ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะเจริญสติในชีวิตประจำวันได้ดี



ถาม – ดิฉันเริ่มฝึกปฏิบัติธรรม พยายามสังเกตจิตของตัวเองในชีวิตประจำวัน
พบว่าเวลาที่คุยกับเพื่อนแล้วมีอารมณ์ร่วมไปกับบทสนทนาจนจิตส่งออกนอก
พอรู้ตัวดิฉันก็ดึงจิตกลับมาแต่ก็รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ
จะมีวิธีการใดช่วยให้สามารถมีสติรู้สึกตัวพร้อมกับใช้ชีวิตทางโลกไปด้วยได้คะ



ตรงนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมาก คำถามที่มันเป็นข้อสงสัยสำหรับผู้เริ่มต้นนะครับ
ว่าทำไมพอมาเจริญสติ พอมาปฏิบัติธรรมแล้ว
เรารู้สึกมันกระตุกๆ ชอบกลนะ วิถีชีวิตแบบที่มันเคยดำเนินมา
นั่นเป็นเพราะบางที เราอาจจะฟังคำแนะนำว่าให้เข้ามาดูสังเกตจิตของตัวเอง
หรือว่าให้มาสังเกตดูว่าอารมณ์ไปถึงไหนแล้ว
หรือว่าใจของเรากำลังเป็นกุศลหรือไม่เป็นอกุศลอะไรต่างๆ
ตรงที่เราเข้ามาดูดื้อๆ เลย เข้ามาดูกันแบบลุยแบบลูกทุ่งเลย
มันทำให้สภาพความต่อเนื่องของชีวิตประจำวันสะดุดเป็นธรรมดา



เพราะว่าเมื่อเราสังเกตเข้ามาที่ใจ มันเป็นการเข้าโหมด (mode) ต่างไปจากที่เราคิดพูด
หรือว่าเรากำลังสนทนามีความรู้ใจความจากฝ่ายคู่สนทนาอะไรอย่างนี้นะ
ตอนที่เรารู้ข้อความสนทนา มันคือการที่เราใส่ใจเข้าไปในเรื่องที่กำลังอยู่ในหัวข้อ
แล้วก็เรากำลังตั้งใจฟังว่าเขาจะพูดอะไรมา
อาการของจิตมันจะเข้าโหมดรับรู้ข้อความ
ทีนี้พอเรามาสังเกต ตอนนี้จิตเราเป็นอย่างไร
มันจะดึง มันจะมีการกระชากจากสภาพรับรู้ข้อความตรงหน้า
หรือการทำความเข้าใจ โหมดทำความเข้าใจข้อความ
กลายมาเป็นว่ามาสำรวจดูว่าใจฉันกำลังเป็นอย่างไรอยู่
เนี่ยมันคนละเรื่องกัน มันคนละโหมดกัน มันคนละขั้นตอนกัน


ทีนี้เพื่อที่จะให้การปฏิบัติการเจริญสติมันสมูท (smooth)
แล้วก็กลมกลืนกันไปกับภาวะที่เป็นชีวิตประจำวัน
ลองดูที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในสติปัฏฐาน
ท่านตรัสมาเป็นขั้นๆ ฝึกดูลมหายใจให้เป็นก่อน
แล้วฝึกเห็นว่าแต่ละลมหายใจมันพาอะไรเข้ามา เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
จากนั้นค่อยมาสังเกตว่าที่หายใจอยู่
มันหายใจอยู่ในอิริยาบถไหน ร่างกายอยู่ในท่าทางแบบใด
แล้วเสร็จแล้วค่อยไปสังเกตว่าด้วยอาการทางกายในอิริยาบถนั้นๆ
มันขยับเคลื่อนไหวแยกย่อยอย่างไร
มันพูดจาตอนเริ่มจะพูดนี่ท่าทางมันต่างไปอย่างไร
แล้วตอนที่หยุดนิ่งฟังท่าทางอาการของกายต่างไปอย่างไร
ความเคลื่อนไหวทางจิตภายในเป็นอย่างไร
ตรงนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นขั้นเป็นตอน



พูดง่ายๆ ถ้าเรามีเบสิก (basic) ถ้าเรามีความเคยชิน
มีความชำนาญที่จะรู้สิ่งที่ควรรู้ขั้นพื้นฐานก่อนทางกายทางใจ
มันจะค่อยๆ เขยิบขึ้นไปรู้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ เอง
ธงของเราคือการมีสติอยู่กับชีวิตประจำวัน อันนั้นดี อันนั้นถูกต้อง
แต่ทำอย่างไรมีขั้นตอนอย่างไร อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าหากว่าเราสังเกตเอาดื้อๆ เลย
ไปเปลี่ยนโหมดจากโหมดคิดพูดเป็นโหมดสังเกตจิต
แน่นอนมันต้องสะดุด แล้วเดี๋ยวเราก็ต้องเกิดความรู้สึก
พอยิ่งทำนานไป มันเหมือนจะไม่ได้อะไรสักอย่าง
เหมือนจับปลาสองมือ ทางโลกมันก็ไม่เต็มที ทางธรรมก็ไปไม่สุด
ไม่มีอะไรได้ดีเต็มที่สักอย่าง


ทีนี้ถ้าเรามาฝึก อย่างเวลาว่างๆ ไม่ต้องนั่งหลับตาก็ได้
เอาแค่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน
แล้วสังเกตว่าเรากำลังนั่งอยู่อย่างนี้สบายหรือไม่สบาย
ฝ่าเท้าฝ่ามือมันผ่อนคลายไหม หรือว่าเกร็งเครียดอยู่ไหม
แล้วหายใจตามที่ธรรมชาติทางกายมันให้หายใจ
สังเกตอยู่ว่าลมหายใจแบบนี้มันมีความผ่อนคลาย
มันมีความรู้สึกว่างๆ สบายๆ หรือมีความฟุ้งยุ่ง
ด้วยเบสิกความรู้ตรงนี้ที่จะสังเกตว่า ณ ลมหายใจนี้
เรากำลังมีภาวะปั่นป่วนอย่างไร หรือว่ามีความสงบอย่างไร
ภาวะทางกายนิ่งอย่างไร หรือว่าเกร็งอย่างไร
ตรงนี้มันจะไปต่อยอดเองโดยที่เราไม่ต้องไปพยายามฝืนนะครับ



เวลาเราพูดคุย เราจะไม่ลืมลมหายใจ
ลมหายใจจะเหมือนอยู่เป็นแบ็คกราวน์ (
background)
มันมาเรื่อยๆ เป็นห้วงๆ คืออาจจะไม่จำเป็นต้องตลอดเวลานะ
แต่มันมาเป็นห้วงๆ มันมาทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็ค่อยๆ เกิดความเคยชิน
ค่อยๆ เกิดความชำนาญที่จะเห็น เห็นว่าลมหายใจเป็นแบ็คกราวน์
ระหว่างที่เราใช้ชีวิตประจำวัน เราคุยอยู่กับใคร
ลมหายใจเหมือนจะปรากฏเป็นแบ็คกราวน์ให้เอง
จนกระทั่งเรามาจับจุดได้ว่าเวลาที่เราพูด เวลาที่เราคุยกับใคร
แต่ละการพูด แต่ละหัวข้อการสนทนา มันพาให้จิตของเรามีความแตกต่างไป
บางหัวข้อสนทนามันพาใจของเราไปฟุ้งซ่านง่ายมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาพูดเรื่องคนอื่นแล้วสนุกปาก มันมันนะ
มันอยากหัวเราะคิกคัก มันอยากไปเดาว่าเรื่องของเขามันเป็นอย่างไร
เขาคิดอย่างไรเขาถึงได้ทำแบบนั้น มันจะง่ายมากเลยที่จิตจะผันผวน
แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่าลืมหมดแล้ว
ว่ากายเป็นอย่างไรใจเป็นอย่างไร


แต่ถ้าหากว่าพูดเรื่องธรรมะ
พูดเรื่องอะไรที่มันเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องความไม่เที่ยง
ใจที่ตั้งใจเสพธรรมะอยู่ มันเหมือนพร้อมที่จะกลับเข้ามา
รู้สึกถึงฐานที่ตั้งคือลมหายใจ หรือว่ารู้สึกถึงฐานที่ตั้ง
คือสภาพอิริยาบถที่มันกำลังปรากฏอยู่ ณ ขณะนี้
พอสังเกตความต่างของหัวข้อสนทนา
ที่มีความสัมพันธ์กับภาวะทางใจที่เตลิดง่ายหรือว่าเข้ามามีสติอยู่ได้สบายๆ
เราจะเริ่มจับจุดออกว่าเวลาใช้ชีวิตประจำวันมันจะมีหัวข้อ
ไม่ว่าจะอยู่กับชีวิตประจำวันแบบไหน
เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน กินข้าว มันมีหัวข้อ มันมีหัวข้อทางธรรม
ถ้าอาหารอร่อยมาก จิตใจเราแบบว่าพร้อมจะเหมือนยักษ์ขมูขี
ที่เมามันกับรสชาติของอาหาร หน้ามืดลืมหมด
สภาพทางกายสภาพทางใจจะเที่ยงไม่เที่ยงอะไรนี่นึกไม่ออก
มันหน้ามืดเมามันอยู่กับรสอาหาร



แต่ถ้าเป็นรสอาหารจืดชืด แล้วเกิดความรู้สึกทุกข์ทางใจขึ้นมาเล็กๆ
อย่างนี้นี่มันพอมีสติ มันพอมีแก่ใจตั้งสติเข้ามาว่า
ตอนนี้ใจมันกำลังรู้สึกเหมือนกับไม่พอใจกับรสชาติอาหารอยู่
แล้วก็กลับมาอยู่กับ เออ นี่ ความไม่พอใจแบบนี้อยู่ได้แป๊บหนึ่ง
เดี๋ยวมันค่อยๆ หายไปตอนที่เปลี่ยนรสชาติเป็นคำอาหารคำอื่นอย่างนี้



เห็นไหมหัวข้อในชีวิตประจำวันมันก็เหมือนหัวข้อสนทนา
มันมาปรุงแต่งใจของเราให้อ่อนไหวง่าย หรือว่ามีความกลับมาตั้งมั่นเป็นสมาธิได้
แต่ถ้าหากเราไม่ฝึกที่จะสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างลมหายใจกับจิตไว้ก่อนล่วงหน้า
มันจะเหมือนไม่มีทุน มันจะเหมือนกับว่าถ้าตั้งใจดูเข้ามาที่จิตแล้ว
ต้องยกเลิก ต้องแคนเซิล (
cancel) หัวข้อชีวิตประจำวันอย่างอื่นหมด
กลับมาดูจิตอย่างเดียว ซึ่งมันไม่ได้อะไรเลย มันสะดุด
เสร็จแล้วกลับมาดูใจแล้วก็ เอ๊ะ! เห็นใจหรือยัง
เห็นแป๊บหนึ่ง เห็นแล้วได้อะไร ก็รู้สึกว่ามีสติแล้ว เข้ามาดูจิต เข้ามาดูใจ
แต่จริงๆ มันไม่ได้อะไรเลยนะ คือคุณจะรู้ว่าไม่ได้อะไรเลยหลังจากที่เวลาผ่านไปสิบปี
แล้วมันก็ยังย่ำอยู่กับที่ยังอยู่ตรงนี้ที่เดิม


แต่ถ้าหากว่าเราสังเกตลมหายใจ
เรารู้ความสัมพันธ์ระหว่างลมกับสภาวะทางใจ
สภาวะทางกายสภาวะทางใจมันเป็นไปด้วยกัน
ไม่ต้องถึงสิบปี เอาแค่สิบวัน คุณจะเห็นความต่างเลยนะ
มันจะมีอัตโนมัติของการรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็เห็นความสัมพันธ์เห็นความต่าง ระหว่างหัวข้อในชีวิตประจำวัน
กับความสัมพันธ์ทางจิตที่มันมีลมหายใจเป็นศูนย์กลางของสติอยู่นะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP