สารส่องใจ Enlightenment

เห็นแจ้งด้วยปัญญา


enlightenment

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


ขึ้นชื่อว่าการทำงานในโลกนี้แล้ว
ซึ่งมันจะไม่ยากนั้นไม่มี ซึ่งจะไม่ลำบากนั้นไม่มี การทำการทำงาน
เพราะเหตุว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
จะเอาอะไรมันมาได้ง่าย ทำอะไรจะให้มันง่ายๆ ไม่ได้ เพราะมันไม่เที่ยง
ส่วนงานในทางธรรมนี้ มันมีทางจบลงได้
ไม่เหมือนงานทางโลก งานทางโลกจบไม่ได้เลย
งานทางธรรมนี่ ถ้าเราเมื่อทำใจให้สงบลงไปแล้ว มันก็จบลง
ไม่ได้อยากได้อะไรแล้ว มันก็จบเท่านั้นแหละ
โลกอันนี้นะ ที่มันจบลงไม่ได้ เพราะมันมีความอยากอยู่ในใจ
วิตกวิจารณ์อยู่ ถึงสิ่งที่ตนต้องการปรารถนานั้นแล
นั่นแหละ มันจึงจบลงไม่ได้เลย
มันจบลงได้ก็เพราะเราพิจารณาเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
มันไม่เป็นสิ่งที่ควรจะยึดถือ เพราะมันไม่เที่ยง
ขืนยึดถือไว้ เวลามันแปรปรวนไปก็เป็นทุกข์เปล่าๆ ไม่มีความสุขแม้แต่น้อยเดียว
ก็เป็นอยู่อย่างนี้ โลกอันนี้

เราเกิดมาชาตินี้ มาพบพระพุทธศาสนาแล้ว
พุทธศาสนาชี้ให้สอนตัวเอง ให้เห็นความไม่เที่ยงของสังขารธรรมทั้งหลาย
ตนก็ไม่พิจารณา ถือมั่นอยู่ตั้งแต่เขาแต่เรา แต่ตัวแต่ตนนั้นแหละ
เมื่อเป็นเช่นนี้มันก็พ้นทุกข์ไปไม่ได้
มันก็จะต้องเป็นทุกข์อยู่ซ้ำๆ ซากๆ ไป ไม่รู้จบรู้สิ้นแหละ ในโลกอันนี้
เพราะว่าจิตดวงเดียวนี้ ไม่ใช่หลายดวงนะ
เมื่อปัจจุบันนี้มันเศร้าหมองอยู่ด้วยสิ่งใด
ไปเบื้องหน้ามันก็เศร้าหมองอยู่เช่นเดียวกันนั้นแหละ
มันจะเปลี่ยนแปลงเป็นผ่องใสไม่ได้เลย

เช่นอย่างเวลาคนจวนจะตายนี่ ใจไปเที่ยวเกาะเที่ยวข้องสิ่งโน้นสิ่งนี้
เสียใจ อาลัย คิดถึงสิ่งที่ตนรัก ตนชอบใจ
แล้วก็จะมาพลัดพรากจากไป อย่างนี้นะ
คิดมาเท่าไหร่ก็กลุ้มใจไปเท่านั้น
อย่างนี้นะมันจึงพ้นทุกข์ไปไม่ได้นั่นแหละ
ผู้จะพ้นทุกข์ไปได้ ก็เพราะมาฝึกจิตใจอันนี้ อย่าให้มันเกาะมันข้อง
จะเป็นสิ่งที่น่ารักก็ตาม เป็นสิ่งที่น่าชังก็ตาม
สอนใจ วางเรื่อยไปทั้งนั้นแหละ
เพราะมันเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน
มีเกิดขึ้นแล้วก็มีแปรปรวน แตกดับไป
สิ่งที่มีวิญญาณครองก็ดี ไม่มีวิญญาณครองก็ดี
ก็มีสภาพเหมือนกันหมดเลยแหละ ไม่แตกต่างกัน
เหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า สามัญลักษณะ
แปลว่า ลักษณะเสมอกันแห่งสังขารทั้งปวง
พิจารณาไตรลักษณญาณนี้ให้เห็นแจ่มแจ้งขึ้นในใจ
แล้วเช่นนี้มันก็สามารถจะปล่อยจะวางโลกอันนี้ได้
ทั้งภายใน ภายนอก ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ทั้งปราณีต บรรจง อะไรก็ตามแหละ
มันจะอยู่ในลักษณะ ๓ นี้ทั้งนั้นแหละ

เมื่อมันเห็นแจ้งด้วยปัญญาแล้ว มันก็จะไปยึดถือไว้ทำไมล่ะ
เพราะว่าขืนยึดถือไว้มันก็ไม่ได้อะไร ยึดถือให้เป็นทุกข์เปล่าๆ
ปัญญามันก็ต้องสอนใจเข้าไปอย่างนี้ คนผู้ฝึกตนน่ะ
ผู้ไม่ฝึกตนล่ะก็ มีแต่รักเอาไว้ท่าเดียว มีแต่ชังไปหน้าเดียว
ไม่ได้ทวนกระแสเข้ามากลับพิจารณาความจริงสิ่งที่ตนรักตนชังนั้นเลย


sathu2 sathu2 sathu2



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP