ดีมีความสงบสุข
ศาสนาจึงเป็นโรงผลิตความดีงามให้แก่จิตใจของประชาชนได้อย่างดีมาก
ไม่มีอันใดจะเสมอเหมือนกับศาสนาเลย
คำว่าศาสนาคือศาสนธรรมที่บรรยายออกมาภายนอกนี้
เรียกว่าคำสั่งสอนที่ถูกต้องดีงามของพระพุทธเจ้า
ปกครองได้ทั้งประเทศชาติบ้านเมือง และตัวของบุคคลเป็นรายๆ
ตลอดตัวของเราเอง กระจายไปถึงครอบครัว



บ้านใดที่ไม่มีศีลธรรมก็คือไม่มีศาสนา
เรือนใดก็ตามครอบครัวใดก็ตาม หรือบุคคลใดก็ตาม ถ้าไม่มีศาสนธรรม
คือไม่มีศีลธรรมเป็นเครื่องรักษาปฏิบัติประจำใจ
บ้านนั้นเรือนนั้นบุคคลนั้น จะมีแต่ความเดือดร้อนอยู่เสมอ หาความพอดีมีสุขไม่ได้
ส่วนมากมักเกิดความทะเลาะเบาะแว้งกันในระหว่างครอบครัว
คือสามีภรรยาบ้าง ในระหว่างสังคมบ้าง เพื่อนบ้านกันบ้าง
ตลอดถึงหน้าที่การงานต่างๆ ที่ไม่ลงรอยกันบ้าง
ส่วนมากก็เป็นเรื่องปีนเกลียวกับศีลธรรม คือความถูกต้องดีงาม



เฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสามีภรรยาที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน
ก็เพราะไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปีนเกลียวกับความพอดี คือความเหมาะสม
ตามหลักธรรมท่านสอนไว้ว่า สนฺตุฏฺฐี
นั้นหมายถึงความสันโดษ ยินดีในสมบัติที่มีอยู่ของตน
ไม่ให้เลยขอบเขตลุกลามไปหาสมบัติของผู้อื่น
ประการที่สองเรียกว่า อปฺปิจฺฉตา ความมักน้อย
นี้หมายถึงมีอันเดียวไม่มีสอง ถ้ามีสองก็เท่ากับได้คู่ทะเลาะตบตีแย่งชิงนั่นเอง



คำว่ามักน้อยคืออย่างไร เราเคยเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์
เป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายโลกเสียด้วย
แสดงออกทางหน้าหนังสือพิมพ์ เห็นแล้วรู้สึกมีความสลดใจ
หากว่าไม่เข้าใจศาสนธรรมบทนั้น ก็ไม่ควรนำธรรมบทนั้นออกแสดง
ให้ประชาชนได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่ถูกต้องดีงามตามความมุ่งหมายของธรรมนั้น
ผู้อ่านซึ่งไม่เข้าใจธรรมสองบทนี้อาจเกิดความเข้าใจผิดตามไปได้
นี่เป็นเวลานานแล้วแต่จำไม่ลืม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่น่าหลงลืมและเป็นความสะดุดใจด้วย
แสดงว่า สนฺตุฏฺฐี คือความสันโดษ ยินดีในความมีอยู่ของตนหนึ่ง
อปฺปิจฺฉตา ความมักน้อยหนึ่ง
ธรรมทั้งสองข้อนี้พระสงฆ์ไม่ควรนำออกแสดงให้ประชาชนทราบ
เพราะธรรมสองบทนี้เป็นการกดถ่วงเศรษฐกิจของบ้านเมือง
ซึ่งเวลานี้กำลังฟื้นฟูเศรษฐกิจของบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองกันอยู่
ธรรมสองข้อนี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของบ้านเมือง ว่าอย่างนั้น



ความจริงศาสนธรรมในสองบทนี้ไม่ได้หมายความอย่างนั้น
เป็นธรรมสอนโลกทั่วไปทั้งพระแลฆราวาสจะพึงนำไปปฏิบัติแก่เพศของตน
ธรรมไม่มีบทใดบาทใดกดถ่วงความเจริญของโลก
นอกจากเป็นคุณธรรมค้ำจุนโลกโดยลำดับเท่านั้น
พระนำไปปฏิบัติได้ดังนี้ อปฺปิจฺฉตา คือความมักน้อย
พระผู้ปฏิบัติเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสของพระพุทธเจ้า
อย่าเป็นผู้มักมากด้วยจตุปัจจัยทั้งสี่
คือหนึ่ง จีวร เครื่องนุ่งห่มใช้สอยต่างๆ ที่ได้มาจากประชาชนเขาให้ทาน
สอง บิณฑบาตการขบฉัน ไม่ว่าอาหารประเภทใด
พระภิกษุเหล่านั้นไปหามาเองโดยลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยประชาชนเลี้ยงดู
ตั้งแต่วันอุปสมบทเข้ามาจนกระทั่งถึงวันอวสานของพระ



จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ที่อยู่ที่อาศัยของพระ ตลอดถึงยาแก้ไข้เหล่านี้
ล้วนแล้วแต่มาจากประชาชนศรัทธา
พระที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส จึงไม่ควรแสดงตัวเป็นคนมักมากโลภมาก
ผิดกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้า จงเป็นผู้มักน้อยในปัจจัยทั้งหลาย
ซึ่งเป็นความถูกต้องดีงามสำหรับพระผู้อาศัยคนอื่นเลี้ยงดู
จะไม่เป็นภาระแก่ศรัทธามากไป พระก็ไม่พะรุงพะรังกังวลวุ่นวายกับปัจจัย
ซึ่งเป็นเพียงเครื่องอาศัยพอยังอัตภาพให้เป็นไป
และบำเพ็ญสมณธรรมด้วยความสะดวก



เกี่ยวกับประชาชนคือความมักน้อยนี้นั้น
หมายถึงมักน้อยในครอบครัวของตนเท่านั้น
ผัวหนึ่งให้มีเมียหนึ่ง เมียผู้หนึ่งมีผัวคนเดียว ผัวผู้หนึ่งมีเมียเพียงคนเดียว
ไม่ให้มีสองมีสามอันเป็นไฟลุกลามไหม้กันและครอบครัว
นี้ชื่อว่าความมักน้อย ไม่มักมากในอารมณ์เครื่องเสริมไฟ
ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายหลายอารมณ์มาบวกมารบรากัน



สามีภรรยาให้มีความจงรักภักดีต่อกัน มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน
มีความฝากเป็นฝากตายต่อกันตลอดกาลสถานที่ ไม่มีที่ลับที่แจ้ง
เปิดเผยความบริสุทธิ์และความจงรักภักดีต่อกันอยู่ภายในใจอันสะอาด
ใครจะไปทำงานในบ้านนอกบ้าน ไปใกล้ไปไกลข้ามวันข้ามคืนที่ไหน
ก็ไปด้วยใจสัตย์ซื่อมือสะอาด ไม่มีมลทินมัวหมองติดตัวมาฉาบทากัน
ไปเที่ยวทำมาค้าขายใกล้หรือไกล
ก็เพื่อจะยังการครองชีพให้เป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม
ไม่มีความวิตกวิจารณ์ ไม่มีความเป็นห่วงเป็นใย
ไม่มีความเดือดร้อนภายในจิตในใจว่า
สามีหรือภรรยาของตนจะไปประพฤติไม่ดีไม่งาม
ด้วยการคบชู้สู่หญิงสู่ชายนอกบัญชี
ซึ่งเท่ากับผีร้อยตัวมาคว้าเอาหัวตับหัวปอดขั้วหัวใจ
ไปขยี้ขยำตำบอนโดยประการต่างๆ
ซึ่งทำลายอปฺปิจฺฉตาธรรมให้ฉิบหายป่นปี้
ไปเป็นการนานเป็นคุณ นำผลรายได้มาอุดหนุนครอบครัว
ให้มีความจีรังยั่งยืนด้วยความชื่นบานหรรษาต่อกัน



สามีภรรยาปฏิบัติตัวดังกล่าวนี้อยู่ที่ใดไปที่ใด ย่อมไม่มีความกังวลหม่นหมอง
ครองกันด้วยความราบรื่นชื่นใจตลอดไปจนอายุขัย
เพราะหลักใหญ่มีใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อกัน
สิ่งภายนอกแม้จะมีอดบ้างอิ่มบ้างไม่สำคัญ
สำคัญที่ความจงรักภักดีและซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน
ครอบครัวนั้นจะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติเงินทองก็ตาม จะขาดๆ เขินๆ บ้างก็ตาม
ความสุขความอบอุ่นความฝากเป็นฝากตายต่อกัน
ย่อมเป็นความแน่นหนามั่นคงในครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการด้วยกัน
ระหว่างสามีภรรยาปฏิบัติต่อกันดังกล่าวมา
นี่เรียกว่า อปฺปิจฺฉตา มีผัวเดียวเมียเดียว ไม่เกี่ยวเกาะกับใคร
แม้หญิงชายจะมีเต็มโลกไม่ยุ่งเกี่ยว นี่แล อปฺปิจฺฉตา ของฆราวาส



หากว่า อปฺปิจฺฉตา นี้ได้ถูกลบล้างไปเสียไม่มีอยู่ในโลกแล้ว โลกก็ไม่มีเขตมีแดน
ก็ไม่มีผิดอะไรกับ... เคยเห็นไหมตอนเดือนเก้าเดือนสิบทางภาคอีสาน
แต่ภาคกลางพวกนี้กำเริบหน้าเดือนสิบสอง เสียงมันเห่าหอนอึกทึกครึกโครม
ตัวไหนเป็นผัวของตัวไหน ตัวไหนเป็นเมียของตัวไหนไม่มีเลย กัดกัน
โอ้ย แหลกเหลวไปหมด หน้าเดือนเก้าเดือนสิบเราเคยเห็นไหมทางภาคอีสานน่ะ
เวลาสัตว์พรรค์นี้คึกคะนอง วิ่งสวนกันขวักไขว่ไม่มีวันมีคืน
ไม่มีเขตมีแดนว่าเป็นบ้านเขาหรือบ้านเรา วิ่งวุ่นไปหมด
ข้าวน้ำกินไม่กินไม่สนใจ อยู่บ้านไม่ติด วิ่งวุ่นหากันยิ่งกว่าสุนัขบ้านั่นแล
มนุษย์เราถ้าหากปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นแบบนั้นแล้ว
ความเลวร้ายและความฉิบหายต่างๆ จะยิ่งกว่านั้นอีก
เพราะยังมีปืนผาหน้าไม้เที่ยวยิงเที่ยวฆ่ากันอีก เนื่องจากมีความฉลาดกว่าสัตว์
จะทำลายกันเหลวแหลกไปหมด เรือนจำไม่มีที่ให้อยู่นั่นแล
นี่คือโทษแห่งการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความคึกคะนองของราคะตัณหา
จะไม่มีเลยคำว่าพอดี อย่างไรต้องเก่งกว่าสุนัขไม่อาจสงสัย



สัตว์ดังกล่าวนี้เวลาราคะกำเริบมันไม่มีเขตมีแดน
ไปไหนไปได้หมดไม่กลัวเป็นกลัวตาย ไม่กลัวความหิวความกระหายใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่ว่าบ้านใดเรือนใดมันวิ่งเพ่นพ่านไปได้หมด ไม่เคยมาเกี่ยวข้องกับเจ้าของ
อย่างมากก็วิ่งมาบ้านครู่หนึ่ง เจ้าของให้กินข้าวทันก็ทัน ให้กินไม่ทันก็วิ่งไปเลย
แล้วเราดูซิสุนัขหน้านั้นเป็นอย่างไรบ้าง
หูฉีก ปากฉีก ขาฉีก พุงทะลุก็มีเพราะแรงกัดกัน
บางตัวตาย บางตัวเป็นบ้าไปเลยก็มี บางตัวไม่กลับบ้านไปตายข้างหน้า
สัตว์พรรค์นี้เวลาคึกคะนองด้วยราคะตัณหา
เป็นความเสียหายแก่ตัวมันเองดังที่กล่าวมา



เพียงสัตว์เรามองเห็นก็ไม่น่าดู เพราะผิดปกติของสัตว์มากมาย
หน้านั้นไม่ว่าตัวผู้ตัวเมียวิ่งว่อนหากันยุ่งไปหมด
ไฟราคะ โทสะมันเป็นไปพร้อมๆ กันมันเผาไปได้หมด
นี่คือความไม่มีเขตมีแดนของสัตว์เป็นอย่างนี้
คือความไม่มีเขตมีแดนของกิเลสราคะตัณหา
ทำสัตว์ทั้งหลายให้มีความลำบากทรมาน
มีความกระวนกระวาย มีความทุกข์มากในระยะโรคราคะตัณหากำเริบ
ทุกข์จนถึงตายก็มีในบางตัว ทุพพลภาพเสียอวัยวะวิกลวิการก็มี



ทีนี้ถ้ามนุษย์เราไม่มี อัปปิจฉตาธรรม เป็นเบรกห้ามล้อไว้เพื่อความปลอดภัย
มนุษย์จะไม่มีขอบเขตสมกับภูมิของมนุษย์ที่มีความเฉลียวฉลาดเลย
มนุษย์เราจะทำความเดือดร้อนเสียหายให้แก่กันและกัน ยิ่งกว่าบรรดาสัตว์มากมาย
เพราะมนุษย์เรามีความเฉลียวฉลาด
ถ้าเฉลียวฉลาดในทางที่ดีก็เป็นความดีประดับตน
และเป็นประโยชน์แก่ตนทั้งครอบครัว ตลอดประเทศชาติบ้านเมือง
แต่ความฉลาดของมนุษย์นี้ใช้ไปได้ทุกแง่ทุกมุม
ส่วนมากถ้าจิตใจใฝ่ต่ำ ความฉลาดนั้นก็จะเป็นเครื่องมือของการกระทำความชั่วได้มาก
และมนุษย์จะก่อความเดือดร้อนเสียหายให้กันได้มากมาย เพราะมีความฉลาดมาก



(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา https://bit.ly/3O1UBbm



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP