วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๐



way cover




ชลนิล






(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บนถนนเมืองหลวงรถราคลาคล่ำ เวลาหัวค่ำเร่งด่วนเช่นนี้แต่ละสายจึงมีรถติดรอสัญญาณไฟเป็นแถวยาวเหยียด ผู้คนริมถนนยืนรอรถอย่างเบื่อหน่าย มอเตอร์ไซค์ขับซอกซอนทุกช่องว่างที่สามารถไปได้

            รถยนต์พลเทพจอดติดตรงสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง ขยับได้ทีละคืบโดยผู้อยู่ภายในไม่แสดงอาการร้อนรนรำคาญใจ จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือดังขึ้น คนสนิทเจ้าพ่อรับสายแทนก่อนยื่นให้เจ้านาย

            “จากคุณเชวงครับ” ผู้โทรมาเป็นคนกลางติดต่อประสาน นัดหมายเหล่าเจ้าพ่อค้ายาทั้งหลาย

            “ว่ายังไง” คำพูดเรียบ ๆ ไม่ห้วน ไม่มีหางเสียง

            “เราเปลี่ยนจุดนัดพบแล้วนะ”

            “งั้นหรือ” ตอบรับไม่รู้สึกแปลกใจ...นี่เป็นการเปลี่ยนสถานที่ เวลารอบสามแล้ว

            “จากจุดนัดพบเดิม เราเปลี่ยนสถานที่เป็น...”

            จุดนัดพบใหม่อยู่คนละทางกับที่เดิม ทั้งยังลึกลับรถคันใหญ่เข้าออกลำบาก

            “ผมจะไปทันหรือ” น้ำเสียงกึ่งตำหนิรำคาญใจ

            “ทันแน่นอน...เวลานี้รถของคุณจอดติดไฟแดงอยู่ที่...” คำบอกสถานที่ไม่ผิดพลาด แสดงถึงความสามารถในการทราบความเคลื่อนไหวผู้เข้าประชุมทุกคน

            “ถ้าคุณไปตามเส้นทางที่ผมส่งโลเคชั่นใหม่ไปให้ จะสามารถมาถึงจุดนัดหมายทันเวลาแน่นอน...อ้อ...แนะนำให้รีบเปลี่ยนยานพาหนะ หลบสายสืบตำรวจที่ติดตามด้วย”

            “เรื่องนั้นรู้แล้ว” ตอบหงุดหงิด สายตาเหลือบทางด้านหน้าเห็นมอเตอร์ไซค์ไม่สะดุดตาคันหนึ่งกำลังจอดติดไฟแดงเหมือนกัน

            สัญชาตญาณ ‘เจ้าพ่อ’ บอกให้ทราบเป็นรถสายสืบ คอยติดตามบอกความเคลื่อนไหวแก่ตำรวจเป็นระยะ จำเป็นต้องหาหนทางหลบหลีก เปลี่ยนยานพาหนะเพื่อไปยังจุดหมายตามเวลา

            สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถยนต์แล่นผ่านจุดคับคั่ง ถึงจะมียวดยานเต็มถนนแต่ยังเคลื่อนที่สะดวกไม่ติดขัด

            คนขับรถเจ้าพ่อใหญ่เลี้ยวเข้าซอยแห่งหนึ่งอย่างรู้งาน เป็นซอยทางลัดรถยนต์ผ่านไปมาไม่ขาดสาย มอเตอร์ไซค์สายสืบพยายามติดตามไม่คลาดสายตา

            รถยนต์เลี้ยวเข้าไปยังคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นสติกเกอร์ผู้เช่าอาศัยติดหน้ากระจกจึงปล่อยให้ขับลงไปยังลานจอดชั้นใต้ดินง่ายดาย

            มอเตอร์ไซค์ไม่อาจติดตาม ทำได้แค่วิทยุรายงานศูนย์ให้ส่งกำลังเฝ้าทางเข้าออกรอบสถานที่โดยเร็ว

            หูตาสายสืบตำรวจละเอียดถี่ถ้วนก็จริง เจ้าพ่อพลเทพเหนือชั้นยิ่งกว่า สามารถเล็ดรอดออกมาเปลี่ยนยานพาหนะเป็นรถญี่ปุ่นยี่ห้อดาด ๆ ไม่สะดุดตา ออกมาวิ่งกลมกลืนคันอื่นบนถนนในเวลารวดเร็ว

            พอสลัดหลุดจากการติดตามเรียบร้อยจึงส่งข้อความ จะไปถึงที่นัดหมายตามเวลา



            รถญี่ปุ่นคันเล็กขับลัดเลาะซอกซอนตามซอยเล็กซอยน้อย ขึ้นถนนใหญ่แล้วขับข้ามฝั่งอีกมุมเมืองใช้เวลาไม่นาน

            สถานที่แห่งนั้นตั้งไม่ห่างเขตชุมชน สามารถเข้าออกหลายทิศทางทั้งทางบก ทางน้ำ ซอกซอยเล็ก ๆ ซับซ้อนคนไม่คุ้นเคยอาจหลงได้

            ตัวตึกภายนอกเก่าทรุดโทรมไม่สะดุดตา ลักษณะไม่ผิดแผกจากอาคารบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียง ด้านหลังติดลำคลองใหญ่พาออกไปถึงแม่น้ำโดยใช้เวลาไม่นาน

            ‘ผู้ร่วมประชุม’ บางรายมาทางเรือ แอบซุ่มจอดตรงท่าน้ำลับปกปิดร่องรอยจนภายนอกสังเกตไม่เห็น

            พลเทพลงจากรถพร้อมคนสนิทแล้วโบกมือให้ไปหาที่จอดมิดชิด หันไปพบกับ ‘เชวง’ ผู้ประสานงานเหล่าเจ้าพ่อ

            “มากันครบหรือยัง” พลเทพถาม

            “ตัวแทนอเมริกา จีน ญี่ปุ่น มาถึงแล้วพร้อม ‘สินค้าตัวใหม่’ เหลือแค่ตัวแทนเกาหลี กำลังมาทางรถยนต์เหมือนคุณ น่าจะใช้เวลาไม่เกินสิบนาที”

            การชุมนุมผู้ค้ายาเสพติดระดับภูมิภาคเอเชีย โดยมีพี่ใหญ่อย่างอเมริกาเข้ามาร่วมด้วย นี่คือเหตุผลที่พลเทพไม่สามารถถอนตัว ยกเลิกนัดทั้งที่ใจเหน็ดเหนื่อยอยากหยุดเต็มที

            “สินค้าของคุณมาถึงหรือยัง” เชวงถามเมื่อเห็นตัวแทนฝ่ายไทยลงจากรถพร้อมคนสนิทแค่สองคนโดยไม่มีสิ่งใดติดมือมาด้วย

            “มาถึงแล้ว” พลเทพพยักหน้าไปทางรถยนต์เก่า ๆ อีกคันซึ่งขับตามมาในระยะมองเห็นด้วยสายตา

            “ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณพลเทพกับ...สินค้า...เข้าไปด้านในได้เลย...ไม่ต้องห่วงเรื่องการระวังป้องกันของเรา”

            ขณะเดินผ่านประตูเข้าด้านใน สายตามองเห็นผู้คน ‘มือดี’ ซุ่มตามจุดต่าง ๆ รักษาความปลอดภัย เฝ้าระวังเข้มงวด ทำให้ผู้ร่วมประชุมมั่นใจว่าตำรวจ บุคคลภายนอกไม่อาจล่วงล้ำเข้ามาได้

            วูบหนึ่งแห่งความคิดผุดขึ้น...กำแพงป้องกันต้องแข็งแรงขนาดไหน จึงสามารถกั้นไม่ให้ ‘กรรมวิบาก’ ทำงาน

            ตนเองกระทำเรื่องชั่วร้ายมากมายขนาดนี้ อาจไม่มีสิ่งใดหยุดยั้ง ‘ผลกรรม’ ที่จะตามมาได้เลย




--------------- ------------ --------------




            เสียงโห่ร้องยินดีเมื่อมวยคู่เอกปรากฏตัว ขุนคีรีกับคู่ต่อสู้ต่างถอดเสื้อ สวมกางเกงยีนตัวเดียวเหมือนกัน ต่างกันตรงรูปร่างอีกฝ่ายหนากว่า ตามตัวมีริ้วรอยแผลเป็นยาวให้เห็น บอกถึงผ่านสมรภูมิต่อสู้โชกโชน

            ทั้งคู่เดินไปให้กรรมการตรวจสอบเครื่องแต่งกายว่าไม่ซุกซ่อนอาวุธใด จากนั้นตรงไปยังเวทีซึ่งเป็นกรงขนาดใหญ่ ไม่มีกรรมการข้างใน ประตูเปิดอ้ารอคู่ต่อสู้ทั้งสองก้าวเข้าไป

            ผู้ชมบนอัฒจันทร์โดยรอบส่งเสียงเฮดังลั่น การต่อรองราคาเริ่มต้น บิ๊กเพลิงยิ้มกริ่ม หันไปมองทางเฮียบุ๋นด้วยแววตามั่นใจ พร้อมเทเดิมพันชนิดไม่กลัวใคร

            ต่อให้ครั้งนี้ไม่มีการล้มมวย ตนก็เชื่อว่าผลการต่อสู้จะไม่เหมือนเดิม

            แก๊ง...ระฆังดัง การต่อสู้เริ่มต้น สองฝ่ายฟุตเวิร์คดูเชิงไปมา ปล่อยหมัดแย็บสังเกตการหลบหลีกตอบโต้ เพียงไม่นานก็คาดเดาฝีมือออก

            ขุนคีรีคล่องแคล่วว่องไว ฟุตเวิร์คมั่นคง ปล่อยหมัดแม่นยำโดนคู่ต่อสู้จัง ๆ หลายหมัด ขณะที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่เร็วเท่า นัยน์ตาคมฉับไวกว่า อ่านเกมการต่อสู้ขาด รู้ว่านักมวยผมยาวจะขยับทางไหน ปล่อยหมัดเวลาใด ต่อให้หลายครั้งหลบหมัดไม่พ้น ก็ไม่สะท้านสะเทือนสักนิด

            ถึงตอนนี้ทราบแล้วเหตุใดบิ๊กเพลิงมั่นใจนักมวยตนเองนัก กล้ามเนื้อผิวหนังนักมวยผู้นี้แข็งแกร่งราวกับเหล็ก โดนกี่หมัดแทบไม่รู้สึก น่าจะเกิดจากการฝึกฝน กรำศึก ผ่านสมรภูมิต่อสู้จริงโชกโชน แต่ละบาดแผลที่ได้รับล้วนเป็นเครื่องการันตีชั้นดี

            นอกจากนี้ยังฉลาดในการต่อสู้ ไม่ใช้แรงเกินจำเป็น เคลื่อนไหวพอดีไม่มากไม่น้อย ขยับแต่ละครั้งล้วนดักทางถูก ทำให้คู่ต่อสู้จู่โจมลำบาก ใช้จุดเด่นปกปิดจุดอ่อนตนเอง ปล่อยหมัดแต่ละทีเหมือนอาวุธหนัก เล่นเอาขุนคีรีเซแซ่ดแทบล้มหลายครั้ง

            เวลาผ่านไม่นานชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองเป็นรองหลายชั้น โอกาสเอาชนะไม่ถึงครึ่ง ยิ่งเวลาผ่านไปคู่ต่อสู้ยิ่งเข้มแข็ง อ่านเกมดักทางแม่นยำ ขุนคีรีปล่อยอาวุธแต่ละครั้งไม่ว่าหมัด ศอก เข่าล้วนถูกสกัดกั้นพอดิบพอดี

            นักมวยหนุ่มไม่ท้อแท้ถอดใจ สมัยเรียนต่อสู้กับ ‘พ่อครู’ ทางเหนือก็รู้แล้วว่าวิชามวยของตนไม่ใช่ที่หนึ่ง หลายคนที่เรียนด้วยกันสามารถเอาชนะเขาได้ แม้กระทั่ง ‘เข้ม’

            พ่อครูมักสอนเสมอ สิ่งสำคัญในการต่อสู้คือประสบการณ์ และ ‘ใจ’ เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมแพ้

            แรก ๆ ผู้ชมรอบสนามต่างโห่ร้อง ส่งเสียงเชียร์มวยคู่เอกที่ต่อสู้สมศักดิ์ศรี ฝ่ายเจ้าสนามอย่างขุนคีรีมีลีลาแพรวพราว ไม่ทำคนดูผิดหวัง ขณะผู้ท้าชิงก็หนักแน่น มั่นคง โดนไปหลายหมัดไม่สะทกสะเทือน ต่อสู้แบบใช้สมอง ดักทางแม่นยำ หมัดหนักกว่า เข้าเป้าน้อยแต่รุนแรง ดุเดือด ถึงอกถึงใจผู้ชม

            พอเวลาผ่านไปเริ่มเห็นนักมวยมาดเซอร์เป็นรอง นักมวยหุ่นหนาเริ่มรุกหนัก ได้เปรียบ ปล่อยหมัดเข้าเป้าบ่อยขึ้น ในสนามเริ่มเงียบ คนถือหางแชมป์เก่าหน้าซีดเรื่อย ๆ บิ๊กเพลิงหน้าบานแก้มปริ ตบเข่าฉาดสะใจเป็นระยะ แต่ละหมัดที่นักมวยฝ่ายตนต่อยเข้าเป้าเหมือนช่วยแก้แค้นให้ตนกับลูกสมุนในเรื่องคราวก่อนอย่างสาสม

            ทว่า...เกมเริ่มพลิกกลับเมื่อขุนคีรีตั้งสติ ดวงตาทอประกายกล้า วาดลวดลายแม่ไม้เพลงมวยมั่นคง ทำให้เกมสูสีผลัดกันรุก ผลัดกันป้องกันจนคนดูคาดเดาผลการต่อสู้ไม่ถูก

            หมัดแลกหมัด ลีลาต่อลีลา ชั้นเชิงที่มีล้วนงัดมาใช้จนคนดูคาดไม่ถึง ต่อให้ขุนคีรีเป็นรองชัดเจนคู่ต่อสู้ก็ไม่สามารถน็อคได้อย่างใจ ด้วยความคล่องแคล่ว ใจสู้ งัดทุกประสบการณ์ที่มีมาใช้เต็มที่

            บิ๊กเพลิงเริ่มหน้าซีดบ้าง เป็นห่วงเงินทุนที่ทุ่มลงไปแบบหมดหน้าตัก ความมั่นใจคลอนแคลน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านักมวยฝ่ายตนเป็นต่อ สามารถคว่ำคู่ต่อสู้ได้ แต่พลาดโอกาสทุกที

            ...เป็นครั้งแรกนับจากระฆังดัง ที่บิ๊กเพลิงรู้สึกว่าตนอาจหมดตัวคืนนี้...

            นักมวยเป็นรองอาจพลิกเกมชนะได้...ถ้าไม่เกิดเรื่องเกินคาดหมาย ซึ่งเหตุการณ์เช่นนั้นสามารถเกิดขึ้นทุกขณะโดยใครก็คิดไม่ถึง

            หลังตั้งสติ ขุนคีรีมองหาช่องว่างเอาชนะจนเจอ ทว่า...จู่ ๆ ในหัวปรากฏภาพนิมิตวูบวาบ เสียงแปลก ๆ ดังอู้ ๆ ในหู

            ปัง ปัง ปัง...เสียงปืน...บรื้นนน...เอี้ยดดด...เสียงเร่งเครื่องยนต์รถ ตามด้วยเสียงเบรกดังยาว

            แสงวูบวาบกะพริบไปมาเหมือนสัญญาณไซเรนรถพยาบาล เตียงเข็นถูกลากมารอรับ เลือดแดงฉานชุ่มโชกเสื้อกางเกง

            นิมิตภาพและเสียงรบกวนสมาธินักมวยในช่วงเวลาคับขัน สลัดอย่างไรไม่ออก สติหลุด...แทนที่จะจู่โจมช่องว่างที่มองเห็นชัยชนะ กลับเสนอตัวเข้าหาหมัดคู่ต่อสู้จนร่างลอยคว้างไม่รู้เหนือใต้

            แก๊ง...เสียงระฆังจบการแข่งขันดังขึ้นเป็นสัญญาณสุดท้ายก่อนขุนคีรีจะหมดสติ ไม่รู้สึกตัว




--------------- ------------ --------------




            เช้ามืด...บัวบุษราถูกเขย่าร่างปลุกทั้งที่ยังไม่ใช่เวลาตื่นนอนตามปกติ

            “บัว...ตื่นได้แล้วบัว...” เสียงพรไพลินปะปนความตื่นเต้นยินดี

            “คะ...ค่ะ...บัวตื่นแล้ว...มีอะไร” เสียงงัวเงียไม่อยากลุก

            “รีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงพยาบาลเร็ว”

            ได้ยินเช่นนั้นรีบลุกพรวด ละล่ำละลักถามใจไม่ดี

            “ใครเป็นอะไรพี่พร...หรือว่าพ่อ...พ่อกลับบ้านหรือยัง”

            “ไม่เกี่ยวกับพ่อหรอก...ข่าวดีของบัวเอง...รู้มั้ยได้กระจกตาแล้ว...บัวจะได้เปลี่ยนกระจกตา มองเห็นแล้วนะ”

            พรไพลินไม่อาจกลั้นสะอื้นยินดี น้ำตาไหลพรากด้วยความสุข

            บัวบุษรานิ่งอั้นคาดไม่ถึง ทำอะไรไม่ถูก...ใครจะคิด...เรื่องดี ๆ จะจู่โจมไม่ทันให้ตั้งตัวเช่นนี้











บทที่ ๑๘



            เตียงเข็นเพิ่งนำผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด ดาบตำรวจพนาค่อยเดินกึ่งวิ่งมาถึง พบลูกสาวคนโตยืนรอนอกห้องเพียงลำพัง

            “เป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีมั้ย”

            “ค่ะพ่อ...น้องตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเรียบร้อย เพิ่งเข้าห้องผ่าตัดตะกี้เอง”

            “ขอโทษที พ่อมาช้าไปหน่อย”

            “ไม่เป็นไรค่ะ พรทราบว่าเมื่อคืนมีงานสำคัญ”

            พ่อพยักหน้ากำลังขยับปากจะอธิบาย สายตาเห็นนายแพทย์ดนัยเดินผ่าน กำลังเข้าห้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้บัวบุษราจึงรีบเข้าไปหาก่อน

            “คุณหมอครับ...ขอบคุณจริง ๆ ที่หากระจกตามาให้ลูกสาวผม”

            เอ่ยด้วยแววตาสำนึกบุญคุณ

            นายแพทย์ลอบถอนใจสายตาเหลือบมองผู้ชาย ‘อีกคน’ ที่ยืนอยู่ไกล ๆ คล้ายน้ำท่วมปาก

            “ไม่เป็นไร ผมขอเข้าห้องผ่าตัดก่อนนะ”

            “ครับ...ขอบคุณมากครับหมอ...ฝากลูกสาวผมด้วย”

            น้ำเสียงคนเป็นพ่อตื้นตัน แววตาเต็มไปด้วยความหวัง

            คุณหมอพยักหน้ารับ...ก่อนเข้าห้องผ่าตัด หางตายังเห็นชายหนุ่มผมยาวแอบหลบมุมไกล ๆ ความห่วงใยของเขาชัดเจนจนรู้สึกได้



            ประตูห้องผ่าตัดปิดสนิท สองพ่อลูกหาเก้าอี้ยาวใกล้ ๆ นั่งรอ พรไพลินรายงานผลการตรวจน้องสาวให้พ่อฟังสั้น ๆ ก่อนปิดท้าย

            “หมอบอกว่าน่าจะใช้เวลาผ่าตัดประมาณหนึ่งถึงสามชั่วโมง ถ้าพ่อมีงานด่วนเข้ามาจะไปก่อนก็ได้นะคะ ทางนี้พรดูแลเอง”

            “ไม่เป็นไร งานพ่อเรียบร้อยแล้ว ไม่นานคงออกข่าวใหญ่”

            พรไพลินเปิดเช็คข่าวในมือถือก่อนบอกว่า

            “ข่าวออกแล้วค่ะ”

            “หือ เร็วขนาดนั้นเชียว” ดาบตำรวจพนาก้มมองข่าวในโทรศัพท์บุตรสาว

            พาดหัวข่าว จับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่

            เนื้อข่าวบอกถึงการประชุมผู้ค้ายาเสพติดระดับภูมิภาคเอเชีย โดยมีการนำยารุ่นใหม่ ๆ มาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน งานนี้ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุมได้ของกลางเป็นยาเสพติดจำนวนมาก ล็อตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

            แถลงข่าวจับกุมบอกแค่ชนิดและจำนวนยาเสพติด ไม่พูดถึงตัวแทนผู้ค้ายาฯ ประเทศต่าง ๆ ไม่บอกเบื้องหลังแผนการจับกุมใด ๆ ให้สื่อมวลชนทราบ

            พอเห็นข่าวเช่นนั้นนายตำรวจอาวุโสค่อยโล่งอก เบื้องหลังการทำงานครั้งนี้ผ่านการวางแผน ทำงานรอบคอบ ประสานงานทุกหน่วยรัดกุม ผู้ควบคุมสั่งการเป็นระบบจนงานสำเร็จตามเป้าหมาย...บางส่วน!

            แผนการเริ่มต้นเมื่อดาบตำรวจพนาให้ข้อมูลว่า ระหว่างตนลอบติดตามความเคลื่อนไหวพลเทพเงียบ ๆ ได้ ‘ข่าวพิเศษ’ จากสายไว้ใจได้ว่า เจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายนี้จะมีรอบการประชุม แลกเปลี่ยนสินค้าทุกปี นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะจัดการกวาดล้างครั้งใหญ่

            จากนั้นนายตำรวจระดับมันสมองก็ร่วมวางแผนปฏิบัติการ ขอความร่วมมือกับหน่วยงานเกี่ยวข้องจากประเทศต่าง ๆ จนได้ข้อมูลมากที่สุด แล้วส่งคนเข้าแทรกซึมขบวนการจนทราบวัน เวลา สถานที่ชัดเจนไม่คลาดเคลื่อน แต่ก็ยังแสร้งติดตามพลเทพ เจ้าพ่อค้ายาฯของไทย ทำเป็นหลงกลผิดพลาด เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่เปลี่ยนสถานที่ประชุมในนาทีสุดท้าย

            เมื่อปฏิบัติการจริง เกิดการต่อสู้ปะทะ ฝ่ายตำรวจบาดเจ็บ กลุ่มผู้ค้ายาหลายรายถูกวิสามัญ ตัวแทนบางประเทศถูกจับกุม เตรียมส่งตัวไปดำเนินคดีประเทศตัวเองเงียบ ๆ ตามคำร้องขอของประเทศนั้น ๆ ตัวแทนบางประเทศหลุดรอด ทิ้งลูกน้องให้รับกรรมแทน

            ส่วนพลเทพ...ถูกยิงตกน้ำขณะขึ้นเรือหลบหนี ตำรวจพยายามตามหาตลอดทั้งคืนไม่พบร่องรอย ทำได้แค่ส่งกำลังเข้าตรวจค้นคฤหาสน์ที่พัก และบริษัททำธุรกิจบังหน้า

            เชื่อว่าถ้าสืบพบได้หลักฐานมั่นคง แน่นหนามากพอคงมีการประกาศข่าว ออกหมายจับนายพลเทพในเวลาไม่นานนัก

            งานไล่ล่าจับกุมยังดำเนินต่อ...สำหรับดาบตำรวจพนา เชื่อว่าต่อให้เจ้าพ่อใหญ่หลุดรอด หนีออกนอกประเทศสำเร็จก็คงไม่มีปัญญาทำร้ายใครได้ เพราะทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดถูกอายัด ลูกน้องแตกสานซ่านเซ็นหนีเอาตัวรอด ไม่มีใครเหลือ อำนาจบารมีหมดสิ้น ถ้าไม่ถูกจับใช้ชีวิตบั้นปลายในคุก ก็อาจถูกวิสามัญเป็นศพที่ใดที่หนึ่ง อย่างดีสุดอาจหลบซ่อนตัวจนวันตายเป็นตาแก่สิ้นเรี่ยวแรงไม่มีใครเหลียวแล

            นั่นเป็นสิ่งที่ตนพอใจแล้ว

            เขาปิดโทรศัพท์ส่วนตัวจนถึงเช้า หลังเสร็จภารกิจค่อยเปิดมาพบว่ามีสายจากนายแพทย์ดนัย พอโทรกลับจึงได้รับข่าวดีแล้วรีบมาโรงพยาบาลทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

            บัวบุษรากำลังได้รับการเปลี่ยนกระจกตา กลับมามองเห็นอีกครั้ง...หนึ่งในคนที่มีส่วนให้เธอทรมานอยู่สองปีก็ถูกเวรกรรมไล่ล่า...กรรมดี กรรมชั่วต่างส่งผลทำงานตนเองโดยยุติธรรม



            ระหว่างรอการผ่าตัด สองพ่อลูกไม่อาจทราบเลยว่านอกจากพวกตน ยังมีชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ไม่ไกล ความกระสับกระส่ายห่วงใยฉายในแววตา สองมือบีบแน่นเอาใจช่วยหญิงสาวให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้

            เวลาผ่านไปจนกระทั่งประตูห้องผ่าตัดเปิดออก นายแพทย์ดนัยบอกผลการผ่าตัดแก่ครอบครัว ได้ยินเสียงถอนใจโล่งอก รอยยิ้มผลิบานบนใบหน้าพวกเขา ชายหนุ่มคนนั้นค่อยมีรอยยิ้มตาม เป็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าฟกช้ำ บาดแผลตรงปลายคาง และดวงตากำลังเศร้าโศกเหลือเกิน




--------------- ------------ --------------




            “คุณหมอครับ ผมมีเรื่องขอร้อง”

            พนาตามนายแพทย์มาจนถึงหน้าห้องพัก เอ่ยปากเมื่อเห็นปลอดคนพอจะคุยเรื่องสำคัญส่วนตัว

            “จะให้ผมช่วยอะไร”

            “ช่วยบอกได้มั้ยว่าผู้มอบดวงตาให้ลูกสาวผมเป็นใคร”

            “คุณไม่ควรรู้หรอก” หมอบอกสั้น ๆ

            “ทำไมล่ะครับ มันเป็นกระจกตาที่...เอ่อ...” นายตำรวจอาวุโสไม่กล้าพูดคำว่า ‘ผิดกฎหมาย’

            “มันไม่ได้เป็นไปตามคิว...จะว่าอย่างนั้นก็ได้” คุณหมอตอบปัด ๆ ต้องการยุติการสนทนาโดยเร็ว

            “ผมขอร้องล่ะหมอ...ขอให้ผมมีโอกาสขอบคุณเขา ขอบคุณครอบครัวเขาที่เปิดโอกาสให้ลูกสาวผมเห็นแสงสว่างอีกครั้ง”

            “คุณไม่รู้จะดีกว่า” เสียงอ่อนลง

            “ขอร้องละหมอ...ถึงยังไงผมก็อยากรู้ อยากขอบคุณเขา...ขอบคุณครอบครัวที่เปิดโอกาสให้ลูกสาวผมเห็นแสงว่างอีกครั้ง”

            “คุณไม่รู้จะดีกว่า” เสียงอ่อนลง

            “ถึงมันจะไม่ถูกต้องนัก...แต่ขอแค่ได้ไปกราบศพห่าง ๆ บอกต่อดวงวิญญาณเขาเงียบ ๆ ยังดี ผมจะไม่ถามหมอเลยว่าได้กระจกตามายังไง ไม่ถามเหตุผลที่เขาเสียสละของสำคัญนี้มาให้ แค่อยากให้เขารู้ว่าสิ่งนี้มีคุณค่าต่อครอบครัวเรามากมายขนาดไหน”

            นายแพทย์ดนัยอึ้งสบดวงตาวิงวอนด้วยความลำบากใจ ชายกลางคนตรงหน้ามีความสำนึกบุญคุณเต็มแววตายากตัดรอน



            “บอกไปก็ได้ครับหมอ” เสียงจากบุคคลที่สามดังขึ้น

            ชายร่างสูงผมยาว ใบหน้ามีริ้วรอยฟกช้ำ ปลายคางแตกติดปลาสเตอร์ ดวงตาฉายรอยเศร้าเกินปกปิด นายตำรวจอาวุโสจำได้ว่าเป็นนักมวยร้านข้าวแกงยายปัน วิ่งออกกำลังกายผ่านหน้าบ้านทุกวัน

            “คุณเองเหรอ” เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มยินดีคาดไม่ถึง

            “ครับ...ผมชื่อขุนคีรี” เป็นครั้งแรกที่แนะนำตัว อีกฝ่ายเพิ่งรู้จักชื่อทั้งที่เห็นหน้ากันมาเกือบสองปี

            “ขุนคีรี...ขอบคุณมากจริง ๆ”

            “พ่อผมชื่อ...บุญชัย...เป็นเจ้าของกระจกตา...”

            รอยยิ้มชะงักค้างเมื่อชื่อนี้กระทบความทรงจำ...บุญชัย...พ่อเลี้ยงบุญชัย...หนึ่งในต้นเหตุทำร้านอาหารระเบิด

            ดาบตำรวจพนาคิดว่าอาจเป็นคนชื่อเหมือนกันก็ได้ ถ้าชายตรงหน้าไม่เอ่ยวาจาชัดเจน

            “พ่อเป็นคนสั่งทำให้ครัวร้านอาหารระเบิด...ผมต้องขอโทษแทนด้วยกับเรื่องผิดพลาดเลวร้ายที่เกิดขึ้น...ดวงตาที่ท่านมอบให้...ไม่อาจชดเชยเวลาสองปีที่เสียไป...แต่มันคือความจริงใจ แทนคำขออภัยทั้งหมดจากใจพวกเรา”

            แค่จบวาจา หมัดแรกของดาบตำรวจพนาก็ซัดเข้าใบหน้าชายหนุ่ม ตามด้วยหมัดสองเข้าลิ้นปี่ด้วยโทสะความเจ็บแค้นที่สะสมในใจมานาน

            หมัดสาม หมัดสี่อาจตามมาติด ๆ ถ้าคุณหมอที่ยืนด้านข้างไม่ส่งเสียงห้ามปรามก่อน

            “พอเถอะ! คุณไม่รู้หรือว่าขุนเจ็บปวด ลำบากขนาดไหนตลอดสองปี...พ่อเขาเพิ่งตายเมื่อคืน ทั้งที่ตัวเองเศร้าเสียใจขนาดนี้ ก็ยังอยากให้ลูกคุณมองเห็นเร็ว ๆ”

            ผู้สูงวัยกว่าหยุดยืนนิ่ง จ้องชายหนุ่มด้วยสายตายากอธิบาย ทั้งเจ็บแค้น ตื้นตันใจ...ตอบไม่ได้ควรฆ่าเขาหรือคุกเข่าขอบคุณดี

            “ไม่เป็นไรหรอกหมอ...ดาบพนาสามารถระบายความโกรธเกลียดใส่ผมเต็มที่...ต่อยจนตายก็ยอม แต่ขอร้องให้ความเกลียดชังทั้งหมดลงแค่ผม...แล้วกรุณา...ยกโทษ...อโหสิให้พ่อผมด้วย”

            ดวงตาเศร้ายิ่งกว่าเคยเศร้า เลือดแดง ๆ ไหลจากมุมปากเปื้อนปลาสเตอร์ปลายคาง ใครมองเห็นต้องใจอ่อนวูบ ไม่เว้นแม้แต่ผู้เคยคับแค้นจนไม่อยากอยู่ร่วมโลก

            “ได้...ขอบคุณสำหรับดวงตาที่มอบให้...เรา...เลิกแล้วต่อกัน”

            นายตำรวจอาวุโสพูดด้วยน้ำใจลูกผู้ชายแท้ เมื่ออีกฝ่ายสำนึกผิด ยินยอมขอโทษชดใช้ขนาดนี้...ไม่มีเหตุผลใดต้องผูกเวรแค้นเคืองต่อกัน

            สงสัยในใจเพียงอย่างเดียว...พ่อเลี้ยงผู้ทรงอิทธิพลเสียชีวิตด้วยเหตุใด



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP