วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๖



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ก่อนก้าวขึ้นเวที ชายหนุ่มถอดเสื้อเผยรูปร่างผอมเพรียวกล้ามท้องชัด สวมแค่กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ ยืนให้เจ้าหน้าที่สนามตรวจว่าไม่ซุกซ่อนอาวุธใด

            คู่ต่อสู้ถอดเสื้อ ใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าบูทหุ้มข้อ รูปร่างเตี้ย หุ่นหนากว่า แขนเป็นลำแกร่ง ประเมินด้วยสายตาน่าจะหมัดหนัก โดนจัง ๆ สามารถน็อคคู่ต่อสู้ทันที

            หลังตรวจสอบเครื่องแต่งกายเสร็จสิ้น นักมวยขึ้นเวทีพร้อมกัน ประตูกรงปิด ไม่มีกรรมการห้ามมวยข้างใน ระฆังดัง การต่อสู้เริ่มต้น

            สองฝ่ายฟุตเวิร์คดูเชิงไม่นานก็เริ่มตะลุย นักมวยร่างเตี้ยหมัดหนัก ถนัดแลกหมัด บุกคู่ต่อสู้ไม่ยั้ง หวังปิดเกมจบการแข่งขันในเวลาอันสั้น

            นักมวยร่างสูง ผอมเพรียวกว่า ต่อสู้แบบใช้สมอง ไม่ยอมแลกหมัดตรง ๆ อาศัยการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วหลบหลีก สายตาเฉียบคม ปล่อยหมัดแม่นยำเข้าเป้าหลายครั้ง เพียงแต่ไม่อาจล้มคู่ต่อสู้ง่าย ๆ

            เวลาผ่านไป การต่อสู้ยิ่งเพิ่มความดุเดือด ผลัดกันรุกรับไม่มีวี่แววเห็นผลแพ้ชนะ หมัดต่อหมัด เข่าศอกปะทะกันด้วยชั้นเชิงมวยไม่ธรรมดา คนดูส่งเสียงเชียร์โห่ร้องรอบสนาม บางครั้งต้องนิ่งเงียบลุ้นแทบกลั้นหายใจ

            เริ่มนานเข้าค่อยเห็นความแตกต่างในกำลังนักมวยทั้งสอง ขุนคีรียังเคลื่อนไหวรวดเร็ว หลบหมัดคู่ต่อสู้ฉิวเฉียด ลมหายใจปกติ มีแค่เหงื่อชุ่มใบหน้าและเส้นผม ขณะคู่ต่อสู้เริ่มอ่อนแรง ก้าวขาเปะปะ หมัดหนักเท่าเดิมแต่ความแม่นยำลดน้อยลง

            หากเป็นการต่อสู้แบบพักยกนับคะแนนหมัด นักมวยผอมเพรียวคงชนะขาดไปแล้ว เพราะแทบทุกหมัดไม่พลาดเป้า สายตาไวหลบหมัดคู่ต่อสู้เกินครึ่ง ที่การต่อสู้ยังสูสีเพราะอีกฝ่ายมีความอึด รับหมัดจัง ๆ หลายครั้งโดยไม่เซล้ม

            ทว่าการต่อสู้แบบไม่กำหนดเวลาเช่นนี้ คนที่ฝึกซ้อมออกกำลังกายประจำจนอยู่ตัว จะเก็บแรงยืดเวลานาน หนำซ้ำต่อสู้แบบใช้สมอง หลบหลีกเก่ง จู่โจมจุดสำคัญหลายครั้ง โอกาสชนะย่อมสูงกว่า

            เฮียบุ๋นเหลือบมองพี่เลี้ยงนักมวย ผู้บอกปฏิเสธการล้มมวยในวินาทีสุดท้ายจนฝ่ายนั้นไม่กล้าทุ่มเดิมพัน แต่เสียหน้าจนเกิดโทสะ หลังการแข่งขันไม่ทราบจะเกิดเหตุร้ายใด

            หันไปทาง ‘ผู้ว่าจ้าง’ เห็นสีหน้าเคร่งเครียดดุดันขึ้นเรื่อย ๆ นักมวยฝ่ายนั้นแข็งแรงบึกบึนก็จริง แต่ไม่ได้ซ้อมมวยแบบศิษย์มีครู เป็นแค่นักสู้ลูกน้องนักเลงใหญ่ทั่วไป เชื่อว่าถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ คู่ต่อสู้สะดุดขาตัวเอง พี่เลี้ยงอีกฝ่ายโยนผ้าขาว ผลคงปรากฏภายในไม่กี่นาที

            เวทีมวยแห่งนี้ไม่ใช่โรงฆ่าสัตว์ ไม่ใช่สนามต่อสู้ถึงขั้นเอาชีวิต เฮียบุ๋นพอใจการต่อสู้ดุเดือดเร้าใจ แบบยุติธรรม กล้าประกาศว่าที่นี่ไม่มีการเล่นตุกติก ล้มมวย

            ถึงอย่างนั้น ใช่ว่าจะกำหนดอย่างใจต้องการเสียทั้งหมด ถ้าจะมีใคร ‘นอกเกม’ ต้องไม่โฉ่งฉ่างให้คนดูจับได้ ที่สำคัญต้องไม่เกิดเรื่องให้ตำรวจเข้ามายุ่งเกี่ยว



            ...เฮ...เสียงดังลั่นเมื่อนักมวยร่างบึ้กล้มลง นาฬิกาจับเวลาครบสิบวินาที ผลการต่อสู้ชัดเจน

            ผู้เสียผลประโยชน์ลุกพรวด กระซิบสั่งลูกน้องด้วยสีหน้าอำมหิต เฮียบุ๋นเงยหน้าสบตาเป็นเชิงสำทับ

            ...ถ้าจะทำอะไร...ต้องไปให้ไกลจากสนามมวยกู...!

            ฝ่ายนั้นแสยะยิ้มชวนขยะแขยง ต่อให้ไม่พยักหน้าตอบรับ เชื่อได้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ ยินยอมกระทำตามกฎ ไม่ทำร้าย ฆ่าคนในถิ่นอีกฝ่ายให้เดือดร้อน

            เฮียบุ๋นเชื่อว่าตนจะไม่ได้รับผลกระทบทางลบใด ๆ เสียดายแค่อาจไม่ได้เห็นตาแคล้ว กับนักมวยแกมาที่นี่อีกแล้ว



--------------- ------------ --------------



            “ได้เงินค่าชกวันนี้มาแล้ว” ตาแคล้วยื่นเงินให้ลูกศิษย์

            “ครูเก็บไว้ก่อนเถอะ รีบกลับบ้านได้แล้ว”

            “ไปด้วยกันสิ”

            “ผมมีธุระอื่น”

            ผู้อาวุโสอ่านเจตนาออก

            “ถ้าเอ็งตั้งใจไปล่อพวกมันคนเดียว อย่าไป...อันตรายมาก ไปด้วยกันนั่นแหละอย่างน้อยจะได้ช่วยกัน”

            “แยกกันสะดวกกว่า” คำพูดสั้นแสดงการตัดสินใจเด็ดขาด

            ตาแคล้วเข้าใจ แกไม่ใช่ชายแก่กระดูกผุไม่รู้ความ อยู่วงการนี้มานานจนรู้อะไรเป็นอะไร เป้าหมายพวกนั้นหวังจัดการนักมวยหนุ่ม มากกว่ากระทืบคนแก่ร่างกายอ่อนแอ ต่อให้เคยเป็นอดีตแชมป์มวยไทยก็ไม่น่าภูมิใจอะไร

            หากตามไปด้วยจะเป็นภาระอีกฝ่ายมากกว่า

            “เอ็งไหวแน่นะ”

            “ผมเอาตัวรอดได้”

            ชายชราตบไหล่เป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนออกไปปะปนกับกลุ่มผู้ชม แฟนมวย นักพนันที่กำลังออกจากสนามขบวนใหญ่

            ขุนคีรีมองตามหลังผู้เฒ่า ดวงตายังไม่คลายกังวล



--------------- ------------ --------------



            เสื้อผ้าร่มถูกสวมทับเสื้อยืด ดึงฮู้ดสีดำตลบคลุมศีรษะ ปกปิดใบหน้า รอจนคนในสนามซาเกือบหมดค่อยออกทางประตูหลัง ลัดเลาะตามเส้นทางปราศจากผู้คน มีไม่กี่คนทราบมันสามารถพาไปโผล่ยังซอยใกล้ถนนใหญ่ได้

            เส้นทางเปลี่ยว รกร้าง หญ้าข้างทางสูงท่วมหัว ใช้เวลาครู่หนึ่งค่อยทะลุถึงซอยที่ต้องการ อีกไม่ไกลนักจะถึงปากซอยถนนใหญ่

            ในซอยไม่มีผู้คนสัญจร บ้านเรือนตึกแถวตั้งห่างกันมีที่ดินเปล่าคั่นเป็นระยะ ก่อนถึงถนนใหญ่มีอาคารพาณิชย์หลายคูหากำลังก่อสร้างค้างไว้

            ขุนคีรีสังเกตเห็นรถตู้สีดำจอดซุ่มด้านข้างอาคารกำลังก่อสร้าง ถอนใจเบา ๆ ยอมรับเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไป

            ประตูรถตู้เปิด ชายฉกรรจ์ชุดดำห้าหกคนลงมา มองเห็นผู้เป็นหัวหน้านั่งคุมเชิงข้างใน ดวงตาวาววับฉายรอยอาฆาตโทสะรุนแรง

            คนผู้นั้นถูกเรียกขาน ‘บิ๊กเพลิง’ ชายวัยสามสิบเศษหัวหน้าแก๊งเหล็กไฟ ขุนคีรีควรภูมิใจที่คนระดับนี้ลดตัวมาคุมลูกน้องกระทืบตนเอง

            กลุ่มชายชุดดำลงจากรถยืนเรียงแผงหน้ากระดาน มือถืออาวุธมีด ไม้กระบอง เหล็กขูดชาร์ปครบ หวังข่มขวัญคู่ต่อสู้จนใจฝ่อก่อนลงมือจริง

            ขุนคีรีตลบฮู้ดออก ผมยาวระรุยรายข้างแก้ม ดวงตาสงบไม่ถอยหลังกลับ ล้วงมือหยิบกระบองเหล็กที่เสียบข้างเอวมาสองท่อน

            อาวุธสองชิ้นนี้ไม่ได้เตรียมล่วงหน้า ‘ผู้มีอุปการคุณ’ คนหนึ่งทิ้งให้เป็นน้ำใจ



            ตอนหลบจากสนามมวยทางด้านหลัง คิดว่าแถวนั้นไม่มีใครหลงเหลือ กลับพบเฮียบุ๋น เจ้าของสนามนั่งรอใจเย็น

            “ถ้าอั๊วรู้ว่าลื้อจะหนีทางไหน พวกมันก็ต้องเดาได้เหมือนกัน”

            นักมวยหนุ่มยืนนิ่งไม่เอ่ยปาก ทั้งไม่ไร้มารยาทเดินจากไปเฉย ๆ

            “บิ๊กเพลิงมันแค่อาศัยบารมีพ่อ...หัวหน้าคนเก่า เลยขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งได้ ฝีมือจริงไม่เท่าไหร่ แต่ลูกน้องเยอะ พ่อสร้างอิทธิพลไว้มากเลยกร่างไปทั่ว”

            เจ้าของสถานที่โยนกระบองเหล็กยืดมาให้สองท่อน

            “อั๊วไม่อยากให้สนามมวยมีปัญหา เกิดเรื่องวุ่นวายจนลูกค้าคนดูหนีไปที่อื่น ไม่ใช่กลัวพวกมัน...ที่ผ่านมา ลื้อทำเงินให้อั๊วไม่น้อย ถือว่านี่เป็นโบนัสแล้วกัน”

            ชายหนุ่มก้มลงเก็บไม่เกรงใจ เอ่ยวาจาคำแรก

            “ขอบคุณครับ”

            นั่นจะน่าเป็นคำพูดหนึ่งในไม่กี่ประโยคที่เฮียบุ๋นได้ยินจากปากลูกศิษย์ตาแคล้วคนนี้



            นักมวยหนุ่มประเมินสถานการณ์ตรงหน้า ผู้คุกคามห้าหกคนไม่พูดจา เดินเรียงหน้าหวังกดดันคู่ต่อสู้ก่อนลงมือ จุดมุ่งหมายอาจไม่ถึงขั้นเอาชีวิต แค่บาดเจ็บสาหัสปางตาย ไม่สามารถขึ้นเวทีชกมวยได้อีกเลย

            มือสองข้างกำกระบองเหล็กกระชับ สมองโปร่งโล่งสลัดความกริ่งเกรงหวาดกลัวจนสิ้น ไม่ผิดกับยามขึ้นเวทีต่อสู้ นัยน์ตาคมกริบฉายแววดุดัน เหี้ยมหาญไม่ต่างจากพยัคฆ์ร้ายท่ามกลางฝูงหมาป่า

            ฝ่ายตรงข้ามอาวุธครบมือ จำนวนผู้คนมากกว่า ไม่กริ่งเกรงชายหนุ่มคนเดียว ต่อให้เป็นนักมวยฝีมือดีที่มีอาวุธในมือก็ตาม

            ไม้พลองแรกฟาดเต็มที่ ตามด้วยเหล็กขูดชาร์ปแทงสวบ มุ่งเป้าตรงหน้าท้องหวังตัดกำลังทำให้อ่อนแรง มีดคมกริบปาดเฉี่ยว รบกวนสมาธิทำลายกำแพงป้องกันตัว

            สามคนแรกลงมือสอดประสานในเวลาใกล้เคียง ด้วยรู้อีกฝ่ายเป็นนักมวยร้ายกาจจึงไม่ประมาท เพียงแต่พวกมันรู้จักคู่ต่อสู้น้อยเกินไป

            วิชาหมัดมวย การต่อสู้มือเปล่าเป็นเรื่องขุนคีรีถนัดน้อยที่สุด!

            ผัวะ เกร๊ง พลั่ก อาวุธปะทะกันรวดเร็ว กลุ่มผู้ร้ายไม่ทันสังเกตกระบองเหล็กในมือชายหนุ่มตวัดฟาดแง่มุมใด เบี่ยงตัวหลบลักษณะไหน จึงสามารถพ้นการจู่โจมจากอาวุธสามชนิด ทำให้ไม้พลอง เหล็กขูดชาร์ป มีดในมือพวกมันร่วงลงพร้อมกัน

            พอเห็นฝ่ายตนพลาดพลั้ง พวกที่เหลือต่างรีบลงมือช่วยทันที เปิดโอกาสให้เพื่อนรีบเก็บอาวุธขึ้นมาจู่โจมใหม่อีกรอบ

            ตอนขุนคีรีขึ้นเวทีชกมวยดูคล่องแคล่ว ประเปรียวแล้ว ยามถืออาวุธท่ามกลางวงล้อมนักเลงเช่นนี้ยิ่งรวดเร็วกว่า สายตาคมกริบอ่านเกมออกว่าใครจู่โจมก่อนหลัง มาทิศทางใด หูฟังเสียงเคลื่อนไหวรอบด้าน ซ้ายขวา หน้าหลัง สามารถตั้งรับมั่นคง พลิกกลับเป็นฝ่ายบุกตะลุย จนฝ่ายตรงข้ามเรรวนเสียขบวนแทบตั้งตัวไม่ติด

            กระบองสองมือเหมือนเขี้ยวเล็บคมกริบ เพิ่มศักยภาพต่อสู้หลายเท่าตัว ทิ่มแทงทำอาวุธพวกมันหล่นเกลื่อนพื้น ตวัดฟาดยังจุดสำคัญเล่นเอาสลบเหมือดเกินครึ่ง เจ้านายบนรถตู้ต้องสั่งสมุนที่เหลือรวมทั้งคนขับรถให้ลงไปเสริมทีมโดยเร็ว

            นักมวยหนุ่มยามนี้คล้ายเสือติดปีก พยัคฆ์โลดแล่นท่ามกลางฝูงหมาป่าอ่อนปวกเปียก ขลาดเขลา ใช้เวลาอีกเล็กน้อยก็เก็บลูกสมุนจนเหลือแค่คนเดียว

            นั่นทำให้ผู้เป็นนายต้องลงจากรถ คว้าปืนออกมาเตรียมสยบนักสู้ผู้ร้ายกาจ

            ยามนี้สายตาชายหนุ่มราวกับลูกธนูพุ่งออกไปทุกทิศทาง ไม่ว่าใครเข้ามาในวงต่อสู้ล้วนมองเห็นทันที ร่างกายแสดงการตอบโต้ตามสัญชาตญาณโดยไม่ต้องสั่ง

            ไม่ทันที่ปืนจะตวัดเล็งเป้าหมาย นิ้วไม่ได้สอดเข้าโกร่งไก ขุนคีรีกลิ้งตัวรวบกระบองไว้ในมือเดียว คว้ามีดตกบนพื้นขว้างใส่คนถือปืนทันที

            ปึก...โอ๊ย...มีดปักท่อนแขนหัวหน้าแก๊ง หลุดเสียงร้องดังลั่นปืนหลุดจากมือทันที

            หลังจากขว้างมีดบรรลุเป้าหมาย ใช้เวลาอีกไม่กี่วินาทีนักมวยหนุ่มก็สอยสมุนคนสุดท้ายสลบคากระบองสำเร็จ พร้อมไปยืนเบื้องหน้า ‘บิ๊กเพลิง’ เจ้านายพวกมันราวมัจจุราชทวงชีวิต

            มือจงใจดึงมีดที่ปักแขนฝ่ายตรงข้ามทันที เลือดพุ่งกระฉูด

            “โอ๊ย...” หัวหน้าแก๊งเหล็กไฟกุมท่อนแขนร้องลั่นอีกครั้ง

            กระบองในมือชายหนุ่มจ่อตรงจุดทัดดอกไม้บิ๊กเพลิง สามารถฟาดทีเดียวดับชีวิตได้

            “ถ้ามึงฆ่ากู ไอ้ครูมวยแก่นั่นไม่รอด”

            ต่อให้พลาดท่า หวาดกลัวแค่ไหน คนระดับหัวหน้าแก๊งย่อมไม่แสดงอาการให้เห็น หนำซ้ำยังมีไม้เด็ด ไพ่ตายข่มขู่อีกฝ่ายทันที

            ขุนคีรีหรี่ตามองไม่หวั่นไหว แววอำมหิตลุกโชนน่ากลัว

            “ชีวิตไอ้แก่นั่นอยู่ในมือมึง กูโทรกริ๊งเดียวมันก็ปลอดภัย”

            ฝ่ายตรงข้ามพยายามพูดต่อรอง แล้วดึงผ้าขนหนูในรถมาพันแผลห้ามเลือด

            “ลองโทรดูสิ” วาจาชายหนุ่มเรียบเย็นไม่แสดงความรู้สึก

            มือใช้งานแค่ข้างเดียว การโทรออกจึงทุลักทุเลพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นทุกเบอร์ที่โทรไปล้วนไม่สามารถติดต่อได้ทั้งสิ้น

            “ยังมีวิธีไหนยืดเวลาตายของมึงอีกมั้ย” ผู้ถือไพ่เหนือกว่าถามเสียงเหี้ยมเกรียม

            บิ๊กเพลิงเหงื่อแตกซิก การไม่สามารถติดต่อลูกน้องทางนั้นได้สักคน อาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนสังหารครูมวยชราไปแล้ว ขณะนี้กำลังหาวิธียืดเวลา รอลูกน้องอีกกลุ่มตามมาสบทบทีหลัง

            “ถ้าสั่งฆ่าไปแล้ว ก็เตรียมรับกรรมเถอะ” กระบองถูกเงื้อขึ้น

            “เฮ้ย...คนอย่างกูไม่สั่งฆ่าคนแก่ไร้พิษสงให้เสียมือหรอก” คำพูดท่าทีเปลี่ยนไป หวังให้อีกฝ่ายเชื่อถือ

            “ยังไง...ถ้ากูเชื่อว่ามึงไม่ได้ทำอะไรครูแคล้ว แล้วปล่อยไป มึงสัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องกูกับครูแคล้วงั้นหรือ”

            “คนระดับหัวหน้าอย่างกูต้องรักษาคำพูด ไม่งั้นลูกน้องเป็นร้อยจะยอมรับเชื่อใจได้ยังไง”

            “กูถูกสอนมาว่า...ไม่มีสัจจะในหมู่โจร...อย่าตีงูให้หลังหัก เพราะมันจะอาฆาตแว้งกัดสักวัน กูทำมึงเสียหน้าที่สนามมวย ถล่มลูกน้องเสียราบ แถมทำแขนมึงเลือดโชกขนาดนี้ ถ้าไม่แค้นจนอยากฆ่าทิ้งก็แปลกแล้ว”

            ธรรมดาขุนคีรีไม่พูดยืดยาว ครั้งนี้กลับเอ่ยวาจามากมายคล้ายต้องการเล่นสงครามประสาท ดวงตาวาววับ ฉายชัดเอาจริง คนสบตาด้วยเชื่อสนิทใจ...ชายผู้นี้ฆ่าคนได้จริง!

            “มะ...ไม่...”

            เสียงเริ่มสั่น ความกลัวที่เก็บซ่อนพังทลาย เชื่อจริง ๆ ว่าตนเองคงไม่รอดจากเงื้อมมือฝ่ายตรงข้ามแน่นอน

            ประกายอำมหิตในดวงตาขุนคีรีเลือนหาย กลายเป็นแววราบเรียบ นิ่งลึกไร้ความรู้สึก มือกระชับกระบองแน่นพร้อมปิดบัญชี



            “การฆ่าบิ๊กเพลิง อาจไม่ใช่หนทางถูกต้องนะครับ”

            เสียงดังจากเงามืดหลังรถตู้ ชายหนุ่มร่างสูงสวมเชิ้ตสีขาว ใส่แว่นกรอบบางเดินออกมาทำให้บรรยากาศฆ่าฟันเปลี่ยนแปลง

            “ถ้าคุณฆ่าคนคนนี้ ก็ต้องฆ่าปิดปากลูกน้องอีกเกือบสิบคนที่นอนเกลื่อนอยู่นี่ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นพวกมันต้องพร้อมใจเป็นพยานให้ตำรวจตามล่าเอาคุณเข้าคุก หรือไม่ก็ยกพวกมาแก้แค้นทีหลังอยู่ดี”

            ขุนคีรีถอนใจเบา แววตาเปลี่ยนเป็นเฉยเมยตามปกติ ลดกระบองลงแล้วสอดข้างเอวดังเดิม บิ๊กเพลิงเหมือนได้รับนิรโทษกรรมทรุดร่างกับพื้นหมดเรี่ยวแรง เพิ่งรู้สึกเจ็บแผลที่แขน

            “ถ้าไม่ฆ่ามัน ยังมีวิธีอื่นมั้ยที่รับรองว่าพวกมันจะไม่กลับมาแก้แค้น”

            ดวงตานักมวยหนุ่มฉายแววคุ้นเคยกับผู้มาใหม่ น้ำเสียงเชื่อมั่นวางใจ

            “มีสิ”

            “ยังไง”

            “ใช้การเจรจา”

            ‘เจรจา’ แบบไหน จึงสามารถหยุดความแค้นวงการนักเลง ทำให้ผู้มีอิทธิพลย่านหนึ่งยอมสงบเสงี่ยมเชื่อฟัง











บทที่ ๔



            สิ่งแรกที่ ‘นักเจรจา’ กระทำคือเข้าไปห้ามเลือด พันแผลให้บิ๊กเพลิง ซึ่งใบหน้ากำลังซีดเผือด อ่อนแรง แต่สามารถพูดคุยต่อรอง ไม่ถึงกับเป็นลมเสียชีวิตในเวลาอันสั้น

            จากนั้นกลับมาเปิดโทรศัพท์ให้ขุนคีรีดูรูปบางอย่างเป็นการยืนยัน นักมวยหนุ่มเห็นแล้วถอนใจโล่งอก แววตาคลายกังวล พึมพำขอบคุณอีกฝ่ายเบา ๆ

            หลังจากช่วยเหลือสองฝ่ายจนสงบลง นักเจรจาเดินยิ้มเข้าไปหาหัวหน้าแก๊งเหล็กไฟ ซึ่งกำลังพิมพ์ข้อความเตรียมส่งไลน์เรียกลูกน้องมาสมทบ

            “บิ๊กเพลิงมีลูกน้องทั้งหมดเท่าไหร่”

            คำพูดเรียบ ๆ แววตาเท่าทันแสดงการข่มขู่ อีกฝ่ายนิ่งงันไม่กล้าพิมพ์ข้อความจนจบ ได้แต่มองฝูงสมุนสลบเรียงรายอย่างขัดใจ

            “ไม่ต้องเรียกใครมาเพิ่มหรอก ลูกน้องบิ๊กเพลิงที่นี่โดนฟาดแค่จุดสลบไม่ถึงตาย อีกเดี๋ยวก็ฟื้นพาเจ้านายไปโรงพยาบาลได้แน่”

            “มึง...เอ่อ...คุณ...เป็นใคร” ผู้มีอิทธิพลถาม

            ที่ใช้วาจาสุภาพกว่าเดิมเพราะเห็นนักมวยร้ายกาจแสดงความสนิทสนม และลักษณะบางอย่างแสดงถึงความเป็นมาไม่ธรรมดา

            “เรียกว่า...คนกลาง...แล้วกัน” พูดพร้อมเปิดรอยยิ้ม “คนต้องการเจรจากับบิ๊กเพลิงจริง ๆ ไม่ใช่ผมหรอก”

            “ใคร?”

            “เข้าไปเปิดแอร์นั่งคุยกันในรถเย็น ๆ ดีกว่า”

            ชายแปลกหน้าประคองหัวหน้าแก๊งเหล็กไฟขึ้นไปนั่งบนรถตู้ สตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ ปิดประตู และเปิดไฟในรถให้คนภายนอกเห็นการสนทนาด้วย

            ขุนคีรีไม่ไปไหน นั่งมองสมุนแก๊งเหล็กไฟบางคนเริ่มขยับตัวอย่างมึน ๆ โดยไม่ซ้ำเติม ชายแปลกหน้าพูดถูก...คนพวกนี้แค่โดนฟาดจุดสลบ ผู้ลงมือไม่มีเจตนาให้ถึงตาย!



            ระหว่างสนทนาในรถตู้ ลูกสมุนแก๊งเริ่มฟื้นทีละคน พอเห็นเจ้านายนั่งคุยกับบางคนในรถอย่างปลอดภัย โดยนักมวยฝีมือพระกาฬนั่งคุมเชิงห่าง ๆ ก็ไม่กล้าผลีผลามทำอะไร ได้แต่เกาะกลุ่มรอบรถเพื่อคุ้มครองและรอรับคำสั่งต่อไป

            พวกมันแอบเหลือบมองด้านใน พบคู่สนทนาเจ้านายไม่ใช่ชายหนุ่มเชิ้ตขาวสวมแว่น แต่เป็นบางคนที่ปรากฏใบหน้าเจรจาแบบเฟซไทม์ทางโทรศัพท์

            เสียงพูดคุยไม่เล็ดรอดออกมานอกรถ จึงไม่แน่ใจเนื้อหาเรื่องราว เพียงครู่เดียวการพูดคุยจบ ประตูรถเปิดออก บิ๊กเพลิงโบกมือไล่ให้ลูกน้องหลีกทาง เพื่อชายเชิ้ตขาวลงจากรถโดยสะดวก

            พอลงจากรถเรียบร้อย ‘คนกลาง’ ค้อมศีรษะให้เกียรติหัวหน้าแก๊งเหล็กไฟ

            “ขอบคุณที่บิ๊กเพลิงเข้าใจ ยอมจบเรื่องนี้ด้วยดีครับ”

            “อือ...ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน...เขา...เอ่อ...คนของคุณสามารถกลับไปชกเวทีนั้นได้เหมือนเดิม เดี๋ยวจะบอกเฮียบุ๋นให้”

            คนพูดจงใจส่งเสียงดังขึ้นเพื่อลูกน้อง และ ‘อีกคน’ ซึ่งคุมเชิงอยู่ได้ยินด้วยกัน

            “ขอบคุณอีกครั้งครับ”

            เหล่าลูกสมุนแปลกใจ ไม่อยากเชื่อเรื่องราวจบง่ายดายขนาดนี้

            “ขึ้นรถ!”

            บิ๊กเพลิงออกคำสั่งเรียกลูกน้อง สายตาเหลือบมองขุนคีรีก่อนก้มศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงยอมแพ้ขออภัย



--------------- ------------ --------------



            รถยุโรปสีขาวคันใหญ่ ห้องโดยสารเงียบเย็นสบายทั้งที่จอดติดตรงสี่แยกไฟแดง

            ขุนคีรีนั่งเบาะหลังเคียงข้าง ‘คนกลาง’ ลักษณะหน้าตา การแต่งตัวขัดกับรถที่นั่งชนิดคนละขั้ว

            “ครูแคล้วปลอดภัยดีมั้ย”

            “รายงานตะกี้บอกว่าแกถึงบ้านแล้วนะ”

            “ขอบคุณพี่เข้ม”

            คำพูดแสดงความรู้สึกแท้จริง ตอนโทรขอความช่วยเหลือจากชายคนนี้มั่นใจว่าเรื่องราวจะเรียบร้อยอยู่แล้ว

            พอเขาเปิดโทรศัพท์ให้ดูรูปสมุนแก๊งเหล็กไฟโดนจัดการเสียหมอบก่อนเข้าถึงตัวตาแคล้ว ก็โล่งใจอีกระดับหนึ่ง จนรายงานล่าสุดว่าครูมวยชราถึงบ้านโดยสวัสดิภาพก็เหมือนวางภาระลงเรียบร้อย

            “ไม่เป็นไร พี่สั่งลูกน้องทำตามที่คุณขุนบอกนั่นแหละ ให้ลอบคุ้มครองแกเงียบ ๆ จัดการพวกนั้นแบบไม่กระโตกกระตาก”

            ขุนคีรีระบายลมหายใจยาว เอนหลังพิงเบาะพักผ่อนอย่างคุ้นเคยกับยานพาหนะประเภทนี้

            ยามสองคนนั่งคู่กันมองเห็นความแตกต่างชัดเจน ‘พี่เข้ม’ ผิวสีเข้มคล้ำตัดกับเชิ้ตขาว ตรงข้ามอีกคนผิวขาวตัดกับเสื้อผ้าร่มสีดำ

            ใบหน้าผู้ให้ความช่วยเหลือดูเรียบ ๆ ไม่สะดุดตาแบบคนแก่เรียน ยิ่งสวมแว่นกรอบบางก็ดูเหมือนครูบาอาจารย์มากกว่าคนกลางเจรจาสงบศึกนักเลง

            “ที่จริงผมโทรขอความช่วยเหลือแค่เรื่องครูแคล้ว...ส่วนอีกเรื่องผมจัดการเองได้”

            ผู้พูดแสดงสีหน้าคล้าย ‘คุณหนู’ เอาแต่ใจ วาจาไม่ถึงขนาดหงุดหงิดไม่พอใจ แค่ตอกย้ำว่าเรื่องส่วนตัว ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร

            สีหน้าคนฟังอมยิ้มคล้ายเห็นตัวตนเดิม ๆ อีกฝ่ายกลับมาอีกครั้ง ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

            “พี่ไม่ได้ช่วยอะไร แค่ไม่อยากเห็นบิ๊กเพลิงนั่นตายคามือคุณขุน เดี๋ยว ‘พ่อเลี้ยง’ จะลำบากไปด้วย”

            พอได้ยินคำว่า ‘พ่อเลี้ยง’ หลุดออกมา แววตาชายหนุ่มหม่นลง ใบหน้าเหมือนสวมหน้ากากอีกชั้น

            “พ่อรู้เรื่องนี้แล้วใช่มั้ย” ถามกึ่งประชด

            “รู้แล้ว” ตอบไม่ปิดบัง “ท่านเลยให้บางคนช่วยออกหน้า ‘คุย’ กับบิ๊กเพลิงนั่นแทน”

            ขุนคีรีกำลังเอ่ยปากถาม บิดาให้ใครออกหน้าช่วยเคลียร์ปัญหา แล้วฉุกใจจำได้ว่าผู้มีอิทธิพลทำให้นักเลงแถวนี้หมอบราบคือใคร

            “ลุงพลเหรอ”

            “ใช่”

            ชายหนุ่มรู้จักเพื่อนรัก เพื่อนสนิทบิดาหลายคน ตั้งแต่คนเหล่านั้นยังไม่มีอำนาจ จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลระดับสูงในวงการสีเทาทั่วประเทศ

            “ลุงพลคุยกับมันยังไงบ้าง” ถามเพราะเกรงจะมีข้อแลกเปลี่ยนทำให้ลำบากใจ

            “ท่านไม่พูดมาก” เข้มตอบสีหน้ายิ้ม ๆ “แค่บอกว่าคุณขุนเป็นหลานรักของท่านเท่านั้น”

            มุมปากขุนคีรีกระตุกคล้ายหยันตัวเอง

            “ผมควรเข้าไปขอบคุณท่านมั้ย”

            “ไม่ต้องหรอก พ่อเลี้ยงพูดจาแทนคุณหมดแล้ว...อีกอย่างคนระดับนี้เขาช่วยเหลือ อาศัยอิทธิพลกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”

            เป็นครั้งแรกที่ขุนคีรีมีรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า

            “นั่นสิ...เพราะอย่างนี้ไง...ผมถึงต้องมาอยู่ที่นี่...ด้วยความละอายใจ!”

            คนฟังนิ่งเงียบ ไม่ตอบวาจา ไม่เอ่ยคำปลอบใจ ด้วยเห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อยจึงรู้ว่าไม่มีประโยชน์ ขุนคีรีหัวดื้อ ยึดความคิดเป็นใหญ่ ไม่ผิดกับบิดาตนเอง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP