สารส่องใจ Enlightenment

ธรรมนาวา (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย



ธรรมนาวา (ตอนที่ ๑) (คลิก)



ดังนั้นพระองค์จึงทรงรับสั่งให้พระอานนท์ไปพักผ่อนอยู่ร่มไม้แห่งอื่น
พระอานนท์ก็กราบลาพระองค์ไปนั่งสมาธิอยู่ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง
ซึ่งไม่ไกลจากพระศาสดาเท่าไรนัก
มารได้โอกาสจึงเข้าไปกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
พระองค์จึงตรัสแก่พญามารว่า ดูก่อน มารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด
ตั้งแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน เราตถาคตจะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ท่านจงรับรู้ไว้เถิด
พญามารก็สาธุการ แล้วหายตัวไป
ทันใดนั้นพระศาสดาก็ทรงปลงพระชนมายุสังขาร
โดยอธิษฐานว่าตั้งแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวง
พระองค์จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน



วันนั้น เมื่อทรงพระอธิษฐานแล้วก็เกิดแผ่นดินไหวสะเทือนสะท้าน
พระอานนท์รู้สึกแปลกใจ จึงเข้าไปทูลถามพระองค์
พระองค์ทรงรับสั่งว่า พระองค์ได้ปลงพระชนมายุสังขารเสียแล้ว
พญามารได้มาทูลอาราธนาพระองค์เมื่อสักครู่นี้
แล้วพระอานนท์ก็ได้กราบทูลอาราธนาพระองค์ ขอให้เจริญอิทธิบาทธรรม
ดังที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้น เพื่อทรงพระชนมายุยั่งยืนนานต่อไป
พระองค์ก็ทรงตรัสห้าม ดูก่อนอานนท์ บัดนี้ไม่ใช่กาลแล้ว
มิใช่เป็นกาลที่ท่านจะมานิมนต์อาราธนาเราตถาคตแล้ว
แต่ก่อนนี้ยังเป็นกาลเวลาอยู่ เราแสดงนิมิตโอภาสถึงสองครั้งสามครั้ง
ท่านก็ยังนึกไม่ได้เลย ไม่อาราธนาตถาคต
ถ้าหากว่าอานนท์อาราธนาสักหน่อยเดียว ตถาคตก็จะปฏิเสธครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒
ครั้นเมื่ออาราธนาครั้งที่ ๓ นี้เราตถาคตก็จะรับอาราธนาพระอานนท์แน่นอน
แต่นี้พระอานนท์นิ่งเฉย ไม่อาราธนาเลย ก็เป็นโทษของพระอานนท์เอง
บัดนี้เราตถาคตได้ปลงพระชนมายุสังขารแล้ว จะกลับคำไม่ได้



“สจฺจํ เว อมตา วาจา” การกล่าวคำสัตย์ เป็นธรรมอันไม่ตาย
เป็นอันว่า พระองค์ก็ได้ปลงพระชนมายุสังขารในวันเพ็ญเดือน ๓ พระจันทร์เต็มดวง
ต่อจากนั้นก็ทรงเสด็จไปเมืองกุสินารา พักไปตามหมู่บ้านรายทาง แสดงธรรมเรื่อยไป
เมื่อไปถึงเมืองปาวาที่ติดกับเมืองกุสินารา ก็ไปพักอยู่ที่ร่มมะม่วง
สวนมะม่วงของนายจุนทะ กัมมาละบุตร ลูกของช่างทอง
เมื่อนายจุนทะทราบก็ไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟัง
นายจุนทะก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
ได้ปฏิญาณตนเป็นอุบาสก ผู้นับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
และได้อาราธนาพระพุทธองค์ และพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป
ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น


ในวันนั้น นายจุนทะจัดตกแต่งภัตตาหารอย่างขวนขวายเต็มที่
เพื่อจะเลี้ยงพระทั้ง ๕๐๐ รูป
รุ่งเช้าพระองค์ก็เสด็จมา เมื่อมาถึงบ้านแล้ว
พระองค์ทรงรู้ว่าอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสุกรอ่อนๆ นั้น
เทพยดาได้เอาอาหารทิพย์ผสมเข้าไป
ด้วยหวังว่าจะถวายทำบุญ ถวายทานพระองค์ในวาระสุดท้าย
พระองค์ทรงรู้เช่นนั้นแล้ว
และทรงรู้ว่าไม่มีพระสงฆ์องค์ใดจะฉันอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสุกรอ่อนนั้น
แล้วทำให้ไฟธาตุย่อยได้ ไม่มี
แม้คนในโลกนี้ทั้งโลกก็ไม่มีใครจะรับประทานแล้วย่อยได้ ไม่มี
มีแต่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
ดังนั้นพระองค์จึงทรงสั่งให้นายจุนทะเอาอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสุกรอ่อนนั้น
มาถวายพระองค์เท่านั้น ไม่ให้ไปถวายภิกษุอื่น
แล้วให้เอาอาหารอย่างอื่นไปถวายภิกษุทั้งหลาย
เมื่อพระองค์รับมาเสร็จแล้ว
ที่เหลือนอกนั้นก็ทรงรับสั่งให้เอาอาหารนั้นไปฝังให้มิดชิด
แล้วพระองค์ก็ฉันพร้อมด้วยพระสงฆ์
และเมื่อพระองค์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว
ก็ทรงพระประชวรด้วยพระโรคาพาธโดยถ่ายเป็นพระโลหิตออกมา



จากนั้นพระองค์ก็ร่ำลานายจุนทะ
ออกเดินทางไปเมืองกุสินารา ทรงพักถ่ายไปตามทาง
เมื่อถึงเมืองกุสินาราแล้ว พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้พระอานนท์และภิกษุทั้งหลาย
ชำระเตียงนอนของพวกมัลละกษัตริย์เหล่านั้น
ให้หันศีรษะไปเบื้องตะวันตก ให้ตั้งอยู่ระหว่างต้นรังคู่หนึ่ง
แล้วพระองค์ก็ทรงรับสั่งให้พับผ้าสังฆาฏิ เป็น ๔ ชั้น ปูราบลงไป
พระองค์ห่มจีวรเรียบร้อยแล้วก็ประทับสีหไสยาสน์บรรทมหรือนอนตะแคงขวา
พระองค์ประทับนอน จะไม่ลุกขึ้นอีกแล้ว เรียกว่า
“อนุฏฐานไสยา”


จากนั้นพระอานนท์ก็ไปบอกแก่พวกมัลละกษัตริย์ในเมืองกุสินาราให้ทรงทราบ
ชาวเมืองก็ดีใจ พวกมัลละกษัตริย์เหล่านั้น
ก็นำดอกไม้ธูปเทียนมาถวายบูชาพระศาสดา
ได้ประกาศตนโดยกราบทูลให้ทรงทราบว่าได้มากราบมาเฝ้า
หลังจากนั้นก็ทรงให้บวชสุภัททปริพาชกที่เป็นคนแก่ที่มาทูลถามปัญหาพระองค์
พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้พระอานนท์บวชให้
เสร็จแล้วพระภิกษุสุภัททะก็ทำความเพียรตลอดคืน ในที่สุดก็ได้สำเร็จอรหัตตผล
ก่อนที่พระพุทธองค์จะดับขันธปรินิพพาน ก็ปลงสังขารลงไปได้



นี่แหละเป็นปัจฉิมพุทธสาวกของพระศาสดา
ชื่อสุภัททปริพาชก ท่านบวชเมื่อแก่
ประโยชน์พุทธกิจที่พระองค์ทรงบำเพ็ญในวันดับขันธปรินิพพาน
คือได้แสดงธรรมโปรดสุภัททปริพาชก
ซึ่งนับถือลัทธิอื่นแต่มีบุญวาสนาสั่งสมมาเต็มแล้ว
จึงดลบันดาลให้มาเฝ้าพระพุทธองค์ในวาระสุดท้ายแห่งมัจฉิมมาชีพ
แล้วท่านก็ได้บรรลุมรรคผล เข้าสู่พระนิพพานตามพระศาสดา



ดังนั้นให้พากันจำเรื่องราวเหล่านี้ไว้
เพื่อเจริญศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสของเหล่าผู้เป็นนักบวชหรือเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม
เราจะได้ตั้งใจทำความดีไป ละกิเลสตัณหาให้น้อยเบาบางไป
ดังอธิบายให้ฟังมาตอนต้น ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๖ ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี
วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔.
จัดพิมพ์โดยชมรมกัลยาณธรรม



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP