วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ทางยมทูต ๕
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
บทที่ ๓
ครั้งแรกที่บัวบุษราพบยมทูตหินผา เป็นความฝันไม่ต่างจากคืนอื่น
เธอฝันว่ากลับไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอีกครั้ง เข้าห้องเรียน ร่วมทำกิจกรรม ทำงานพิเศษต่าง ๆ มีความสุขสมกับวัยสาวพลังงานเหลือเฟือ
ภาพในฝันตัดไปมาไม่ต่อเนื่อง บางตอนกำลังอยู่ในห้องเรียนฟังบรรยาย บางตอนกระโดดไปทำกิจกรรมมหาวิทยาลัย บางครั้งเห็นตัวเองฝึกงานจัดรายการวิทยุ ทำงานพิเศษในห้องอัดเสียง แต่ละช่วงเวลาปรับเปลี่ยนแบบไม่ทันตั้งตัว คล้ายความคิดสับสนฟุ้งซ่าน ไม่อาจเรียบเรียงเป็นระเบียบ อีกทั้งไม่รู้ว่าตนกำลังฝัน คิดว่าประสบเหตุการณ์นั้นจริง ๆ
วันฉลองเรียนจบ บัวบุษราเดินวนเวียนตามตึกคณะทีละชั้น จดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ในความทรงจำเป็นการสั่งลา กำลังจะลงบันไดไปเจอเพื่อนที่นัดไว้ใต้ถุนตึก พบชายแปลกหน้าที่หัวบันได ร่างสูงใหญ่ ผิวสีทองแดง รอบร่างคล้ายแผ่ความร้อนจาง ๆ ข่มขวัญผู้พบเห็น
แวบแรกคืออบอุ่น วางใจ มิใช่หวาดกลัว กริ่งเกรงต่อรูปลักษณ์ชวนยำเกรง ส่วนลึกรู้สึกว่าบุคคลนี้ไม่คิดทำอันตรายตนเอง
“สวัสดีค่ะ” เธอทักทายก่อน
ดวงตาโตลึก เปลือกตาสองชั้นชัดเจนมองมาด้วยอาการกึ่งประเมิน อ่านความรู้สึกข้างใน
“เธอไม่กลัวฉันรึ”
“คุณจะมาทำอะไรบัวล่ะคะ”
แววตาพึงใจต่อคำตอบฉายแวบหนึ่ง แทนสัญญาณบอกให้หญิงสาวมั่นใจว่าบุคคลนี้ไม่มีเจตนาร้าย เธอจึงกล้าเอ่ยปากแนะนำตัวก่อน
“บัวชื่อบัวบุษรา...คุณล่ะคะ”
“ฉันเป็นยมทูต ชื่อหินผา”
คำตอบอาจทำให้หลายคนตกใจแต่ไม่ใช่กับผู้หญิงคนนี้
“บัวตายไปแล้ว...คุณเลยมารอรับวิญญาณหรือคะ” ถามแฝงอารมณ์ขัน
“ไม่ใช่” ตอบพร้อมเอ่ยชวนอีกเรื่อง “ไปเดินเที่ยวกันมั้ย”
บัวบุษราจำได้ว่านัดเพื่อนไปเลี้ยงฉลองเรียนจบที่ใต้ถุนตึก กำลังเอ่ยปากปฏิเสธ อีกฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“งานฉลองเรียนจบผ่านมาสองปีแล้ว...ตอนนี้เธอกำลังฝันถึงเหตุการณ์อดีต”
คำพูดปลุกสติให้ ‘ตื่น’ รู้สึกตัวในความฝัน จดจำเรื่องราวฉลองเรียนจบชัดเจน งานฉลองนั้นเป็นวันสุดท้ายที่เธอสามารถมองเห็นโลกและผู้คนจริง ๆ ไม่ใช่ในฝันอย่างนี้
ความเข้าใจบังเกิด ทราบว่าภาพทั้งหมดถูกปรุงแต่งจากความทรงจำ...ยกเว้น ‘ยมทูต’ ตรงหน้า
หญิงสาวส่งรอยยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามพร้อมคำตอบรับ
“งั้นบัวไปเดินเที่ยวกับคุณ...ยมทูต...ดีกว่าค่ะ ยังไม่อยากรีบตื่นนอนตอนนี้”
--------------- ------------ --------------
หลายคนอาจวาดภาพสถานที่ยมทูตเดินเที่ยวเป็นดินแดนปิศาจ ภูตผี ไม่ก็ไปดูป่าช้าหลุมฝังศพ ทว่าเขากลับพาเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า ดูผู้คนจับจ่ายซื้อของ ร้านรวงตกแต่งสวยงามเชิญชวนลูกค้า
บรรยากาศแสนธรรมดาเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนบัวบุษราคงนึกขัน เพราะสาวมหา’ลัยเช่นเธอเดินเที่ยวประจำจนรู้จักแทบทุกซอกมุมอยู่แล้ว
สถานที่ปกติคุ้นเคยเช่นนี้กลับกลายเป็นสิ่งชวนตื่นตา กระตุ้นความทรงจำ เกิดอาวรณ์ โหยหาวันคืนเก่า ๆ จนอยากร้องไห้
“เดินเที่ยวที่นี่ต่อไหวมั้ย” ถามเหมือนสัมผัสจิตใจหดหู่นั้นได้
“บัวอยากเดินห้าง ดูหนังเหมือนสมัยก่อน แต่ถ้าเห็นสิ่งคุ้นเคยเดิม ๆ มากกว่านี้ คุณยมทูตอาจต้องมายืนดูคนร้องไห้ก็ได้นะคะ”
“งั้นไปเที่ยวที่อื่นกัน”
“ที่ไหนคะ”
“ที่ที่เธอไม่น่าคุ้นเคยเท่านี้”
“ไปก็ได้ค่ะ”
ตอบรับทั้งที่ไม่แน่ใจสถานที่เที่ยวแห่งใหม่เป็นที่ใด เชื่อว่าคงไม่ใช่ภูเขา ทะเล น้ำตกแน่ ๆ
สถานที่นั้นเป็นสถานีตำรวจ ผู้คนไม่พลุ่กพล่าน ยกเว้นส่วนให้ประชาชนมาแจ้งความ ห้องด้านในเป็นที่ทำงาน ตำรวจในเครื่องแบบนั่งโต๊ะพิมพ์เอกสาร หนังสือราชการไม่กี่คน
หนึ่งในนั้นบัวบุษราคุ้นตา...ดาบตำรวจพนา บิดาตนเอง
หลังจากพิมพ์เอกสารรายงานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเรียบร้อย ดาบตำรวจอาวุโสก็เสิร์ชหาข้อมูลในส่วนชั้นความลับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับคดีทะเลาะวิวาท การก่อเหตุวางเพลิงอาคารสำนักงานปิดร้าง ไฟลามถึงห้องครัวร้านอาหารดังจนแก๊สระเบิด ครัวพังยับ ลูกค้าในร้านรับบาดเจ็บมากน้อยต่างกัน
หนักสุดคือบัวบุษรา ซึ่งกำลังออกจากห้องน้ำเวลานั้นพอดี!
“พ่อยังสืบคดีนี้อยู่หรือคะ” พึมพำกึ่งสอบถามผู้นำทาง
“เธออยู่ในฝัน มันอาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้” คำพูดกึ่งเตือนสติ
บัวบุษรามองบิดาอีกครั้ง คราวนี้เขากำลังรับสายจากใครบางคน
“ว่าไงมีอะไรคืบหน้ามั้ย”
“ไม่มีเลยน้า...ผมให้เพื่อนเช็คข้อมูลเชิงลึกคดีนี้แล้ว มันเป็นไปตามข่าวนั่นแหละ เด็กวัยรุ่นแก๊งมอเตอร์ไซค์ทะเลาะยกพวกตีกัน มีการใช้ระเบิดประกอบเองเป็นอาวุธ มันโยนพลาดเข้าไปในอาคารที่ติดกับร้านอาหารจนเกิดเพลิงไหม้ ไฟลามถึงห้องครัวติดกัน แล้วแก๊สระเบิด...มันเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ ลูกสาวน้าไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา”
“ทำไมไฟมันลามจากอาคารไปห้องครัวร้านอาหารเร็วนัก ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเตือนลูกค้าก่อนเลยเหรอ”
“โห...น้าก็ถามผมแบบนี้หลายรอบแล้ว ทุกอย่างตามรายงานตำรวจนั่นแหละ เด็กพวกนั้นมันตีกันด้านหลังอาคาร เป็นซอยเปลี่ยวไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาหรอก พอเกิดเรื่องไฟไหม้ก็แยกย้ายหนีกันหมด ตอนถูกจับตัวมาสอบปากคำก็ให้การตรงกันไม่มีพิรุธเลย”
“เจ้าของอาคารที่เกิดเพลิงไหม้ล่ะ บอกว่ามีข้าวของอะไรเสียหายมั้ย”
“ที่นั่นเขาเช่าไว้เก็บของเหลือใช้เท่านั้น เสียหายยังไงประกันรับผิดชอบอยู่แล้ว เลยไม่ติดใจเอาความอะไร”
“แน่ใจหรือว่าเช่าตึกไว้เก็บของเหลือใช้อย่างเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่น”
“แหมน้า...กองพิสูจน์หลักฐานเข้าไปสำรวจถ่ายรูปออกมาหมดแล้ว สะอาดเรียบไม่มีอะไรผิดกฎหมายซุกซ่อนไว้หรอก น้าก็ไปดูกับตามาแล้วไม่ใช่หรือ”
“เออ...แค่นั้นล่ะ ขอบใจมาก”
เสียงถอนใจเบา ๆ ดังตามสาย ฝ่ายผู้ให้ข้อมูลเอ่ยวาจาเสียงอ่อน
“ผมรู้ว่าน้าเคยเป็นมือสอบสวนระดับพระกาฬ จมูกไวทุกครั้งที่มีกลิ่นคดีเงื่อนงำแปลก ๆ แต่ผมว่าอย่ามัวเสียเวลาแอบสืบเรื่องพวกนี้เลย มันไม่มีอะไรจริง ๆ พวกเราทุกคนยืนยันได้”
“เออ เรื่องของกู”
สายโทรศัพท์ถูกตัดง่าย ๆ ‘ผู้ชม’ อย่างบัวบุษราเห็นแล้วสะท้อนใจ...หรือนี่เป็นเหตุผลที่พ่อต้องการย้ายมาทำงานนั่งโต๊ะแทนงานสืบสวนปราบปราม...เพื่อจะได้มีเวลาสืบคดีสำคัญส่วนตัวแค่คดีเดียว
ชั่วเวลานั้นสถานที่รอบกายเปลี่ยนไป กลายเป็นลานลั่นทมกว้าง แต่ละต้นออกดอกบานสะพรั่งงดงาม
ลั่นทมดอกหนึ่งร่วงหล่นลงพื้น บัวบุษราก้มลงเก็บ ได้ยินเสียงยมทูตถาม
“ดอกลั่นทม...มนุษย์บางคนคิดว่าเป็นตัวแทนเรื่องเศร้าโศก หรือความตาย เธอคิดอย่างนั้นไหม”
นั่นคือเริ่มต้นคำสัญญา
สำหรับเธอ การท่องเที่ยวในโลกความฝันเป็นแค่ผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายแท้จริง เชื่อว่ามือระดับยมทูตคงไม่เสียเวลาพาหล่อนเดินเที่ยวเล่นเปล่า ๆ แน่
ต่อหน้าเธอ...พ่อและพี่สาวทำตัวปกติ ใช้ชีวิตประจำวันมีความสุข ทว่าลับหลังต้องเหนื่อยยากเป็นทุกข์ขนาดไหน...นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้ ต่อให้แลกกับสัญญาดอกลั่นทมก็ตาม
เมื่อตกลงทำสัญญาเสร็จสิ้น ยมทูตหินผาทิ้งวาจาไว้
“ที่นี่คือความฝัน สิ่งที่เห็นอาจเป็นแค่ความคิดปรุงแต่งในจิตใจเธอก็ได้...อย่าเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง จนต้องเสียเวลาหาทางพิสูจน์ เพราะมันอาจเพิ่มภาระให้กับคนที่รักและเป็นห่วงเธอเช่นกัน”
คำพูดดักคอ เท่าทันความคิดจนชะงักงัน มองหน้ายมทูตอย่างอัดอั้นตันใจ มีคำถามข้อขอร้องในใจมากมาย
“คิดเสียว่าทั้งหมดนี้เป็นความฝัน แล้วทำตัวเป็นแค่ ‘ผู้ดู’ อย่างไม่เป็นภาระใครดีกว่า”
คำย้ำเตือนมีผลต่อการเข้าไปรับรู้เรื่องราวอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
--------------- ------------ --------------
ห้องส่งวิทยุกระจายเสียง
บัวบุษราเคยฝึกงานช่วยจัดรายการที่นี่สมัยเป็นนักศึกษา ดีเจประจำคุ้นเคยกับพรไพลินพี่สาวเธอ พอเกิดเหตุร้ายหลังเรียนจบ หลายคนพยายามช่วยให้โอกาสกลับมายืนอีกครั้ง
งานดีเจร่วมรายการเป็นหนึ่งในโอกาสที่บัวบุษราได้รับ
เธอจัดรายการร่วมกับ ‘สุปรียา’ หรือ ‘พี่สุ’ สาวใหญ่วัยสี่สิบเศษ ทำงานสายนี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี เนื้อหารายการเป็นการพูดคุยสลับเปิดเพลง บางช่วงเปิดโอกาสให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้ามาถามไถ่บอกเล่าประสบการณ์
จุดเด่นรายการคือการสนทนาอย่างเป็นกันเองระหว่างสองสาวต่างวัย ต่างมุมมอง สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติแบบเปิดกว้าง สนุกสนาน ต่อให้ขัดแย้งบ้างก็เจือด้วยอารมณ์ขัน ผู้ฟังเพลิดเพลินตลอดรายการ
ประเด็นที่สองสาวนำมาพูดมักเป็นเรื่องทั่วไป ข่าวคราวเป็นกระแส หรือเรื่องราวที่สังคมกำลังถกเถียง
“น้องบัวได้ยินข่าวทลายคลินิกทำแท้งเถื่อนหรือยังคะ” สุปรียาเปิดประเด็น
“คลินิกที่ไหนคะ”
ถามเพื่อย้ำรายละเอียด เธอได้ฟังข่าวนี้ก่อนเข้ารายการ ปรึกษากับดีเจหลักแล้วว่าจะคุยเรื่องนี้กัน
“แถว...ไงคะ ที่นั่นภายนอกไม่เหมือนคลินิกเลย พี่เห็นในข่าวยังคิดว่าเป็นบ้านเศรษฐีด้วยซ้ำ”
“อ๋อ...ได้ฟังแล้วค่ะ ในข่าวบอกว่าคนแถวนั้นทราบดีว่าที่นั่นเป็นอะไร แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะญาติพี่น้องเจ้าของบ้านเป็นคนใหญ่คนโต”
“คราวนี้คงช่วยไม่ไหวแล้วล่ะ หลักฐานพยานมัดตัวขนาดนี้ พี่ดูในข่าวนะ เจ้าของคลินิกเธอนิ่งมาก ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านตอนโดนจับเลย สงสัยคิดว่ายังไงก็รอดแน่”
“บางทีก็ไม่แน่นะคะพี่สุ...บัวคิดว่าการที่คนเรานิ่งได้ขนาดนั้น อาจเพราะเตรียมใจอยู่แล้วว่าสักวันต้องเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แน่ ๆ บางทีเจ้าของคลินิกอาจรอให้มีใครสักคนมาช่วยหยุด ‘งานบาป’ ของแกสักที”
“หือ...น้องบัวพูดแปลก ถ้าคนเรามีสำนึกไม่อยากทำบาปแบบนี้จริง ๆ น่าจะหยุดเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาจับหรอก”
“คนที่ทำอะไรไม่ดีมานาน อาจเหมือนกำลัง ‘ขี่หลังเสือ’ อยู่ก็ได้ค่ะ ใจมันอิ่มตัวไม่อยากทำต่อก็จริง แต่หยุดไม่ได้เพราะทำมานานเกินกว่าจะไปทำอย่างอื่น เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว ต้องรอให้ใครสักคนมาจัดการแบบนี้”
“อืม พอน้องบัวพูดอย่างนี้พี่เพิ่งนึกถึงสีหน้าแกในข่าววันนี้ได้ คือ...ถึงหน้าตาจะดูนิ่ง ๆ ไม่สะทกสะท้านเหมือนเดิม แต่มันหมองคล้ำ มืด ๆ พิกล เหมือนข้างในมีไฟร้อนเผาอยู่เหมือนกัน”
“บัวว่าความทุกข์ในใจมันแสดงออกทางสีหน้าอย่างนั้น พยายามปกปิดยังไงไม่มิดหรอกค่ะ...แต่พี่สุคะ เรามาเบรกเรื่องหนัก ๆ ฟังเพลงเบา ๆ ผ่อนคลายกันดีกว่า”
“งั้นลองฟัง ‘Shadow คนในเงา’ เพลงใหม่ของวงยามาร์ดีกว่า เพลงนี้เพราะได้ใจเลย”
เสียงเพลงแทรกขึ้นมาคั่นการสนทนา บัวบุษราไม่จำเป็นต้องสืบว่าความฝันคืนนั้นเป็นเรื่องจริงหรือจิตปรุงแต่ง เพราะข่าวมาถึงหูโดยไม่ต้องไถ่ถามใคร
ถ้าคลินิกทำแท้งเถื่อนเป็นเรื่องจริง เรื่องบิดากำลังสืบเบื้องหลังอุบัติเหตุนั่นก็น่าจะจริงเช่นกัน เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือเมื่อสองปีที่แล้วหลังเกิดเหตุใหม่ ๆ
ต่อให้อึดอัดลำบากใจ อยากไถ่ถามเพียงไรก็จำต้องนิ่งไว้ ทำตัวเป็น ‘ผู้ดู’ เช่นยมทูตหินผาบอกล่วงหน้า
สิ่งที่เห็นอาจเป็นเรื่องจริงหรือจิตปรุงแต่ง...เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง
--------------- ------------ --------------
ยมทูตหินผาไม่ติดต่อขุนคีรีสองสามวัน ภารกิจใหม่ยังไม่ปรากฏภาพในฝัน ช่วงนี้ไม่ต้องออกไปทำงานพิเศษ ถึงอย่างนั้นก็มีงานประจำต้องทำอยู่ดี
“คืนวันศุกร์ขึ้นเวทีนะ” ตาแคล้วบอก
ขุนคีรีพยักหน้ารับคำ ฝึกซ้อมตามปกติ
เช้า...วิ่งตามเส้นทางเดิม ระหว่างผ่านหน้าบ้านบัวบุษราจะชะลอฝีเท้า กวาดตาสังเกตภายใน พอเห็นว่าปกติก็ออกวิ่งต่อจนครบรอบ
กลางวัน...ซ้อมชกลม ชกกระสอบทรายตามตารางฝึกที่พักตนเอง
เย็น...วิ่งออกกำลังกายไปสวนสาธารณะหมู่บ้าน
ที่นั่นมีลู่วิ่ง ลานแอโรบิก เครื่องออกกำลังกายนานาชนิด ชายหนุ่มกระโดดเชือก ใช้เครื่องออกกำลังกายฝึกซ้อมแทบทุกวันจนคนแถวนั้นชินตา
สิ่งหนึ่งซึ่งคนทั่วไปไม่ทราบ ทุกครั้งที่หญิงสาวสวย สวมแว่นสีชาเดินถือไม้เท้ามาพักผ่อน ออกกำลังกายกับพี่สาว สายตานักมวยหนุ่มจะคอยระแวดระวังอันตรายให้พวกเธอ แววตาแสดงชัดว่าพร้อมเข้าช่วยเหลือทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
ฟ้าเริ่มมืด สองสาวพี่น้องพากันเดินกลับ ขุนคีรีจะเดินตามส่งห่าง ๆ โดยไม่มีผู้ใดผิดสังเกต ทำตัวเป็นเงาคอยปกป้อง โดยผู้รับการคุ้มครองไม่เคยสำเหนียกรับรู้ว่ามีตัวตน
--------------- ------------ --------------
คืนวันศุกร์ ห้องพักนักมวย
ตาแคล้วเผชิญหน้ากับเฮียบุ๋นเจ้าของสนามมวยใต้ดิน สนทนาเคร่งเครียด สีหน้าอึดอัดลำบากใจ
“ไหนเฮียบุ๋นบอกว่าเวทีนี้ไม่มีการล้มมวยต้มคนดูไง...ทำไมถึงมาสั่งให้เด็กผมยอมแพ้แบบนี้”
“โธ่...เวทีไหนมันก็มีการล้มมวยทั้งนั้น ถ้าเจ้าของสนามอย่างอั๊วไม่พูดอย่างนี้ นักพนันมันก็ไม่ไว้ใจแห่กันมาเต็มทุกรอบหรอก”
“งั้นเท่ากับเฮียต้มทั้งนักมวยทั้งคนดู”
“ไม่ใช่ ที่ผ่านมาเวทีอั๊วสู้กันด้วยฝีมือจริง ๆ”
“ทำไมคราวนี้ เด็กผมต้องยอมแพ้ด้วยล่ะ”
“เด็กลื้อมันสถิติดี ชนะมากกว่าแพ้หรือเสมอ ราคาต่อรองสูง เลยมี ‘บางคน’ สนใจอยากลงทุน เขายอมจ่ายให้ลื้อหลายหมื่นเลยนะ”
“เฮียบอกผมได้มั้ย คนที่พูดถึงน่ะเป็นใคร”
ตาแคล้วทราบ ระดับเฮียบุ๋นมีอิทธิพลพอตัว ใช่ว่าใครจะมาสั่งหรือขอร้องกันง่าย ๆ คนทำให้บุคคลระดับนี้ยอมกลืนน้ำลาย ลดตัวมาพูดกับครูมวยแก่ ๆ นักมวยไร้ชื่อเสียงแบบนี้ต้องไม่ธรรมดา
เจ้าของสนามมวยกระซิบข้างหูเบา ๆ ตาแคล้วชะงักสีหน้าเปลี่ยน
“เข้าใจหรือยัง ทำไมอั๊วถึงต้องขอร้องกันแบบนี้” เฮียบุ๋นย้ำ
“ถ้าผมปฏิเสธล่ะ” น้ำเสียงหยั่งเชิง ไม่หนักแน่นนัก
“ลื้อต้องเสี่ยงเอา สำหรับอั๊วทำได้แค่มาบอกเท่านั้นล่ะ”
ตาแคล้วหัวเราะแค่น ๆ สายตาเหลือบเห็นเงาวอบแวบนอกห้อง แสดงว่าคนฝ่ายนั้นคงมาแอบฟังการสนทนาเช่นกัน
“อ้อ แสดงว่าตอนนี้เฮียบุ๋นลอยตัวแล้ว ผลแพ้ชนะยังไงไม่เกี่ยว มีอะไรผิดพลาดมาพวกผมรับเต็ม ๆ”
“ลื้อยังไม่รับปากเลย อั๊วจะลอยตัวได้ยังไง”
“ผมต้องคุยกับเด็กมันก่อน”
“อั๊วจ่ายมัดจำตอนนี้สองหมื่นก่อนยังได้ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”
“ไม่คิดไม่ได้หรอก...เอาเป็นว่าขอผมตัดสินใจก่อน ตอนนี้ยังไม่กล้ารับเงินเฮีย ที่จริงเด็กผมอาจชกแพ้เองก็ได้ ไม่ต้องเสียเงินจ้าง”
“เฮ้ย ทางนั้นต้องการความชัวร์ จะได้ทุ่มเดิมพันเต็มที่”
“งั้นขอผมคุยกับเด็กอีกที แล้วจะไปบอกเฮียก่อนขึ้นเวที”
เฮียบุ๋นหรี่ตามองครูมวยชรา ทราบว่านี่คือการชะลอเวลารักษาน้ำใจ นั่นทำให้ทราบคำตอบแท้จริงแล้ว จึงถอนใจเบา ๆ พูดเสียงดังกว่าปกติให้คนนอกห้องได้ยินด้วย
“ตอนนี้ลื้อรู้ว่า ‘ใคร’ ขอร้องมา อั๊วไม่มีอะไรพูดอีก สนามของอั๊วเคยประกาศนักหนาว่าไม่มีการล้มมวย ที่ยอมมาพูดให้ขนาดนี้ถือว่ายอมกลืนน้ำลาย ให้เกียรติ ‘คนนั้น’ มากสุดแล้ว”
จากนั้นตบไหล่ครูมวยเบา ๆ เป็นเชิงปลอบโยน สายตามองนักมวยหนุ่มมุมห้องอย่างเสียดายก่อนเดินออกไป
ร่างสูงเพรียวนั่งเงียบ ๆ ตลอดการสนทนา ผ้าขนหนูคลุมศีรษะปกปิดใบหน้าแววตา ไม่ให้ใครรู้ว่ามีปฏิกิริยาใด อาการกอดอกนิ่งเหมือนทำสมาธิเตรียมพร้อมขึ้นเวที
ตาแคล้วเดินเข้ามาหา ถอนใจเบา ๆ ก่อนบอก
“คนจ้างล้มมวยเป็นหัวหน้าแก๊งเหล็กไฟ คุมนักเลงย่านนี้ทั้งหมด เฮียบุ๋นมันไม่อยากมีเรื่องเลยมาขอให้เราล้มมวย เราจะทำตามคำสั่งหรือไม่มันก็ลอยตัวอยู่ดี...พวกนี้ถ้าไม่จำเป็นไม่ปะทะกันให้ตำรวจเข้ามายุ่งด้วยหรอก”
พูดแล้วสังเกตท่าทางชายหนุ่ม ดวงหน้านั้นยังก้มลงอย่างต้องการซ่อนแววตาดังเดิม แกถอนใจคุกเข่าเข้าใกล้แล้วกระซิบแผ่วเบา
“เรื่องล้มมวย...มันเสียศักดิ์ศรี...ฉันไม่สั่งให้แกทำหรอก...ชกเต็มที่ไปเลย แพ้หรือชนะวัดกันที่ฝีมือจริง ๆ”
คนจะขึ้นชกเงยหน้าสบตาครูมวย พบแววเด็ดเดี่ยวนักสู้จากดวงตาชราภาพคู่นั้น
ไม่ต้องบอกก็ทราบ หากขุนคีรีชกชนะอะไรจะเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นผู้เฒ่าก็ไม่สั่งให้กระทำเรื่องเสียศักดิ์ศรี ขัดต่อความรู้สึก
“ครับ” ตอบรับแล้วหลุบตาลงตามเดิม
ตาแคล้วเข้าใจ เดินออกจากห้องเพื่อให้นักมวยมีเวลาเตรียมตัว ตัดสินใจเอง
ประตูปิดลงรอบด้านเงียบสงบ ไม่มีใครอยู่บริเวณใกล้เคียง ขุนคีรีเงยหน้าดวงตาฉายแววเป็นห่วงบุคคลเพิ่งออกจากห้อง ก่อนตัดสินใจกระทำเรื่องที่ตนพยายามหลีกเลี่ยง
เปิดโทรศัพท์มือถือ ค้นหาเบอร์คุ้นเคย จากนั้นกดโทรออกติดต่อใครบางคน
--------------- ------------ --------------
สนามมวยเฮียบุ๋นไม่ถึงกับเป็นเวทีใต้ดินร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อให้ไม่ใช้กติกามาตรฐานก็มีข้อบังคับเฉพาะตัว ไม่ถึงกับไร้กฎเกณฑ์สิ้นเชิง นับเป็นเวทีใต้ดินไม่เหมือนใคร
การต่อสู้ไม่มีจำกัดรุ่น น้ำหนัก ไม่ต้องแต่งชุดนักมวยอย่างเวทีใหญ่ ก่อนการขึ้นชกจะมีการตรวจเครื่องแต่งกาย ไม่ให้ซ่อนอาวุธใต้เสื้อผ้าเพื่อหวังเอาเปรียบกัน
เวทีมวยเป็นกรงขนาดใหญ่ พื้นที่เท่ากับเวทีทั่วไป การชกไม่กำหนดเวลา ใช้ผลแพ้ชนะเป็นตัวตัดสิน ต่อสู้จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มนับสิบ สลบตายคาหมัด หรือไม่พี่เลี้ยงข้างเวทีโยนผ้ายอมแพ้ ถ้าจะเสมอมีกรณีเดียวคือพี่เลี้ยงสองฝ่ายโยนผ้าพร้อมกัน
ผู้ชมอยู่บนอัฒจันทร์รอบเวที สามารถส่งเสียงเชียร์ ต่อรองราคาอิสระ มีกำหนดเวลาเปิดปิดรับเดิมพันชัดเจน
มวยเริ่มชก เสียงเชียร์กระหึ่ม พอจบแต่ละคู่จะมีเสียงโห่ร้องดีใจ ผสานเสียงก่นด่าด้วยความขัดใจ
กระทั่งถึงคู่สุดท้าย ขุนคีรีเดินขึ้นเวทีคนเดียว ขณะที่ตาแคล้วเข้าไปกระซิบบอกการตัดสินใจกับเฮียบุ๋น ซึ่งทำให้ฝ่ายนั้นมองกลับมีโทสะ รีบลุกขึ้นไปส่งข่าวต่อ ‘บางคน’ บนอัฒจันทร์
นักมวยหนุ่มเห็นเหตุการณ์ชัดเจน เข้าใจเจตนาครูมวยว่าเหตุใดจึงบอกการตัดสินใจเวลานี้
...ถ้าตอบปฏิเสธตั้งแต่แรก คงไม่มีโอกาสขึ้นเวทีแน่นอน...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|