สารส่องใจ Enlightenment

เมื่อจิตไม่ดี ชีวิตก็เสียเปล่า (ตอนที่ ๓)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย




เมื่อจิตไม่ดี ชีวิตก็เสียเปล่า (ตอนที่ ๑) (คลิก)
เมื่อจิตไม่ดี ชีวิตก็เสียเปล่า (ตอนที่ ๒) (คลิก)




ดวงจิตดวงนี้ก็เพราะมาอาศัยอยู่ในของไม่เที่ยงนี้แหละ
ต้องเพ่งดูพิจารณาดูรูปกายอันนี้ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย
พระองค์ทรงสั่งสอนให้พวกเรานั้นพิจารณาจนเกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่าย
ไม่ได้ทรงสั่งสอนให้มีความยินดีอยู่ในโลกอันนี้
ให้เข้าใจความหมายแห่งคำสอน
ถ้าบุคคลไม่เบื่อไม่หน่ายตราบใดแล้ว ผู้นั้นก็พ้นจากทุกข์ไปไม่ได้
ต้องเที่ยวมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่อย่างนี้แหละ
เที่ยวมาหวงสมบัติในโลกอันนี้ หวงไว้แล้วแต่เอาติดตัวไปไม่ได้
มันเป็นความหลงของดวงจิตต่างหาก
หวงในสิ่งที่ไม่เที่ยง หวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวของตน
อย่างนี้แล มันเป็นความหลงจริงๆ นะ
ลองพิจารณาดูว่าเมื่อตายแล้ว ตนก็เอาติดตัวไปไม่ได้แม้แต่น้อยเดียว
อย่าว่าแต่สมบัติภายนอกเลย แม้แต่ร่างกายทุกกระเบียดนิ้วก็ไม่ได้เอาติดตัวไป
และอย่างนี้แล้ว ทำไมถึงมาหลงกันนักหนา ทำไมจึงเมากันเกินประมาณ



ก็ควรมีสติเตือนใจตนเองเสมอไป
ก็เมื่อความจริงมันเป็นอยู่อย่างนี้ ทำไมเล่าเราจึงไม่เบื่อหน่าย
ที่มันไม่เบื่อหน่าย ก็เพราะว่ามันไม่ละราคะ ปลงกำหนัดยินดี
กิเลสตัวนี้สำคัญมากนะ ปล่อยให้ราคะครอบงำจิตใจเกิดความกำหนัดยินดีอย่างแรง
เมื่อมันกำหนัดยินดีมากเข้าไปแล้ว มันก็เห็นของไม่สวยงามว่าเป็นของสวยงาม
มันก็เห็นว่าของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนว่าเป็นของเที่ยงยั่งยืน
เมื่อราคะมันย้อมใจหนาแน่นเข้าไปแล้ว
มันเห็นขาวเป็นดำ เห็นดำเป็นขาวไป อย่างนี้นะ
เพราะฉะนั้นมันถึงได้คิด ถึงได้ข้องกันอย่างนี้



ถ้าผู้ใดบรรเทาราคะตัณหานี้ลงไป ออกไปจากจิตใจเราอย่างนี้
มันจะมองเห็นรูปเห็นนามต่างๆ หมู่นี้ ไม่น่ารักน่าใคร่ ไม่น่าพอใจอะไรเลย
เพราะว่ามองไปตรงไหนก็มีแต่ของไม่เที่ยง
ถ้าผ่านการประดับตกแต่งซะแล้วอย่างนี้ ยิ่งขี้เหร่เลย ยิ่งไม่มีอะไรสวยงาม
พอสวยงาม พอดูได้อยู่ เพราะอาศัยการประดับตกแต่งเท่านั้นเอง
พอเห็นการประดับตกแต่งเครื่องประดับต่ออะไรเข้าไปแล้ว
เอาแล้วเห็นเข้าแล้วสวยจัง เกิดความกำหนัดยินดีขึ้นมาแล้ว ก็อย่างนี้แหละ


คนหลงให้พิจารณาเอา แม้ตัวเองเป็นอย่างนั้น ตัวเองก็เป็นคนหลง
หลงในของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง หลงในของไม่สวยไม่งามว่าเป็นของสวยของงาม
เมื่อเราเพ่งพิจารณาดูด้วยปัญญาแล้ว มันไม่เห็นมีตรงไหนน่ารักน่าใคร่ น่ายินดีพอใจ
เครื่องประดับต่างๆ หมู่นี้ มันก็เป็นธาตุดิน มันไม่มีอะไร
แก้ว แหวน ทับทิมอะไรที่เขาว่าเป็นของมีค่ามหาศาล ที่จริงก็ธาตุดินนั่นแหละ
แต่มันเป็นธาตุอันประณีตเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าเอามาจากที่ไหนล่ะ
ทองคำธรรมชาติหมู่นั้น มันก็ธาตุดิน แต่มันเป็นธาตุอันประณีตเท่านั้นหรอก
เราพิจารณาอะไรให้มันลงไปถึงความจริงทุกอย่างได้อย่างนี้
มันก็ทำให้คลายความกำหนัดยินดีลงไปได้
ถึงจะไม่หมดก็เรียกว่าเบาบางลงไปจากจิตใจ


เราไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะว่าทุกคนตกเป็นทาสราคะตัณหามานับชาติไม่ถ้วน
แล้วก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้เลย เกิดมาในชาตินี้ก็ยังจะยอมตนเป็นทาสแห่งราคะตัณหาอีก
กิเลสเหล่านี้บังคับให้ทำงานทนฝนทนแดด หาเงินหาทอง สร้างบ้านสร้างเรือน
บางคนบุญน้อย เลยสร้างบ้านอันถาวรให้ตัวเองอยู่ก็ไม่ได้ ได้อยู่กระท่อมไป
หากินอย่างแสนยากแสนลำบาก
นี่ล่ะ โทษแห่งราคะตัณหาให้พิจารณาดู ไม่ได้สร้างบุญกุศลอะไร
บางคนบุญน้อยมัวแต่ไปทำมาหากิน
ถ้างดไปทำการทำงานวันไหน ก็อดแล้วในวันต่อไป
บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเกิดมาเสียเปล่าเกิดมาแล้วไม่ได้สร้างบุญกุศลความดีอะไร
มัวเมาประมาทตกเป็นทาสแห่งราคะตัณหา


ให้สังเกตดูซิ ผู้ครองเรือน โอกาสที่จะได้ทำความดีมีน้อยเต็มที
จิตใจก็มีแต่ฝักใฝ่อยู่ในความได้ความเสีย วิตกวิจารณ์อยู่แต่ความรวยความจน
คนรวยก็วิตกกลัวว่าสมบัติอันมหาศาลนี้มันจะสูญเสียไป ก็วิตกวิจารณ์อยู่นั่นแหละ
คนจนก็วิตกวิจารณ์ว่าอันนั้นก็ไม่มี อันนี้ก็ไม่มี เรานี้ล่ะจนเอาเสียจริงๆ
ชีวิตนี้นับว่าน้อยเต็มที นึกเท่าไหร่ก็น้อยเนื้อต่ำใจลงไป
บางคนก็ยิงลูกตายหมดแล้ว ก็ยิงตัวตายจากโลกนี้ไปเสีย
นั่นล่ะโทษแห่งราคะตัณหา เขาลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆ
ก็เพราะมันจนตรอก มันไม่มีอันจะกิน
คนอัดอั้นตันปัญญา คนมีบุญน้อย ฆ่าตัวเอง ฆ่าผู้อื่น
ไม่ใช่เป็นของสนุกสบายอะไร เป็นกรรมเป็นเวรติดตัวไป
เกิดไปชาติหน้าก็ไปฆ่าตัวเองตายอีกอยู่นั่นแหละ
นี้แหละ โทษแห่งราคะตัณหา พิจารณาดูให้ดี



ผู้ใดไม่เป็นทาสแห่งราคะตัณหาแล้ว ก็ค่อยยังชั่วหน่อย
เช่นไม่เป็นคนเจ้าชู้หลายใจ มีผัวเดียวเมียเดียว
ก้มหน้าทำการทำงาน ไม่ประพฤติตนเป็นนักเลงเจ้าชู้
นักเลงสุรา นักเลงเล่นการพนัน ไม่ไปเที่ยวคบคนชั่วเป็นมิตร
ตั้งหน้าทำการทำงานที่ตนชำนาญในหน้าที่การงานนั้นๆ
มันก็พอมีเงินทองข้าวของพอมาเลี้ยงตัวและครอบครัวได้
คนไม่มัวเมาในราคะตัณหาเกินขอบเขต มันเป็นอย่างนั้น
เมื่อมีเงินมีทองข้าวของเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้
เหลือใช้เหลือจ่าย มันก็ได้ทำบุญทำทาน
ได้รักษาศีล ได้เข้าวัดได้ทะนุบำรุงวัดศาสนา
ก็เป็นบุญบารมีติดสอยห้อยตามไป สะสมบุญบารมีเรื่อยไป



เกิดมาชาติหนึ่ง คนไม่หลง ไม่เมา มันเป็นอย่างนั้น
เกิดมาชาติหนึ่งก็สะสมบุญบารมี ให้เต็มความสามารถแล้วตายไป
บุญกุศลก็นำให้ไปเกิดในที่สุขสบายต่อไป
คนมัวเมาประมาทแล้ว อย่างว่านั้นแหละ ทนทุกข์
ยิ่งไม่ทำความดี ยิ่งไม่ทำบุญทำทาน
อาจจะว่าตนทนทุกข์ทนยากจนอยู่อย่างนั้น เลยไม่ได้ทำบุญทำทานเลย
ชีวิตในชาตินี้ก็เป็นโมฆะ หาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ตายไปเสียเปล่าๆ
นี่แหละ ชีวิตของบุคคลผู้มัวเมาประมาท มีแต่ตกต่ำเรื่อยไป
ดังแสดงมา



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๖ ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล
อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔. จัดพิมพ์โดยชมรมกัลยาณธรรม



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP