วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ทางยมทูต ๑๓
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
บทที่ ๘
อาคารหอพักสองชั้นยืนตระหง่านท่ามกลางฟ้าฝนอึมครึม เมฆสีเทาก่อตัวหนาแน่น ไอหมอกบาง ๆ กระจายโอบล้อมคล้ายม่านกางกั้น ความเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจนสัมผัสได้
ขุนคีรีเหลือบมองหญิงสาวข้างกายก่อนเดินนำหน้าฝ่าม่านหมอกหนาวเย็น บัวบุษราตามหลังติด ๆ ไม่กล้าห่างเกินไป กลัวเจอภูตผีโผล่จากด้านซ้าย ด้านขวา กระทั่งผุดขึ้นกลางทางเดินไม่รู้ตัว
ทั้งสองยืนเคว้งตรงทางเดินยาวหอพักชั้นแรก กวาดตามองโดยรอบเห็นแค่ซากรกร้าง เก่าโทรมไม่ต่างจากคลิปรายการ กำลังจะเดินขึ้นชั้นสองต้องชะงัก
เสียงดนตรีไทยเดิมบรรเลงแว่ว ผสานหมาหอนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว กลิ่นน้ำอบแป้งร่ำลอยเอื่อยแทรกซึมทั่วบรรยากาศ อากาศเย็นอยู่แล้วยิ่งหนาวยะเยือกกว่าเดิม
หญิงสาวรีบก้าวมายืนชิด เกาะกุมมือผู้ช่วยยมทูตอาศัยเป็นที่พึ่ง ชายหนุ่มก้มมองร่างบอบบางข้างกาย อยากเอ่ยวาจาให้คลายความหวาดกลัว จู่ ๆ เกิดสติฉุกคิดถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง
“หอพักนี้เพิ่งเกิดเพลิงไหม้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นนักศึกษาชาย...ผีพวกนี้จะชอบฟังเพลงไทยเดิม ใช้น้ำอบแป้งโบราณเหรอ”
คำพูดขุนคีรีเรียกสติคนข้างตัว บัวบุษราเงยหน้าคิดได้
“จริงด้วยค่ะ...บัวฟังคลิปรายการมาเหมือนกัน...ผีพวกนี้น่าจะฟังเพลงหลังยุคมิลเลเนี่ยมด้วยซ้ำ อย่างพวกโลโซ บอดี้สแลม บิ๊กแอส แบล็คเฮด ซิลลี่ฟูล หรือบาซู ดีทูบีก็น่าจะยังได้”
หล่อนเป็นดีเจรายการวิทยุรู้จักเพลงหลากหลายยุค
“ส่วนน้ำหอม...” ขมวดคิ้วนึกถึงน้ำหอมยี่ห้อดังผู้ชายน่าจะรู้จัก “บัวว่าน่าจะใช้อารามิส หรือคาลวิน ไคลน์ มากกว่านะคะ”
ได้ยินละเอียดขนาดนี้ผู้ช่วยยมทูตแอบอมยิ้ม ความกลัวเลือนหายจากใจ ช่วงเวลาเดียวกับเสียงเพลงเงียบลง กลิ่นน้ำอบเจือจางเหลือแค่กระไอเย็นบาง ๆ แผ่ซ่าน
บัวบุษรายังไม่ปล่อยมือเขา ส่วนลึกสัมผัสกระแสอบอุ่นมั่นคงถ่ายทอดไม่ขาดสาย รู้สึกปลอดภัยความหวาดกลัวเจือจางลง
ขุนคีรีบีบกระชับมือน้อย ๆ ก่อนพาเดินขึ้นชั้นสอง รู้สึกถึงสายตาคอยแอบมองเป็นระยะ เสียงกระซิบกระซาบดังจากมุมโน้นมุมนี้ไม่ขาดสาย คนขวัญอ่อนอาจประสาทเสียถึงขั้นก้าวขาไม่ออก
บนชั้นสอง สายลมกรูเกรียวพัดมาปะทะเป็นการต้อนรับ กลิ่นอับ ๆ เหม็นหืนโชยมาพร้อมเสียงแสกสาก...แสกสากหลังบานประตูแต่ละห้อง
สองหนุ่มสาวยืนนิ่งขณะบรรยากาศชวนสะพรึงโอบล้อมรอบด้าน
มือน้อยเกาะกุมมือใหญ่ด้วยความวางใจ ขุนคีรีเข้มแข็งปราศจากหวั่นเกรง คำว่า ‘ผู้ช่วยยมทูต’ ไม่ใช่คำเรียกขานบังหน้าต่อไป
“ใครอยู่แถวนี้ ออกมาเจอกันหน่อยสิ” วาจาประกาศก้อง ชัดเจนทุกคำ
บัวบุษรารู้สึกคำพูดคนข้างกายมีพลังบางอย่าง คลี่คลายกลิ่นอายน่ากลัวรอบด้านไปหมดสิ้น
หึ...หึ...หึ...เสียงหัวเราะในลำคอกังวานทั่วทางเดินยาว ร่างสูงใหญ่ ไหล่หนา แต่งกายชุดนักศึกษาเก่าซีดก้าวออกจากเงามืด ใบหน้าสี่เหลี่ยม ดวงตาเรียวเล็ก ผิวสีเทาอมเขียวพยายามแสยะยิ้มทั้งที่ลิ้นจุกปากชวนขนลุก
ฮิ...ฮิ...ฮิ...เสียงแหลมบาดลึกดังประสาน ร่างผอมบางแห้งซีดปรากฏกายช้า ๆ ใบหน้าสามเหลี่ยมคางแหลมคล้ายจิ้งจก ท่าทางอมโรค ดวงตาเบิกค้างไม่อาจหลับลง มันขยับคอขลุกขลักเอียงไปเอียงมา พยายามสลัดให้หลุดเพื่อกลิ้งศีรษะมาอวดต่อหน้าทุกคน
หญิงสาวบีบมือใหญ่แน่น ร่างเบียดจนชิด ขุนคีรีหรี่ตาสังเกตสิ่งผิดปกติบางอย่าง
...เขาไม่เชื่อว่าภูตผีจะแสดงท่าทางเช่นนี้หลอกหลอนผู้คน!...
“ถ้าพวกคุณยังแสดงท่าทุเรศ ๆ แบบนี้ต่อไป ผมจะเตะคอหลุดเรียงตัวเลย”
พูดพร้อมดวงตาทอประกายกล้า ร่างกายแผ่กระไอร้อนคล้ายไอยมทูตออกไปโดยไม่รู้ตัว
สิ่งเกินคาดบังเกิดทันที!
“ว๊าย...ยมทูตมาแล้ว!”
ผีร่างใหญ่ หุ่นหมียักษ์รีบหุบยิ้มชวนสยอง กรีดร้องออกอาการ ‘สาวแตก’ รีบหลบข้างหลังปิศาจผอมบางหุ่นจิ้งจกตากแห้งทันที
“ไอ้ถึก...มึงออกไปรับหน้าเลยนะ...กูไม่รู้เรื่อง”
ผีกะเทยร่างบึ้กโบ้ยงาน ผีบอบบางตั้งคอตรงเบิกตามองผู้ช่วยยมทูตชัด ๆ อย่างหวาดเกรง
“อีแต๋ว...อย่าหางานให้กู...มึงนั่นแหละออกไปรับหน้าก่อน...ยมทูตคนนี้หล่อด้วยนะมึง”
พอได้ยินว่ายมทูตหล่อ ดวงตาเรียวเล็กค่อยเบิกกว้างมองผ่าน ‘ผีเพื่อน’ ไปยังร่างสูงเบื้องหน้า
“เออ...หล่อจริงด้วย แต่กูขอบาย...กลัว...ไม่เอา”
ปากบอกกลัว เกี่ยงกันไปมาแต่ทั้งคู่ยังไม่หนีหายไปไหน สถานการณ์ผิดคาดชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
ที่นี่ไม่มีผีทวงแค้น หวงบ้าน ฤทธิ์เดชร้ายกาจ มีแค่ผีกะเทยหุ่นหมี ผีผอมบางจิ้งจกตากแห้ง และอีกตนที่เพิ่งปรากฏตัว
“ขอโทษครับ เพื่อนผมเสียมารยาทไปหน่อย คุณยมทูตคงไม่ถือสา”
ผู้มาใหม่...หรือ...ผีตนใหม่ดูปกติสุด เป็นชายร่างสันทัดสวมชุดนักศึกษาเหมือนเพื่อน ใบหน้าคร้ามคมแบบไทยแท้ ผิวซีดคล้ำ ดวงตามีรอยหม่นเลื่อนลอยเฉกเช่นผู้อยู่ในภพภูตผีวิญญาณ
บัวบุษราปล่อยมือผู้ช่วยยมทูตมาปิดปากตนเอง เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้อารมณ์เปลี่ยน ขณะนี้หล่อนอยากหัวเราะจนแทบกลั้นไม่อยู่
ขุนคีรียืนนิ่ง หัวคิ้วขมวดนึกสงสัย เหตุใดภูตผีเหล่านี้จึงเรียกขานเขาเป็น ‘ยมทูต’ ทั้งที่ตนยังไม่เอ่ยปากแนะนำตัวสักคำ
...แล้ว...ความทรงจำหนึ่งผุดขึ้น
--------------- ------------ --------------
ก่อนขุนคีรีรับดอกลั่นทมจากยมทูตหินผา เขามองเห็นก้อนหินสีดำคล้ายถ่านมันวาวมีสะเก็ดแดง ๆ แฝงความร้อนแตกปะทุเป็นระยะดูน่ากลัว
“อะไรครับ”
“เรียกว่าสะเก็ดหินจากนิรยภูมิแล้วกัน” พูดพร้อมอธิบายโดยไม่ต้องร้องขอ “มันจะมอบ ‘พลังยมทูต’ ช่วยให้เธอมีความสามารถอย่างยมทูตตนหนึ่ง เช่น ‘ดวงตายมทูต’ มองเห็นหลายสิ่งผ่านสายตาพิเศษ ได้รับความสามารถบางอย่างซึ่งต้องค่อย ๆ เรียนรู้ต่อไป ที่สำคัญสร้างกลิ่นอายยมทูตแก่เธอ...สมกับเป็นผู้ช่วยยมทูตจริง ๆ สักที”
“ผมจำเป็นต้องรับมันไว้ใช่มั้ย”
“ก่อนหน้านี้เธออาศัยพลังฉันช่วยทำภารกิจ ต่อไปให้ใช้สิ่งที่ได้รับจัดการแต่ละงานเอง ฉันแค่คอยดูห่าง ๆ”
วาจานั้นบอกกลาย ๆ สามภารกิจแรกคือบททดสอบ พอผ่านมาได้ค่อยรับ ‘รางวัล’ หรือ ‘เครื่องมือ’ เพื่อปฏิบัติงานต่อไปสะดวกขึ้น
“ครับ”
ผู้ช่วยยมทูตตอบรับพร้อมแบมือไปข้างหน้า ‘สะเก็ดหินจากนิรยภูมิ’ วางบนมือบังเกิดความร้อนแค่วูบแรก ก่อนมันจะสลายกลายเป็นเถ้าซึมแทรกเข้าร่าง โดยชายหนุ่มไม่รู้สึกความเปลี่ยนแปลงใดในร่างกาย
จากนั้นค่อยได้รับดอกลั่นทมมาฝากบัวบุษรา พร้อมคำอธิบายแก่เธอเช่นกัน
ตอนมาถึงหอพักแรก ๆ จิตใจยังหวาดกลัวเพราะไม่คิดว่าตน ‘พิเศษ’ อย่างใด เวลานี้เพิ่งทราบแค่ ‘กลิ่นอายยมทูต’ ก็ทำให้เหล่าภูตผีรับรู้ มีพลังอำนาจบางอย่างสยบให้หวั่นระย่อเกรงกลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงตายมทูตและ ‘ความพิเศษ’ อื่นที่ยังไม่แสดงออกมาเลย
นั่นทำให้การพูดคุยเจรจาง่ายดายผิดคาด
--------------- ------------ --------------
“ผมจะพาพวกคุณออกไปจากหอพักแห่งนี้ ขัดข้องอะไรมั้ย”
“ไปค่า...ไม่ขัดข้องเล้ย...หนูอยากออกจากไอ้หอพักผีสิงนี่มานานแล้ว ได้ไปเกิดใหม่ยิ่งดี...ถ้ารู้ว่าคุณยมทูตรูปหล่อจะชวนออกไปแต่แรก จะยืนรอรับถึงหน้าบันไดเลย”
“หนอย...หอพักผีสิงเหรออีแต๋ว...อย่าลืมว่ามึงก็เป็นอีผีอุบาทว์ที่นี่ตัวนึงเหมือนกันนะ”
“กูเป็นผีอุบาทว์ มึงมันก็ไอ้ผีเวรห้าร้อยแหละวะไอ้ถึก”
“นี่อีแต๋ว...หอพักนี้ได้ชื่อว่าผีดุ น่ากลัวสุด ๆ ก็เพราะมึงนั่นแหละ ตอนเขาซ่อมแซมปรับปรุงหลังไฟไหม้แล้วมีนักศึกษาใหม่มาอยู่ มึงก็ไปแอบดูเขาแก้ผ้าอาบน้ำบ้าง นอนใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียวบ้าง เป็นไงล่ะพอเห็นหน้าอุบาทว์ของมึงกลางดึกก็หนีเตลิดเปิดเปิงแทบไม่ทัน”
“ต๊าย...ยังไงกูก็ไม่ทุเรศเท่ามึงหรอกไอ้ถึก ตอนเขามาทุบตึกเตรียมสร้างใหม่ มึงเสือกไปฉี่รดกำแพงผนังไม่เลือกที่ ทำสันดานหมาเยี่ยวสร้างอาณาเขตไปได้ ทั้งเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มอย่างนั้นคนงานเขากลัวกันหมด”
“โธ่อีแต๋ว...แล้วตอนมึงไปร้องกรี๊ด ๆ ปลื้มคนงานหุ่นล่ำกลางวันแสก ๆ จนเขาหนีแทบไม่ทันอย่างนั้นทำไมไม่พูดบ้างวะ”
สองผีเถียงกันทำให้คนฟังทราบเหตุผลเบื้องหลังเรื่องราวสยองขวัญต่าง ๆ ผีตัวที่สามรู้สึกอายแทนเพื่อนจึงรีบหันไปบอกยมทูตเชิงแก้ตัว
“พวกเขาไม่ได้ตั้งใจหลอกหลอนใครหรอกครับ แค่เหงา ๆ พอมีใครมาก็อยากพูดคุย อยากทำความรู้จักด้วยเท่านั้นเอง”
“จริงค่า...” ผีร่างบึ้กรีบตอบรับทันที “พวกเราไม่เคยหลอกหลอนใครเลย...เวลาพวกมาลองของอยากเจอผี...ไอ้ถึกก็แค่เปิดเทปซิมโฟนีวัดดอนมาบรรเลงเพลงต้อนรับ กลัวเขาเหงาเท่านั้นเอง”
“ว่าแต่กูนะมึง” คู่หูไม่ยอมแพ้ “ใครวะแม่งลงทุนทำน้ำอบแป้งร่ำสูตรเฉพาะวัดโคกอีแร้งมาประพรมซะทั่วหอ กลัวไม่รู้ว่าที่นี่ผีดุหรือไง”
ถึงตอนนี้บัวบุษราส่งเสียงหัวเราะพรืดเต็มกลั้น
“บัวว่าตอนนี้...พวกเราออกจากหอพักกันเถอะค่ะ”
คิดว่างานนี้ยากเย็น ต้องใช้ ‘พลังยมทูต’ เพิ่งได้รับขู่เข็ญ ใช้วาทศิลป์เกลี้ยกล่อมจากบัวบุษรา กลับกลายเป็นเรื่องง่ายดาย ท่าทางพวกเขาเบื่อหน่ายหอพักตนเอง อยากไปเกิดใหม่เต็มแก่แล้ว
มันอาจเป็นภาพพิลึกกึกกือสุดมหัศจรรย์ ทว่ามันเกิดขึ้นแล้วภายในหอพักผีสิง เมื่อผีร่างใหญ่หุ่นล่ำบึ้ก จูงมือผีผอมแห้งเอวบางแทบปลิวลมกระโดดหย็องแหย็งลงบันไดด้วยอาการร่าเริงสุดฤทธิ์
“เกิดใหม่กัน...เราไปเกิดใหม่กัน”
ต้นเสียงเป็นผีอีแต๋วส่งเสียงแปร๋น ๆ ประสานด้วยไอ้ถึกผีลูกคู่
“เย้...เย้...พวกเราไปเกิดใหม่กัน”
บัวบุษราเดินตามหลังหัวเราะยินดีด้วย ไม่เคยคิดว่าโลกหลังความตายจะมีมุมอะไรแบบนี้เหมือนกัน
“ก่อนตายพวกเราเป็นคนธรรมดานะครับ...พอตายจะให้กลายเป็นผีร้ายคอยหลอกหลอน เที่ยวหักคอชาวบ้านแบบไม่มีเหตุผลได้ยังไง”
ผีตัวที่สามชื่อ ‘คมสัน’ อธิบายให้ฟัง ท่าทางพูดจารู้เรื่องปกติสุดในแก๊งหอผีสิง
“จริงด้วยเนอะ” หญิงสาวยอมรับ
“คนเราชอบคิดเองเออเอง วาดภาพภูตผีจากความหวาดกลัวในใจ ปรุงแต่งภาพด้านร้ายจากหนังละครที่ดูอย่างเดียว ทั้งที่จริงผีร้ายก็มี ผีที่ดีก็มาก...ผีบ้าอย่างไอ้อีสองตัวนี้ก็ไม่น้อย!”
คนฟังหัวเราะพรืด รีบถามต่อ
“พวกผีร้ายเป็นยังไงคะ”
“ส่วนใหญ่พวกนี้ตายด้วยความคับแค้น เจ็บปวด อาฆาต...แต่เขาจะเอาเรื่องกับคู่กรณีตัวเอง หรือไม่ก็แค่บางคน...ที่กระทำกรรมสมควรได้รับผลให้เจอผีร้ายอย่างนั้น”
“แหม...ผีจูออนทำให้บัวเข้าใจผิดมานาน คิดว่าผีอาฆาตทุกตัวต้องฆ่าคนไม่เลือกหน้าไปหมด คราวนี้จะได้เลิกกลัวผีสักที...ดู ๆ ไปผีอย่างคุณแต๋ว คุณถึกน่ารักดีนะคะ”
“ก่อนตายพวกมันเป็นคู่กัดปะทะคารมกันตลอด พอตายมาอยู่ด้วยกันแล้วเพื่อนผีตนอื่นดันทยอยไปเกิดใหม่กันหมด เหลือแค่ที่เห็นมันเลยปรองดองกันบ้าง ตบตีกันบ้างตามประสา”
“พวกคุณอยู่กันแค่นี้คงเหงาน่าดู”
“ไม่เชิงขนาดนั้นหรอกครับ สมัยที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องผีดุใหม่ ๆ พวกชอบลองของ รายการผีมาถ่ายทำบ่อย ๆ สองตัวนั่นมีเรื่องสนุก ๆ ทำประจำ เช่นจัดแสดงโชว์พิลึก ๆ คิดกันเองว่าเจ๋งสุดยอด คนดูต้องปรบมือชอบ ปรากฏว่าพวกที่มารับสัญญาณได้แบบวูบ ๆ วาบ ๆ เห็นด้วยตาแค่บางส่วน กล้องก็ติดแค่เสียง ภาพเงาวอบแวบ เลยไปตีความหลงเชื่อกันว่าโดนอิทธิฤทธิ์ขับไล่ บางพวกคิดว่าโดนพวกมันทำร้ายสิงสู่เอาด้วยซ้ำ ทั้งที่จริงสองตัวนั่นแค่อยากให้ ‘แขก’ ของเราได้รับความสนุกสนานเท่านั้นเอง”
หญิงสาวนึกภาพตามพลางหัวเราะคิกขำขัน นึกถึงภาพภูตผีตั้งใจทำโชว์สุดเจ๋ง ผู้คนกลับคิดว่าโดนหลอกหลอน ชวนจับไข้หัวโกร๋น
...สิ่งเกิดขึ้นจริงกับภาพความกลัวในใจปรุงแต่งขึ้นมา...อาจสวนทางกันก็ได้...
ในที่สุด...สองผีนำทุกคนลงบันไดมาถึงลานหน้าหอพักห่างจากชายคาประมาณสองเมตร ด้านหน้าก่อตัวเป็นม่านหมอกหนากว่าเดิม แสดงอาณาเขตเสมือนกำแพงกั้นมิอาจก้าวล่วง
ขุนคีรีเดินนำหน้าเฉียดผีสองตนฝ่าม่านหมอกสะดวกราบรื่น จากนั้นหันมาบอกพวกที่เหลือ
“ตามมาสิ”
บัวบุษราพยักหน้าให้ผีคมสัน ก่อนเดินเคียงข้างผีสองตนที่ท่าทางกระตือรือร้นอยากพ้นจากอาณาเขตเดิมเสียที
...แต่นั่น...ไม่ง่ายดายอย่างคิด
ขุนคีรี บัวบุษราสามารถออกมาได้ ผีทั้งสามตนติดอยู่หน้ากำแพงหมอก ไม่อาจก้าวเท้าเลยมาสักคืบ แม้ ‘ผู้ช่วยยมทูต’ จะยื่นมือฉุดรั้งยังไม่สามารถพาพวกเขาออกมาได้ตามต้องการ
หญิงสาวเงยหน้ามองคนข้างกาย ถอนใจบ่นพึมพำเบา ๆ พอได้ยิน
“เฮ้อ...ว่าแล้ว...คุณยมทูตหินผาคงไม่เลือกงานง่าย ๆ ให้เราแน่”
ขุนคีรีเริ่มเข้าใจ เหตุใดจึงได้รับ ‘พลังยมทูต’ ในภารกิจนี้
--------------- ------------ --------------
สองคน สามผีนั่งบนบันไดหน้าหอพัก มองม่านหมอกตรงหน้าอับจนปัญญา ไม่ทราบควรหาวิธีใดผ่านมันออกไป
“ขอโทษด้วยนะ” ขุนคีรีบอก
“ไม่เป็นไรครับ” คมสันเข้าใจ “พวกผมพยายามจะออกไปเป็นพันครั้งยังไม่สำเร็จ...ตอนนี้ระดับยมทูตมาช่วยก็ยังไม่ได้ เห็นทีพวกเราต้องเฝ้าหอผีสิงไปอีกหลายร้อยปีแน่ ๆ”
“กูม่ายอ๊าว...” อีแต๋วส่งเสียงกึ่งสะอื้น
“กูก็ไม่อยากอยู่เว้ย” ไอ้ถึกเสริม
ทั้งสองหันมาบ่นเชิงปรับทุกข์แก่กัน
“ทำไมผีตัวอื่นไปเกิดก่อนกูได้...ขนาดอีหมาผีนังสะมะชายยังได้ไปเกิดก่อนกูเล้ย...กูทำอะไรผิดนักหนา”
“กูก็เป็นผีแสนดี ไม่เคยทำชั่วบ้าผู้ชายเหมือนมึง ทำไมยังไม่ได้ไปเกิดอีกวะ”
“ไอ้ถึก...ถึงมึงไม่บ้าผู้ชายแต่ก็หน้าหม้อ ขี้หลีไปทั่วไม่ดูหนังหน้าตัวเองเหมือนกันแหละวะ...พวกพิธีกรสาว ๆ รายการผีมาถ่ายทำที่นี่กี่คนมึงก็ไปสีเขาหมด...แหยะ...น่าขยะแขยงจะตาย อาบน้ำมนต์เจ็ดวัดยังล้างซวยไม่เกลี้ยงเลย”
“หน็อยว่าแต่กูนะอีแต๋ว สาบานสิว่ามึงไม่เคยคิดจะทำอะไรตากล้อง...ยังไงกูก็เป็นผีสุภาพบุรุษไม่ทำอะไรทุเรศ ๆ อย่างมึง...ไม่งั้นกูก็จีบน้องบัวคนสวยไปแล้วสิ”
พอวาจาวกมาถึงตนเอง บัวบุษรายิ้มแหย หาทางปัดออกโดยเร็ว
“เอ่อ...ที่จริงการที่พวกคุณไม่สามารถออกจากหอพักหลังนี้ได้ น่าจะเป็นเพราะมีเรื่องบางอย่างค้างคาใจอยู่หรือเปล่าคะ...ลองคิดดี ๆ อาจทำให้หลุดจากการยึดติดโดยไม่รู้ตัวก็ได้”
“ไม่มี๊...” อีแต๋วรีบตอบแล้วสะดุดกึก หันมองหน้าคู่หูคู่กัด
ไอ้ถึกคล้ายระลึกบางเรื่องได้เช่นกันรีบหุบปากนิ่ง ไม่ต่อล้อต่อเถียง
ขุนคีรีเอ่ยดักคอ
“ใช่เรื่องสาเหตุไฟไหม้หอพักหรือเปล่า”
ผู้ตกใจสุดกลับเป็นคมสัน
“คุณยมทูตรู้ได้ยังไง...”
พูดจบพยักหน้ายอมรับ นึกได้ว่ายมทูตต้องรู้จักพวกเขาดีอยู่แล้ว
“สาเหตุไฟไหม้ ไม่ใช่แค่ไฟฟ้าลัดวงจรใช่มั้ย” ผู้ช่วยยมทูตถามต่อ
ทั้งสามนิ่งงันไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ บัวบุษราโพล่งถามทันที
“หรือว่าไฟไหม้หอพักนี้เป็นฝีมือพวกคุณ”
“ไม่ใช่...ฉันไม่ได้ทำ” อีแต๋วปฏิเสธเสียงแข็ง พร้อมบุ้ยบ้ายไปทางคู่หู
“กูก็ไม่ได้ทำ...มึงนั่นแหละเป็นต้นเหตุ...อีแต๋ว...”
“ต้นเหตุยังไงเกี่ยวอะไรกับกู”
“ถ้ามึงไม่ขโมยสารเคมี อุปกรณ์ทดลองจากแล็ปมหา’ลัย แล้วมันจะเกิดเรื่องระเบิดไฟไหม้มั้ย”
“โหยว่าแต่กู...ถ้าไม่ใช่มึงเสือกคิดสูตรพิสดารออกมา ไอ้เหี้ยนั่นก็คงไม่อยากทดลองทำระเบิดแบบพิเศษขึ้นมาหรอก”
“กูคิดสูตรของกูอยู่ดี ๆ ถ้ามึงไม่เสือกขโมยของจากแล็บมาให้มัน แล้วจะเกิดเรื่องอย่างนี้เหรอ”
“พอเถอะ...พวกเราก็มีส่วนผิดด้วยกันทุกคนแหละ” คมสันตัดบทเสียงกร้าว “กูก็ผิด...ทั้งที่รู้ว่าคืนนั้นมันจะทดลองอะไรก็ยังไม่ห้ามปราม ใจเย็นไปแดกเหล้าจนเมาหลับไม่รู้เรื่อง ตื่นมาก็ไฟไหม้จนตายห่าเกือบหมดหออยู่แล้ว”
ทั้งหมดอาจเป็นคำสารภาพผิด ไม่ก็เป็นเรื่องค้างคาใจจนรู้สึกว่าควรต้องรับกรรมชดใช้ ทำให้ไม่อาจหลุดพ้นจากสถานที่แห่งนี้ได้เลย
--------------- ------------ --------------
ถึงดูคล้ายผีบ้าอาศัยหอพักผีสิงนานจนเพี้ยน สมัยอีแต๋ว ไอ้ถึกเป็นมนุษย์ พวกนี้หัวดีระดับจีเนียสทีเดียว
แต๋ว...ชื่อเดิม ตฤณโชค นักศึกษาระดับท็อปคณะวิทยาศาสตร์
ถึก...ชื่อเดิม ฐาปกรณ์ นักศึกษาทุนคณะวิศวกรรมศาสตร์
ทั้งสองรวมทั้งคมสันอยู่หอพักสมเกียรติร่วมกับเพื่อนมหาวิทยาลัยคณะอื่น ๆ ใช้ชีวิตสนุกสนานเฮฮาตามประสาวัยรุ่นวัยเรียน
ถึก...ฐาปกรณ์ชอบคิดค้นสูตรเคมี ฟิสิกส์ทดลองสร้างนวัตกรรมหลายอย่าง บางชิ้นได้รับรางวัลระดับชาติมาแล้ว แต่บางสูตร บางโครงการถูกร่างทิ้งไว้เฉย ๆ โดยไม่สนใจทำอะไรต่อ
เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ‘นล’ เรียนคณะเดียวกัน อ่านแนวความคิดของถึกที่ว่าจะใช้กระแสไฟฟ้า กระตุ้นส่วนผสมสารเคมีสามสี่อย่างเพื่อให้เกิดพลังงานทดแทน เห็นว่าสามารถทำให้เกิดได้จริง แต่เจ้าของความคิดแค่เขียนสูตรโครงสร้างคร่าว ๆ ไม่สนใจทำต่อจึงขอไปพัฒนาต่อยอดเอง
ถึกยกให้โดยไม่หวง แค่เตือนเพื่อนว่าสูตรนั้นยังไม่สมบูรณ์ให้ทดลองระมัดระวัง
ปัญหาคือนลไม่ได้รับอนุญาตทำการทดลองนี้ในมหาวิทยาลัย จึงใช้อุบายหลอกล่อแต๋ว...ตฤณโชค นักศึกษาผู้มีหน้าที่ดูแลอุปกรณ์ สารเคมีในแล็ปมหาวิทยาลัยขโมยของที่ต้องการออกมา
คืนที่นลแอบทำการทดลองในห้องส่วนตัว คมสันเข้ามาเห็นแล้วแปลกใจ เกิดสังหรณ์ไม่ดีแต่ไม่ห้ามปรามอะไร คิดแค่ชวนอีกฝ่ายไปร่วมวงดื่มเหล้า พอโดนปฏิเสธก็ไม่ว่าอะไร
ออกจากห้อง ไปตั้งวงสุราฉลองวันเกิดเพื่อนร่วมหอ สนุกสนานจนลืมเลือนเมาหลับไม่รู้เรื่อง
การทดลองนั้นทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร สารเคมีทำปฏิกิริยาจนเกิดเพลิงไหม้กลุ่มควันหนาแน่นลุกลามทั้งชั้นบน ชั้นล่าง คร่าชีวิตนักศึกษาหลายคน
นลหายตัวจากหอพัก แล้วแสร้งกลับมาทำเป็นไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ เนื่องจากสามคนที่ล่วงรู้การกระทำของตนล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว
ผีทั้งสามทราบเบื้องหลังเหตุร้าย ต่างพูดไม่ออก ส่วนลึกยอมรับว่าตนมีความผิดไม่กล้าปริปากบอกผีตนอื่น กระทั่งดวงวิญญาณเพื่อน ๆ แยกย้ายไปเกิดยังที่เหมาะสม
บัดนี้เหลือแค่พวกเขา...รอให้ความรู้สึกผิดในใจคลี่คลาย อาจมองเห็นเส้นทางไปต่อข้างหน้า
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|