วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๑๐



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ร้านขายอะไหล่อุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์

            เต้กำลังตรวจเช็คมอเตอร์ไซค์ตนเองอยู่ข้างร้าน เตรียมออกไปแข่งหลังจากปิดร้านเรียบร้อย เงาดำทาบมาที่รถ เด็กหนุ่มเงยหน้ามอง พบลูกค้าที่เพิ่งมาเมื่อวานยืนอยู่ไม่ห่าง

            “พี่ขุน...มาทำอะไร”

            หลังพูดคุยกัน เต้สนิทสนมคุ้นเคยกับเขารวดเร็ว

            “แวะมาดูก่อนเราจะแข่งน่ะ...เป็นยังไงบ้าง”

            “รถเรียบร้อย พร้อมแข่งแล้ว”

            ขุนคีรีมองเด็กหนุ่มพลางเข้ามาช่วยตรวจสภาพรถอย่างคนเป็นงาน พอมั่นใจรถอยู่ในสภาพพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์จึงพยักหน้า

            “โอเค ไม่น่ามีปัญหาอะไร”

            “ขอบคุณพี่ขุน”

            “อ้อ...พี่มีของมาฝาก”

            “อะไรน่ะ”

            ชายหนุ่มชูถุงในมือโดยไม่อธิบาย เต้รับมาเปิดออกแล้วเงยหน้ามองผู้ให้อย่างประหลาดใจ



--------------- ------------ --------------



            คืนนี้บัวบุษราง่วงนอนเร็วกว่าปกติ จิตลงภวังค์หลับพักผ่อนไม่นานก็ออกมายังสถานที่แห่งหนึ่ง

            ลานจอดมอเตอร์ไซค์ริมถนนเริ่มมีนักแข่งทยอยมาเรื่อย ๆ ต่างจับกลุ่มพูดคุยวางเดิมพัน พนันขันต่อกันเมามัน

            บัวบุษราเห็น ‘ฟาง’ วิญญาณเด็กสาวเดินเหม่อลอยท่ามกลางเด็กหนุ่มกลุ่มนักบิด กวาดตามองหาใครบางคน ราวกับคนคนนั้นเป็นเป้าหมายเดียวในชีวิต

            เต้ยังมาไม่ถึง เธอยืนเคว้งคว้างท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นนักแข่ง ไม่รู้ควรทำอย่างไร...กลับไปที่เดิม หรือรอคอยตรงนี้

            “น้องฟางจ๊ะ” บัวบุษราเรียก

            วิญญาณเด็กสาวรู้สึกตัว จดจำว่าเป็นผู้หญิงที่เพิ่งคุยเมื่อคืน

            “พี่นั่นเอง”

            “จ้ะพี่บัวเอง” จงใจย้ำชื่อตนเองให้อีกฝ่ายระลึกได้มากขึ้น “ฟางมาทำอะไรที่นี่”

            ผู้ต่างภพไม่ตอบทันที สายตาแลรอบข้างอีกครั้งแล้วถอนใจ

            “มาหาเต้...เต้น่าจะมาที่นี่”

            บัวบุษรานึกถึงงานที่ยมทูตหินผาสั่งผู้ช่วยรูปหล่อ...ขุนคีรีต้องไปพูดคุย ห้ามปรามไม่ให้เด็กหนุ่มลงแข่งคืนนี้ หากทำสำเร็จ ฟางจะไม่เจอคนรัก

            “ถ้าเต้ไม่มาล่ะ ฟางจะรอต่อไปเหรอ”

            “ไม่...เต้ต้องมาแน่ หนูรู้สึกได้”

            “สมมุติว่า...เขามาจริง ๆ ฟางจะทำยังไง”

            คำถามเหมือนตอบง่าย วิญญาณดวงนั้นกลับอ้ำอึ้ง สับสนความรู้สึกตนเอง

            “ฟางจะทำให้เขามาอยู่ด้วยจริงหรือจ๊ะ” ทดลองโยนหินถามทาง

            “เรารักกัน ต้องได้อยู่ด้วยกันสิ”

            “แน่ใจได้ยังไง ถ้าเต้ตายแล้วจะมาอยู่กับฟาง”

            “ความรักจะเชื่อมเราไว้ด้วยกัน”

            “ไม่แน่หรอก อย่างตอนนี้ความรักก็ไม่สามารถพาฟางไปหาเต้ได้เลย”

            เด็กสาวอึ้ง บัวบุษรารีบพูดต่อ

            “ฟางเคยคิดหรือเปล่าว่าตายแล้วต้องมาอยู่สภาพนี้”

            ผู้ตอบไม่กล้าปริปาก

            “โลกหลังความตายไม่มีอะไรแน่นอนนะ...แล้วแต่กรรมใครกรรมมัน...สมมุติถ้าเต้มาแข่งรถแล้วเกิดอุบัติเหตุตายจริง ๆ เขาอาจไปไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับฟาง...ไม่แน่อาจไปในที่ที่ฟางตามไม่เจออีกเลยก็ได้”

            “ไม่...ไม่จริง”

            พอเห็นดวงวิญญาณเริ่มหวั่นไหว เป็นโอกาสสำคัญให้บัวบุษรารีบฉกฉวย

            “ฟางเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับคู่รักนกเป็ดน้ำมั้ย”

            เรื่องเล่า...ตำนานความรักมักเรียกความสนใจไม่ยาก

            “คนเขาเล่าว่า...นกเป็ดน้ำเป็นสัตว์ที่มีความรักมั่นคง ซื่อสัตย์กับคู่ตัวเองจนวันตาย...”

            เริ่มเรื่องน่าสนใจ ดวงตาเด็กสาวจ้องมองอยากรู้

            “พี่เคยเชื่ออย่างนั้นนะ จนวันหนึ่งไปตลาดเจอแม่ค้าจับนกเป็ดน้ำคู่หนึ่งมาขาย...พวกมันถูกมัดขาด้วยกันดูน่าสงสารมาก”

            “พี่บัวทำยังไงคะ” อดถามไม่ได้

            “พี่เลยขอซื้อเพื่อเอาไปปล่อย” ตอบแล้วอมยิ้มน้อย ๆ “ตอนนั้นอุตส่าห์นั่งรถไปถึงสวนสาธารณะใหญ่ มีบึงน้ำกว้างมาก ตั้งใจให้พวกมันอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่มีใครรบกวนจับไปขายอีก”

            “พี่ปล่อยแล้วพวกมันได้อยู่คู่กันตลอดไปใช่มั้ย” ถามมีความหวัง

            หญิงสาวระบายรอยยิ้มบนใบหน้า

            “พี่ลงทุนพาพวกมันลงไปถึงริมตลิ่ง ตัดเชือกผูกขาออกแล้วปล่อยลงน้ำคู่กัน หวังว่าพอได้รับอิสระคงได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”

            เรื่องราวเกือบถึงตอนจบ ผู้ฟังไม่กล้าซักถาม

            “ปรากฏว่า...นกเป็ดน้ำตัวหนึ่งมุดน้ำดำหายไปเลย ส่วนอีกตัวกระพือปีกบินขึ้นฟ้าไกลลิบ...แยกกันคนละทาง!”

            “อ้าว...” เด็กสาวคาดไม่ถึง

            “นั่นทำให้พี่ไม่เชื่อเรื่องเล่าตำนานรักนกเป็ดน้ำอีกเลย”

            สรุปพลางหัวเราะเบา ๆ

            “ความรัก...อาจดึงดูดให้สองคนเข้าหากันก็จริง...ความตายและกรรมวิบากก็สามารถแยกคู่รัก และสร้างความไม่แน่นอนในอนาคตได้เหมือนกัน”

            “ความรักของหนูไม่เป็นแบบนั้น” อีกฝ่ายเถียงดื้อรั้น

            “ถ้างั้นฟางถามตัวเองดีกว่า...ชีวิตปัจจุบันมีความสุขหรือทุกข์”

            ไม่ต้องเอ่ยปากตอบ แววตาคู่นั้นบอกสภาพจิตใจปัจจุบันชัดเจน

            “ถ้าเรารักใครสักคน อยากให้เขามาทุกข์ทรมานกับเรา หรืออยากให้เขามีความสุข”

            คำถามต่อมายิ่งกระทบใจรุนแรง

            “ถ้าอยากให้คนที่รักมาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมทรมานด้วยกัน...อย่างนี้เรียกว่าความรักได้มั้ย”

            ทุกคำถามไม่ได้รับคำตอบจากดวงวิญญาณผู้สับสน วาจาแต่ละคำล้วนแทงเข้ากลางใจ กระทบความรู้สึกรุนแรง

            ชั่วเวลานั้นสายตาเด็กสาวพบกับคนที่ตามหา...เต้...เด็กหนุ่มเพิ่งจอดมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกกันน็อคเผยใบหน้าซีดเซียว แววตาหม่นเช่นเคย

            “หนูจะไปหาเต้” พูดพร้อมผละไปไม่สนใจ

            บัวบุษรารีบก้าวตาม หวังพูดจาโน้มน้าวใจอีกครั้งแต่คล้ายมีกำแพงบาง ๆ มาขวาง วิญญาณดวงนั้นปิดกั้นผู้อื่นโดยรอบเสียสิ้น จิตจดจ่อกับบุคคลคนเดียว

            เดินตามสองสามก้าวก็ชะงักไม่ก้าวต่อ...หนึ่งเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ สอง...พบใครบางคนที่ไม่คิดว่าจะเจอในอีกรูปแบบหนึ่ง

            “สวัสดีค่ะคุณผู้ช่วยขุนคีรี”

            ชายหนุ่มร่างสูงผมยาวรวบมัดง่าย ๆ เรียบร้อยกว่าเดิม ใบหน้าขาวดวงตาคมกริบ สวมเสื้อยืดขาว กางเกงยีนเก่าซีด รองเท้าผ้าใบยืนข้างเสาไฟฟ้า ดูเผิน ๆ กลมกลืนกับแก๊งเด็กวัยรุ่นแทบแยกไม่ออก

            ใครจะคิด...พอผู้ช่วยยมทูตแปลงร่างเป็นคนธรรมดาจะเท่ขนาดนี้!

            “โห...ลงทุนแปลงร่างมาเลยเหรอ...แล้วได้คุยกับน้องเต้มั้ย ทำไมยังดื้อมาแข่งอีก”

            บัวบุษราเข้าใจเองว่าผู้ช่วยยมทูตต้องแปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อพูดคุย ชักจูงให้เด็กหนุ่มเลิกลงแข่ง...ไม่ทันฉุกใจว่าเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนเธอ

            นัยน์ตาคมเหลือบมองหญิงสาว พยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับการทักทาย ริมฝีปากเรียวบางหุบสนิทไม่มีวาจาตอบโต้

            “อย่างนี้จะทำยังไงดีคะ...เต้ลงแข่ง ฟางต้องไม่ปล่อยเขาแน่ ๆ”

            พูดจาเชิงปรึกษา เพราะสถานที่แห่งนี้นอกจากดวงวิญญาณแล้วน่าจะมีเขาคนเดียวที่มองเห็นเธอ

            ผู้ช่วยยมทูตไม่ตอบ มองกลุ่มวัยรุ่นด้วยสายตาราบเรียบ กิริยาแสดงให้ทราบว่ามองเห็นเธอ...แต่คร้านสนทนาด้วย

            “งั้นเรามาแกล้งทำให้รถสตาร์ทไม่ติดดีมั้ยคะ ฝีมือระดับคุณผู้ช่วยน่าจะทำได้...บัวไม่มั่นใจเลยว่าน้องฟางจะเข้าใจที่พูดแค่ไหน กลัวทำเรื่องน่าเสียใจแบบแก้ไขไม่ได้อีก”

            ขุนคีรีถอนใจกึ่งรำคาญอดไม่ได้

            “ดู...อยู่เฉย ๆ เถอะ”

            วาจาลอย ๆ ไม่มองหน้า เสียงแผ่วไม่เกินกระซิบ หญิงสาวแกล้งทำคอย่น ยิ้มเรี่ย ๆ เหมือนเด็กนักเรียนโดนคุณครูดุ

            นอกจากชื่อคล้ายยมทูตหินผาแล้ว วาจาที่บอกให้เป็น ‘ผู้ดู’ แทบไม่แตกต่างกัน



--------------- ------------ --------------



            ตั้งแต่รับหน้าที่ผู้ช่วยยมทูต ขุนคีรีไม่แปลกใจที่มองเห็นโลกหลังความตาย ภูตผีวิญญาณ ไม่สงสัยนิมิตในฝัน เพียงคาดไม่ถึง ตนจะสามารถมองเห็นดวงจิตมนุษย์ผู้หลับใหล แล้วออกมาท่องเที่ยวอย่างบัวบุษรา

            พบกันในฝันคืนก่อนไม่น่าแปลก ครั้งนี้ลืมตาอยู่ในร่างมนุษย์ปกติยังเห็นได้ แถมเธอยังเข้าใจว่าผู้ช่วยยมทูตไม่ใช่มนุษย์ แสดงว่ายมทูตหินผาไม่แก้ความเข้าใจผิดให้เลย

            พอหญิงสาวทักทาย จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นคงไม่ได้ ถ้ายอมสนทนาด้วย คนแถวนี้คงมองว่าบ้า...พูดจาคนเดียว สุดท้ายเลือกทำตัวนิ่ง ๆ กล่าววาจาโดยไม่มองหน้า แสดงให้เห็นว่ารู้ถึงการมีอยู่ของเธอ แต่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารด้วย

            ใกล้ถึงเวลาปล่อยรถ นักแข่งแต่ละคนประจำที่ สองหนุ่มสาวมองเห็นดวงวิญญาณเด็กสาวเดินตามเด็กหนุ่มเป็นเงาตามตัว พอเขาก้าวคร่อมขึ้นรถ เธอก็ทำท่าเหมือนลอยขึ้นไปซ้อนท้ายด้วย

            “ตายแล้ว” บัวบุษราแทบวิ่งไปฉุดวิญญาณดวงนั้นลงมา

            “อย่ายุ่ง” เสียงปรามเบา ๆ

            หญิงสาวเงยหน้ามอง จังหวะเดียวกับเขาก้มหน้าทำกิริยาคล้ายกระซิบเบา ๆ

            “ตามผมมา”

            พูดจบเดินออกจากสถานที่นั้น ข้ามถนนไปอีกฟากโดยไม่เหลียวมองหลัง บัวบุษรารีบตาม เวลานี้ไม่มีทางเลือกใดดีกว่าติดตามผู้ช่วยยมทูต



--------------- ------------ --------------



            “แม่ง...แข่งกันอีกแล้วไอ้พวกเด็กนรก”

            “กลางค่ำกลางคืนไม่รู้จักหลับนอน มีแต่หาความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน”

            “เมื่อไหร่ยมบาลจะมาเอาตัวพวกมันไปสักทีวะ”

            เสียงด่าทอลอยตามลมขณะขบวนรถมอเตอร์ไซค์ผ่านย่านชุมชน ร้านอาหารข้างทางที่เพิ่งเปิดบริการไม่กี่ชั่วโมง

            พวกเด็กวัยรุ่นแข่งรถย่อมเคยได้ยิน ถูกตำรวจจับอบรม ทราบว่าพวกตนสร้างความเดือดร้อนมลพิษทางเสียงแก่คนทั่วไป แต่ไม่เข้าใจไม่เคยเข็ดหลาบ ไม่นานกลับมาแข่งใหม่ไม่เกรงกลัว เห็นชีวิตตัวเองเป็นเรื่องล้อเล่น ความเดือดร้อนผู้อื่นไม่ใช่สิ่งควรตระหนักเกรงใจ

            เต้ขับมอเตอร์ไซค์พุ่งทะยานไปข้างหน้า ทิ้งเพื่อนคันหลังไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร ผ่านสี่แยกแรกเส้นรอบเมืองก่อนใคร ความเร็วรถทำให้ไม่อาจแยกแยะบรรยากาศสองข้างทาง

            หูได้ยินเสียงลมลอดหมวกกันกระแทก ร่างสัมผัสลมแรงปะทะราวกับตนเองกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม...จนกระทั่งรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอม

            น้ำหนักบางอย่างกำลังกดทับบนอานด้านหลัง มันอาจอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกเพิ่งรู้สึกได้ตอนเข้าโค้ง ขนบนต้นคอลุกเกรียว มือผ่อนคันเร่งไม่รู้ตัว

            ใครบางคนกำลังซ้อนมอเตอร์ไซค์ ขณะความเร็วเกินร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

            การมี ‘สิ่งที่มองไม่เห็น’ ซ้อนท้าย เบาะยุบไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ความเร็วไม่ลดลง ทว่ารอบร่างบังเกิดความเย็นชวนหนาวสะท้านขึ้นมาบอกไม่ถูก

            เขาขบกรามข่มความกลัว บอกกับตนเอง...ไม่มีอะไร...ก่อนบิดคันเร่งขึ้น

            ...ไม่มีอะไร...แน่หรือ?

            คราวนี้ไม่ใช่เพียงน้ำหนักกดบนอานเบาะหลัง เต้สัมผัสถึงร่างบอบบางกำลังซ้อนท้าย พร้อมกับเอนตัวแนบหลังแบบสนิทแน่น

            เด็กหนุ่มขนลุกเกรียว เสียววูบท้องน้อย เหงื่อกาฬไหลซึมช้า ๆ มั่นใจว่าร่างนั้นเป็นผู้หญิงซึ่งตนคุ้นเคย

            จากนั้นมือเธอค่อย ๆ เลื่อนโอบเอวช้า ๆ พาร่างสั่นระริก สติสั่นคลอน ใจหล่นวูบลงปลายเท้า มือที่มองไม่เห็นกอดเอวกระชับแน่น เวลาไม่กี่วินาทีนานเหมือนชั่วกัปกัลป์



--------------- ------------ --------------



            การมาเจอยมทูตหินผานับเป็นเรื่องแปลกในชีวิต พอร่วมทางกับผู้ช่วยขุนคีรียิ่งดูประหลาดกว่าเสียอีก

            ใครจะคิด...ผู้ช่วยยมทูตไม่ยอมหายตัว หนำซ้ำยังใจเย็นนั่งแท็กซี่ตามขบวนมอเตอร์ไซค์

            ที่แปลกกว่านั้น แท็กซี่วัยกลางคนยังรู้จัก มองเห็นเธอเสียด้วย

            “หนูบัวนี่เอง ดีใจที่ได้เจอนะ คิดว่าผู้ช่วยขุนคีรีพาใครขึ้นรถเสียอีก”

            “รีบไปเถอะน้า เดี๋ยวตามไม่ทัน” ผู้ช่วยยมทูตตัดบทเรียบ ๆ

            “น้าชื่อสุรชัยนะ ยินดีให้บริการ โทรตามได้ไม่ต้องจุดธูปเรียก”

            โดนขัดคออย่างนั้นยังหันมาบอกอารมณ์ดี

            “เราจะไปไหนกันคะ” เธออดถามโชเฟอร์ไม่ได้

            “เดี๋ยวก็รู้...หนูทำหน้าที่เรียบร้อยแล้วล่ะ ตอนนี้มาลุ้นกันว่าแผนของผู้ช่วยขุนคีรีจะเป็นอย่างที่คิดมั้ย”

            “พูดมากไปแล้วน้า” เจ้าตัวรีบขัด

            แท็กซี่หัวเราะเบา ๆ ขับรถระมัดระวัง สมาธิอยู่กับถนนเบื้องหน้ามากกว่าเดิม



--------------- ------------ --------------



            เต้ขับมอเตอร์ไซค์นำหน้าทุกคน แล้วจู่ ๆ รู้สึกรอบด้านเปลี่ยนไปฉับพลัน บรรยากาศวังเวงน่าสะพรึงกลัว มอเตอร์ไซค์ขับตามต่างเร้นหาย เขาโดดเดี่ยวบนถนนร้างทอดยาว มองสุดสายตาไม่เห็นใคร

            ขับอีกสักครู่เริ่มเห็นผู้คนสองข้างทางอยู่ลิบ ๆ ค่อยใจชื้นขึ้น พอเข้าใกล้กลับขนลุกซู่อยากเร่งเครื่องหนีโดยเร็ว

            คนพวกนั้นคล้ายภูตผีปิศาจมากกว่ามนุษย์ เสื้อผ้าขาดวิ่นเปรอะเปื้อน ใบหน้าซีดจนเขียวคล้ายศพ บางคนแขนหักเดินขาลากบาดเจ็บเลือดไหลเป็นทาง ต่างพยายามแห่แหนขึ้นมาบนถนน ยื่นมือไขว่คว้าจะกระชากเด็กหนุ่มลงจากรถ

            เต้อยากบิดคันเร่งหนี มอเตอร์ไซค์ไม่ยอมทำตามคำสั่ง มันวิ่งไม่เร็วไม่ช้าฝ่าฝูงภูตผี บางสิ่งคล้ายกำแพงบาง ๆ ขวางกั้น พวกมันเข้าไม่ถึงตัว ทำได้แค่เขย่าขวัญสั่นประสาทให้จิตตกเท่านั้น

            เมื่อรถแล่นผ่านฝูงอสุรกายถนนว่างโล่งอีกครั้ง เต้กำลังถอนใจด้วยความโล่งอก มือที่เกาะเอวกลับเลื่อนสูงขึ้นมาแตะต้นแขนไม่ทันตั้งตัว

            ร่างกายเด็กหนุ่มเริ่มเป็นอัมพาตตั้งแต่ขา เอว ถึงต้นแขน ลามขึ้นเรื่อย ๆ ตามมือสัมผัสผ่าน

            มือนั้นเลื่อนช้า ๆ ตามแขนมาถึงแฮนด์มอเตอร์ไซค์ สุดท้ายทาบทับเกาะกุมมือทั้งสองของเต้กระชับแน่น อัมพาตลามตลอดร่าง เหลือความรู้สึกเหนือคอขึ้นไป

            “ฟาง...” เขาเอ่ยปากเบา ๆ

            เพียงคำพูดเดียวถนนเปลี่ยวร้างพลันแปรเปลี่ยนเป็นเส้นทางสายเดิม กลับสู่โลกปกติ เด็กหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์นำหน้าทุกคนไม่ไกลนัก ช่วงเวลาน่าสะพรึงกลายเป็นไม่กี่วินาทีบนโลกความจริง

            ทั้งร่างยังเป็นอัมพาตเช่นเดิม รถวิ่งด้วยมือที่มองไม่เห็น นั่นทำให้เด็กหนุ่มไม่สนใจผลแพ้ชนะอีกต่อไป

            “บรื้น...บรื้น”

            มอเตอร์ไซค์ด้านหลังเร่งแซงทีละคัน ไม่มีใครสังเกตความผิดปกติบนรถผู้เคยนำหน้า ทุกคนหวังเข้าเส้นชัยคนแรก พ้นโค้งสุดท้าย อีกไม่กี่กิโลเมตรจะผ่านสี่แยก จากนั้นไม่ไกลจะถึงเส้นชัยหน้าโรงพยาบาล

            “ฟางจะทำอะไรน่ะ” เต้ถามเบา ๆ ขณะตนเองล้าหลังสุด

            ไม่มีคำตอบ นอกจากมือหล่อนสั่งมือเขาให้บิดคันเร่งจนสุด รถพุ่งทะยานไล่ตามคันหน้ารวดเร็ว

            เร็ว...เร็ว...เร็ว...เป็นความเร็วจนน่าวิตก เห็นไฟท้ายคันหน้าลิบ ๆ ไม่นานระยะห่างก็หดสั้นลง

            ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาจนเหมือนจะขับพุ่งชนคันหน้า เด็กหนุ่มหลับตารวบรวมความกล้าพูดออกไป

            “ถ้าฟางต้องการให้เต้ชดใช้...ก็พาไปคนเดียวพอ...อย่าให้เพื่อนต้องมาเดือดร้อนด้วย”

            จบวาจาลืมตามองกระจกข้างรถ

            ฟางอยู่ในนั้น จ้องตอบด้วยแววตาว่างเปล่า ใบหน้าขาวเผือดใสจนเกือบแลทะลุได้

            ความว่างเปล่าในแววตากำลังถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่าง พร้อมรอยยิ้มซึ่งยากคาดคะเนจิตใจ

            ฝูงมอเตอร์ไซค์นำหน้าขับผ่านโค้งสุดท้ายจนหมด สำหรับเต้รู้ตัวดี...ไม่น่าพ้นโค้งนี้ เพราะที่นี่คือจุดพาคนรักไปตาย

            มือคลายคันบังคับ ความเร็วรถลดลง เมื่อเข้าโค้งสุดท้ายกลับไม่ยอมตีวงเลี้ยว มอเตอร์ไซค์ทั้งคันพุ่งชนแผงกั้น แหกโค้งลงสู่ข้างทางไม่ต่างจากเมื่อสี่ห้าเดือนก่อน

            ปัง...ปัง...โครม



--------------- ------------ --------------



            แท็กซี่จอดข้างทางก่อนถึงหัวโค้งอันตราย ขุนคีรีชะโงกหน้าบอกอดีตยมทูตฝึกหัด

            “โทรแจ้งรถกู้ภัย โรงพยาบาลโดยด่วนเลยน้า”            

            จบวาจาเปิดประตูลงจากรถโดยไม่รอคำตอบรับ บัวบุษรารีบตามติด ๆ หวังว่าตนเองอาจพอช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุได้

            มอเตอร์ไซค์กระเด็นไปทางหนึ่ง ร่างเด็กหนุ่มนอนนิ่งตรงจุดเคยเป็นตอไม้แห้ง...วันนี้มันถูกขุดทิ้งไปแล้ว ร่างจึงปลอดภัยไม่โดนเสียบทะลุเช่นคนรัก

            ขุนคีรีรีบคุกเข่าก้มลงฟังเสียงชีพจร เปิดหน้ากากหมวกกันน็อคใช้นิ้วรองจมูก มั่นใจว่ายังมีลมหายใจไม่เสียชีวิต ไม่กล้าขยับร่างที่นอนนิ่งเนื่องจากกลัวเกิดการหักเคลื่อนของกระดูก ทำได้แค่เลิกชายเสื้อมองเห็นชุดป้องกันการกระแทกสวมอยู่ภายใน ใช้มือสัมผัสหัวเข่าและต้นแขนเบา ๆ พอรู้ว่าเจ้าตัวยอมใส่สนับเข่าสนับแขนที่ซื้อให้ค่อยโล่งอก

            ตอนเด็กหนุ่มเปิดถุงของฝาก เจ้าตัวเอ่ยถามประหลาดใจ

            “นี่มันชุดป้องกันนักแข่งมอเตอร์ไซค์ พี่ซื้อมาให้ผมทำไม”

            “ไหน ๆ จะลงแข่งแล้ว เซฟตัวเองไว้บ้างก็ดี”

            “อายเขาตายเลย เพื่อนผมไม่มีใครใส่สักคน”

            “งั้นใส่ไว้ข้างใน สวมเสื้อกางเกงทับก็ได้...หุ่นเราผอมบางขนาดนี้ไม่มีใครสังเกตหรอก” นานครั้งชายหนุ่มจะคะยั้นคะยอใครสักคน

            พอเห็นเด็กหนุ่มลังเลจึงพูดต่อ

            “ถึงไม่กลัวอะไร คิดว่าชดใช้ให้เธอคนนั้น แต่อย่าลืมว่ายังมีพ่อแม่ คนที่เขาจะเสียใจมากถ้าเราเป็นอะไรไป ช่วงสี่ห้าเดือนหลังอุบัติเหตุครั้งนั้นพวกท่านเป็นห่วงเรามากแค่ไหน...อยู่ด้วยกันทุกวันดูไม่ออกหรือ”

            เด็กหนุ่มขบริมฝีปากนั่งนิ่ง ขุนคีรีพูดต่อ

            “การจะชนะความกลัว ข้ามความรู้สึกผิดในใจมันต้องใช้สติปัญญา...มากกว่าความดื้อรั้นดันทุรังนะ”

            วาจาปิดท้ายคล้ายย้อนกลับมาสอนตนเองเช่นกัน

            เต้ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธการสวมชุดป้องกันที่ซื้อให้ ตอนขับมอเตอร์ไซค์ลงสนาม ขุนคีรีไม่มั่นใจว่าเจ้าตัวยอมสวมชุดไว้ข้างในหรือไม่ พอเห็นอย่างนี้ค่อยโล่งอก รู้สึกทุกสิ่งที่กระทำไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว



            บัวบุษรามองการกระทำผู้ช่วยยมทูตอย่างสงสัย แต่บางสิ่งมาดึงความสนใจออกไปเกือบจะทันที

            ดวงวิญญาณเด็กสาวปรากฏกายข้างคนรัก สายตาทอดมองอ่อนโยนนักหนา จนหญิงสาวอดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถาม

            “ฟาง...ทำอย่างนี้ทำไม” เธอไม่คิดว่าการที่เจ้าหล่อนพาคนรักแหกโค้งจะเป็นเจตนาดี

            “หนูพยายามช่วยเต้...ช่วยให้เขารอดชีวิต”

            “รอดชีวิต...ที่ฟางพารถแหกโค้งออกมาอย่างนี้เป็นการช่วยชีวิตเต้จริง ๆ หรือ”

            “หนูไม่อยากให้เขาตาย...ไม่อยากให้เขามีชีวิตใหม่ที่ลำบากแบบหนู”

            ยิ่งพูดดวงหน้าเธอยิ่งผุดผ่องกระจ่างใส ราวกับยืนยันทุกวาจาไม่แปลกปลอม จิตใจเจ้าตัวกำลังสว่างไสวด้วยความเมตตา หวังช่วยเหลือคนรักจริง ๆ

            บัวบุษราไม่ทันเอ่ยถาม...แบบนี้เรียกว่าช่วยชีวิตอย่างไร?

            คำตอบมาถึงในเวลาไม่นาน...โครม โครม โครม...บรึ้ม...เสียงดังสนั่นจากถนนห่างออกไป นิมิตในหัวสองหนุ่มสาวปรากฏขึ้นพร้อมกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP