วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๕



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๓



            ครั้งแรกที่บัวบุษราพบยมทูตหินผา เป็นความฝันไม่ต่างจากคืนอื่น

            เธอฝันว่ากลับไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอีกครั้ง เข้าห้องเรียน ร่วมทำกิจกรรม ทำงานพิเศษต่าง ๆ มีความสุขสมกับวัยสาวพลังงานเหลือเฟือ

            ภาพในฝันตัดไปมาไม่ต่อเนื่อง บางตอนกำลังอยู่ในห้องเรียนฟังบรรยาย บางตอนกระโดดไปทำกิจกรรมมหาวิทยาลัย บางครั้งเห็นตัวเองฝึกงานจัดรายการวิทยุ ทำงานพิเศษในห้องอัดเสียง แต่ละช่วงเวลาปรับเปลี่ยนแบบไม่ทันตั้งตัว คล้ายความคิดสับสนฟุ้งซ่าน ไม่อาจเรียบเรียงเป็นระเบียบ อีกทั้งไม่รู้ว่าตนกำลังฝัน คิดว่าประสบเหตุการณ์นั้นจริง ๆ

            วันฉลองเรียนจบ บัวบุษราเดินวนเวียนตามตึกคณะทีละชั้น จดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ในความทรงจำเป็นการสั่งลา กำลังจะลงบันไดไปเจอเพื่อนที่นัดไว้ใต้ถุนตึก พบชายแปลกหน้าที่หัวบันได ร่างสูงใหญ่ ผิวสีทองแดง รอบร่างคล้ายแผ่ความร้อนจาง ๆ ข่มขวัญผู้พบเห็น

            แวบแรกคืออบอุ่น วางใจ มิใช่หวาดกลัว กริ่งเกรงต่อรูปลักษณ์ชวนยำเกรง ส่วนลึกรู้สึกว่าบุคคลนี้ไม่คิดทำอันตรายตนเอง

            “สวัสดีค่ะ” เธอทักทายก่อน

            ดวงตาโตลึก เปลือกตาสองชั้นชัดเจนมองมาด้วยอาการกึ่งประเมิน อ่านความรู้สึกข้างใน

            “เธอไม่กลัวฉันรึ”

            “คุณจะมาทำอะไรบัวล่ะคะ”

            แววตาพึงใจต่อคำตอบฉายแวบหนึ่ง แทนสัญญาณบอกให้หญิงสาวมั่นใจว่าบุคคลนี้ไม่มีเจตนาร้าย เธอจึงกล้าเอ่ยปากแนะนำตัวก่อน

            “บัวชื่อบัวบุษรา...คุณล่ะคะ”

            “ฉันเป็นยมทูต ชื่อหินผา”

            คำตอบอาจทำให้หลายคนตกใจแต่ไม่ใช่กับผู้หญิงคนนี้

            “บัวตายไปแล้ว...คุณเลยมารอรับวิญญาณหรือคะ” ถามแฝงอารมณ์ขัน

            “ไม่ใช่” ตอบพร้อมเอ่ยชวนอีกเรื่อง “ไปเดินเที่ยวกันมั้ย”

            บัวบุษราจำได้ว่านัดเพื่อนไปเลี้ยงฉลองเรียนจบที่ใต้ถุนตึก กำลังเอ่ยปากปฏิเสธ อีกฝ่ายพูดขึ้นก่อน

            “งานฉลองเรียนจบผ่านมาสองปีแล้ว...ตอนนี้เธอกำลังฝันถึงเหตุการณ์อดีต”

            คำพูดปลุกสติให้ ‘ตื่น’ รู้สึกตัวในความฝัน จดจำเรื่องราวฉลองเรียนจบชัดเจน งานฉลองนั้นเป็นวันสุดท้ายที่เธอสามารถมองเห็นโลกและผู้คนจริง ๆ ไม่ใช่ในฝันอย่างนี้

            ความเข้าใจบังเกิด ทราบว่าภาพทั้งหมดถูกปรุงแต่งจากความทรงจำ...ยกเว้น ‘ยมทูต’ ตรงหน้า

            หญิงสาวส่งรอยยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามพร้อมคำตอบรับ

            “งั้นบัวไปเดินเที่ยวกับคุณ...ยมทูต...ดีกว่าค่ะ ยังไม่อยากรีบตื่นนอนตอนนี้”



--------------- ------------ --------------



            หลายคนอาจวาดภาพสถานที่ยมทูตเดินเที่ยวเป็นดินแดนปิศาจ ภูตผี ไม่ก็ไปดูป่าช้าหลุมฝังศพ ทว่าเขากลับพาเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า ดูผู้คนจับจ่ายซื้อของ ร้านรวงตกแต่งสวยงามเชิญชวนลูกค้า

            บรรยากาศแสนธรรมดาเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนบัวบุษราคงนึกขัน เพราะสาวมหา’ลัยเช่นเธอเดินเที่ยวประจำจนรู้จักแทบทุกซอกมุมอยู่แล้ว

            สถานที่ปกติคุ้นเคยเช่นนี้กลับกลายเป็นสิ่งชวนตื่นตา กระตุ้นความทรงจำ เกิดอาวรณ์ โหยหาวันคืนเก่า ๆ จนอยากร้องไห้

            “เดินเที่ยวที่นี่ต่อไหวมั้ย” ถามเหมือนสัมผัสจิตใจหดหู่นั้นได้

            “บัวอยากเดินห้าง ดูหนังเหมือนสมัยก่อน แต่ถ้าเห็นสิ่งคุ้นเคยเดิม ๆ มากกว่านี้ คุณยมทูตอาจต้องมายืนดูคนร้องไห้ก็ได้นะคะ”

            “งั้นไปเที่ยวที่อื่นกัน”

            “ที่ไหนคะ”

            “ที่ที่เธอไม่น่าคุ้นเคยเท่านี้”

            “ไปก็ได้ค่ะ”

            ตอบรับทั้งที่ไม่แน่ใจสถานที่เที่ยวแห่งใหม่เป็นที่ใด เชื่อว่าคงไม่ใช่ภูเขา ทะเล น้ำตกแน่ ๆ



            สถานที่นั้นเป็นสถานีตำรวจ ผู้คนไม่พลุ่กพล่าน ยกเว้นส่วนให้ประชาชนมาแจ้งความ ห้องด้านในเป็นที่ทำงาน ตำรวจในเครื่องแบบนั่งโต๊ะพิมพ์เอกสาร หนังสือราชการไม่กี่คน

            หนึ่งในนั้นบัวบุษราคุ้นตา...ดาบตำรวจพนา บิดาตนเอง

            หลังจากพิมพ์เอกสารรายงานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเรียบร้อย ดาบตำรวจอาวุโสก็เสิร์ชหาข้อมูลในส่วนชั้นความลับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับคดีทะเลาะวิวาท การก่อเหตุวางเพลิงอาคารสำนักงานปิดร้าง ไฟลามถึงห้องครัวร้านอาหารดังจนแก๊สระเบิด ครัวพังยับ ลูกค้าในร้านรับบาดเจ็บมากน้อยต่างกัน

            หนักสุดคือบัวบุษรา ซึ่งกำลังออกจากห้องน้ำเวลานั้นพอดี!

            “พ่อยังสืบคดีนี้อยู่หรือคะ” พึมพำกึ่งสอบถามผู้นำทาง

            “เธออยู่ในฝัน มันอาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้” คำพูดกึ่งเตือนสติ

            บัวบุษรามองบิดาอีกครั้ง คราวนี้เขากำลังรับสายจากใครบางคน

            “ว่าไงมีอะไรคืบหน้ามั้ย”

            “ไม่มีเลยน้า...ผมให้เพื่อนเช็คข้อมูลเชิงลึกคดีนี้แล้ว มันเป็นไปตามข่าวนั่นแหละ เด็กวัยรุ่นแก๊งมอเตอร์ไซค์ทะเลาะยกพวกตีกัน มีการใช้ระเบิดประกอบเองเป็นอาวุธ มันโยนพลาดเข้าไปในอาคารที่ติดกับร้านอาหารจนเกิดเพลิงไหม้ ไฟลามถึงห้องครัวติดกัน แล้วแก๊สระเบิด...มันเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ ลูกสาวน้าไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา”

            “ทำไมไฟมันลามจากอาคารไปห้องครัวร้านอาหารเร็วนัก ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเตือนลูกค้าก่อนเลยเหรอ”

            “โห...น้าก็ถามผมแบบนี้หลายรอบแล้ว ทุกอย่างตามรายงานตำรวจนั่นแหละ เด็กพวกนั้นมันตีกันด้านหลังอาคาร เป็นซอยเปลี่ยวไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาหรอก พอเกิดเรื่องไฟไหม้ก็แยกย้ายหนีกันหมด ตอนถูกจับตัวมาสอบปากคำก็ให้การตรงกันไม่มีพิรุธเลย”

            “เจ้าของอาคารที่เกิดเพลิงไหม้ล่ะ บอกว่ามีข้าวของอะไรเสียหายมั้ย”

            “ที่นั่นเขาเช่าไว้เก็บของเหลือใช้เท่านั้น เสียหายยังไงประกันรับผิดชอบอยู่แล้ว เลยไม่ติดใจเอาความอะไร”

            “แน่ใจหรือว่าเช่าตึกไว้เก็บของเหลือใช้อย่างเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่น”

            “แหมน้า...กองพิสูจน์หลักฐานเข้าไปสำรวจถ่ายรูปออกมาหมดแล้ว สะอาดเรียบไม่มีอะไรผิดกฎหมายซุกซ่อนไว้หรอก น้าก็ไปดูกับตามาแล้วไม่ใช่หรือ”

            “เออ...แค่นั้นล่ะ ขอบใจมาก”

            เสียงถอนใจเบา ๆ ดังตามสาย ฝ่ายผู้ให้ข้อมูลเอ่ยวาจาเสียงอ่อน

            “ผมรู้ว่าน้าเคยเป็นมือสอบสวนระดับพระกาฬ จมูกไวทุกครั้งที่มีกลิ่นคดีเงื่อนงำแปลก ๆ แต่ผมว่าอย่ามัวเสียเวลาแอบสืบเรื่องพวกนี้เลย มันไม่มีอะไรจริง ๆ พวกเราทุกคนยืนยันได้”

            “เออ เรื่องของกู”

            สายโทรศัพท์ถูกตัดง่าย ๆ ‘ผู้ชม’ อย่างบัวบุษราเห็นแล้วสะท้อนใจ...หรือนี่เป็นเหตุผลที่พ่อต้องการย้ายมาทำงานนั่งโต๊ะแทนงานสืบสวนปราบปราม...เพื่อจะได้มีเวลาสืบคดีสำคัญส่วนตัวแค่คดีเดียว



            ชั่วเวลานั้นสถานที่รอบกายเปลี่ยนไป กลายเป็นลานลั่นทมกว้าง แต่ละต้นออกดอกบานสะพรั่งงดงาม

            ลั่นทมดอกหนึ่งร่วงหล่นลงพื้น บัวบุษราก้มลงเก็บ ได้ยินเสียงยมทูตถาม

            “ดอกลั่นทม...มนุษย์บางคนคิดว่าเป็นตัวแทนเรื่องเศร้าโศก หรือความตาย เธอคิดอย่างนั้นไหม”

            นั่นคือเริ่มต้นคำสัญญา

            สำหรับเธอ การท่องเที่ยวในโลกความฝันเป็นแค่ผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายแท้จริง เชื่อว่ามือระดับยมทูตคงไม่เสียเวลาพาหล่อนเดินเที่ยวเล่นเปล่า ๆ แน่

            ต่อหน้าเธอ...พ่อและพี่สาวทำตัวปกติ ใช้ชีวิตประจำวันมีความสุข ทว่าลับหลังต้องเหนื่อยยากเป็นทุกข์ขนาดไหน...นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ต่อให้แลกกับสัญญาดอกลั่นทมก็ตาม

            เมื่อตกลงทำสัญญาเสร็จสิ้น ยมทูตหินผาทิ้งวาจาไว้

            “ที่นี่คือความฝัน สิ่งที่เห็นอาจเป็นแค่ความคิดปรุงแต่งในจิตใจเธอก็ได้...อย่าเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง จนต้องเสียเวลาหาทางพิสูจน์ เพราะมันอาจเพิ่มภาระให้กับคนที่รักและเป็นห่วงเธอเช่นกัน”

            คำพูดดักคอ เท่าทันความคิดจนชะงักงัน มองหน้ายมทูตอย่างอัดอั้นตันใจ มีคำถามข้อขอร้องในใจมากมาย

            “คิดเสียว่าทั้งหมดนี้เป็นความฝัน แล้วทำตัวเป็นแค่ ‘ผู้ดู’ อย่างไม่เป็นภาระใครดีกว่า”

            คำย้ำเตือนมีผลต่อการเข้าไปรับรู้เรื่องราวอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน



--------------- ------------ --------------



            ห้องส่งวิทยุกระจายเสียง

            บัวบุษราเคยฝึกงานช่วยจัดรายการที่นี่สมัยเป็นนักศึกษา ดีเจประจำคุ้นเคยกับพรไพลินพี่สาวเธอ พอเกิดเหตุร้ายหลังเรียนจบ หลายคนพยายามช่วยให้โอกาสกลับมายืนอีกครั้ง

            งานดีเจร่วมรายการเป็นหนึ่งในโอกาสที่บัวบุษราได้รับ

            เธอจัดรายการร่วมกับ ‘สุปรียา’ หรือ ‘พี่สุ’ สาวใหญ่วัยสี่สิบเศษ ทำงานสายนี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี เนื้อหารายการเป็นการพูดคุยสลับเปิดเพลง บางช่วงเปิดโอกาสให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้ามาถามไถ่บอกเล่าประสบการณ์

            จุดเด่นรายการคือการสนทนาอย่างเป็นกันเองระหว่างสองสาวต่างวัย ต่างมุมมอง สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติแบบเปิดกว้าง สนุกสนาน ต่อให้ขัดแย้งบ้างก็เจือด้วยอารมณ์ขัน ผู้ฟังเพลิดเพลินตลอดรายการ

            ประเด็นที่สองสาวนำมาพูดมักเป็นเรื่องทั่วไป ข่าวคราวเป็นกระแส หรือเรื่องราวที่สังคมกำลังถกเถียง

            “น้องบัวได้ยินข่าวทลายคลินิกทำแท้งเถื่อนหรือยังคะ” สุปรียาเปิดประเด็น

            “คลินิกที่ไหนคะ”

            ถามเพื่อย้ำรายละเอียด เธอได้ฟังข่าวนี้ก่อนเข้ารายการ ปรึกษากับดีเจหลักแล้วว่าจะคุยเรื่องนี้กัน

            “แถว...ไงคะ ที่นั่นภายนอกไม่เหมือนคลินิกเลย พี่เห็นในข่าวยังคิดว่าเป็นบ้านเศรษฐีด้วยซ้ำ”

            “อ๋อ...ได้ฟังแล้วค่ะ ในข่าวบอกว่าคนแถวนั้นทราบดีว่าที่นั่นเป็นอะไร แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะญาติพี่น้องเจ้าของบ้านเป็นคนใหญ่คนโต”

            “คราวนี้คงช่วยไม่ไหวแล้วล่ะ หลักฐานพยานมัดตัวขนาดนี้ พี่ดูในข่าวนะ เจ้าของคลินิกเธอนิ่งมาก ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านตอนโดนจับเลย สงสัยคิดว่ายังไงก็รอดแน่”

            “บางทีก็ไม่แน่นะคะพี่สุ...บัวคิดว่าการที่คนเรานิ่งได้ขนาดนั้น อาจเพราะเตรียมใจอยู่แล้วว่าสักวันต้องเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แน่ ๆ บางทีเจ้าของคลินิกอาจรอให้มีใครสักคนมาช่วยหยุด ‘งานบาป’ ของแกสักที”

            “หือ...น้องบัวพูดแปลก ถ้าคนเรามีสำนึกไม่อยากทำบาปแบบนี้จริง ๆ น่าจะหยุดเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาจับหรอก”

            “คนที่ทำอะไรไม่ดีมานาน อาจเหมือนกำลัง ‘ขี่หลังเสือ’ อยู่ก็ได้ค่ะ ใจมันอิ่มตัวไม่อยากทำต่อก็จริง แต่หยุดไม่ได้เพราะทำมานานเกินกว่าจะไปทำอย่างอื่น เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว ต้องรอให้ใครสักคนมาจัดการแบบนี้”

            “อืม พอน้องบัวพูดอย่างนี้พี่เพิ่งนึกถึงสีหน้าแกในข่าววันนี้ได้ คือ...ถึงหน้าตาจะดูนิ่ง ๆ ไม่สะทกสะท้านเหมือนเดิม แต่มันหมองคล้ำ มืด ๆ พิกล เหมือนข้างในมีไฟร้อนเผาอยู่เหมือนกัน”

            “บัวว่าความทุกข์ในใจมันแสดงออกทางสีหน้าอย่างนั้น พยายามปกปิดยังไงไม่มิดหรอกค่ะ...แต่พี่สุคะ เรามาเบรกเรื่องหนัก ๆ ฟังเพลงเบา ๆ ผ่อนคลายกันดีกว่า”

            “งั้นลองฟัง ‘Shadow คนในเงา’ เพลงใหม่ของวงยามาร์ดีกว่า เพลงนี้เพราะได้ใจเลย”

            เสียงเพลงแทรกขึ้นมาคั่นการสนทนา บัวบุษราไม่จำเป็นต้องสืบว่าความฝันคืนนั้นเป็นเรื่องจริงหรือจิตปรุงแต่ง เพราะข่าวมาถึงหูโดยไม่ต้องไถ่ถามใคร

            ถ้าคลินิกทำแท้งเถื่อนเป็นเรื่องจริง เรื่องบิดากำลังสืบเบื้องหลังอุบัติเหตุนั่นก็น่าจะจริงเช่นกัน เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือเมื่อสองปีที่แล้วหลังเกิดเหตุใหม่ ๆ

            ต่อให้อึดอัดลำบากใจ อยากไถ่ถามเพียงไรก็จำต้องนิ่งไว้ ทำตัวเป็น ‘ผู้ดู’ เช่นยมทูตหินผาบอกล่วงหน้า

            สิ่งที่เห็นอาจเป็นเรื่องจริงหรือจิตปรุงแต่ง...เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง



--------------- ------------ --------------



            ยมทูตหินผาไม่ติดต่อขุนคีรีสองสามวัน ภารกิจใหม่ยังไม่ปรากฏภาพในฝัน ช่วงนี้ไม่ต้องออกไปทำงานพิเศษ ถึงอย่างนั้นก็มีงานประจำต้องทำอยู่ดี

            “คืนวันศุกร์ขึ้นเวทีนะ” ตาแคล้วบอก

            ขุนคีรีพยักหน้ารับคำ ฝึกซ้อมตามปกติ

            เช้า...วิ่งตามเส้นทางเดิม ระหว่างผ่านหน้าบ้านบัวบุษราจะชะลอฝีเท้า กวาดตาสังเกตภายใน พอเห็นว่าปกติก็ออกวิ่งต่อจนครบรอบ

            กลางวัน...ซ้อมชกลม ชกกระสอบทรายตามตารางฝึกที่พักตนเอง

            เย็น...วิ่งออกกำลังกายไปสวนสาธารณะหมู่บ้าน

            ที่นั่นมีลู่วิ่ง ลานแอโรบิก เครื่องออกกำลังกายนานาชนิด ชายหนุ่มกระโดดเชือก ใช้เครื่องออกกำลังกายฝึกซ้อมแทบทุกวันจนคนแถวนั้นชินตา

            สิ่งหนึ่งซึ่งคนทั่วไปไม่ทราบ ทุกครั้งที่หญิงสาวสวย สวมแว่นสีชาเดินถือไม้เท้ามาพักผ่อน ออกกำลังกายกับพี่สาว สายตานักมวยหนุ่มจะคอยระแวดระวังอันตรายให้พวกเธอ แววตาแสดงชัดว่าพร้อมเข้าช่วยเหลือทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

            ฟ้าเริ่มมืด สองสาวพี่น้องพากันเดินกลับ ขุนคีรีจะเดินตามส่งห่าง ๆ โดยไม่มีผู้ใดผิดสังเกต ทำตัวเป็นเงาคอยปกป้อง โดยผู้รับการคุ้มครองไม่เคยสำเหนียกรับรู้ว่ามีตัวตน



--------------- ------------ --------------



            คืนวันศุกร์ ห้องพักนักมวย

            ตาแคล้วเผชิญหน้ากับเฮียบุ๋นเจ้าของสนามมวยใต้ดิน สนทนาเคร่งเครียด สีหน้าอึดอัดลำบากใจ

            “ไหนเฮียบุ๋นบอกว่าเวทีนี้ไม่มีการล้มมวยต้มคนดูไง...ทำไมถึงมาสั่งให้เด็กผมยอมแพ้แบบนี้”

            “โธ่...เวทีไหนมันก็มีการล้มมวยทั้งนั้น ถ้าเจ้าของสนามอย่างอั๊วไม่พูดอย่างนี้ นักพนันมันก็ไม่ไว้ใจแห่กันมาเต็มทุกรอบหรอก”

            “งั้นเท่ากับเฮียต้มทั้งนักมวยทั้งคนดู”

            “ไม่ใช่ ที่ผ่านมาเวทีอั๊วสู้กันด้วยฝีมือจริง ๆ”

            “ทำไมคราวนี้ เด็กผมต้องยอมแพ้ด้วยล่ะ”

            “เด็กลื้อมันสถิติดี ชนะมากกว่าแพ้หรือเสมอ ราคาต่อรองสูง เลยมี ‘บางคน’ สนใจอยากลงทุน เขายอมจ่ายให้ลื้อหลายหมื่นเลยนะ”

            “เฮียบอกผมได้มั้ย คนที่พูดถึงน่ะเป็นใคร”

            ตาแคล้วทราบ ระดับเฮียบุ๋นมีอิทธิพลพอตัว ใช่ว่าใครจะมาสั่งหรือขอร้องกันง่าย ๆ คนทำให้บุคคลระดับนี้ยอมกลืนน้ำลาย ลดตัวมาพูดกับครูมวยแก่ ๆ นักมวยไร้ชื่อเสียงแบบนี้ต้องไม่ธรรมดา

            เจ้าของสนามมวยกระซิบข้างหูเบา ๆ ตาแคล้วชะงักสีหน้าเปลี่ยน

            “เข้าใจหรือยัง ทำไมอั๊วถึงต้องขอร้องกันแบบนี้” เฮียบุ๋นย้ำ

            “ถ้าผมปฏิเสธล่ะ” น้ำเสียงหยั่งเชิง ไม่หนักแน่นนัก

            “ลื้อต้องเสี่ยงเอา สำหรับอั๊วทำได้แค่มาบอกเท่านั้นล่ะ”

            ตาแคล้วหัวเราะแค่น ๆ สายตาเหลือบเห็นเงาวอบแวบนอกห้อง แสดงว่าคนฝ่ายนั้นคงมาแอบฟังการสนทนาเช่นกัน

            “อ้อ แสดงว่าตอนนี้เฮียบุ๋นลอยตัวแล้ว ผลแพ้ชนะยังไงไม่เกี่ยว มีอะไรผิดพลาดมาพวกผมรับเต็ม ๆ”

            “ลื้อยังไม่รับปากเลย อั๊วจะลอยตัวได้ยังไง”

            “ผมต้องคุยกับเด็กมันก่อน”

            “อั๊วจ่ายมัดจำตอนนี้สองหมื่นก่อนยังได้ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”

            “ไม่คิดไม่ได้หรอก...เอาเป็นว่าขอผมตัดสินใจก่อน ตอนนี้ยังไม่กล้ารับเงินเฮีย ที่จริงเด็กผมอาจชกแพ้เองก็ได้ ไม่ต้องเสียเงินจ้าง”

            “เฮ้ย ทางนั้นต้องการความชัวร์ จะได้ทุ่มเดิมพันเต็มที่”

            “งั้นขอผมคุยกับเด็กอีกที แล้วจะไปบอกเฮียก่อนขึ้นเวที”

            เฮียบุ๋นหรี่ตามองครูมวยชรา ทราบว่านี่คือการชะลอเวลารักษาน้ำใจ นั่นทำให้ทราบคำตอบแท้จริงแล้ว จึงถอนใจเบา ๆ พูดเสียงดังกว่าปกติให้คนนอกห้องได้ยินด้วย

            “ตอนนี้ลื้อรู้ว่า ‘ใคร’ ขอร้องมา อั๊วไม่มีอะไรพูดอีก สนามของอั๊วเคยประกาศนักหนาว่าไม่มีการล้มมวย ที่ยอมมาพูดให้ขนาดนี้ถือว่ายอมกลืนน้ำลาย ให้เกียรติ ‘คนนั้น’ มากสุดแล้ว”

            จากนั้นตบไหล่ครูมวยเบา ๆ เป็นเชิงปลอบโยน สายตามองนักมวยหนุ่มมุมห้องอย่างเสียดายก่อนเดินออกไป



            ร่างสูงเพรียวนั่งเงียบ ๆ ตลอดการสนทนา ผ้าขนหนูคลุมศีรษะปกปิดใบหน้าแววตา ไม่ให้ใครรู้ว่ามีปฏิกิริยาใด อาการกอดอกนิ่งเหมือนทำสมาธิเตรียมพร้อมขึ้นเวที

            ตาแคล้วเดินเข้ามาหา ถอนใจเบา ๆ ก่อนบอก

            “คนจ้างล้มมวยเป็นหัวหน้าแก๊งเหล็กไฟ คุมนักเลงย่านนี้ทั้งหมด เฮียบุ๋นมันไม่อยากมีเรื่องเลยมาขอให้เราล้มมวย เราจะทำตามคำสั่งหรือไม่มันก็ลอยตัวอยู่ดี...พวกนี้ถ้าไม่จำเป็นไม่ปะทะกันให้ตำรวจเข้ามายุ่งด้วยหรอก”

            พูดแล้วสังเกตท่าทางชายหนุ่ม ดวงหน้านั้นยังก้มลงอย่างต้องการซ่อนแววตาดังเดิม แกถอนใจคุกเข่าเข้าใกล้แล้วกระซิบแผ่วเบา

            “เรื่องล้มมวย...มันเสียศักดิ์ศรี...ฉันไม่สั่งให้แกทำหรอก...ชกเต็มที่ไปเลย แพ้หรือชนะวัดกันที่ฝีมือจริง ๆ”

            คนจะขึ้นชกเงยหน้าสบตาครูมวย พบแววเด็ดเดี่ยวนักสู้จากดวงตาชราภาพคู่นั้น

            ไม่ต้องบอกก็ทราบ หากขุนคีรีชกชนะอะไรจะเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นผู้เฒ่าก็ไม่สั่งให้กระทำเรื่องเสียศักดิ์ศรี ขัดต่อความรู้สึก

            “ครับ” ตอบรับแล้วหลุบตาลงตามเดิม

            ตาแคล้วเข้าใจ เดินออกจากห้องเพื่อให้นักมวยมีเวลาเตรียมตัว ตัดสินใจเอง

            ประตูปิดลงรอบด้านเงียบสงบ ไม่มีใครอยู่บริเวณใกล้เคียง ขุนคีรีเงยหน้าดวงตาฉายแววเป็นห่วงบุคคลเพิ่งออกจากห้อง ก่อนตัดสินใจกระทำเรื่องที่ตนพยายามหลีกเลี่ยง

            เปิดโทรศัพท์มือถือ ค้นหาเบอร์คุ้นเคย จากนั้นกดโทรออกติดต่อใครบางคน



--------------- ------------ --------------



            สนามมวยเฮียบุ๋นไม่ถึงกับเป็นเวทีใต้ดินร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อให้ไม่ใช้กติกามาตรฐานก็มีข้อบังคับเฉพาะตัว ไม่ถึงกับไร้กฎเกณฑ์สิ้นเชิง นับเป็นเวทีใต้ดินไม่เหมือนใคร

            การต่อสู้ไม่มีจำกัดรุ่น น้ำหนัก ไม่ต้องแต่งชุดนักมวยอย่างเวทีใหญ่ ก่อนการขึ้นชกจะมีการตรวจเครื่องแต่งกาย ไม่ให้ซ่อนอาวุธใต้เสื้อผ้าเพื่อหวังเอาเปรียบกัน

            เวทีมวยเป็นกรงขนาดใหญ่ พื้นที่เท่ากับเวทีทั่วไป การชกไม่กำหนดเวลา ใช้ผลแพ้ชนะเป็นตัวตัดสิน ต่อสู้จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มนับสิบ สลบตายคาหมัด หรือไม่พี่เลี้ยงข้างเวทีโยนผ้ายอมแพ้ ถ้าจะเสมอมีกรณีเดียวคือพี่เลี้ยงสองฝ่ายโยนผ้าพร้อมกัน

            ผู้ชมอยู่บนอัฒจันทร์รอบเวที สามารถส่งเสียงเชียร์ ต่อรองราคาอิสระ มีกำหนดเวลาเปิดปิดรับเดิมพันชัดเจน

            มวยเริ่มชก เสียงเชียร์กระหึ่ม พอจบแต่ละคู่จะมีเสียงโห่ร้องดีใจ ผสานเสียงก่นด่าด้วยความขัดใจ

            กระทั่งถึงคู่สุดท้าย ขุนคีรีเดินขึ้นเวทีคนเดียว ขณะที่ตาแคล้วเข้าไปกระซิบบอกการตัดสินใจกับเฮียบุ๋น ซึ่งทำให้ฝ่ายนั้นมองกลับมีโทสะ รีบลุกขึ้นไปส่งข่าวต่อ ‘บางคน’ บนอัฒจันทร์

            นักมวยหนุ่มเห็นเหตุการณ์ชัดเจน เข้าใจเจตนาครูมวยว่าเหตุใดจึงบอกการตัดสินใจเวลานี้

            ...ถ้าตอบปฏิเสธตั้งแต่แรก คงไม่มีโอกาสขึ้นเวทีแน่นอน...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP