สารส่องใจ Enlightenment

ส่งเสริมบุญญาบารมี (ตอนที่ ๓)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒




ส่งเสริมบุญญาบารมี (ตอนที่ ๑) (คลิก)
ส่งเสริมบุญญาบารมี (ตอนที่ ๒) (คลิก)



ทุกข์เกิดมากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนติ้วเข้าสู่ความจริง
ไม่ยอมให้ถอยหลังเป็นอันขาด ตายก็เอาดาบหน้า ขึ้นชื่อว่าถอยหลังไม่ให้มี
แม้ที่สุดสลบล้มลงไปก็ยอมให้ล้มเพราะสุดวิสัย
สติสตังประคองไม่มี แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมาจะรีบนั่งทันที
ต่อสู้กับทุกขเวทนานี้จนกระทั่งถึงเวลาที่กำหนดไว้เป็นอย่างน้อย
สว่างเป็นวันใหม่ขึ้นมาค่อยลุกจากที่ ตามที่ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้
การตั้งสัจจะอธิษฐานนั้นมีสองอย่าง
คือ ตั้งอธิษฐานในขณะเริ่มต่อสู้กับทุกขเวทนาหนึ่ง
ได้ตั้งอธิษฐานไว้ก่อนว่าจะนั่งภาวนาจนถึงสว่างวันรุ่งขึ้นจึงจะลุกจากที่หนึ่ง



สติปัญญาแข็งแกร่งเวลานั้นเพราะไม่มีที่พึ่ง
จะพึ่งเวล่ำเวลาก็สว่างโน่นถึงจะออกได้ จะพึ่งอะไรก็พึ่งไม่ได้เวลานั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นสติปัญญาก็ต้องช่วยตัวเอง
ขุดค้นลงให้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนในหลักความจริง
เช่น ทุกข์กับกาย แยกกันออกดูจิตกับเวทนากับกาย แยกกันออกเป็นสัดส่วน
จนเห็นประจักษ์ภายในใจจริงๆ แล้วหนึ่ง
ทุกข์ภายในกายที่เหมือนกับร่างกายจะแตกอยู่เวลานั้น
ได้หายไปเหมือนกับปลิดทิ้งสอง แม้ร่างกายจะเป็นทุกข์อยู่ก็ตาม
แต่ระหว่างจิตกับทุกขเวทนานั้นไม่ยึดถือ ไม่สืบต่อซึ่งกันและกัน ไม่เกี่ยวโยงกัน
ไม่ประสับประสานกันเหมือนเวลาธรรมดาที่ไม่ได้พิจารณารู้เท่าทัน
ร่างกายกับจิตและทุกขเวทนาก็แยกกันเป็นความจริงแต่ละอย่างๆ
กายก็สักแต่ว่ากาย เป็นความจริงอันหนึ่ง
ทุกข์ก็สักแต่ว่าทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่ง
จิตก็สักแต่ว่าจิตเป็นความจริงอันหนึ่ง
เมื่อต่างอันต่างจริงประจักษ์ด้วยปัญญาที่พิจารณาโดยรอบแล้วนั้น
ต่างอันต่างก็ไม่กระทบกัน จะนั่งนานสักเท่าไรก็นั่งได้
แม้ทุกขเวทนาจะเกิดขึ้นขนาดตัวสั่นอยู่ก็ตาม จิตจะยิ้มอยู่ได้ตลอดเวลา
เพราะไม่สามารถซึมซาบเข้าถึงใจได้เลยเหมือนแต่ก่อนที่ยังไม่ได้พิจารณารอบตัว



นี่คืออุบายวิธีที่ท่านใช้ในแง่ที่สาม แง่นี้จะเป็นไปได้เฉพาะบางรายเท่านั้น
รายนี้ต้องเป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยวอาจหาญพร้อมด้วยสติปัญญา
ไม่ใช่จะนั่งทนทุกข์อยู่เฉยๆ โดยไม่พิจารณา นั้นไม่ใช่ทาง
ทุกข์เกิดมากน้อยต้องพิจารณาให้เห็นตามความจริง
หายหรือไม่หายไม่สำคัญ สำคัญที่ต้องให้รู้ตามความจริงด้วยสติปัญญา
ว่าทุกข์เป็นอย่างไรกันแน่ กายเป็นอย่างไรกันแน่
กายเป็นอย่างไรกันแน่ จิตเป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อจิตได้พิจารณาเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดเจนด้วยปัญญาแล้ว
ทั้งร่างกายส่วนต่างๆ ทั้งทุกขเวทนา ทั้งจิต
ก็ต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างอยู่ไม่กระทบกระเทือนกัน



นอกจากนั้นเรายังเห็นความอัศจรรย์ความแปลกประหลาด
ภายในจิตที่เด่นดวง อยู่เป็นเอกเทศอันหนึ่งจากทุกขเวทนา
และจากร่างกายส่วนต่างๆ ไม่คละเคล้าซึ่งกันและกันเลย
นี่เป็นความอัศจรรย์ที่ปัญญาสามารถตัดสิ่งเกี่ยวข้องทั้งหลาย
ออกจากใจได้ไม่ยึดมั่นถือมั่น
นอกจากความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว จิตยังแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์
ให้เจ้าของได้เห็นได้ชมอย่างภาคภูมิใจไม่มีวันลืม
ถ้าจิตไม่ก้าวขึ้นภูมิสูงยิ่งกว่าขั้นนั้นแล้วจะลืมไม่ได้เลย
เพราะเป็นธรรมอัศจรรย์ไม่เคยพบเคยประสบมาก่อน
นี่คือวิธีการพิจารณาทุกขเวทนา



นอกจากเราเห็นผลประจักษ์ เกิดความกล้าหาญชาญชัย
ต่อทุกขเวทนาทุกประเภทไม่สะทกสะท้านแล้ว
ยังประมวลเรื่องอนาคตที่จะเป็นไปในกาลข้างหน้า
เข้ามาสู่วงปัจจุบันได้อย่างอาจหาญด้วย
เช่น วาระสุดท้ายที่คนจะตายจะทุกข์มากขนาดไหน
ร่างกายนี้ก็จะก้าวเข้าสู่จุดนั้นเหมือนกันในวันเวลาหนึ่งแน่นอน
เมื่อถึงกาลนั้นจะทำอย่างไร ก็เมื่อทุกขเวทนาทั้งหลายได้ประมวลกันมา
ทราบอย่างชัดเจนด้วยปัญญาในขณะนี้อยู่แล้ว
ทุกขเวทนาในวาระสุดท้ายคือเวลาจะตายนั้น
จะเป็นทุกขเวทนาหน้าไหนมาหลอกลวงเราให้ลุ่มหลงไปตามเล่า
ไม่มีทางที่จะหลอกลวงเราได้
ต้องเป็นความจริงเต็มส่วน ดังที่เป็นจริงอยู่เวลานี้ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น
เพราะเป็นสัจธรรมคือความจริงล้วนๆ อันเดียวกัน
จิตมีความกล้าหาญทั้งขณะเป็นอยู่นี้ ทั้งขณะจะตายในกาลข้างหน้า
หรือจะตายในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีความสะทกสะท้าน
เพราะแยกระหว่างจิตกับกาย ระหว่างจิตกับเวทนาออกได้อย่างชัดเจนแล้ว
จิตเป็นของไม่ตายรู้ได้อย่างชัดๆ ประจักษ์ใจ



เอ๊า ถ้าแยกร่างกายลงไปว่าอันใดตาย ก็ไม่เห็นมีอะไรตาย
ซึ้งลงไปถึงธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ส่วนน้ำเป็นน้ำ ส่วนลมเป็นลม ส่วนไฟก็เป็นไฟ ส่วนดินก็เป็นดินไป
จากก้อนที่ผสมกันว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นเราเป็นเขา
เมื่อกระจายตัวลงไปสู่ธาตุเดิมของตนแล้ว ก็เป็นความจริงแห่งธาตุอยู่เท่านั้น
ไม่เห็นมีอะไรฉิบหายและตาย จิตผู้ที่กลัวตายเอามากๆ นั้นก็ไม่เห็นตาย
ยิ่งรู้เด่นรู้ชัดรู้ประจักษ์ตัวเองโดยไม่สงสัย
ยิ่งรู้ด้วยความผ่องใส ความสง่าผ่าเผย ความองอาจกล้าหาญ
เพราะสติปัญญาเป็นเครื่องบุกเบิกให้จิตแสดงตัวขึ้นมาอย่างเต็มที่
ตัดฟันสิ่งที่หุ้มห่อเกี่ยวข้องจิตออกได้โดยสิ้นเชิงเว้นอวิชชาค่อยพูดวาระต่อไป
นี่คือความอัศจรรย์ของนักภาวนาที่ต่อสู้ทุกขเวทนาด้วยสติปัญญา
ไม่ใช่ต่อสู้ด้วยนั่งคอยทุกข์หรือสู้ทุกข์อยู่เฉยๆ
แต่สู้ด้วยสติปัญญา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นพึ่งของตนนั้นมาเด่นชัดในวาระนี้



คนเราจึงไม่ใช่จะโง่อยู่ตลอดไป
เมื่อถึงคราวจนตรอกจนมุมแล้วต้องพยายามช่วยตัวเองจนได้
ใครอยากจะล่มจมฉิบหายและตายแบบสิ้นท่าเล่า ต้องช่วยตัวเอง
นี่เป็นเรื่องของจิตที่เกี่ยวกับเรื่องการนั่งได้นานนั่งด้วยเหตุนี้
จัดเป็นประการที่สาม



ทีนี้เมื่อได้เห็นผลจากการนั่งประเภทนี้แล้วก็เป็นเหตุให้ทำเรื่อยๆ
ทีนี้นั่งธรรมดาๆ ไม่ถึงกับนั่งตลอดรุ่งก็ได้สามสี่ชั่วโมง
ไม่เห็นมีเหน็ดเหนื่อยปวดขบอะไร เป็นธรรมดาๆ เพราะความเคยชินหนึ่ง
เพราะจิตมีความเคยชินต่อการประพฤติปฏิบัติและรู้อรรถรู้ธรรม
เพลิดเพลินในธรรม มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีธรรมเป็นเครื่องอาศัย
ยิ่งกว่าจะมาพึ่งร่างกายอันนี้หนึ่ง ใจจึงเป็นตัวของตัว นั่งเป็นเวลาธรรมดาเรานี้ก็ได้
ขนาดสามสี่ชั่วโมงไม่เห็นมีความทุกข์อะไรปรากฏขึ้นมา
พอที่จะเป็นการรบกวนจิตใจเลย เป็นธรรมดา นี่มันมีหลายขั้น
ขั้นที่สามเป็นขั้นสำคัญที่จะรู้เหตุรู้ผลของความเป็นความตาย
รู้ความทุกข์ความลำบากหนักเบามากน้อย
รู้ด้วยสติปัญญาแล้วแจ่มแจ้งยิ่งกว่ารู้ด้วยความจดความจำ



เพราะความจำกับความจริงนั้นต่างกันมาก จะยกข้อเปรียบเทียบให้ฟัง
สมมุติว่าในประเทศไทยเรา เช่นเขาว่าเมืองอุดรเป็นอย่างนั้นๆ
เราไปเห็นเมืองอุดรเป็นอย่างนั้นๆ
ผู้ที่ไม่เคยเห็นจังหวัดอุดรจะต้องวาดภาพขึ้นทันทีทันใด
ว่าจังหวัดอุดรต้องเป็นอย่างนั้นๆ เป็นภาพขึ้นมา
อันนั้นเป็นความสำคัญมั่นหมายหลอกต่างหาก ไม่ใช่ความจริง
เป็นความจำเพราะคนอื่นเล่าให้ฟัง แล้วก็วาดภาพขึ้นมาหลอกลวงตนเอง
นี่เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องใดบุคคลใด
ภาพของเรื่องนั้นบุคคลนั้น บ้านนั้นเมืองนั้น จะแสดงขึ้นมาทันที
นี่เป็นภาพตามสัญญาอารมณ์ที่เคยตัวประจำจิต
ต้องวาดขึ้นมาจนได้ จึงไม่เรียกว่าความจริง
ทีนี้พอเราได้เดินทางมาถึงจังหวัดอุดรจริงๆ
และเดินไปตามซอกตามซอย ถนนสายต่างๆ จนตลอดทั่วถึงแล้ว
ภาพที่เราเคยวาดไว้นั้นมันก็ล้มละลายหายไปเอง
เหลือแต่ภาพแห่งความจริงที่เห็นด้วยตานี้เด่นชัดภายในจิตใจ



(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา https://bit.ly/368fw9m


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP