วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๑๗



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ขึ้นบันไดชั้นสองเป็นห้องส่วนตัวรัชตะ อดีตนายตำรวจอนาคตไกล ปัจจุบันเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวผู้จมอยู่กับความหลัง โต๊ะคอมพิวเตอร์ตั้งมุมห้อง ด้านข้างเป็นชั้นหนังสือซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ อีกด้านเป็นม้วนวิดีโอ แผ่นซีดี ดีวีดี บลูเรย์หนังที่เจ้าตัวซื้อสะสมก่อนติดคุก และหลังได้รับอิสรภาพ

            การสนทนาเริ่มต้นเมื่อเจ้าของห้องอยู่กับดาบตำรวจพนาตามลำพัง

            “ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ย ไม่ให้ดาบทำอะไรเสี่ยง ๆ”

            “มันช่วยไม่ได้หมวด พอได้รู้เรื่องนึงก็อยากรู้เรื่องอื่น เพื่อเก็บหลักฐานมาฟาดหน้าคนที่ทำให้ลูกผมเป็นแบบนี้”

            “แล้วไงล่ะ”

            “ยิ่งรู้มากขึ้น รายละเอียดมากกว่าเดิมแต่หลักฐานรูปธรรมไม่มีเหลือ ยิ่งสงสารลูก...บัวไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาตรงกลางระหว่างมาเฟีย กับนักธุรกิจที่กำลังแย่งตำแหน่ง ผลประโยชน์กันพอดี”

            ทั้งสองมองหน้ากัน ดวงตาอดีตนายตำรวจฉายแววสงสารเห็นใจ ขณะดาบตำรวจอาวุโสเต็มไปด้วยความคับแค้น หดหู่

            บัวบุษราอยากรู้เบื้องลึก เบื้องหลังรุนแรง ทราบดีว่าชายทั้งสองไม่มีทางเท้าความเรื่องเก่าแน่นอน

            “ถ้าเธออยากรู้การพูดจาติดต่อช่วงเวลาที่ผ่านมา...ไม่ใช่เรื่องยากเลย” ยมทูตแนะนำ “แค่มองเข้าไปในความทรงจำพวกเขาก็รู้แล้ว”

            “บัวทำได้หรือคะ”

            “ฉันจะช่วย”

            หญิงสาวพยักหน้ารับคำยมทูต แล้วหันมองคู่สนทนาสลับไปมา จู่ ๆ คล้ายหลุดเข้าไปรับรู้เรื่องราวที่ทั้งสองเคยคุยกันก่อนหน้านี้ทั้งหมด



            “ผมรู้แล้วนะว่านักธุรกิจกับตำรวจกลุ่มนั้นประชุมเรื่องอะไรในร้านอาหาร”

            “เรื่องอะไรหมวด”

            “พวกเขาวางแผนเปิดโปง โค่นล้มนักธุรกิจใหญ่รายหนึ่ง”

            “ใคร”

            “นายบัณฑิต...ซึ่งตอนนี้เป็นประธานกรรมการบริหาร ‘เกรทนภากรุ๊ป’”

            “เกรทนภากรุ๊ป...เจ้าของสายการบินดัง เจ้าของธุรกิจขนส่งทางเรือ ทางอากาศยักษ์ใหญ่นี่นะ”

            “ใช่ นอกจากนั้นพวกสินค้าส่งออกทางเกษตรประเภทข้าวสาร อาหารแปรรูปหลายชนิดก็เป็นเครือข่ายธุรกิจของเขาด้วย”

            ‘เกรทนภากรุ๊ป’ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งครบวงจร ทั้งยังส่งออกสินค้าอุปโภค บริโภคจำเป็น มูลค่าทางธุรกิจเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ไม่แปลกที่ผู้บริหารระดับสูงพยายามแก่งแย่งตำแหน่งสูงสุด

            “เดี๋ยวก่อนนะ...” ดาบตำรวจพนาขมวดคิ้วครุ่นคิด “ตอนเกิดเรื่อง นายบัณฑิตขึ้นเป็นประธานกรรมการหรือยัง”

            “ยัง”

            คำตอบทำให้ตำรวจอาวุโสเข้าใจรวดเร็ว ทบทวนข้อมูลเดิมเคยรู้

            “คนที่เข้าร่วมประชุมวันนั้นมีนายตำรวจกลุ่มหนึ่ง กับนักธุรกิจชื่อนายภากร ผู้อำนวยการบริษัทอาหารแปรรูป เครือข่ายเกรทนภากรุ๊ป”

            “ถูกต้อง...และตอนนั้นนายภากรยังไม่ได้เป็นผู้อำนวยการบริษัทอาหารแปรรูปเหมือนกัน”

            “หมวดต้องการจะบอกผมว่า...ก่อนเกิดเหตุระเบิด...นายภากร และนายบัณฑิตคือผู้มีสิทธิช่วงชิงตำแหน่งสูงสุดของเกรทนภากรุ๊ป”

            “ใช่แล้ว”

            “ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ที่นายภากรจะระแคะระคาย ‘บาดแผล’ ข้อมูลความผิดคู่แข่ง เลยนัดตำรวจมาประชุมปรึกษาหาทางเปิดโปง เพื่อตัวเองจะได้ขึ้นตำแหน่งเอง”

            อดีตนายตำรวจพยักหน้าก่อนสรุป

            “พอเกิดระเบิด การประชุมล้มเหลวแผนการพังพินาศ นายบัณฑิตขึ้นเป็นประธานใหญ่ ส่วนนายภากรได้เป็นแค่ผู้อำนวยการบริษัทในเครือ”

            ดาบตำรวจพนาถอนใจอึดอัด เกิดข้อสงสัยตามมา

            “เป็นไปได้มั้ยว่าวันนั้นนายบัณฑิตรู้ทัน เลยจัดการวางระเบิดสังหารคู่แข่ง”

            “ผมว่านายบัณฑิตรู้ล่วงหน้าก่อนนั้นอีก เลยวางแผนตลบหลังแนบเนียนขนาดนี้” รัชตะแย้ง

            “หมวดรู้อะไรมาหรือ”

            “ระเบิดและเพลิงไหม้ที่ร้านนั้นเป็นแผนการแบบมืออาชีพ เตรียมการล่วงหน้าชนิดไม่พลาด ตามข้อมูลที่ผมได้ยินมา ผู้นัดแนะวันเวลา จัดการเรื่องสถานที่ระหว่างนายภากรกับตำรวจเป็นเลขานายภากรชื่อ...เจตน์...”

            ตำรวจอาวุโสฉุกใจรีบตั้งคำถาม

            “ปัจจุบัน ‘เจตน์’ เลขาคนนี้ยังอยู่กับนายภากรหรือเปล่า”

            “ไม่...ตอนนี้เจตน์เป็นเลขาคนสนิทนายบัณฑิต ประธานกรรมการใหญ่แล้ว”

            พอเฉลยประโยคนี้ความสงสัยคลี่คลายทันที

            “สรุปว่านายภากรโดนเลขาตัวเองหักหลัง เอาความลับไปบอกฝ่ายตรงข้าม นายบัณฑิตจึงวางแผนตลบหลังง่ายดาย...แถมนายภากรกับตำรวจไม่รู้เลยว่า...พวกตัวเองมาประชุมที่ร้านอาหารติดกับที่ซ่อนหลักฐานความผิดทั้งหมดของคู่แข่ง”

            เมื่อคู่สนทนาเข้าใจง่ายดายขนาดนี้ อดีตนายตำรวจจึงปิดท้ายง่าย ๆ

            “นายบัณฑิตยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งดัดหลังคู่แข่งและทำลายหลักฐานไปในคราวเดียวกัน”

            ดาบตำรวจฟังแล้วนิ่งเงียบเนิ่นนาน ถอนใจยาวก่อนเงยหน้าบอกง่าย ๆ

            “ถ้าอย่างนั้นผมจะสืบให้ได้ว่านายบัณฑิตมี ‘แผล’ ความผิดอะไรบ้าง และยังหาหลักฐานเอาผิดเขาได้อีกมั้ย”

            “ดาบทำอย่างนี้เท่ากับเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายกว่าเดิมนะ” รัชตะเตือน

            “พอรู้ว่าลูกผมเป็นอย่างนี้เพราะใคร คงอยู่เฉยไม่ได้หรอกหมวด”

            ผู้ฟังไม่โต้แย้ง มีแค่แววตากังวลเป็นห่วง



            ภาพการสนทนาครั้งนี้เลือนหาย เปลี่ยนวันเวลาใหม่โดยสถานที่ยังเป็นที่เดิม

            “ผมมีโอกาสเข้าถึงตัวนายภากรได้แล้ว” ดาบตำรวจพนาเริ่มต้น

            “ดาบได้ข้อมูลอะไรจากศัตรูของศัตรูตัวเองบ้างล่ะ”

            เคยมีคำกล่าวว่า...ศัตรูของศัตรูย่อมนับเป็นสหายอยู่ฝ่ายเดียวกัน...นายภากรโดนช่วงชิงตำแหน่ง แถมเกือบตายจากระเบิดย่อมยินดีให้ความช่วยเหลือแก่คนที่หวังเปิดโปงศัตรูตนเอง

            “ก่อนนายบัณฑิตจะขึ้นเป็นประธานกรรมการ เคยเป็นผู้ดูแลบริษัทขนส่งในเครือมาก่อน...เขาใช้ตำแหน่งนี้หาผลประโยชน์ด้วยการยอมให้มาเฟียลักลอบขนอาวุธ และยาเสพติดผ่านเส้นทางขนส่งตัวเอง”

            “อย่างนี้น่าจะหาพยานหลักฐานไม่ยาก” รัชตะตั้งข้อสังเกต

            “พยานรู้เห็นหายสาบสูญหมด ส่วนหลักฐานก็ถูกทำลายตอนเกิดเพลิงไหม้ครั้งนั้นแล้ว...ถ้ายังมีอะไรหลงเหลือ คิดหรือว่านายภากรจะไม่เอามาใช้”

            “นอกจากนี้ดาบยังสืบอะไรเพิ่มได้อีกหรือเปล่า”

            “จากข้อมูลที่ ‘แฮกเกอร์’ หมวดหามาให้ผมคราวก่อน พอสืบสาวเชิงลึกพบว่า ก่อนขึ้นตำแหน่งประธานกรรมการฯ นายบัณฑิตรู้จักกับ ‘พลเทพ’ เจ้าพ่อค้ายาเสพติด และ ‘พ่อเลี้ยงบุญชัย’ เจ้าของบ่อนใหญ่ ธุรกิจสีเทาทางเหนือ เรียกว่าทั้งสามเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน พอขึ้นตำแหน่งใหญ่ยังแอบมีการพบปะกันลับ ๆ เพราะนายบัณฑิตติดค้างผลประโยชน์สองคนนี้อยู่”

            “ฟังอย่างนี้ผมเริ่มเป็นห่วงแล้วนะ ขนาดแฮกเกอร์ที่ผมติดต่อยังบอกว่า มาเฟียพวกนี้หูตาไม่ธรรมดาจะเจาะหาข้อมูลยังต้องระวังโดนย้อนรอย ดาบอาจพลาดสักวัน”

            “ไม่ต้องห่วงหรอกหมวด ช่วงนี้ผมยังไม่กล้าเจาะลึก บุกเดี่ยวคนเดียว คอยจับตาดูห่าง ๆ เผื่อพวกนั้นพลาดอะไร”

            “ผมว่าดาบน่าจะเปลี่ยนมาตามหาคนวางระเบิด จัดฉากเพลิงไหม้ร้านอาหารจะง่ายกว่า แน่ใจว่าน่าจะเป็นคนของสองมาเฟียนั่นแหละ”

            “งั้นผมจะลองแกะรอยตามคำแนะนำหมวดแล้วกัน”

            ดาบตำรวจอาวุโสพูดเช่นนั้น นัยน์ตารัชตะค่อยคลายกังวล ความเป็นห่วงในใจลดลง



            ทั้งสองพบกันอีกครั้งเพื่อสนทนา ปรึกษาแลกเปลี่ยนข้อมูลล่าสุด

            “ผมรู้แล้วว่าคนวางระเบิดเป็นใคร”

            “ดาบแน่ใจนะ”

            “แน่ใจหมวด...มันชื่อธนนท์ เคยเป็นคนของพ่อเลี้ยงบุญชัย ตอนนี้เป็นนกหลายหัว บ่าวหลายนาย ทำงานให้ทั้งพลเทพ เจ้าพ่อค้ายาฯ และทำงานลับ ๆ ผ่านเจตน์ เลขานายบัณฑิตเหมือนกัน”

            “คิดว่าจะทำให้มันคายความลับ ยอมบอกหลักฐานได้มั้ย”

            “ไม่มีทางเลย มันได้ผลประโยชน์มหาศาล ตอนนี้เป็นเจ้าของสถานบันเทิงชื่อดัง ‘แบล็ก มูน’ มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง แถมบารมีนายคุ้มหัวไม่มีใครกล้าแตะแน่”

            “ดาบพอจะรู้มั้ยว่านายบัณฑิตให้ผลประโยชน์อะไรสองมาเฟียนั่น”

            “เท่าที่ผมรู้แน่ ๆ คือเปิดทางสะดวกให้เจ้าพ่อค้ายา ค้าอาวุธอย่างพลเทพขนส่งสินค้าโดยไม่มีใครจับได้ ส่วนพ่อเลี้ยงบุญชัย...ได้ข่าวไม่ยืนยันว่านายบัณฑิตสนิทสนมกับนักการเมืองพรรคใหญ่ อาจมีการกระทุ้งให้ยอมออกกฎหมายเปิดบ่อนเสรีในเมืองไทยได้”

            นัยน์ตาอดีตนายตำรวจฉายรอยครุ่นคิด

            “ในเมื่อเจ้าพ่อค้ายาฯ กับเจ้าของบ่อนจำเป็นต้องพึ่งพาบารมีนายบัณฑิตขนาดนี้ คงยากที่จะทำให้พวกเขาแตกคอกัน”

            “ผมว่าไม่แน่” ตำรวจอาวุโสแย้ง “อย่าลืมว่าตอนนี้นายบัณฑิตได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เขาไม่มีทางยอมให้ธุรกิจตัวเองพัวพันมาเฟียนานแน่...การขนส่งสินค้าผิดกฎหมายยังไงสักวันต้องถูกจับได้ ต่อให้นักการเมืองที่นายบัณฑิตสนิทสนมจะเสนอให้ออกกฎหมายเปิดบ่อน ก็ต้องมีเสียงคัดค้านแน่นอน...ผมจะรอวันที่ผลประโยชน์พวกเขาไม่ลงตัว เกิดความขัดแย้ง ตอนนั้นอาจเป็นโอกาสของเรา”

            รัชตะถอนใจยาว ดวงตาฉายรอยพึงพอใจที่อีกฝ่ายไม่เร่งร้อนเกินไป อาจด้วยสูงวัย มากประสบการณ์และมีภาระลูกสาวให้เป็นห่วง

            ทว่า...เขาก็แน่ใจว่าดาบตำรวจผู้นี้ไม่มีทางหยุดงานที่ทำแน่นอน



            ภาพตัดกลับมายังห้องส่วนตัวรัชตะ ช่วงเวลาที่ยมทูตหินผานำบัวบุษราเข้ามาดูตอนแรก...เป็นการพบปะของทั้งสองเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว

            หญิงสาวยืนนิ่งปรับอารมณ์ความรู้สึกให้เข้าที่ การมองย้อนอดีตผ่านความทรงจำพวกเขาทำให้ตนเองเลอะเลือนไม่แน่ใจว่าช่วงเวลาใดคือปัจจุบันของตนกันแน่

            พอตั้งสติได้ค่อยบอกกับตัวเองว่ากำลังอยู่ในความฝัน ยมทูตหินผาพามาชมเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งพ่อแอบเข้ามาในร้านไม่ให้คนภายนอกล่วงรู้

            “ดาบมีโอกาสคุยกับธนนท์ คนวางแผนระเบิด วางเพลิงหรือยัง” รัชตะตั้งคำถามหลังจากเงียบงันครู่หนึ่ง

            “ถ้าผมเข้าไปคุยตรง ๆ บอกว่าตัวเองเป็นใครจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเปล่า ๆ เลยแกล้งทำตัวเข้าไปเป็นนักเที่ยว พูดคุยทำความรู้จักกับคนในแบล็ก มูนแทน”

            “ได้ความว่ายังไงบ้าง”

            “ทั้งหมดผมปะติดปะต่อจากลูกน้องธนนท์หลายคน ซึ่งมันพล่ามคุยเรื่องนี้ตอนเมาขาดสติ”

            ดาบตำรวจพนาเริ่มต้นและบอกเล่าเรื่องราวที่ตนเรียบเรียงมาให้เข้าใจง่ายที่สุด

            ก่อนหน้านี้ธนนท์เป็นแค่ช่างกิ๊กก๊อก ซ่อมรถ แต่งเครื่องยนต์ พอมีโอกาสรู้จักพ่อเลี้ยงบุญชัยค่อยเปิดเผยความสามารถด้านอื่นจนได้เป็นลูกน้องทำงาน ‘พิเศษ’ หลายอย่าง

            งานสำคัญเปลี่ยนชีวิตคือวางแผนให้เกิดระเบิดเพลิงไหม้เพื่อทำลายหลักฐาน และทำให้ไฟลามไปยังร้านอาหารด้านข้างอย่างแนบเนียนเพื่อไล่ต้อนนักธุรกิจ ตำรวจซึ่งกำลังประชุมอยู่ห้องวีไอพีลงมา โดยเตรียมระเบิดถังแก๊สในห้องครัวไว้รอรับ

            เสียดายเกิดข้อผิดพลาดแก๊สห้องครัวระเบิดก่อนเวลา คนรับเคราะห์แทนคือบัวบุษรา ซึ่งขณะนั้นกำลังจะออกจากห้องน้ำ แม้มีประตูและผนังกั้นแรงระเบิดทำให้ไม่บาดเจ็บจากเปลวเพลิงรุนแรง ดวงตาก็ยังกระทบกระเทือนไม่อาจมองเห็นจนถึงทุกวันนี้

            หลังระเบิดเพลิงไหม้ ผู้รับหน้าที่ต่อเป็นทีมเก็บกวาดของพลเทพ ปลอมตัวเป็นดับเพลิงกู้ภัย จัดการหลักฐานจนเรียบร้อยไม่เหลือซาก

            ธนนท์อาจทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ แต่งานครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ได้รับมอบหมายงานพิเศษอื่น ๆ ตามมาจนได้เป็นเจ้าของแบล็ก มูนในปัจจุบัน

            “ทั้งหมดที่ดาบเล่ามาไม่มีหลักฐาน หรือใครยอมเป็นพยานให้เลยใช่มั้ย”

            “ใช่หมวด...หลักฐานคดีเก่าอาจไม่หลงเหลือ แต่พวกมันไม่ได้หยุดทำชั่วเรื่องเลวร้ายแค่นี้นี่ ผมเชื่อว่ายังไงต้องมีหลักฐานความเลวอื่นหลุดออกมาแน่”

            “เท่าที่เล่ามา ธนนท์เป็นจุดอ่อนที่เราสามารถหาหลักฐานความผิดได้มากกว่าใคร”

            “หมวดคิดตรงกับผม...พวกเจ้านายมันไม่มีทางให้แบล็ก มูนเปล่า ๆ หรอก ผมได้ข่าวว่าที่นั่นเป็นแหล่งปล่อยยาเสพติดตัวใหม่ พวกวัยรุ่น นักเที่ยวหนุ่มสาวเริ่มติดกันแล้ว ยังไงต้องมีหลักฐานหลุดออกมาแน่”

            “งั้นผมจะบอกให้ ‘คนรู้จัก’ แถวนั้นช่วยเก็บหลักฐาน หาพยานเรื่องยาเสพติดอีกแรง”

            “ขอบคุณครับหมวด”

            “ตอนนี้ธนนท์ยังทำงานให้พ่อเลี้ยงบุญชัยอยู่มั้ย ผมได้ข่าวว่าพ่อเลี้ยงคนนี้เคยประกาศจะไม่ค้ายา ค้าอาวุธเด็ดขาด”

            “น่าจะห่าง ๆ กันแล้วอย่างที่หมวดว่า...พ่อเลี้ยงคนนี้อยากเปิดบ่อนในฝั่งไทยแบบถูกกฎหมายมากกว่าค้ายา ค้าอาวุธ ธนนท์มันเลยทำงานให้ ‘นาย’ ทุกคน ตอนนี้น่าจะประจบพลเทพ กับบัณฑิตมากหน่อย เพราะอยู่ใกล้ให้ผลประโยชน์ง่าย”

            “ดาบเองควรระวังตัวมากกว่าเดิม ยิ่งเข้าใกล้ความจริงมากยิ่งอันตรายนะ”

            “ผมระวังตัวอยู่แล้ว จะไปสืบแต่ละที่ก็คอยดูแล้วดูอีกว่าปลอดภัย หมวดไม่ต้องห่วงหรอก”



--------------- ------------ --------------



            ภาพตรงหน้าเริ่มเลอะเลือน สถานที่แปรเปลี่ยนเป็นลานลั่นทม คล้ายต้องการให้คิดว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นแค่ความฝันชั่วคืน

            “รู้สึกยังไงบ้าง” ยมทูตถาม

            “ตอบไม่ถูกค่ะ” คำตอบตรงความรู้สึกในใจที่สุดแล้ว

            “ได้ฟังอย่างนี้รู้สึกโกรธเกลียดคนร้ายพวกนั้นมั้ย”

            บัวบุษรามองจิตใจตัวเองละเอียดก่อนตอบ

            “พวกเขาไม่มีเจตนาทำร้ายคนอื่น...บัวอยู่ผิดที่ผิดเวลาอย่างพ่อบอกจริง ๆ ถ้าถามว่ารู้สึกยังไง...บัวเป็นห่วงพ่อมากกว่า ถ้าทำได้อยากให้เลิกสืบหาความจริง เลิกหาหลักฐานเอาผิดคนพวกนี้ดีกว่า ต่อให้มองไม่เห็นตลอดชีวิตแล้วพ่อยอมเลิกติดใจเอาความ เลิกเสี่ยงอันตราย...บัวก็ยอมค่ะ”

            “เธอจะปล่อยให้ผู้ร้ายลอยนวลหรือ” ถามหยั่งเชิง

            “บัวไม่มีหน้าที่ตัดสินโทษใครนี่คะ” พูดแล้วเผยรอยยิ้มบาง ๆ “ถ้าจะให้พูดอย่างชาวพุทธทั่วไป...กฎแห่งกรรมคงกำลังทำงานอยู่...เมื่อถึงเวลาพวกเขาย่อมได้รับผลกรรมตัวเองอยู่ดี”

            คำพูดง่ายใครก็พูดได้...จะมีสักกี่คนพูดแล้วจิตใจคล้อยตามคำพูดตัวเองเกินครึ่งเช่นหญิงสาวคนนี้



--------------- ------------ --------------



            ดาบตำรวจพนาออกมารดน้ำต้นไม้ตั้งแต่รุ่งเช้า เห็นชายหนุ่มร่างสูงผอมเพรียวในชุดวิ่ง สวมเสื้อผ้าร่มตลบฮู้ดคลุมศีรษะเผยใบหน้าขาว คิ้วเข้ม ดวงตาคมจึงโบกมือทักทายตามปกติ อีกฝ่ายยกมือไหว้แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ผ่านหน้าบ้านเหมือนทุกวัน

            นายตำรวจอาวุโสเห็นนักมวยคนนี้วิ่งผ่านหน้าบ้านแทบทุกวัน ตั้งแต่ตนย้ายมาทำงานนั่งโต๊ะ มีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น สามารถตื่นเช้ารดน้ำต้นไม้ เตรียมอาหารให้ลูกสาวก่อนไปทำงาน

            แรก ๆ รู้สึกสะดุดกับรูปร่างหน้าตา คิดว่าเป็นลูกชายเศรษฐีบ้านหลังใหญ่แถวนี้ ตอนหลังค่อยทราบว่าอาศัยอยู่ร้านข้าวแกงยายปัน เป็นนักมวยลูกศิษย์ตาแคล้วจึงไม่สนใจอะไร ผ่านมาแค่โบกมือทักทายเฉกเช่นคนคุ้นหน้าคุ้นตา

            รดน้ำต้นไม้เสร็จ เปิดประตูตั้งใจออกไปกวาดใบไม้ริมถนนหน้าบ้าน สายตาเหลือบเห็นซองสีขาวสอดอยู่ในตู้จดหมาย พอหยิบมาดูต้องชะงักงันทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ

            มันเป็นภาพตนเองตอนแอบสืบคดีที่แบล็ก มูน และลอบไปตรวจสอบบริษัทขนส่งของเกรทนภากรุ๊ป

            ขนาดมั่นใจว่าระมัดระวังตัวทุกครั้งที่ออกทำงานยังถูกถ่ายรูปได้ ความเคลื่อนไหวของตนย่อมไม่ใช่ความลับอีกแล้ว

            ข้อสงสัยที่เกิดคือ...ผู้ส่งรูปมาให้เป็นใคร...หวังดีแค่ตักเตือน...หรือข่มขู่เตรียมให้บทเรียน!



--------------- ------------ --------------



            ตอนบัวบุษราลงจากห้องนอน บิดาเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว ส่วนพี่สาวกำลังอ่านข่าวจากจอไอแพดเงียบ ๆ

            ต่อให้มองไม่เห็นแต่กลิ่นอาหารเช้าบนโต๊ะก็เตะจมูก ได้ยินเสียงลมหายใจ การเคลื่อนไหวขยับตัวของพรไพลินชัดเจน ไม่ได้ยินแค่เสียงบิดาในห้องเท่านั้นเอง

            “พ่อไปทำงานแล้วเหรอพี่พร”

            “ไม่นี่...เพิ่งรดน้ำต้นไม้เสร็จ ตอนนี้อาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงานมั้ง”

            “อ๋อ...” พึมพำรับคำ

            ก่อนหน้านี้แม่จะเป็นคนเตรียมอาหารเช้าให้ลูกสาวและสามี เป็นการร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้าก่อนไปเรียนและทำงาน เพราะตอนเย็นอาจกลับคนละเวลา โดยเฉพาะบิดามักมีงานสืบสวนติดตามคดีจนกลับบ้านค่ำมืดดึกดื่นบ่อย ๆ

            หลังแม่เสียชีวิต สองสาวพี่น้องผลัดเวรกันทำอาหารเช้าเพื่อรักษาธรรมเนียมเดิมในบ้าน พอบัวบุษราประสบเหตุร้าย พรไพลินคอยดูแลน้องสาวในช่วงปรับตัว พ่อรับหน้าที่ทำอาหารเช้า ช่วยงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่อนแรงลูกสาวคนโต

            “พี่พรจะไปหาคุณเหมยลี่อีกเมื่อไหร่”

            ถามเช่นนี้เพราะหลังจากติดต่องานวันแรกก็มีการพูดคุย ส่งตัวอย่างงานผ่านเน็ตให้ดูต่อเนื่องโดยสองฝ่ายยังไม่ได้พบหน้ากันตั้งแต่วันนั้น

            “น่าจะเย็นนี้แหละ”

            “บัวขอไปด้วยนะ อยากไปไหว้คุณเมย์สักหน่อย ตอนนี้สรุปคดีได้แล้วนี่ว่าไม่ได้ฆ่าตัวตาย”

            “อย่าเลย...จะไปทำไม ถึงจะไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่ตายเพราะเสพยาจนหลอน เชือดข้อมือตัวเองแบบนั้น ตำรวจเขาไม่จบคดีง่าย ๆ หรอก”

            พรไพลินค้านไม่อยากให้น้องสาวเข้าใกล้ที่เกิดเหตุอีก หล่อนทราบเบื้องหลังคดีจากการติดต่อเรื่องงานกับเหมยลี่จนรู้ข่าวที่ไม่ออกสื่อด้วย

            หลังจากไทธัตพาตำรวจมาหาหลักฐานที่เกิดเหตุอีกครั้ง พบยาเสพติดชนิดใหม่ที่นักเสพเรียกกันสั้น ๆ ว่ายา ‘V’ ลักษณะเป็นเม็ดคล้ายลูกอม วางปะปนอยู่กับขนมขบเคี้ยว ช็อคโกแลต ยาอมทั่วไปบนชั้นวางของจุกจิก

            หลังจากได้รับอนุญาตให้ผ่าพิสูจน์ก็พบสารเสพติดชนิดนี้ในร่างกาย...ข่าวออกตามสื่อเพียงเท่านี้

            เรื่องไม่ออกสื่อคือ ไทธัตสอบปากคำพยานเพิ่มเติมหลายปาก รวมถึงห้าหนุ่มวงยามาร์ ช่างแต่งหน้า ทีมงานมิวสิควิดีโอจนทราบว่าเมย์ มายาวีใช้ยาชนิดนี้ในการทำงาน เป็นเรื่องซึ่งไม่มีใครกล้าพูดออกสื่อให้เธอเสียหาย

            ยา V จะมีผลกล่อมประสาทให้ผู้เสพจมดิ่งเข้าถึงบทบาทที่ต้องการ ภาพนางเอกเอ็มวีแสนดี นัยน์ตาเศร้า ทำให้ผู้ชมหลงใหลนั้นไม่ใช่แค่การแสดง แต่เป็นฤทธิ์ยาพาให้เธอเข้าถึงบทอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

            ยาชนิดนี้แพร่หลายในหมู่นักเที่ยวกลางคืน มันทำให้สนุกสุดเหวี่ยง เมามันยิ่งกว่ายาเสพติดชนิดอื่น

            สาเหตุการตายแท้จริงคือเจ้าตัวเสพยาชนิดนี้ระหว่างชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งทางสตรีมมิ่ง ทำให้อินไปกับความเศร้าโศกคับแค้นของตัวละครหนึ่ง ซึ่งเลือกจบชีวิตด้วยการกรีดข้อมือฆ่าตัวตายในอ่างอาบน้ำ

            ฤทธิ์ยาทำให้เมย์ มายาวีหลงเข้าใจว่าตัวเองเป็นตัวละครนั้น และเลือกใช้วิธีเดียวกันโดยไม่รู้ตัว

            ขณะนี้ตำรวจกำลังสืบหาแหล่งค้ายาเสพติดชนิดนี้เงียบ ๆ ทราบว่าเมย์ มายาวีเป็นลูกค้าประจำวีไอพีของสถานบันเทิงชื่อแบล็ก มูน จึงเข้าตรวจค้นและเรียกตัวเจ้าของสถานประกอบการมาสอบสวน บัดนี้ยังไม่มีข้อมูลออกมาให้คนนอกทราบ

            เมื่อโดนพี่สาวปฏิเสธเช่นนั้น บัวบุษราพยายามคิดหาเหตุผลมาอ้าง

            “แหม คราวก่อนเพราะบัวช่วยสะกิดจนพี่ธัตมาค้นที่เกิดเหตุซ้ำนะคะ ครั้งนี้ขอบัวไปไหว้อุทิศบุญกุศลให้เธอเสียหน่อย อย่างน้อยดวงวิญญาณจะได้สงบสุขขึ้น”

            เจอเหตุผลนี้พี่สาวยิ่งไม่อยากให้ไปหนักกว่าเดิม เหมยลี่เพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อวานนี้เองว่า ‘ผีน้องเมย์’ เฮี้ยนขนาดทำให้ลิฟต์ทุกตัวต้องเปิดที่ชั้นเธอทั้งที่ไม่มีใครกด ห้องข้าง ๆ ได้ยินเสียงพูดคุยปนสะอื้น เสียงน้ำไหลกลางดึกทั้งที่ห้องตัวเองไม่มีคนอื่น ก๊อกน้ำปิดสนิทเรียบร้อย

            หนักสุดน่าจะเป็นพวกแม่บ้าน พอเดินผ่านห้องเกิดเหตุทีไรมักได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ เย็นสันหลังวาบ ๆ เหมือนรอบตัวมีสายตาประหลาดจ้องมอง บางครั้งเห็นเงาวอบแวบเดินผ่านหน้าชวนขนลุก

            “จุดธูปไหว้ที่ห้องพระ อุทิศบุญกุศลที่บ้านเราก็ได้ ไม่ต้องไปถึงที่นั่นหรอก” พรไพลินพูดเด็ดขาด

            บัวบุษรากำลังเอ่ยปากเถียง เสียงบิดาขัดขึ้นจากเบื้องหลัง

            “จุดธูปไหว้ อุทิศส่วนกุศลให้ใครล่ะลูก”

            “เมย์ มายาวีนางแบบ นางเอกเอ็มวีที่เพิ่งเสียชีวิตไม่กี่วันนี่ไงคะ” ลูกสาวคนเล็กรีบชิงบอกพร้อมออดอ้อน “พ่อให้บัวไปไหว้เขาที่คอนโดได้มั้ยคะ”

            “ถ้าพี่พรไม่อยากให้ไป เราก็อย่าไปเลย” พ่อเข้าข้างลูกสาวคนโต

            “แหม...พ่อน่ะ บัวไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย”

            พอลูกสาวคนเล็กงอน พ่อก็ลูบศีรษะเบา ๆ อ่อนโยน

            “พ่อไม่ได้บอกสักหน่อยว่าบัวทำอะไรไม่ดี แค่เป็นห่วงไม่อยากให้ลำบากเป็นอันตรายอะไร”

            หญิงสาวดึงมือพ่อมาเกาะกุม เข้าใจความรักความเป็นห่วงนั้น

            “บัวช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้นแล้วนะคะ อยู่บ้านคนเดียวสบาย ตอนนี้ไม่เดินชนโต๊ะเก้าอี้อีกเลย ประสาทหูแยกแยะเสียงละเอียดกว่าเดิม ส่วนประสาทการรับรู้อื่นว่องไวขึ้น สัญญาว่าจะฝึกฝนพัฒนาตัวเองกว่าเดิม จะได้ไม่เป็นภาระมากนัก พ่อกับพี่พรไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

            พ่อกับพี่สาวนิ่งอั้น มือเล็กดึงมือใหญ่มาแนบแก้ม ยิ้มอ่อนโยนทั้งที่มองไม่เห็น

            “ตอนนี้บัวปรับตัวมีความสุขขึ้นเยอะ ต่อให้ไม่ได้รับผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา แล้วมองไม่เห็นจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้อยู่ด้วยกันสามคนแบบนี้ พ่อไม่ต้องทำงานเสี่ยงอันตรายเหมือนเดิมอีก อยู่กับบัว พี่พรไปนาน ๆ เท่านั้นก็พอแล้วค่ะ”

            ท้ายเสียงพยายามสะกดอาการเศร้า กัดปลายลิ้นไม่ยอมเอ่ยวาจาดังใจคิด...วาจาที่ต้องการบอกว่า...

            ...อย่าเสี่ยงอันตรายสืบคดีนั้นอีกเลยนะพ่อ...ชีวิตปัจจุบันเธอมีความสุขมากพอแล้ว...

            พนาสัมผัสความอบอุ่นจากจิตใจบุตรสาวจนพูดอะไรไม่ออก ในใจแอบสงสัยบางสิ่งซึ่งซ่อนในวาจา กำลังจะเอ่ยปากถาม จังหวะนั้นโทรศัพท์พรไพลินดังขึ้น

            “ค่ะ...พรเองค่ะ...มีงานด่วนหรือคะ...ต้องการให้น้องบัวไปลงเสียงสปอตโฆษณาแทนคนที่เพิ่งยกเลิก...เมื่อไหร่คะ...อ๋อบ่ายนี้...ว่างค่ะรับงานได้ เดี๋ยวพรบอกน้องให้เตรียมตัว...พี่ส่งสคริปต์มาทางเมลได้เลยค่ะ”

            เสียงรับสาย สนทนาติดต่อเรื่องงานฟังเข้าใจชัด บัวบุษราอมยิ้มเมื่อรู้วันนี้ตนได้ออกจากบ้านแน่ และพรไพลินคงลำบากถ้าจะส่งเธอที่บ้านก่อนไปคุยธุระที่คอนโดเหมยลี่

            โอกาสไปห้องเมย์ มายาวีนับว่าไม่ใช่เรื่องยากแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP