วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๑๒



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ปฏิทินบนผนังบอกเวลาหนึ่งปีหลังเกิดเหตุ หลายเดือนหลังจากมาขอความช่วยเหลือครั้งแรก

            ช่วงเวลาบ่ายร้านก๋วยเตี๋ยวปราศจากลูกค้า เด็กลูกจ้างกำลังล้างจานชามด้านหลัง ปล่อยเจ้าของร้านนั่งคุยกับแขกประจำซึ่งมาแทบทุกเดือนเพียงลำพัง

            ตรงหน้าอดีต ‘หมวดรัชตะ’ มีเอกสารข้อมูลเพิ่มจากเดิมเป็นตั้ง สีหน้าแววตาแสดงความเฉียบคม ฉลาดเฉลียวโดยไม่ถูกกาลเวลา เรื่องร้ายในชีวิตกัดกร่อนจนหมดสิ้น

            ดาบตำรวจพนานั่งรอวาจาอีกฝ่าย ลักษณะเข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังเกินกว่าครึ่ง รอเพียงแค่คำยืนยันเท่านั้น

            “ที่จริงดาบน่าจะพอเดาเรื่องออก ตั้งแต่ผมให้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมทีละอย่างตลอดปีมานี้อยู่แล้วนะ”

            ฝ่ายเจ้าของร้านเริ่มต้นดักคอ

            “ผมเข้าใจเจตนาที่หมวดให้ไปหาข้อมูลแวดล้อมทีละอย่าง คิดว่าคงอยากให้มองเรื่องราวออกเอง”

            “งั้นเริ่มจากตึกที่เกิดเพลิงไหม้...ดาบมีความเห็นว่าไง” คนวิเคราะห์ข้อมูลถามผู้หาข้อมูล

            “ระเบิดที่เด็กวัยรุ่นโยนเข้าไปในนั้นเป็นแค่การจุดชนวนสร้างภาพ ข้างในตึกเตรียมการวางเพลิงอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีใครโยนระเบิดเข้ามาก็เกิดเพลิงไหม้อยู่ดี”

            ดาบตำรวจพนาหยิบเอกสารภาพถ่ายบางชิ้นชูให้ดูเป็นการยืนยันก่อนสรุป

            “การทะเลาะวิวาทของพวกแข่งมอเตอร์ไซค์ เหมือนเป็นฉากหน้าให้แผนการวางเพลิงแนบเนียนขึ้นเท่านั้นเอง”

            “ผมเห็นด้วย” อดีตผู้หมวดตอบรับแล้วตั้งคำถามใหม่ “ทำไมตึกนั้นถึงถูกวางเพลิง”

            “ข้อสันนิษฐานของผมคือ...อาจมีใครจงใจทำลายหลักฐาน เท่าที่ผมสอบถามคนบริเวณใกล้เคียงตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้ เขาว่าพวกดับเพลิงมาเร็วมาก เจ้าหน้าที่เข้าไปภายในตึกหลายคน บางคนดูแล้วเหมือนมีเจตนาแอบแฝง แต่ตอนนั้นไม่มีใครผิดสังเกต”

            “ดาบสังเกตเห็นอะไรผิดปกติทีหลังหรือเปล่า”

            “ผมแอบเข้าไปดูหลายรอบ เก็บรายละเอียดทุกซอกทุกมุมทุกชั้น พบว่าเอกสารข้าวของทุกอย่างในนั้นถูกเผาทำลายไม่เหลือซาก ช่องเก็บของบางจุดก็เหมือนถูกกวาดเรียบ ไม่มีอะไรเหลือเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งที่มันน่าจะมีซากอะไรหลงเหลือพอให้จับเค้าได้บ้าง”

            “งั้นถือว่าเราสันนิษฐานตรงกันว่า เจตนาวางเพลิงตึกนั้นเพื่อทำลายหลักฐานบางอย่าง ซึ่งเวลานี้ยังไม่รู้ชัดว่ามันคืออะไร” อดีตนายตำรวจมือดีสรุปแล้วตั้งคำถามต่อไป

            “ดาบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแก๊สระเบิดห้องครัวว่ายังไงบ้าง”

            “เรื่องนี้ผมหาหลักฐานเพิ่มจากที่ให้หมวดคราวก่อนไม่ได้เลย” ตอบแบบจนปัญญา

            “จำได้ว่าผมเคยบอกดาบให้ถอยมาดูไกล ๆ หน่อย ถ้ามองมุมกว้างเราจะเห็นภาพรวมชัดขึ้น”

            “ผมลองดูแล้ว ทำให้เกิดข้อสงสัยบางอย่างขึ้นมา”

            “สงสัยว่ายังไง”

            “ถ้าแก๊สในครัวไม่ระเบิดเสียก่อน ร้านอาหารนั้นจะเป็นยังไง”

            “แสดงว่าดาบสืบเรื่องนี้มาเหมือนกัน”

            “ผมใช้วิธีพูดคุย สอบถามกับพวกเด็กในร้านที่ลาออกมาแล้ว...ได้ข้อมูลบางอย่าง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันอะไรเลย”

            “ข้อมูลว่าไงบ้าง”

            “ถ้าแก๊สไม่ระเบิดเสียก่อน ชั้นบนร้านอาจเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ห้องวีไอพี!”

            “ทำไมถึงคิดว่าอาจเกิดไฟฟ้าลัดวงจรตรงนั้น”

            “จุดที่วางแผงสวิตช์ไฟชั้นนั้นอยู่ใกล้กับจุดวางแผงสวิตช์ไฟตึกที่เกิดเพลิงไหม้ ถ้าแก๊สระเบิดช้ากว่านี้สักห้านาทีสิบนาที ไฟลามถึงแผงสวิตช์ไฟฝั่งนั้นจนมันระเบิด เราคาดไม่ได้เลยว่าจะมีผลอะไรกับฝั่งร้านอาหารหรือเปล่า”

            “ลูกค้าห้องวีไอพีเป็นใคร” อดีตนายตำรวจถาม

            “เห็นว่าเป็นนักธุรกิจ กับนายตำรวจกลุ่มนึง...ผมได้รูปกับชื่อพวกเขามาให้หมวดวันนี้แล้ว” พูดพลางเลื่อนซองสีน้ำตาลในมือให้

            “แสดงว่าดาบรู้พวกเขาเป็นใคร แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาชุมนุมกันที่ร้านอาหารนั่น”

            “ครับ”

            “ผมจะถามจากคน ‘วงใน’ ให้แล้วกัน”

            พูดฟังง่าย ดาบตำรวจอาวุโสทราบว่าไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะตนเองพยายามสืบเท่าไหร่ยังไม่ได้ข้อมูลต้องการ หนำซ้ำเสี่ยงต่อการถูกจับตาจากกลุ่มคนอันตราย

            อดีตนายตำรวจอยู่ในเรือนจำนานยี่สิบกว่าปีรู้จักตั้งแต่นักการเมือง ผู้มีอิทธิพลที่โดนคดีจำคุกไม่กี่ปี จนถึงเจ้าพ่อมาเฟีย นักเลงใหญ่ นักเลงข้างถนนหลายระดับชั้น บัดนี้หลายคนได้รับอิสระออกมานอกคุกโดยมีอำนาจบารมีพอตัว

            การสืบหาข้อมูล ‘พิเศษ’ จากคนกลุ่มนี้ นับว่าไม่ยากเกินกำลัง

            “ขอบคุณครับหมวด” ดาบตำรวจอาวุโสเบาใจ

            “ดาบเองระวังตัวบ้าง อย่าทำอะไรโฉ่งฉ่างแล้วกัน”

            “ไม่ต้องห่วงครับ...ผมเป็นตำรวจสืบสวนมาตลอดชีวิต รู้ควรวางตัวยังไง...อีกอย่างยังมีลูกสาวสองคนต้องดูแล ไม่กล้าทำอะไรเสี่ยง ๆ ให้พวกเขาเสียใจหรอก”

            ท้ายประโยคทำให้ผู้นั่งฟังโต๊ะใกล้ ๆ เกิดอาการตื้นตัน มองบิดาด้วยดวงตาหล่อรื้นหยาดน้ำใส ๆ

            บัวบุษรารับฟังการสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบ บอกไม่ถูกตนเองควรรู้สึกอย่างไร เป็นห่วง กังวล หรือควรพูดจากับบิดาให้ชัดเจนว่าไม่ต้องสืบเบื้องหลังคดีอีกแล้ว

            ยมทูตตรงข้ามอ่านความรู้สึกออก โบกมือเบา ๆ ภาพทั้งหมดค่อยเลือนหาย ตอกย้ำให้ทราบว่านี่คือความฝัน อย่าจริงจังกับมัน



--------------- ------------ --------------



            สถานที่แห่งใหม่เป็นริมถนนร้าง ปราศจากผู้คนเดินไปมา บนถนนเงียบงันไม่มีรถราแล่นผ่าน ยมทูตเดินเคียงข้างนำหน้าหญิงสาวเล็กน้อย

            บัวบุษราตั้งสติกับการเปลี่ยนแปลงตรงหน้าชั่วขณะก่อนเอ่ยปาก

            “ทำไมคุณยมทูตไม่ให้บัวนั่งฟังต่อจนจบคะ”

            “ฉันเริ่มคิดว่า รางวัลนี้อาจเป็นโทษแก่เธอมากกว่า”

            “ความจริง...อาจทำร้ายเราได้ แต่บัวไม่คิดว่าจะเป็นโทษอะไรนะคะ”

            “ตอนนี้มั่นใจแล้วหรือว่า สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน”

            “แหม ทั้งคลินิกทำแท้งเถื่อน แก๊งแข่งมอเตอร์ไซค์เป็นข่าวดังจนคนอย่างบัวรู้ได้ คงโกหกตัวเองว่าทั้งหมดเป็นแค่ความฝันไม่ได้หรอกค่ะ”

            “ถ้าไม่ใช่ความฝัน ชีวิตจริงเธอทำอะไรได้มั้ย คิดว่าไปเตือนพ่อให้เลิกตามคดีนี้แล้วเขาจะเชื่อหรือ”

            “ขืนบัวทำอย่างนั้น พ่อคงเคี่ยวเข็ญถามว่าไปรู้มาจากไหน...พอบอกความจริงไป นอกจากต้องไปตรวจตากับหมอดนัยแล้ว...อาจต้องไปพบจิตแพทย์อีกด้วย” ตอบปลง ๆ ปนอารมณ์ขัน

            “พูดอย่างนี้แสดงว่าเข้าใจสถานะตัวเองเหมือนกัน”

            “มันเลือกไม่ได้นี่คะ อีกอย่างตะกี้พ่อพูดเองว่าพยายามระวังตัว ไม่อยากให้ลูกเสียใจ...บัวต้องเคารพความคิด การตัดสินใจของพ่อเหมือนกัน”

            หญิงสาวคิดว่าจะได้รับคำชมจากยมทูต ปรากฏว่าไม่มีคำตอบนอกจากชะงักเท้าหยุดยืนนิ่ง

            ตอนนี้ค่อยสังเกตว่าทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าหอพักร้าง เก่าโทรม บรรยากาศชวนขนลุก ลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน หูแว่วเสียงประหลาดครวญครางมากับสายลม

            “เอ่อ...ที่นี่ที่ไหนคะ”

            “งานชิ้นต่อไป...หอพักที่ฉันให้เธอได้เห็นไล่เลี่ยกับการแข่งมอเตอร์ไซค์นั่นแหละ”

            “อ๋อ...จำได้แล้ว”

            พอหลุดปากแล้วใจหล่นวูบ สังหรณ์แปลก ๆ กระทบใจ สายตามองเข้าไปในหอพักเห็นเงาวอบแวบปรากฏตามช่องหน้าต่าง คล้ายมีสายตาลึกลับมองออกมาชวนเสียวสันหลัง

            “เอ่อ...งานนี้จะให้บัวทำอะไรคะ”

            “เธอกับขุนคีรีต้องไปพาพวกที่อยู่ในนั้นออกมาทั้งหมดให้ได้!”

            แค่ฟังภารกิจใจก็หล่นวูบ นึกถึงภาพผีทวงแค้น หวงบ้าน ติดยึดกับสถานที่อยู่ตนเหนียวแน่น ร้ายกาจน่ากลัว หลอกหลอนขับไล่ทุกคนที่เยี่ยมกรายเข้ามา

            เธอต้องโน้มน้าว ชักพาภูตผีน่ากลัวขนาดนั้นให้เลิกยึดติด...น่าจะเป็นงานน่ากลัวสยดสยองสุดตั้งแต่ร่วมงานยมทูตก็ว่าได้

            “เอ่อ...ให้บัวมากับคุณผู้ช่วยขุนคีรีใช่มั้ยคะ” ถามมีความหวัง อย่างน้อยคำว่า ‘ผู้ช่วยยมทูต’ อาจสยบความน่ากลัวเหล่าภูตผีได้

            “ใช่...คืนพรุ่งนี้ขุนคีรีจะพาเธอมาที่นี่อีกครั้ง”

            “ค่ะ”

            ตอบรับด้วยใจหวั่น ไม่ทันสังเกตรอยยิ้มเอ็นดูชั่วแวบในดวงตายมทูตหินผา ยามสัมผัสความหวาดเสียวกลัวผีร้ายของเธอ



--------------- ------------ --------------



            โรงพยาบาล

            ขุนคีรีนั่งเก้าอี้รอเข้าตรวจห่างจากห้องพอสมควร อีกหลายคิวกว่าจะถึงตนเองจึงก้มหน้าเปิดมือถือเสียบหูฟังเข้ายูทูปเพื่อชมรายการทีวีย้อนหลังชื่อ ‘ช็อกโปรแกรม’ ซึ่งเป็นเทปถ่ายทำบอกเล่าเกี่ยวกับหอพักร้างแห่งหนึ่งชื่อ ‘หอพักสมเกียรติ’

            “สวัสดีค่ะท่านผู้ชม ขณะนี้รายการช็อกโปรแกรมของเรากำลังพาท่านมายืนหน้าหอพักสมเกียรติ ซึ่งได้ชื่อว่าผีดุที่สุด”

            อาคารหอพักด้านหลังถูกสร้างไม่ต่ำกว่าสามสิบปี ตัวตึกสองชั้นรูปทรงเทอะทะโบราณ ขนาดผ่านการบูรณะซ่อมแซมยังเห็นร่องรอยปูนกะเทาะหลายแห่ง

            “ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นตัวตึกหลังนี้คล้ายอาคารเรียนสมัยก่อนมีบันไดหน้าตรงกลาง ตามมาสิคะ ขึ้นบันไดแล้วเราจะได้เห็นทางเดินยาว...”

            ทางเดินกลางตึกตกอยู่ในเงาสลัว แสงสว่างไม่อาจส่องถึง สองด้านเรียงรายด้วยประตูประมาณสิบบาน

            ห้องเช่าชั้นล่างถูกซอยเล็ก ๆ ตามปีกตึกซ้ายขวา ประตูแต่ละบานมีร่องรอยชำรุด บ้างหลุดร่องแร่งเปิดอ้า เผยห้องโล่ง แสงสว่างสีซีดส่องจากหน้าต่างเพียงสองบาน บางห้องอาจมีข้าวของใช้เก่า ๆ ที่เจ้าของทิ้งไว้ไม่เห็นคุณค่า ปล่อยฝุ่นเกาะหนูแทะแหว่งวิ่น

            สุดทางเดินเป็นห้องน้ำรวมสภาพเก่าโทรม คราบตะไคร่เกาะดำเป็นปื้น ห้องอาบน้ำแยกเป็นสัดส่วนประตูหลุดพังเป็นส่วนใหญ่ ห้องส้วมอยู่อีกด้านดูแล้วสกปรกไม่น่ามีคนใช้งานนับสิบปี

            “ก่อนเราจะพาท่านผู้ชมไปสัมผัสความเร้นลับภายในหอพักแห่งนี้ ดิฉันจะพาไปพบกับบุคคลหนึ่ง ซึ่งรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหอพักเป็นอย่างดี”

            ภาพถูกตัดไปยังชายกลางคน อายุราวสี่สิบเศษ

            “สวัสดีค่ะคุณกำจร ดิฉันอยากขอให้ช่วยเล่าถึงหอพักสมเกียรติที่เขาลือกันว่าผีดุให้ฟังสักหน่อย”

            “ได้ครับ แต่เรื่องมันนานมาแล้วนะคุณ”

            “ค่ะ...เท่าที่ทราบ หอพักหลังนี้คุณสมเกียรติ บิดาคุณกำจรเป็นคนสร้างไว้เมื่อราวเกือบสามสิบปีก่อนใช่มั้ยคะ”

            “ใช่ครับน่าจะสามสิบปีได้แล้วล่ะ สมัยนั้นมีนักศึกษาชายมาเช่ากันเยอะ มันอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ราคาถูกกว่าทุกแห่ง เพราะเราใช้ห้องน้ำรวม ไม่ได้แยกเป็นห้อง ๆ เหมือนหอพักทั่วไปในปัจจุบัน”

            “แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ”

            “เมื่อราว ๆ สิบกว่าปีที่แล้วเกิดเพลิงไหม้ นักศึกษาตายไปหลายคน”

            “สาเหตุเกิดจากอะไรคะ”

            “ทางตำรวจบอกว่าไฟฟ้าลัดวงจร พ่อผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ มันเป็นคำตอบที่ง่ายไปหน่อย หลังจากไฟไหม้ครั้งนั้น โครงสร้างตึกเรายังแข็งแรงเสียหายแค่ประตูหน้าต่าง ข้าวของข้างใน เลยปิดซ่อมแซมปรับปรุง รอให้ข่าวไฟไหม้ซาก่อนค่อยเปิดบริการอีกครั้ง”

            “หลังจากนั้นใช่มั้ยคะ ที่มีข่าวลือว่าเป็นหอผีสิง”

            “ครับ ไม่เคยมีนักศึกษาคนไหนพักได้เกินสามคืน ขนาดผู้ชายตัวโต ๆ ท่าทางไม่กลัวอะไร เช่าห้องรวมกันยังทนไม่ได้ เตลิดเปิดเปิงหมด”

            “พวกผีหลอกหลอนยังไงคะ”

            “มันมีหลายรูปแบบ นักศึกษาเล่าว่าบางคืนได้ยินเสียงเดินไปเดินมาตามทางเดิน เปิดประตูมาไม่เจอใครแล้วเดินอย่างนั้นยันเช้าแทบไม่ได้หลับได้นอน บางทีมีเสียงหมาหอนดังโหยหวน เสียงผู้ชายพูดจากระซิบกระซาบกันดังซ่า ๆ ที่ร้ายกว่านั้น บางคนไปอาบน้ำห้องรวมตอนดึก ๆ พบใบหน้าประหลาดโผล่จากผนังบ้าง อ่างน้ำบ้าง เล่นเอาวิ่งป่าราบผ้าผ่อนหลุดตาม ๆ กัน”

            “คุณกำจรเคยคิดจะรื้อเพื่อสร้างอาคารใหม่มั้ยคะ”

            “เคยคิดสิครับ ลงมือทำแล้วด้วย ให้บริษัทก่อสร้างไปทุบตึกทิ้งแต่ทำได้วันเดียว คนงานหนีเตลิดหมด”

            “ถูกผีหลอกกลางวันเลยหรือคะ”

            “ทำนองนั้นแหละครับ เขาเล่าว่าแค่เอาค้อนทุบตึกทีสองทีก็มีเสียงร้องโหยหวนบาดหู สยดสยองจนขนลุก พอผนังตึกมีรอยแตกก็เห็นเลือดไหลซึมออกมา คนงานกลัวจนไม่กล้าทำอะไร นิมนต์พระมาสวด ทำบุญกรวดน้ำให้ก็ไม่ได้ผล เรื่องแปลก ๆ น่ากลัวเกิดขึ้นตลอด ผมจนปัญญาเลยปล่อยไว้อย่างนั้น”

            จบการสัมภาษณ์ภาพตัดกลับมาที่หอพักร้าง ถ่ายบรรยากาศยามเย็นอึมครึม ภายในยิ่งวังเวงน่ากลัว จากนั้นตั้งกล้องแช่ไว้ตลอดคืน พร้อมกับบอกเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของกลุ่มพิธีกร นักลองของอย่างละเอียด

            หลังจบรายการ ขุนคีรีเสิร์ชหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่ากิตติศัพท์ความเฮี้ยนหอพักนี้เป็นที่ขึ้นชื่อลือชา นักลองของหลายคน ‘เจอดี’ มาแล้วสารพัดรูปแบบ

            ภารกิจที่ยมทูตหินผาบอกตอนย่ำรุ่งคือ เขากับบัวบุษราต้องพาภูตผีวิญญาณในหอพักออกมา เพื่อส่งต่อท่านพญามัจจุราช

            “ครั้งนี้เธอกับบัวบุษราจะไปในสภาวะเดียวกันคือ...ทางความฝัน” ยมทูตบอกเหตุผล “มันจะสะดวกกับเธอมากกว่าไปด้วยกายเนื้อ”

            “ครับ”

            ตอนรับปากไม่คิดว่างานยากเย็น ภูตผีที่ผ่านมาคุยกันรู้เรื่องไม่มีปัญหา เข้าใจแล้วว่าก่อนตายพวกเขาเคยเป็นคน...คนธรรมดามีดีมีเลว มีสุขมีทุกข์ ซึ่งปกติไม่มีใครอยากหักคอคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลแน่

            คนธรรมดาตายกลายเป็นผี...เหตุใดมักถูกทึกทักว่าต้องร้ายกาจน่ากลัวขนาดนั้น

            พอมาดูรายการช็อกโปรแกรม อ่านข้อมูลประสบการณ์จากนักลองของชักไม่แน่ใจ อดเป็นห่วงบัวบุษราจนหวั่นใจลึก ๆ ไม่ได้

            ความคิดไม่ทันสิ้นกระแส หางตาเห็นประตูห้องตรวจเปิดออก บัวบุษราสวมแว่นสีชา ถือไม้เท้าเดินออกมาคู่กับพี่สาวด้วยใบหน้าปราศจากริ้วรอยกังวลใจ

            ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นค่อยเบาใจ ขยับตัวลุกขึ้นเดินตามห่าง ๆ ทำทีเป็นเข้าห้องน้ำระหว่างสองสาวรอรับยา ได้ยินทั้งคู่พูดคุย ยิ้มแย้มได้ก็โล่งอก

            กลับจากห้องน้ำ รออีกครู่ใหญ่ค่อยถึงคิวตนเองเข้าห้องตรวจ



            นายแพทย์ดนัยเงยหน้ามอง ‘คนไข้’ รายใหม่แล้วส่ายหน้าระอา

            “ไม่ได้ป่วย...มาทำไม” แพทย์อาวุโสถามกึ่งดุ

            “ผมอยากรู้...เธอมาตรวจวันนี้อาการเป็นยังไงบ้าง”

            “คราวหน้าโทรมาถามก็ได้ ไม่ต้องมาขึ้นคิวตรวจกันสิทธิคนอื่น”

            “ขอโทษครับ” ถึงพูดอย่างนั้น นัยน์ตายังจ้องเป๋งรอคำตอบ

            คุณหมออมยิ้ม นึกถึงภาพเด็กชายตัวน้อยหัวดื้อเมื่อวันวาน กับคุณแม่แสนสวยจิตใจดีงาม...ผู้มีพระคุณต่อตนเอง

            “ไม่ดีขึ้นหรอก เธอเห็นแสงพร่ามัวมืดลงกว่าเดิม”

            คำพูดตรงไปตรงมาจนคนฟังหน้าเสีย ต้องอธิบายเพิ่มเติม

            “ไม่ต้องห่วง คนไข้กำลังใจดีมาก สามารถปรับตัวใช้ชีวิตเกือบปกติได้แล้วล่ะ”

            “อีกนานมั้ยครับกว่าจะถึงคิวได้รับบริจาคกระจกตา”

            “ตอบไม่ได้...ไม่มีใครรู้อนาคตนี้นะ”

            นายแพทย์ดนัยพูดเป็นกันเอง ความที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนลึกอดสงสารเป็นห่วงชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้

            “หมอบอกได้อย่างเดียว...ตอนนี้ขุนทำทุกอย่างที่ทำได้จนหมดแล้ว”

            ขุนคีรีถอนใจยาว ก้มหน้า พยายามยอมรับ แววดื้อรั้นยังฉายอยู่ในดวงตา

            นายแพทย์ดนัยถอนใจตาม เข้าใจชายหนุ่มตรงหน้า ตนเองพยายามช่วยหญิงสาวที่เขาฝากฝังเต็มกำลัง...แต่หมอไม่ใช่เทวดา สามารถเสกทุกสิ่งตามต้องการ

            ดนัยเคยเป็นแพทย์อาสาอยู่ทางเหนือหลายปี ได้รับความช่วยเหลือคุ้มครองจากแม่เลี้ยงแสงจันทร์ พ่อเลี้ยงบุญชัยจนสนิทสนมกันดี

            คุณหมอเคยคิดจะใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นกันดาร ช่วยเหลือผู้คนด้อยโอกาสโดยไม่คิดกลับไปหาความศิวิไลซ์ในเมืองอีกเลย แม่เลี้ยงแสงจันทร์กลับมองเห็นอนาคตนายแพทย์ระดับ ‘อาจารย์หมอ’ ผู้มากความสามารถ จึงพยายามเกลี้ยกล่อม แนะนำจนคุณหมอยอมกลับไปเรียนเฉพาะทางจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับดวงตาในที่สุด

            “หมอคนเดียว...สามารถรักษาคนป่วยได้กี่คนคะ...ถ้าคุณหมอกลับไปเรียนแล้วถ่ายทอดความรู้ สร้างหมอคุณภาพอีกหลายร้อยหลายพันคนให้มารักษาคนป่วยจะไม่ดีกว่าหรือคะ”

            เพราะคำพูดนั้น หมอดนัยจดจำแม่เลี้ยงแสงจันทร์และครอบครัวเธอแม่นยำ

            เหตุผลที่ช่วยขุนคีรี ไม่ใช่แค่ครอบครัวเขามีบุญคุณต่อตนเอง หากเพราะคุณหมอเห็นชายหนุ่มเป็นลูกหลานคนหนึ่ง เสมือนครอบครัวผูกพันมานับสิบปี



--------------- ------------ --------------



            ความฝันคืนนี้บัวบุษราไม่ได้ปรากฏตัวที่ลานลั่นทม เธอพบขุนคีรียืนรอยืนหน้าประตูบ้านพร้อมยื่นดอกลั่นทมให้

            “แหม...ถ้าเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบ บัวคงคิดว่าคุณผู้ช่วยมาทำเซอร์ไพรซ์วันวาเลนไทน์แน่เลย”

            ชายหนุ่มไม่ตอบวาจาวางลั่นทมดอกนั้นบนฝ่ามือเธอ พอกลีบกระทบผิวก็สลายกลายเป็นฝุ่น ซึมซาบผ่านมือกระจายทั่วร่าง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดตัว

            “อะไรคะนี่” ถามพลางก้มดมตัวเอง “หอมแปลกจัง”

            “กลิ่นกุศล...ภูตผีจะได้เมตตาไม่คิดทำร้าย”

            ขุนคีรีบอกเท่านี้ หวังว่าหล่อนจะไม่ถามเพิ่มเติม เพราะตอนได้รับจากยมทูตหินผาก็ไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้น

            “อ๋อ...คืนนี้เราจะไปบุกหอพักผีสิงกันต้องมีของป้องกันตัว” พูดพลางเงยหน้ายิ้มใส “ขอเพิ่มเป็นเหรียญหลวงปู่ขลัง ๆ สักองค์จะอุ่นใจกว่านี้อีกค่ะ”

            รอยยิ้มแตะดวงตาชายหนุ่ม

            “ไม่กลัวนะ” ถามเสียงอ่อนลง

            “ไปกับคุณผู้ช่วยทั้งทีจะกลัวอะไรคะ แค่บอกว่า ‘ยมทูต’ มาแล้ว ขี้คร้านพวกผีจะหนีเตลิดเปิดเปิง ไล่จับส่งยมทูตหินผาไม่ทัน”

            ดวงหน้าใสรอยยิ้มไว้วางใจขนาดนั้น ขุนคีรีไม่กล้าสารภาพว่าตนเองเป็นคนธรรมดาเหมือนกัน ภูตผีคงไม่กลัวสักเท่าไหร่



--------------- ------------ --------------



            ท้องฟ้าขมุกขมัวสีเทาเข้ม พยับฝนก่อตัวเป็นเมฆหนาครึ้มเหนือตัวอาคารหอพักสองชั้น กระแสลมประหลาดพัดฝุ่นสีเทาบาง ๆ คลี่คลุมดังเป็นฉากกั้น ดินแดนสนธยา

            แค่มองด้านนอกยังหนาวยะเยือกจับขั้วหัวใจ สองหนุ่มสาวยืนนิ่งตั้งสติปลุกปลอบกำลังใจเงียบ ๆ ไม่มีใครกล้าเผยความหวั่นกลัวในใจออกมา

            “คุณผู้ช่วยเคยเจอผีน่ากลัวสุดแบบไหน ลักษณะเป็นยังไงคะ” ถามคล้ายต้องการยื้อเวลาอีกนิด

            “ยังไม่เจอ” ตอบตรงตามจริง

            “สงสัยมีแต่ผีกลัวคุณผู้ช่วยล่ะสิ” หญิงสาวเข้าใจอีกทาง “ผีน่ากลัวสุดที่บัวเคยเจอในหนังคือผีจูออน!”

            ขุนคีรีก้มหน้ามอง ไม่คิดว่าเจ้าหล่อนจะยกเรื่องนี้มาเล่า

            ‘คนกลัวผี’ ยิ้มแหยยังพูดต่อ

            “นังผีจูออนนี่มันถูกฆ่ายัดไว้ในบ้านน่ากลัวโคตรเลยค่ะ พอนางตายกลายเป็นผีร้าย ใครหลงเข้ามาบ้านนาง...ไม่ว่าคนดีคนร้าย แม่จับหักคอเกลี้ยง”

            เล่าถึงตรงนี้หญิงสาวทำตาปริบ ๆ ถามขึ้น

            “เอ่อ...ผีหอพักนี้มันโหดน่ากลัวกว่าผีจูออนมั้ยคะ”

            ท่าทางหวาด ๆ หน้าตาเซียว ๆ ตั้งคำถามแบบนี้ ขุนคีรีแทบหลุดหัวเราะขัน ความหวาดกลัวในใจสลายสิ้น รู้สึกแค่ตนมีหน้าที่ปกป้องผู้หญิงข้างกายให้ดีที่สุดเท่านั้น

            “ไม่ต้องกลัวหรอก...ถ้าผีหอพักนี้มันคลานลงบันไดทำท่าทางทุเรศเหมือนผีจูออนคายาโกะ ผมจะช่วยเตะมันให้คอหักอีกรอบแล้วกัน”

            บัวบุษราหัวเราะคิก ความหวาดกลัวละลายหาย ไม่คิดว่าผู้ช่วยยมทูตหน้านิ่งพูดน้อยจะมีอารมณ์ขัน...แถม...ยังเคยดูหนังเรื่องเดียวกันอีก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP