วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๑๑



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            สี่แยกก่อนถึงเส้นชัยหน้าโรงพยาบาล ปกติไม่มีรถราแล่นผ่าน คืนนี้กลับมีรถสิบล้อไม่เปิดไฟหน้าขับพรวดมาจอดกลางสี่แยกจังหวะที่ขบวนแข่งมอเตอร์ไซค์กำลังวิ่งมาพอดี ส่งผลให้รถทุกคันพุ่งชนสิบล้อไม่ทันตั้งตัว

            เสียงดังสนั่นเลื่อนลั่น บางคันถังน้ำมันแตกโดนเข้ากับประกายไฟเกิดระเบิดทันที ส่วนคนขับสิบล้อรีบลงจากรถหนีหายไปในความมืด

            ถ้าฟางไม่พาคนรักแหกโค้งเกิดอุบัติเหตุที่เดิมเสียก่อน...เต้จะเป็นอย่างไร



            ภาพนิมิตดับหาย บัวบุษราเข้าใจเด็กสาว รอยยิ้มชื่นชมปรากฏบนใบหน้า

            “ฟางทำดีที่สุดแล้วจ้ะ”

            “หนูทำอย่างที่พี่บอก...ถ้าเรารักใครคงไม่อยากให้เขามาทนทุกข์ลำบากกับเรา...เต้ยังมีอนาคตที่ดี มีโอกาสพบความสุขอีกมาก หนูพอใจแล้วที่ได้ช่วยเขาแบบนี้”

            “พี่ดีใจที่ฟางทำสิ่งแสนยากได้สำเร็จ”

            “มันไม่ยากเลยพี่บัว...ถ้าเรารักใครจริง ๆ จิตใจมันจะมีแต่ความหวังดี เมตตาอยากให้เขาเป็นสุข ไม่อยากให้เจอเรื่องร้าย ๆ พยายามช่วยเต็มที่เวลาพบเรื่องไม่ดี”

            “พี่บัวรู้มั้ย...ตอนนี้หนูมีความสุขมากที่สุดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่...เหมือนใจมันพองโตจะลอยได้ ความรักเมตตา อยากช่วยเหลือคนที่เรารักมันดีอย่างนี้เอง”

            ยิ่งพูดดวงหน้าเธอยิ่งสดใส ริ้วรอยคราบหม่นมัวละลายหาย ทั้งร่างใสสว่างราวกับแลทะลุได้

            เพียงชั่วเวลาไม่กี่วินาทีวิญญาณเด็กสาวก็หายสาบสูญจากสถานที่แห่งนั้น เหลือเพียงชายหนุ่มเพิ่งลุกขึ้นยืนหลังมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง กับหญิงสาวกำลังมองส่ง ‘เธอผู้นั้น’ ด้วยรอยยิ้ม

            ไม่จำเป็นต้องมีใครยืนยัน หล่อนเชื่อว่า บ้านหลังใหม่ของฟางย่อมดีกว่าที่เดิมแน่นอน



--------------- ------------ --------------



            เหตุการณ์คืนแห่งการชนมหาวินาศกลายเป็นข่าววันต่อมา บัวบุษราไม่ต้องถามใคร เพราะพี่สาวรีบเอาข่าวมาบอกตั้งแต่ตอนสาย

            “บัว...วันก่อนให้พี่หาข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุแก๊งแข่งมอเตอร์ไซค์ใช่มั้ย”

            “ค่ะ วันนี้มีข่าวเพิ่มเติมเหรอ”

            “นี่ไง...พี่เพิ่งดูข่าวในเน็ต แก๊งแข่งมอเตอร์ไซค์โดนสิบล้อวิ่งมาจอดขวางกลางสี่แยก รถชนกระจัดกระจายเกิดระเบิดด้วย”

            “เป็นไปได้ยังไงคะ” ถามด้วยความอยากรู้จริง

            “ข่าวรายงานว่าพวกเด็กวัยรุ่นแถวนั้นชอบแข่งมอเตอร์ไซค์ตอนดึก ๆ รบกวนชาวบ้านประจำ โดนตำรวจจับไปหลายครั้งก็ยังมาแข่งอีก เห็นว่าหลายคนเป็นลูกนายตำรวจ คนมีอิทธิพลเลยแค่อบรมไม่ลงโทษรุนแรง”

            “ทำไมจู่ ๆ สิบล้อคันนั้นถึงมาขวางถนนได้ล่ะคะ”

            บัวบุษราอยากรู้เบื้องหลัง เพราะนิมิตปรากฏแค่ภาพ ไม่อธิบายเหตุผลเงื่อนงำใด

            “เรื่องนี้ยังไม่มีใครยืนยันเหตุผลข้อเท็จจริง คนขับสิบล้อหายตัวไปไม่มีใครรู้อยู่ไหน ข่าวแบบไม่ยืนยันเล่ากันว่า น่าจะมีพวกได้รับความเดือดร้อนแอบลงขันจ้างสิบล้อคนนั้น เพราะแจ้งตำรวจกี่ทีพวกมันก็ไม่เข็ด เลยต้องเล่นกันแรง ๆ ถึงตายแบบนี้ คนอื่นจะได้ไม่กล้าแข่งกันอีก”

            “โห...ถ้านี่เป็นเรื่องจริงก็น่ากลัวจังเลยนะคะ...จะว่าไปพวกที่แข่งยังเป็นวัยรุ่นกันทั้งนั้น”

            “ข่าวซุบซิบก็คุยกันไปแหละ ไม่มีใครยืนยันหรอก”

            “เอ่อ...มีคนรอดชีวิตมั้ยคะ”

            “เดี๋ยวนะ...ตะกี้พี่อ่านผ่านตาอยู่เหมือนกัน...อ้อ...นี่ไง มีเด็กหนุ่มที่มาแข่งอยู่คนนึงเกิดอุบัติเหตุรถแหกโค้งชนแผงกั้นเสียก่อน เลยไม่ได้ไปชนกับสิบล้อ แค่บาดเจ็บไม่มากไม่ถึงตาย”

            บัวบุษราถอนใจเบา ๆ อดคิดไม่ได้...เต้จะรู้หรือไม่ รอดชีวิตมาแบบนี้เพราะความรักแท้จริงจากผู้หญิงคนหนึ่ง



--------------- ------------ --------------



            ห้องพิเศษโรงพยาบาล

            เต้ลืมตาตื่นเห็นแสงสว่างอันพร่าพราย สมองว่างโล่งนึกไม่ออกตนเองอยู่ที่ใด และมาที่นี่ได้อย่างไร กระทั่งพบใบหน้าพ่อแม่มองมาเป็นห่วง

            “เป็นยังไงบ้างลูก บุญรักษาจริง ๆ แม่เป็นห่วงเหลือเกิน”

            “ผม...ยังไม่ตายหรือครับ” ถามเสียงแหบแห้ง

            “เกือบไปล่ะ แกนี่มันจริง ๆ เลย เจ็บคราวก่อนยังไม่เข็ด อุตส่าห์หาเรื่องแข่งรถอีก”

            เสียงพ่อฟังฉุนเฉียว ลึกลงกว่านั้นคือความโล่งอกยินดี

            “ยังดีนะลูกใส่เสื้อป้องกันกระแทกเอาไว้ข้างใน หมอบอกว่าถ้าไม่มีมันคงเจ็บหนักกว่านี้แน่” แม่พูดพลางลูบแก้มเบา ๆ

            “นั่นสิ...ของพวกนี้มันแพงจะตายเอาเงินที่ไหนไปซื้อมาล่ะ” พ่อถามไม่จริงจังนัก

            เต้ไม่ตอบ วูบหนึ่งอดคิดถึงชายหนุ่มผู้อารีคนนั้นไม่ได้ สิ่งที่เขาเตรียมการให้มีประโยชน์จริง ๆ แต่นอกเหนือกว่านั้น ยังมีบางสิ่งช่วยเหลือไม่ให้บาดเจ็บหนักกว่าที่เป็น

            เด็กหนุ่มจดจำช่วงเวลาตั้งแต่เห็นหน้าคนรักจนถึงรถแหกโค้งชนแผงกั้นได้ดี มือคู่ที่ทาบทับมือเขากลับมาโอบเอวกระชับแน่น ร่างลอยคว้างกลางอากาศเสมือนอยู่ในอ้อมกอดกันและกัน

            ร่างที่ควรกระแทกพื้นแรงกว่านั้นคล้ายลดทอนกำลังลง สุดท้ายเสียงเบา ๆ กระซิบข้างหูก่อนสติดับวูบ

            “รักเต้เสมอ”

            แววตาในกระจกและคำบอกรักสุดท้าย ยืนยันว่าฟางไม่เคยต้องการชีวิตเขาเลย เธอให้อภัยกับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว นั่นทำให้พันธนาการในใจหลุดออกง่ายดาย

            เด็กหนุ่มหลับตาพึมพำเบา ๆ

            “เต้ก็รักฟางนะ”

            ความจริงใจผสานอยู่ในกระแสเสียง หวังให้เธอคนนั้นรับรู้ได้ยิน...ไม่ว่าจะอยู่ภพภูมิใดก็ตาม











บทที่ ๗



            ปลายนิ้วมือข้างหนึ่งกดคอร์ดกีตาร์ อีกข้างดีดบรรเลงบทเพลงขับกล่อมเบา ๆ คล้ายใช้เสียงเพลง Tears in Heaven แทนการสนทนากับใครบางคน

            ...Would you know my name…

            …If I saw you in heaven…

            บทเพลงเสมือนไถ่ถามต่อคนบนฟ้า ซึ่งไม่เคยลืมเลือนจากหัวใจ...แม่จะจำลูกชายคนนี้ได้หรือไม่ หากเราได้พบกันบนสวรรค์...ทั้งที่ความจริง เขาไม่มีสิทธิใฝ่ฝันถึงสถานที่บริสุทธิ์สูงส่งเช่นนั้นเลย

            …’Cause I know I don’t belong here in heaven…

            คืนนี้ขุนคีรีคิดถึงแม่จับใจ อาจเพราะเมื่อกลางวันไปเยี่ยมเต้ที่โรงพยาบาล พบพ่อแม่เด็กหนุ่มก่อนจึงไม่เข้าไปหา แค่ลอบดูห่าง ๆ

            มารดาร้องไห้น้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นลูกบาดเจ็บยังไม่ฟื้น บิดาขบกรามแน่น โมโหลูกไม่เชื่อฟัง ดื้อรั้นไปแข่งรถทั้งที่ห้ามปรามแล้ว สายตาทอประกายเจ็บปวด ห่วงใยกลัวลูกชายเจ็บหนักเกินเยียวยา

            ภาพเช่นนี้กระทบใจผู้พบเห็นอย่างแรง

            จนเด็กหนุ่มฟื้น พูดคุยบิดามารดาตามปกติ ไม่มีอาการน่าเป็นห่วง ขุนคีรีค่อยถอยออกมาเงียบ ๆ ไม่จำเป็นต้องแสดงตัว

            สิ่งเกิดกับเต้คล้ายเงาสะท้อนภาพตนเองในวันวาน ลูกชายคนเดียวผู้มีอิทธิพล เด็กเกเรมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนไม่เว้นวัน ชอบแหกกฎ ชอบการละเล่นโลดโผนเสี่ยงตาย

            พ่อไม่เคยใช้อิทธิพลมาแทรกแซงปกป้องลูกชายยามทำผิด คนเป็นแม่ต้องยกมือไหว้ขอโทษคู่กรณีแทบทุกครั้งที่ทางโรงเรียนส่งหนังสือเชิญผู้ปกครองมาพบ

            ยกเว้นครั้งใดลูกชายเป็นฝ่ายถูก แม่จะยืนหยัดเคียงข้างใช้ความใจเย็นอธิบายไกล่เกลี่ยสมเหตุสมผล ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับ ไม่ติดใจเอาความกัน

            ความอ่อนน้อมถ่อมตน จริงใจไม่เคยใช้บารมีภรรยาผู้ทรงอิทธิพลพร่ำเพรื่อ คนทั้งเมืองจึงรักเกรงใจ ‘แม่เลี้ยงแสงจันทร์’ ไม่ถือโทษเอาผิดลูกชายเธอรุนแรง

            ต่อให้ขุนคีรีเอาแต่ใจ ต่อยก่อนเคลียร์ทีหลัง ก็ยังเป็นเด็กรู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เคยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางคิดว่าทำถูกไปเสียทั้งหมด เพียงแต่ควบคุมอารมณ์ความใจร้อนลำบาก แม้จะมี ‘พ่อครู’ ใช้ศิลปะการต่อสู้มาช่วยฝึกฝน ขัดเกลา อบรมให้อยู่ในกรอบกฎเกณฑ์ที่ดีก็ตาม

            หากพ่อเป็นเหมือนขุนเขาตระหง่าน มั่นคงมิคลอนแคลน ปีนข้ามยากเย็น แม่ก็คือลำธารใสเย็นไหลลงมาจากยอดเขาให้ความชุ่มชื่นแก่พสุธา เป็นหลักทางใจแก่ลูกชาย รวมถึงบริวาร ผู้มาอาศัยร่มเงาทั้งหลาย

            ‘แม่เลี้ยงแสงจันทร์’ จึงเป็นแม่ที่ทุกคนรักเคารพ มอบหัวใจทั้งดวง ไม่เคยปฏิเสธคำร้องขอใด ๆ แม้คำขอสุดท้ายของเธอ จะทำให้ทุกคนต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวด อาฆาตแค้นในใจลงไปก็ตาม

            เหตุการณ์วิปโยคเกิดขึ้นในงานวันเกิดแม่ ตอนขุนคีรีเรียนมหาวิทยาลัยปีสองปีสาม เป็นงานอบอุ่น เรียบง่าย มีแค่แขกคนสนิทในครอบครัวร่วมงาน

            วันนั้นพ่อเลี้ยงมีสีหน้ากังวล แอบสั่งลูกน้องกระจายกำลังป้องกันรอบงานโดยไม่ให้ผิดสังเกต ถึงอย่างนั้นเรื่องร้ายแรงยังเกิดขึ้นได้

            ศัตรูพ่อชื่อมิสเตอร์ปีเตอร์ ลูกเสี้ยวสามสัญชาติ อเมริกัน จีน ลาว ผู้มีอิทธิพลใหญ่ประเทศเพื่อนบ้าน กางกั้นด้วยแม่น้ำสายใหญ่ มีความขัดแย้งกันมาตลอด ยังไม่มีฝ่ายใดกล้าก่อเรื่องลุกลามใหญ่โต จนล่าสุดลูกชายผู้มีอิทธิพลถูกยิงเสียชีวิต ไร้หลักฐานพยาน พวกนั้นจึงพุ่งเป้ายังบุคคลเดียวที่กล้ากระตุกหนวดเสือร้ายเช่นนี้

            พ่อเลี้ยงบุญชัย...บิดาขุนคีรี

            สิ่งหวั่นเกรงไว้เกิดขึ้น เมื่อมิสเตอร์ปีเตอร์พาลูกน้องจำนวนหนึ่งข้ามฝั่ง อ้างเรื่องอวยพรวันเกิดแม่เลี้ยงแสงจันทร์ เข้ามาร่วมงานโดยไม่ได้รับเชิญ

            พ่อเลี้ยงบุญชัยไม่อาจปฏิเสธ ทั้งที่รู้อาจเกิดระเบิดรุนแรงทุกเมื่อ

            การอวยพรวันเกิดเป็นแค่ข้ออ้าง เจตนาจริงคือสืบสวนถามไถ่เรียกร้องความยุติธรรมการตายลูกชายตัวเอง

            สองฝ่ายพูดจาด้วยมารยาทในตอนแรก พอเริ่มเข้าสู่ปัญหาก็ดุเดือด เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ พ่อเลี้ยงบุญชัยส่งสัญญาณบอกให้ภรรยาหลบออกไปก่อน แต่เธอไม่ยอมเพราะเมื่อใดที่ตนออกจากงานจะเกิดสงครามใหญ่ระหว่างสองผู้มีอิทธิพลทันที

            ต่อให้พ่อเลี้ยงประกาศยืนยันหนักแน่นว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องการตายนั้น อีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อคล้ายมีมือที่สามยุแยง สร้างหลักฐานเท็จให้เข้าใจผิด จนไปสู่การแตกหักปะทะกันเมื่อกระสุนนัดแรกดังขึ้น

            การตะลุมบอนเกิดตามมา จากนั้นกระสุนนัดหนึ่งตั้งใจเล็งยิงขุนคีรี ลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัยเป็นการแก้แค้น ทว่า...ต่อให้สถานการณ์คับขันเพียงใด สายตาคนเป็นแม่ย่อมไม่คลาดจากลูกรัก

            แม่เลี้ยงแสงจันทร์ใช้ร่างตนเองกำบังกระสุน ปกป้องลูกชายคนเดียว นั่นทำให้สงครามกลางงานวันเกิดหยุดชะงักชั่วขณะ

            ผู้คนตลอดสองฝั่งแม่น้ำทราบว่า ผู้หญิงคนนี้เปรียบเสมือนหัวใจราชสีห์ ยอดมงกุฎพญามังกร เป็นที่รักของทุกคนไม่ว่าคนดีคนเลว

            สังหารพ่อเลี้ยงบุญชัย หรือขุนคีรีไม่อาจสร้างรอยแค้น ก่อศัตรูขนานใหญ่ได้เท่ากับทำให้เธอเลือดตก บาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล...ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นเสียชีวิตเลย

            ‘เธอ’ อาศัยช่วงเวลาชะงักงันสองฝ่าย รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดปฏิเสธความช่วยเหลือจากสามีและลูกรัก ไม่ยอมไปโรงพยาบาลรักษาตัว พยายามยืนหยัดกล่าววาจาสำคัญเพื่อให้ปะทะครั้งนี้สงบลง

            “ฉันรู้จักสามีคนนี้มาตลอดชีวิต สิ่งหนึ่งซึ่งรับรองได้คือ...เขาไม่มีวันโกหกต่อหน้าฉันเด็ดขาด...ถ้าผู้ชายคนนี้บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายลูกชายคุณปีเตอร์ ก็หมายความตามนั้นจริง ๆ ถ้าคุณยังดื้อดึงมั่นใจว่าเขาเป็นคนร้ายเบื้องหลังอย่างนี้ก็เหมือนกำลังปิดตาตัวเอง ไม่มองศัตรูรอบข้างคนอื่น ที่หวังผลประโยชน์จากสงครามสองผู้มีอิทธิพล”

            เลือดกำลังไหลย้อมชุดอันสวยงาม ร่างแม่เลี้ยงแสงจันทร์ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน ไม่แสดงความเจ็บปวดใด มีแค่ใบหน้าเผือดซีดลงเรื่อย ๆ ทั้งสามีและลูกชายทราบชัด ต่อให้อยากห้ามปรามช่วยเหลือแค่ไหน ก็ไม่ควรขัดขวางสิ่งที่เธอกำลังกระทำ

            เพราะคำพูดเธอยามนี้ กระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามฉุกคิด มองเห็นความจริงมากกว่าเวลาอื่น

            “สำหรับพวกเรา” คราวนี้หันมาพูดกับฝ่ายตน “หยุดการต่อสู้ไว้เพียงแค่นี้ได้มั้ย”

            ไม่มีใครกล้าพยักหน้ารับปาก เธอจึงหันไปบอกสามีและลูก

            “คุณคะ...” ยามเอ่ยถึงสามีดวงตาทอประกายอ่อนหวาน เมื่อมองลูกชายยิ่งอ่อนโยนลง “ขุน...ลูกแม่”

            “ขอนะทุกคน...ไม่ว่าฉันจะตายหรือรอดจากกระสุนนัดนี้ ไม่ต้องตามแก้แค้นเอาคืนอะไรทั้งนั้น ห้ามทุกคนคิดล้างแค้นเด็ดขาด”

            คำพูดเธอทำให้ผู้มีอิทธิพลอีกฝั่งแม่น้ำตะลึงงัน ไม่คิดว่าจะได้ยิน

            แม่เลี้ยงแสงจันทร์หันไปทางศัตรูสามี

            “มิสเตอร์ปีเตอร์...ขอให้กระสุนนัดนี้ยุติความบาดหมางสองฝ่ายได้มั้ยคะ”

            กระทั่งเวลานี้ แม่เลี้ยงผู้บาดเจ็บยังแสดงอาการอ่อนน้อมถ่อมตัวต่อฝ่ายตรงข้าม

            นั่นทำให้ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งต้องคารวะจิตใจเด็ดเดี่ยว...ยอมศิโรราบต่อคำขอร้องนั้น

            “ได้...ถ้าฝ่ายคุณไม่ติดใจเอาความเรื่องคืนนี้...ผมจะสืบสวนเรื่องการตายลูกชายอีกที...เมื่อคุณมั่นใจสามีตัวเองขนาดนั้น...ผมก็จะขอเชื่อคำพูดพ่อเลี้ยงบุญชัยเหมือนกัน”

            เธอยิ้มรับแล้วหันไปทางสามีกับลูกชาย

            “ได้ยินแล้วนะทุกคน...บุญชัย...ขุน...จะรับปากสิ่งที่แม่ขอได้หรือยัง”

            สิ่งที่ขอ...ฟังดูแสนง่าย...ห้ามล้างแค้นแทนเธอ...แต่...มันช่างกระทำแสนยากเย็น

            คนเป็นเมียและแม่ย่อมเข้าใจจิตใจคนใกล้ตัวกระจ่างชัด คำพูดต่อมาจึงเด็ดขาดปราศจากข้อต่อรอง

            “ถ้าไม่รับปาก...แม่จะยอมตายตรงนี้ ไม่ให้ใครพาไปโรงพยาบาลเด็ดขาด!”

            ไม่มีใครรู้จักจิตใจผู้หญิงคนนี้ดีไปกว่าสามีและลูก ดังนั้นคนแรกที่ยอมพยักหน้ารับปากไม่ล้างแค้นคือพ่อเลี้ยงบุญชัย ตามด้วยลูกชายและลูกน้องบริวารทุกคน

            มันเป็นการรับปากรักษาสัญญาแสนรวดร้าวที่สุดในชีวิตลูกผู้ชาย

            ขุนคีรีตามขึ้นรถพยาบาลไปกับแม่ คอยกุมมือตลอดเวลาเพื่อช่วยเรียกสติสัมปชัญญะ วาจาสุดท้ายที่เธอบอกต่อลูกชายก่อนเข้าห้องฉุกเฉินคือ...

            “ถ้าไม่มีแม่แล้ว...ขุนอย่าทำอะไรที่จะต้องย้อนกลับมาเสียใจทีหลังเด็ดขาด...รับปากได้มั้ย”

            รับปากอีกครั้งพร้อมน้ำตาไหลพร่างพรูเต็มใบหน้า



            การเสียชีวิตของแม่เลี้ยงแสงจันทร์ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามมา

            เรื่องแรก...สองผู้มีอิทธิพลใหญ่เกิดการสงบศึก ซึ่งไม่มีใครอยากเชื่อจะเกิดขึ้นได้

            เรื่องที่สอง...กลุ่มเป็นกลาง ผู้ไม่เคยก้าวก่ายเลือกข้างใครแต่นับถือหัวใจแม่เลี้ยงแสงจันทร์ ได้ส่งหลักฐานข้อมูลยืนยันเชื่อถือได้ว่า การตายลูกชายมิสเตอร์ปีเตอร์เกิดจากมือที่สาม ผู้หวังให้เกิดสงครามจนสองฝ่ายบอบช้ำขั้นสุด กลุ่มตนเองจะตามกวาดล้างแล้วก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดแทน

            เรื่องที่สาม...เมื่อทราบเบื้องหลังตัวการจริง เกิดการร่วมมือไม่เคยมีมาก่อนระหว่างพ่อเลี้ยงบุญชัยกับมิสเตอร์ปีเตอร์ เพื่อจัดการบดขยี้กลุ่มมือที่สามจนแหลกเละไม่เหลือซากร่องรอย

            ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและสิ้นสุดก่อนวันฌาปนกิจศพแม่เลี้ยงแสงจันทร์ด้วยซ้ำ



            ขุนคีรีเก็บตัวเงียบไม่ออกไปร่วมงานสวดศพ วัน ๆ จมอยู่กับความเศร้าเสียใจในห้องมารดาไม่รับรู้โลกภายนอก ไม่มีใครสามารถดึงออกมาได้

            หลังจัดการกลุ่มมือที่สามเรียบร้อย พ่อเลี้ยงบุญชัยเข้าไปหาลูกชายบอกเพียงสั้น ๆ

            “พรุ่งนี้ไปส่งแม่ด้วยกัน”

            ไม่ใช่การบังคับ ขอร้อง...แค่บอกให้ทราบ จะออกมาหรือไม่...คนเป็นพ่อทำหน้าที่ได้เท่านี้

            ในหัวจดจำวาจามารดาแม่นยำ...อย่าทำอะไรที่จะต้องย้อนมาเสียใจทีหลัง...เขาจึงออกจากห้อง ร่วมส่งแม่เป็นครั้งสุดท้าย ในใจเกิดหลุมดำมหึมาขึ้นมาเก็บกักความเศร้าเสียใจไว้ในนั้น ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไม่ยอมให้น้ำตาไหลริน แม้หัวใจพังภินท์เจ็บปวดเพียงใดก็ตาม



            หลังเรียนจบปริญญา ยังไม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันทำตัวเหมือนไม่เคยผ่านเรื่องร้ายแรง ใช้ชีวิตโลดโผนเช่นเคยมา เพียงแต่หัวใจชืดชาชีวิตหมดสีสัน คล้ายหุ่นยนต์มีชีวิตตามโปรแกรมเดิมเท่านั้น

            ขุนคีรีเคยแข่งมอเตอร์ไซค์จริง ไม่ใช่แข่งบนถนนสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายเช่นกลุ่มวัยรุ่นของเต้ พวกเขาลงทุนปิดสนาม เช่าแข่งขันเฉพาะกลุ่มคนคอเดียวกัน

            ครั้งที่แพ้การแข่งขันเพราะโดนโกง หากเป็นขุนคีรีคนเก่าคงเอาเรื่องจนถึงที่สุด ตอนนั้นกลับไม่สนใจ ไม่ใส่ใจผลแพ้ชนะ ยอมเสียเดิมพันก้อนใหญ่โดยไม่เสียดาย รู้สึกว่านั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิต และไม่อยากสร้างปัญหาลุกลามใหญ่โตจนนึกเสียใจทีหลัง

            วาจาสุดท้ายมารดาสอนลูกชายได้ตลอดชีวิต

            ขุนคีรีรู้ผิดชอบชั่วดี ในใจมีคุณธรรมระดับหนึ่ง ปัญหาคือควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยอยู่ มักเกิดเรื่องราวทำให้เสียใจทีหลังเสมอ

            แม่ตั้งใจเตือนเขาก่อนตาย...ก่อนทำอะไรต้องมีสติไตร่ตรองรอบคอบ อย่าวู่วาม ปล่อยโทสะครอบงำบัญชา...



            พอทราบเบื้องหลังอุบัติเหตุไฟไหม้ แก๊สห้องครัวระเบิด บิดาตนมีส่วนรับผิดชอบ จึงเข้าไปขอให้แสดงตัวช่วยเหลือเหยื่ออย่างบัวบุษรา ได้รับคำปฏิเสธพร้อมอธิบายสั้น ๆ

            “ทำไม่ได้...ถ้าพ่อเข้าไปแสดงความรับผิดชอบ คนที่มีปัญหาไม่ใช่พ่อคนเดียว มันจะกระเทือนสาวไปถึงอีกหลายคนซึ่งเป็นพันธมิตรกันเวลานี้”

            บิดาขุนคีรีเป็นคนรักษาคำพูด จริงใจต่อพวกพ้องจนเป็นที่รู้กันทั้งวงการ

            “คนเจ็บถึงขั้นอาจตาบอด พ่อจะไม่ทำอะไรเลยหรือ”

            ตั้งแต่แม่ตาย...นี่เป็นครั้งแรกที่พยายามเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวใจพ่อขนาดนี้

            พ่อเลี้ยงบุญชัยไม่ตอบ ลูกชายเข้าใจทันที ต่อให้พยายามแค่ไหนไม่มีทางโยกคลอนภูเขาสูงลูกนี้ได้

            “ถ้าพ่อไม่ทำผมจะรับผิดชอบเอง...แล้วไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ให้ความรับผิดชอบกระเทือนถึงพ่อ และพวกพ้องแน่นอน”

            นั่นคือการก้าวมาเป็น ‘ขุนคีรี’ นักมวยใต้ดินไร้ที่มา บางครั้งอาจจำเป็นต้องอาศัยบารมีพ่อบ้าง ก็จะทำเงียบเชียบไร้ร่องรอยที่สุด

            ทั้งหมดเพื่อตนเองจะได้ไม่นึกย้อนกลับมาเสียใจทีหลัง ดังแม่เคยทิ้งวาจาไว้ก่อนตาย



--------------- ------------ --------------



            บรรยากาศลานลั่นทมยังคงเดิม แสงสลัวประมาณแดดผีตากผ้าอ้อม ดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลทั้งสวน

            บัวบุษราเห็นยมทูตหินผามาตนเดียว จึงแกล้งชะเง้อคอมองหาเผื่อมีใครติดตามมาด้วย

            “ขุนคีรีไม่มา”

            “แหม...บัวยังไม่ได้ถามเลยนะคะ”

            “วันนี้ไม่มีงานอะไร จะมาให้รางวัลที่ทำงานกับขุนคีรีได้ดี”

            “ดีเหรอคะนั่น...บัวกับคุณผู้ช่วยพูดจานับคำได้...” พูดแล้วนึกขึ้นได้ “เอ๋...ตะกี้คุณยมทูตบอกว่าจะมีรางวัลให้บัวใช่มั้ยคะ”

            “ใช่...ฉันจะพาเธอไป ‘เที่ยว’ เลือกมาอยากไปที่ไหน”

            พูดแบบเปิดโอกาสเช่นนี้ หญิงสาวเข้าใจเจตนาอีกฝ่าย เลยแกล้งโยกโย้พอเป็นพิธี

            “ดึก ๆ อย่างนี้ไปเที่ยวผับแถวทองหล่อดีมั้ยคะ เขาว่าที่นั่นหนุ่มหล่อไปกันเพียบเลย”

            “ได้สิ...ถ้าเธออยากไปที่ ‘อโคจร’ เช่นนั้น”

            “แหม ใช้คำซะใจเหี่ยวเลย”

            “สถานที่อโคจร...สามารถพาลง ‘อบาย’ ง่ายดาย ลองไปศึกษาดูไม่เสียเปล่า จะได้รู้ว่าใช้ชีวิตเยี่ยงไรจึงจะพาตัวเองตกต่ำ”

            คนนำเสนอหัวเราะคิก รีบเปลี่ยนใจทันที

            “งั้นบัวไม่ไปแล้วล่ะ เปลี่ยนเป็น...ย้อนเวลาไปดูว่าพ่อยังสืบคดีนั้นหรือเปล่าได้มั้ยคะ”

            “ได้สิ” ตอบรับง่ายเกินคาด

            วาจาฟังง่าย เพราะผู้นำทางมีเจตนาพาเธอกลับไปดูเหตุการณ์นั้นอยู่แล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP