ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เมื่อต้องสูญเสียบุคคลที่เคารพรัก จะเยียวยาจิตใจด้วยธรรมะได้อย่างไร



ถาม – ดิฉันศึกษาพระพุทธศาสนาตั้งแต่เป็นเด็ก
ที่ผ่านมาคิดว่าตัวเองมีความรู้ความเข้าใจในธรรมะดีพอสมควร
จนเมื่อประมาณสองปีก่อน สามีเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน
ในตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองมีสติ จัดการทุกอย่าง ดูแลทั้งคุณแม่และลูกอย่างเรียบร้อย
แล้วก็พยายามหาครูบาอาจารย์ เพื่อที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้มากขึ้นกว่าเดิม
จนกระทั่งเกือบปีที่ผ่านมาได้พบพระอาจารย์ท่านหนึ่ง
ซึ่งท่านเมตตาสอนธรรมะให้อย่างสม่ำเสมอ จนดิฉันรู้สึกว่ามีที่พึ่ง

แต่แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนท่านก็มามรณภาพอย่างกะทันหัน
ตอนนี้ดิฉันรู้สึกเหมือนหมดแรง เสียศูนย์ จิตใจพังพินาศไปหมดสิ้น
จึงอยากถามว่าทำอย่างไรจึงจะกลับมาเริ่มต้นตั้งหลักทางธรรมได้อีกครั้งคะ


อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมเจอมาเยอะนะ แม้แต่คนใกล้ตัวบางคน
คือ ศึกษาธรรมะที่เข้าใจว่าเป็นธรรมะขั้นสูงมาตั้งแต่หนุ่มๆ
แต่พอวันหนึ่งคู่ชีวิตจากไป พูดออกมาเองเลยว่าที่เข้าใจมาว่าศึกษาธรรมะ
แล้วก็มีธรรมะมาตลอด แล้วก็ภูมิใจในธรรมะของตัวเองมาตลอด
จริงๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
บางทีคนเราจะรู้ว่าตัวเองมีธรรมะติดตั้งอยู่ในใจแข็งแรงแค่ไหน
หรือว่ามีความมั่นคงแน่นหนาแค่ไหน
มักจะพิสูจน์กันด้วยการสูญเสียอะไรบางอย่างที่เรายึดมั่นถือมั่นไปอย่างที่สุด



เพราะฉะนั้นจริงๆ ณ จุดนี้ ผมไม่อยากให้มองว่าเราไม่เอาไหน
หรือว่าเราจะต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ที่ตรงไหน
อยากให้มองตรงนี้มากกว่าว่ามันมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต
ที่ชีวิตบอกเราว่าธรรมะที่แท้จริง
มันไม่ใช่ธรรมะอันเกิดจากการที่เราอยู่สบายอยู่ดี แล้วมันมีแต่อะไรที่น่าพอใจ
ธรรมะที่แท้จริงมันมาทีเผลอ ธรรมะมาตอนที่เราไม่ได้นึกว่าจะต้องเสียอะไรที่มีอยู่ไป
แล้ววันหนึ่งมันเกิดการสูญเสียขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูญเสียสิ่งที่เป็นที่รักอย่างที่สุด สิ่งที่เรายึดมั่นอย่างที่สุด
ตอนนั้นชีวิตจะบอกเราว่าธรรมะที่เราศึกษามาตลอดหรือว่ามีมาตลอด
มันอยู่ตรงไหนในความเป็นเรา ความเป็นเราที่ยังมีใจดิ้นได้ ยังมีอาการเสียศูนย์ได้



ตรงนั้นเป็นส่วนที่มันยังมีความยึดมั่นถือมั่นที่แสดงตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
มันก็เป็นธรรมะชนิดหนึ่ง ธรรมะที่แสดงว่า
อกุศลธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ ณ ขณะจิตที่ยังยึดมั่นถือมั่น

คำว่ายึดมั่นถือมั่น ที่เราพูดมาตลอด ที่เราเข้าใจมาตลอด
ที่มันเป็นคำแบนๆ สองมิติ มีแต่กว้างกับยาว

คราวนี้มันจะมี ๓ มิติ มีกว้างยาวลึก
มันจะมีของจริงที่มันปรากฏประจักษ์ใจ แบบไม่ต้องควานหาที่ไหน
ตรงนี้มันก็เป็นธรรมะ ธรรมะแห่งการสูญเสีย
ธรรมะแห่งการแสดงหลักฐานว่ายังมีความยึดมั่นให้ดู
ซึ่งเราไม่ต้องไปนับหนึ่งใหม่นะ เราต่อยอดจากที่มีอยู่แล้วนั่นแหละ
ตรงความยึดมั่นถือมั่นที่มันเกิดขึ้นอย่างชัดเจน

ที่มันแสดงตัวออกมาในรูปของความเสียใจ ในรูปของความรู้สึกเสียศูนย์
ในรูปของความรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก
ตรงนี้เรียกว่าอะไร เรียกว่าอกุศลจิต


เดิมทีเรารู้จักแต่คำว่าอกุศลจิต อันเกิดจากการโกรธคนอื่น
หรือว่าอกุศลจิต อันเกิดจากการฟุ้งซ่านในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
คราวนี้เป็นอกุศลจิตที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
หรือสูญเสียบุคคลอันเป็นที่ตั้งของความยึดมั่น
ว่าท่านเป็นที่พึ่งหรือว่าเป็นเครื่องตั้งของความรู้สึกทางธรรม
ที่เรานึกว่านั่นน่ะมันเป็นธรรมะแล้ว
จริงๆ แล้วเป็นบุคคลที่เป็นเครื่องตั้งของความรู้สึกว่าเรามีที่พึ่งต่างหาก
ทีนี้พอมองออกว่าที่ชีวิตกำลังแสดงให้เราเห็น
เรียกว่าอกุศลจิต อันเกิดจากการยึดมั่นถือมั่นแล้วเสียสิ่งที่ยึดไป
สิ่งที่เหลือคืออะไร คือความพัง คือความพินาศ คือความวิบัติทางอารมณ์
จิตเจ๊งนะ กลายเป็นเหมือนกับมีหลุมดำขึ้นมากลางชีวิต
แล้วก็ดูดความสว่างทั้งหมดของเรา หายเข้าไปในหลุมดำนั้น



พอเห็นอย่างนี้ เห็นด้วยความรู้สึกธรรมดาๆ
เห็นด้วยความรู้สึกว่ามีสติแบบคนคนหนึ่งที่มันยังมีแบบนี้ได้
มันก็รู้สึกว่านี่คืออกุศลจิต ณ ขณะหนึ่ง ซึ่งมันอยู่ได้นานแค่ไหน
นานจนกระทั่ง นี่เรามาคุยกัน อย่างตอนนี้ถ้าคุณดูใจตัวเอง
มันจะรู้สึกว่าหลุมดำที่มันเป็นหลุมเบ้อเริ่มเลย ที่มันเหมือนกับหล่ม หล่มขนาดยักษ์
แรงดึงดูดมันน้อยลง เพราะมีการปรุงแต่งทางจิตใหม่ให้เป็นกุศลขึ้นมาแทนที่
นี่เรากำลังเห็นภาวะที่เรียกว่า กุศลจิต
เห็นไหมภาวะอกุศลจิตมันหายไป หรือค่อยๆ เสื่อม ค่อยๆ ถอยลง
กลายมาเป็นภาวะอีกแบบหนึ่งที่เป็นขั้วตรงข้าม จากอกุศลกลายเป็นกุศล

จากคำแบนๆ ในหน้ากระดาษที่เราเคยได้ยินมาตลอดชีวิตว่ากุศล อกุศล
คราวนี้มาเป็นภาวะของจริงที่มันเป็นชีวิตทั้งชีวิตที่กำลังกระแทกเราให้เกิดการรับรู้
พอรู้ว่านี่เป็นกุศลแล้วเกิดอะไรต่อ เดี๋ยวพอไม่ได้คุยกัน มันกลับมาเศร้าอีกไหม
ถ้ากลับมาเศร้าอีก ยอมรับไปว่าอกุศลมาอีกแล้วมาแทนที่อีกแล้ว
พอรู้ว่านั่นเป็นอกุศล มีความเศร้า จะเกิดความรู้สึกอยากร้องไห้
หรืออยากจะดิ้นรนอย่างไรแค่ไหน
ก็ยอมรับไปว่าเป็นสภาพอกุศลที่มันเกิดขึ้นมาอีก
แล้วเดี๋ยวมันก็ถูกปรุงแต่งด้วยสติให้กลับมาเป็นกุศลขึ้นมาอีก



จำไว้นะทุกครั้งที่เกิดอกุศลจิต แล้วมีสติรู้ว่าอกุศลจิตเกิดขึ้น
มันจะถูกแทนที่ด้วยกุศลจิตทันที

เพราะตัวสตินั่นแหละ ตัวสติที่รู้อกุศลนั่นแหละ มันคือกุศลที่มาแทนที่แล้ว
และยิ่งเกิดบ่อยขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเราเห็นของจริงชัดเจนขึ้นเท่าไหร่
เรายิ่งต้องขอบคุณที่ธรรมะมาแสดง ที่ชีวิตมาโชว์ให้ดูว่าของจริงมันเป็นแบบนี้
เรากราบขอบพระคุณท่านทุกครั้ง
ที่เราเห็นภาวะความเศร้าของตัวเองเปลี่ยนไปเป็นกุศลจิตขึ้นมาแทน
อย่างนี้มันก็จะหลุดออกมาได้เร็ว
ยิ่งเราขอบคุณท่านมากเท่าไหร่ที่ทำให้ได้เห็นธรรมะในเราชัดเจนขึ้น
ยิ่งจะทำให้ความสูญเสียท่านไปไม่สูญเปล่ามากขึ้นเท่านั้นนะครับ








ถาม – ขอบคุณมากค่ะ รู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ


กุศลจิตที่มันเกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดด้วยความบังเอิญ มันมีเหตุ
แล้วถ้าเราเห็นเหตุของกุศลและอกุศลทุกครั้ง มันก็คือมีสติ
แล้วสติจะเจริญขึ้นๆ จนถึงขั้นหนึ่งนะที่เรามองย้อนกลับมา
ชีวิตทั้งชีวิตมันคือการสูญเสียมาตลอด
แต่ที่เราเพิ่งมารู้สึกว่าสูญเสียก็เพราะว่าสิ่งนี้เรายึดมั่นถือมั่นสูงมาก



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP