สารส่องใจ Enlightenment

ส่งเสริมบุญญาบารมี (ตอนที่ ๔)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒




ส่งเสริมบุญญาบารมี (ตอนที่ ๑) (คลิก)
ส่งเสริมบุญญาบารมี (ตอนที่ ๒) (คลิก)
ส่งเสริมบุญญาบารมี (ตอนที่ ๓) (คลิก)



อันนี้ก็เหมือนกัน เช่น เราวาดภาพว่าสวรรค์จะเป็นอย่างนั้น นรกจะเป็นอย่างนี้
นิพพานจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้น
นี่เป็นความจำจากตำรับตำราที่เรียนมา ตำรับตำรานั้นเป็นอย่างหนึ่ง
ความจริงที่เราได้ปฏิบัติเอง รู้เองเห็นเองว่ากิเลสประเภทใดเป็นอย่างไร
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มีลักษณะอย่างไร มีโทษอย่างไร
และวิธีละ ละอย่างไร พอเราละได้ด้วยตัวเองของเราเองไม่ว่ากิเลสประเภทใด
รู้คุณค่าแห่งการละกิเลสด้วยตัวเองประจักษ์ใจแล้ว นี่คือความจริง
หายสงสัย ว่าบาปเป็นอย่างไรก็หายสงสัย บุญเป็นอย่างไรก็หายสงสัย



เพราะบุญในความจำ บาปในความจำ นรกสวรรค์ในความจำ
พรหมโลกในความจำ นิพพานในความจำนั้น
ก็ไม่ผิดอะไรกับโลกเขาจำกันและวาดภาพลมๆ แล้งๆ กันเต็มหัวใจ
แต่ความจริงที่เราได้รู้เองเห็นเองนี้ผิดกันอยู่มากเทียบกันไม่ได้
เพราะเป็นสิ่งที่ประจักษ์ใจหายสงสัยโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับเราไปเห็นเมืองอุดรด้วยตาของเราเสียเองนั่นแล
กี่ร้อยกี่พันคนจะมาคัดค้านให้เราเห็นผิดพูดผิดจากความจริงนั้น
เราเห็นผิดพูดผิดไปไม่ได้ จะให้เราแปรสภาพความรู้ความเห็น
ตามที่เราเห็นจังหวัดอุดรเป็นอย่างไรแล้ว ให้เป็นอื่นนั้นเป็นไปไม่ได้
นอกจากจะให้เป็นไปตามที่เรารู้เราเห็นนั้นเท่านั้น
อันนี้เหมือนกัน ผู้ที่รู้จริงเห็นจริงในบาปในบุญนรกสวรรค์
ด้วยใจตัวเองจากภาคปฏิบัติแล้ว ไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความสงสัย
ใครจะมาคัดค้านต้านทานประการใด
ก็ไม่มีความสนใจที่จะไปสงสัยสนเท่ห์หรือเอนเอียง
หรือล้มละลายไปกับความเล่าลือในลมปากของเขา
เพราะนั้นเป็นเพียงความจำนี้เป็นความจริงเห็นด้วยใจ รู้ด้วยใจประจักษ์อยู่กับใจ



นี่แลพระพุทธเจ้าท่านสอนโลก ท่านไม่ได้สอนแบบเด็กเล่นตุ๊กตา
โดยสอนว่า เอ๊า ให้พากันทำบุญให้ทานนะเวลาตายแล้วจะได้ไปสวรรค์
แต่เวลานี้ยังไม่ได้บุญและความดีใดๆ ติดกายติดใจแหละ
คอยไปเอาสวรรค์โน่นทีเดียวนะดังนี้ ในโลกนี้ก็อะไรพาให้เกิดทุกข์เวลานี้
ยังไม่ไปถึงนรกหัวใจก็เป็นฟืนเป็นไฟอยู่แล้ว ร่างกายก็เป็นฟืนเป็นไฟ
เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันทุกข์ขนาดไหนก็เป็นฟืนเป็นไฟให้เห็นอยู่แล้ว
เวลาไปนรกมันก็ยิ่งจะเพิ่มขึ้นไปอีก เราก็รู้อยู่แล้วในโลกนี้ในกายในใจนี้
ทีนี้บุญคือความสุขความสบายที่มีอยู่ในจิตใจ
เพราะการสร้างบุญมีจิตตภาวนา เป็นต้น
เราก็รู้อยู่ที่ใจนี้อยู่แล้ว เมื่อประจักษ์อยู่กับตัวแล้วเราจะสงสัยที่ไหน
เห็นได้ชัด รู้ได้ชัดที่ใจนี่เอง



พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนลงที่ใจ เพราะใจเป็นภาชนะที่สำคัญ
ใจเป็นภาชนะที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับธรรมทุกขั้นทุกภูมิ จนถึงวิมุตติธรรม
จะไม่นอกเหนือไปจากใจเป็นผู้รู้ผู้ทรงไว้
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจให้ดี เมื่ออบรมจิตใจให้ดีอยู่เสมอๆ
ก็เท่ากับเราผลิตคุณภาพอันดีงามตามขั้นตามภูมิเข้าสู่จิตใจ
หรือผลิตคุณภาพอันเลิศประเสริฐเข้าสู่จิตใจจนเต็มภูมิแล้ว
ใจดวงนั้นก็เป็นใจมรรคใจผลใจนิพพาน
เป็นใจที่ทรงคุณค่ามหาศาล เป็นดวงใจที่ประเสริฐ
มีชีวิตอยู่ก็รู้อยู่อย่างชัดเจนภายในจิต
การระบายหรือแสดงออกก็เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ผู้เกี่ยวข้องไม่มีประมาณ



ตรงกันข้ามกับผู้ที่ผลิตยาพิษเข้าสู่ใจ
ซึ่งเปรียบเหมือนกับระเบิดที่เขาบรรจุสิ่งที่เป็นพิษเข้าไว้ในตัวของมัน
ลงตูมเดียวเท่านั้นก็พินาศไปหมดแล้ว กำลังสะท้อนกำลังแรงของระเบิดก็เป็นภัย
พิษของมันก็เป็นภัย เสียงของมันก็เป็นภัย สีแสงของมันก็เป็นภัย
เพราะพิษภัยมีหลายประเภทที่เขาบรรจุอยู่ในตัวระเบิดนั้น
ทีนี้จิตมันก็มีหลายประเภทที่เป็นพิษ พิษที่เป็นมาจากความโลภก็มี
เป็นมาจากความโกรธก็มี เป็นมาจากความหลงก็มี
เป็นมาจากราคะตัณหาก็มี เป็นมาจากความรัก ความชัง
ความเกลียด ความโกรธ ร้อยแปดพันประการภัยมีทั้งนั้น
ใจจึงถูกแต่ยาพิษชนิดต่างๆ แผดเผาไม่มีกาลสถานที่อิริยาบถ
จะไม่เรียกว่ากองทุกข์ คลังทุกข์ได้อย่างไร
เพราะทุกข์ทั้งมวลกองอยู่ที่ใจดวงเดียวนั้น



อะไรเล่าจะสามารถดับทุกข์สมุทัยในหัวใจได้นอกจากธรรม
มีธรรมอย่างเดียวสามารถดับทุกข์ทางใจได้
สิ่งทั้งหลายในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่ใช่ยารักษาใจให้หายทุกข์ได้
พระพุทธเจ้ากี่พระองค์มาสอนโลกก็นำธรรมมาสอน มิได้นำสิ่งอื่นใดมาสอน
เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เครื่องดับทุกข์ในหัวใจสัตว์ มีธรรมอย่างเดียว
แม้จะมีเงินมีทองกองเท่าภูเขา ก็เป็นกองเงินกองทองกองภูเขาเฉยๆ
ไม่ใช่กองความสุขความเจริญที่จะมาพยุงจิตใจให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้เลย
นอกจากธรรมเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นเป็นปัจจัยเพียงอาศัยไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น
จะเอามาเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นความสุขความเจริญแก่ใจ
อย่างแท้จริงเหมือนธรรมคือบุญกุศลย่อมไม่ได้



การกล่าวทั้งนี้ไม่ได้ประมาทเรื่องโลกามิส สมบัติเงินทองข้าวของ
ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกอาศัยทั่วหน้ากันไปตามกาลตามเวลาที่ธาตุขันธ์ยังมีชีวิตแต่อย่างใด
แต่กล่าวให้เห็นสารคุณที่มีความแตกต่างกันต่างหาก
ระหว่างสมบัติภายนอกกับสมบัติภายใน คืออาหารกายกับอาหารใจ
และเพื่อไม่ให้ลืมตัวทั้งสมบัติภายนอกทั้งสมบัติภายใน
ใจเป็นสิ่งสำคัญมาก ใจอยู่ได้ด้วยอาหารของใจคือธรรม
ร่างกายก็อยู่ได้ด้วยอาหารของกายคือวัตถุหยาบ
เป็นเครื่องเยียวยาปรนปรืออยู่เสมอถึงอยู่มาได้ตลอดทุกวันนี้
จิตใจถ้าจะมีแต่ยาพิษเผาผลาญอยู่ตลอดเวลาจะทรงตัวได้ยังไง
มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายส่ายแส่ ทุกอิริยาบถมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาจิตใจ
ไม่มีความร่มเย็นเป็นสุขด้วยอำนาจแห่งคุณงามความดี
สมาธิภาวนาบำรุงส่งเสริมอยู่บ้างเลยแล้ว
ใจต้องเดือดร้อนหาที่ปลงวางไม่ได้คนเรา



จิตก็ให้เป็นสาระทางจิต อาหารของจิตก็ให้มีคือคุณงามความดี
เราจะสร้างด้วยวิธีใด เช่น การให้ทาน รักษาศีล ภาวนา
เป็นการสร้างความดีและเป็นการขวนขวายอาหารเข้าสู่ใจเรา
การเสาะแสวงหาสมบัติเงินทองข้าวของในการอาชีพ
นั่นก็เป็นความจำเป็นสำหรับอาหารของร่างกาย
ใจได้อาศัยบ้างเล็กน้อย เพราะใจเป็นนามธรรม สิ่งเหล่านั้นเป็นวัตถุ
ใจจึงสมควรแก่บุญแก่กุศลแก่คุณงามความดีซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ผู้ไม่ประมาทจึงต้องไม่ประมาททั้งทางร่างกายและด้านจิตใจ
คือไม่มองข้ามจิตใจ โดยไปเห็นแก่ร่างกายเป็นสำคัญมากกว่า
เช่น มองด้านวัตถุมากกว่าด้านนามธรรม ย่อมเป็นการเผลอตัวมองข้ามจิตใจ
ใจซึ่งควรจะได้รับการบำรุงรักษาด้วยอาหารที่ถูกต้องคือธรรม
ให้มีความสุขความเจริญแต่ไม่ขวนขวาย
นั่นชื่อว่ามีแต่ร่างกายเป็นใหญ่และมองแต่ทางกาย ทางใจถูกทอดทิ้งไม่เหลียวแล
เวลาเกิดทุกข์ขึ้นมาก็คือเรานั่นแลเป็นทุกข์
เพราะกายกับใจอาศัยกันอยู่ด้วยกันที่ควรดูแลให้ทั่วถึงและสม่ำเสมอกัน



เวลาตายแล้วร่างกายก็แปรสภาพลงไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ
จิตใจที่ไม่ตายไปก่อกำเนิดเกิดที่ไหน ก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน
เพราะไม่มีอาหารของใจเป็นเครื่องเสวย
เพราะตนไม่ได้สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อเวลามีชีวิตอยู่
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนให้บำเพ็ญคุณงามความดี
เพื่อเป็นอาหารของใจทั้งปัจจุบันและอนาคตไม่มีที่สิ้นสุด
จนกระทั่งถึงวิมุตติพระนิพพาน
จะปราศจากคุณงามความดีอันเป็นอาหารของใจโดยเฉพาะไปไม่ได้
ทางที่ถูกและสม่ำเสมอ ทางร่างกายก็วิ่งเต้นขวนขวายหามาบำรุงรักษา
เพราะโลกธาตุขันธ์นี้มีความบกพร่องต้องการอยู่เสมอ
ไม่ได้อยู่ได้กินก็อยู่ไม่ได้ ไม่ได้หลับได้นอนก็อยู่ไม่ได้
ไม่ได้พักผ่อนนอนหลับบ้างก็อยู่ไม่ได้
ต้องเยียวยารักษากันด้วยวัตถุต่างๆ ด้วยอาการต่างๆ อยู่เป็นประจำ
จิตใจก็ต้องได้เยียวยารักษาด้วยธรรมเครื่องบำรุงอันดีงาม
เมื่อพร้อมกันอย่างนี้แล้วอยู่ในโลกนี้เราก็เป็นสุข
ไปโลกหน้าโลกไหนเราก็มีความสุข
เพราะอาหารของใจคือคุณงามความดีได้บำเพ็ญเป็นที่เพียงพอภายในใจอยู่แล้ว



(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา https://bit.ly/368fw9m


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP