วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๔



way cover




ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ตั้งแต่สูญเสียการมองเห็น ครอบครัวบัวบุษรามีความเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัด

            ดาบตำรวจพนา...บิดาผู้เคยเป็นตำรวจสายสืบสวนปราบปราม ขอทำงานนั่งโต๊ะอ้างเรื่องวัยแตะห้าสิบกลาง ๆ เรี่ยวแรงถดถอย จึงขอพักการวิ่งไล่ล่ามาทำเอกสารสบาย ๆ แทน

            พรไพลิน...พี่สาวอดีตครีเอทีฟบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ รับงานนอกงานในตลอดเจ็ดวันแทบไม่พัก ก็ขอลาออกเป็นฟรีแลนซ์อยู่กับบ้าน รับงานพอเลี้ยงตัวไม่มากไม่น้อย

            ตั้งแต่แม่ตายเมื่อหลายปีก่อน ครอบครัวที่เหลือรู้สึกตรงกันว่าจะสูญเสียใครไปอีกไม่ได้แล้ว พอเกิดเหตุร้ายกับบัวบุษรา ทั้งพ่อและพี่สาวต่างยอมวางงาน ละทิ้งชีวิตส่วนตัวเพื่อให้เวลากับเธอเต็มที่ ซึ่งพวกเขาช่วยเธอผ่านวิกฤตเลวร้ายมาได้จริง ๆ



            มื้อเช้า...บรรยากาศสดใส คนในครอบครัวทั้งสามนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร พูดคุยสัพเพเหระก่อนแยกย้ายออกไปทำงาน

            จิตใจบัวบุษรากำลังครุ่นคิดถึงความฝันเมื่อคืน ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงหรือแค่การปรุงแต่งจิตใจ

            “มัวคิดอะไรน่ะบัว...เดี๋ยวต้องออกไปทำงานแล้วนะ” พรไพลินทักน้องสาว

            “เอ่อ...” คำพูดค้างอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่รู้ควรเอ่ยออกมาหรือไม่ “ช่วงนี้มีข่าวอะไรน่าสนใจมั้ย”

            “จะหาประเด็นไปคุยในรายการวิทยุงั้นเหรอ” พี่สาวถาม

            บัวบุษรามีงานประจำร่วมจัดรายการวิทยุสัปดาห์ละสามวัน งานพิเศษอัดเสียงลงสปอตโฆษณาซึ่งพี่สาวเป็นคนหามาให้ไม่ขาด

            “ค่ะ” ตอบรับสั้น ๆ ง่ายกว่าอธิบายยืดยาว

            “อืม ตอนนี้ข่าวดัง ๆ ยังไม่มีนะ เท่าที่คนพูดถึง บัวได้ยินหมดแล้วนี่”

            “ข่าวแจ้งความคนหายล่ะคะ”

            คำถามโพล่งขึ้น พ่อกับพี่สาวลอบมองกันอย่างสงสัย

            “แจ้งความคนหายมีแทบทุกวัน ล่าสุดก็มีอยู่รายนึงเป็นนักศึกษาสาว ครอบครัวใช้สื่อโซเซียลกดดันตำรวจอยู่...นึกยังไงถึงอยากเอาเรื่องนี้ไปพูดในรายการล่ะ”

            พนาตอบพลางย้อนถาม คิดว่าบุตรสาวตั้งใจเป็นกระบอกเสียงช่วยตามหาคน

            “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

            หญิงสาวตอบปัด ในใจสงสัย...รายที่พ่อพูดถึงจะตรงกับในฝันหรือไม่

            เปล่าประโยชน์ที่จะถามรายละเอียด เธอไม่คิดนำข่าวนี้ไปพูดในรายการวิทยุเพื่อช่วยตามหาใคร เพราะถ้าในฝันเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิต ช่วยไม่ทันแล้ว...เหลือแค่...คนที่มีส่วนร่วมการตายจะรับกรรมอย่างไร



--------------- ------------ --------------



            แดดจ้า...ขุนคีรีจอดรถจักรยานยนต์ที่ยืมมาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองข้ามถนนในซอยเห็นกำแพงสูงยาวตลอดแนว สายตาคล้ายแลทะลุเห็นด้านใน

            อีกฝั่งกำแพงนั้นมีหลุมศพเพิ่งกลบฝังไม่กี่วัน!

            ชายหนุ่มข้ามถนนนำดอกลั่นทมแห้งวางไว้ตรงริมกำแพง กลับมายืนพิงมอเตอร์ไซค์รอเวลา

            ไม่นาน เงาราง ๆ หญิงสาวร่างเล็กบอบบางถูกดึงออกมาจากด้านใน ดวงหน้าเศร้าสร้อยหดหู่ ดวงตาเหม่อซึมฉายรอยประหลาดใจเล็กน้อยก่อนซึมเซาเช่นเดิม

            กลางแดดจ้าเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่คนกลัวผีขึ้นสมองคงยืนมอง ‘เธอ’ ตามปกติไม่หวาดกลัว ยิ่งกับบางคนที่มีธุระด้วยแล้ว เขาแค่ขยับตัวยืนเต็มร่างเอ่ยเสียงเบา ๆ

            “ผมขอถามอะไรหน่อยสิ...”

            เธอผู้นั้นสะดุ้ง คล้ายถูกปลุกอีกครั้งหลังจากเคยมีหญิงสาวคนหนึ่งพาออกจากวงจรฝันสยองซ้ำซากมาแล้ว

            สายตามนุษย์และวิญญาณสบกัน การสื่อสารข้ามภพบังเกิดขึ้น...



--------------- ------------ --------------



            คนขับแท็กซี่คืนนั้นชื่อ ‘สุรชัย’ ชายกลางคนอารมณ์ดีอ่อนกว่าวัยแนะนำตัวทีเล่นทีจริงว่าเป็น ‘อดีตยมทูตฝึกหัด’ ปลดระวางตัวเองมาเกือบยี่สิบปี เพิ่งมาทำงานรำลึกอดีตไม่นานนี้เอง

            ขุนคีรีไม่สนใจซักถามเรื่องส่วนตัวอีกฝ่าย มุ่งเข้าประเด็นสำคัญถึงภารกิจที่สอง

            ยมทูตหินผามอบทางเลือกภารกิจใหม่ไว้สองแบบ

            อย่างแรก นำดวงวิญญาณหญิงสาวในบ้านหลังนั้นออกมาในคืนเพ็ญตอนตีสองครึ่ง

            สอง...ติดต่อพูดคุยกับ ‘เธอ’ ถามความต้องการ เรื่องค้างคาใจก่อนตาย แล้วค่อยพาไปส่ง

            ชายหนุ่มคงเลือกเส้นทางแรกไปแล้ว ถ้าอดีตยมทูตฝึกหัด...สุรชัยจะไม่เล่าเรื่องราวเธอให้ฟังเสียก่อน

            ‘กานดา’ ตั้งครรภ์ในวัยเรียนกับนักศึกษาหนุ่มรุ่นเดียวกัน ทั้งสองตั้งใจเอาเด็กออก พอมาถึงคลินิกแห่งนี้หญิงสาวก็เปลี่ยนใจ

            อาจด้วยบรรยากาศกดดัน ความกลัวบังเกิดขึ้น และสิ่งคาดไม่ถึงคือเธอรู้สึกว่าเด็กในท้องกำลังดิ้น เหมือนขอร้อง...อย่าฆ่าหนูเลย!

            นั่นทำให้สัญชาตญาณความเป็นแม่เกิดขึ้น

            ความกลัวต่อบรรยากาศรอบกาย ความสงสารเลือดในอกที่พยายามดิ้นรนอ้อนวอนขอมีชีวิต ทำให้เธอเปลี่ยนใจต้องการปกป้องลูก ปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่รู้ว่าหากเอาเด็กไว้ เส้นทางข้างหน้าจะลำบากขนาดไหน

            ‘พงศ์เดช’ แฟนหนุ่มพยายามหว่านล้อม ยกเหตุผลมากมายเธอก็ยังดื้อดึงจะกลับ สุดท้ายเขาไม่อยากฝืนใจบังคับหักหาญตรง ๆ จึงลอบวางยานอนหลับในน้ำให้ดื่ม แล้วบอกเจ้าของคลินิกทำหน้าที่ตนทันที

            การทำแท้งเกิดความผิดพลาดจนเธอเสียชีวิต วิญญาณวนเวียนรอบคลินิกใกล้หลุมฝังศพตนเอง

            ขุนคีรีเลือกเส้นทางที่สอง...ไถ่ถามความต้องการสุดท้ายของเธอ...แม่คนหนึ่งที่ยืนยันจะปกป้องลูกจนถึงวินาทีสุดท้าย...เหมือนกับมารดาเขา



--------------- ------------ --------------



            กลางดึก ภายในห้องตกอยู่ในความมืด ร่างบนเตียงนอนกระสับกระส่าย เหงื่อผุดเต็มใบหน้าทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ

            ทั้งที่ความมืดกระจายทั่วห้องยังปรากฏเงาดำมืดกว่าปรากฏร่างเดินวนเวียนรอบเตียง บางครั้งแทรกกลืนบนผนัง ร่ายระบำเคลื่อนไหวไปมาราวกับรอเวลาชำระแค้น

            พงศ์เดชสะดุ้งเฮือกลุกพรวดตอนใกล้รุ่ง นัยน์ตาเบิกโพลงหวาดกลัว ความฝันติดตา...ศพอดีตคนรัก...ก้อนเลือด...หลุมฝังศพ...เสียงร้องไห้โหยหวนสั่นประสาท

            มันไม่ใช่ความฝัน มันคือประสบการณ์จริงผ่านไม่นาน ก่อให้เกิดหลุมดำมืดอันเร่าร้อนภายในจิตใจ ความร้อนคล้ายไฟนรกสุมอกทุกเช้าค่ำ ไม่เคยผ่อนพักแม้ในความฝัน

            เขาไม่คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด มันแค่ ‘พลาด’ เท่านั้น

            เมื่อคนรักเปลี่ยนใจวินาทีสุดท้าย ไม่ยอมเอาก้อนเลือดมีชีวิตออกไป เขาต้องตัดสินใจแทน หาวิธีหลอกล่อใช้อุบายจนสำเร็จ

            ทว่าเกิดเรื่องเกินแก้ไข

            ตอนนั้นแทบเสียสติทำอะไรไม่ถูก เจ้าของคลินิกแนะนำสองทางเลือก กระทำได้จริง

            หนึ่ง...แจ้งความบอกตำรวจ สารภาพผิดทุกอย่างแล้วยอมใช้กรรมในคุก

            สอง...ช่วยเธอ ‘เก็บกวาด’ ซากศพ ทำลายหลักฐานทุกอย่างให้เรียบร้อย เตรียมเรื่องราวโกหก หาพยานที่อยู่ไม่ให้ใครจับได้ แล้วเก็บเรื่องราวนี้ไว้เป็นความลับจนวันตาย

            เจ้าของคลินิกแนะนำ อธิบายรายละเอียดในทางเลือกที่สอง พร้อมช่วยแต่งเรื่องราวสมเหตุผลในการป้องกันตัวเองอย่างคนเคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน

            นั่นทำให้พงศ์เดชเดินบนทางเลือกสองโดยไม่ลังเล

            หลุมถูกกลบฝังไร้ร่องรอย กระเป๋า ข้าวของส่วนตัวผู้ตายถูกยื่นมาให้ทำลาย

            “ทำไมไม่ฝังรวมกันเลย” เขาไม่เข้าใจ

            “ศพกับหลักฐานต้องแยกกันทำลาย” เจ้าของคลินิกบอกด้วยสีหน้าเฉยเมย

            การทำลายหลักฐานไม่ใช่แค่โยนทิ้งถังขยะแล้วจบเรื่อง เคยเห็นในหนังต้องเผาทำลายให้สิ้นซากตามรอยไม่เจอ ไม่รู้ควรเผาที่ไหนจึงจะไม่มีคนรู้เห็น มันต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะไหม้หมดจริง ๆ

            สุดท้ายตัดสินใจห่อกระเป๋าหลักฐานทั้งหมดใส่ถุงพลาสติก ถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่แล้วโยนทิ้งยังบึงน้ำลับตาคน ไม่มีผู้ใดสัญจรผ่านไปมา

            ทุกอย่างเรียบร้อย...หลักฐานถูกทำลาย เรื่องที่แต่งแนบเนียนจนเพื่อนผู้ตายเชื่อ หาพยานที่อยู่ในวันเกิดเหตุได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีช่องโหว่ที่ใครสืบสาวได้

            เขาถอนใจก่อนข่มตาหลับลงไปอีกครั้ง



--------------- ------------ --------------



            เวลาสายแดดจ้า ประตูห้องในอพาตเม้นท์ถูกเคาะเสียงดังปลุกเจ้าของห้องที่กำลังเคลิ้ม ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่นให้สะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมาอย่างงุนงง

            พงศ์เดชงัวเงียนัยน์ตาโรยออกมาเปิดประตู ไม่ทันถามไถ่ว่าใคร พอประตูเปิดพบตำรวจทั้งในเครื่องแบบนอกเครื่องแบบสามสี่คนยืนหน้าห้อง ชะงักงันทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ

            “คุณพงศ์เดช”

            “ขะ...ครับ”

            “ขอเชิญตัวคุณไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจด้วยครับ”

            “เรื่อง...เอ่อ...เรื่องอะไร...ผมทำอะไรผิด”

            “คุณรู้จักนางสาวกานดาหรือเปล่า”

            “เอ่อ...รู้จักครับ”

            “เป็นแฟนกันใช่มั้ย”

            “ใช่...เอ่อ...ใช่ครับ...เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

            “เธอหายตัวไปหลายวันแล้ว คุณไม่ทราบหรือ”

            “มะ...ไม่ทราบครับ”

            “เพื่อนที่หอโทรบอกกับครอบครัวเธอที่ต่างจังหวัด พวกเขาแจ้งความแล้วออกประกาศตามหาในสื่อโซเชียล...คุณจะบอกว่าไม่รู้”

            “ผมไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆ ครับ”

            “คุณไม่พบเธอมากี่วัน”

            “หลายวันแล้วครับ”

            “ไม่สงสัยไม่แปลกใจอะไรบ้างหรือ ขนาดเพื่อนเธอยังโทรไปถามครอบครัวที่ต่างจังหวัดเลย”

            “เอ่อ...ผมไม่รู้”

            “ถ้าอย่างนั้นทางเราขอเชิญคุณไปให้ปากคำก่อนแล้วกัน”

            “ถามที่นี่ได้มั้ยครับ...ผมไม่รู้อะไรจริง ๆ”

            “ไม่ได้ครับ...ทางเรามีข้อสงสัยอยากได้คำตอบจากคุณมากพอสมควร เพราะเพิ่งได้หลักฐานกระเป๋า ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวคุณกานดามาแล้ว...”

            เพียงเท่านี้ ในหัวชายหนุ่มก็มีแต่ความว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ควรหาวิธีเอาตัวรอดอย่างไร



--------------- ------------ --------------



            กำแพงสูงยาวหนาทึบไม่อาจปิดกั้นความเลวร้ายภายใน เมื่อตำรวจมาพร้อมหมายค้นเข้าตรวจสอบโดยไม่ทันให้ตั้งตัว

            การเปิดคลินิกทำแท้งเถื่อนนับว่ามีความผิดแล้ว โทษยังไม่เท่าทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยประมาท อีกทั้งยังอำพรางศพปกปิดคดีอีก

            เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่จำเป็นต้องเสียเวลาขุดหาศพตามคำสารภาพแฟนหนุ่ม เพราะทางเจ้าของคลินิกเพิ่งขุดมาใส่ถุงซิปล็อคสองชั้นเตรียมนำไปเผาทำลายซาก หลังจากติดต่อหาเตาเผาสำเร็จ

            สีหน้าเจ้าของคลินิกสงบราบเรียบ ไม่แสดงอาการตื่นตระหนกหรือสำนึกผิด ตรงข้ามกับหลานสาวที่หวาดกลัวพูดจาลนลานทำอะไรไม่ถูก ส่วนชายกลางคนผมสองสีคนงานในบ้านได้แต่เงียบงัน ให้ความร่วมมือโดยไม่ขัดขืน เพียงแต่ไม่อาจให้ปากคำใด ๆ เพราะเจ้าตัวเป็นใบ้พูดไม่ได้

            ชาวบ้านโดยรอบต่างพูดคุยวิจารณ์กันเซ็งแซ่

            “โดนซะทีนะยายป้าหน้านิ่ง”

            “เดี๋ยวแกก็รอดเชื่อเหอะ...ลูกหลานญาติพี่น้องเป็นคนใหญ่คนโตตั้งเยอะ ไม่งั้นจะตั้งคลินิกอย่างนี้มาได้เป็นสิบ-ยี่สิบปีเหรอ”

            “จริง...แกเปิดคลินิกจนร่ำรวยบ้านช่องกว้างขวางใหญ่โต คนแถวนี้รู้หมดว่าทำอาชีพอะไรก็ยังไม่มีใครทำอะไรแกได้เลย”

            “ทำไมคราวนี้ตำรวจบุกค้นบ้านแกได้ล่ะ”

            “ครอบครัวคนตาย เพื่อนฝูงเขาใช้สื่อโซเซียลกดดันตำรวจไง ทีแรกไม่มีใครรู้หรอก แต่จู่ ๆ ได้หลักฐานมาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามาให้ ตำรวจเลยเรียกแฟนคนตายไปสอบสวน แรก ๆ ก็ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ถามไปถามมาหลอกล่อจนเจ้าตัวหลุดเผยพิรุธเยอะแยะ แถมคนที่ช่วยเป็นพยานที่อยู่ก็กลับคำให้การ อับจนหนทางเข้าเลยยอมสารภาพ อย่างน้อยได้ลดโทษ...หลักฐานพยานพร้อมอย่างนี้ ตำรวจเลยขอหมายค้นบุกบ้านป้าหน้านิ่งได้ไง”

            “สงสัยจริงทำไมยายป้าแกฝังศพไว้ในบ้านตัวเองไม่รีบทำลายทิ้งซะ นั่นมันหลักฐานชิ้นใหญ่เชียวนะ”

            “เพราะเป็นหลักฐานชิ้นใหญ่นี่แหละ ป้าแกถึงทำลายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เดี๋ยวซวยเจอพยานเห็นเหตุการณ์เข้า แกต้องฝังศพซ่อนไว้บ้านก่อน แล้วออกไปติดต่อหาแหล่งทำลายศพแบบไม่เหลือซาก ไม่ใช่เอามานั่งยางให้เหลือหลักฐานเป็นข่าว...คิดว่าแกเพิ่งหาเตาเผาทำลายศพได้เลยให้คนงานขุดมาใส่ถุงเตรียมขนย้าย ตำรวจบังเอิญบุกมาตรวจค้นพอดีเหมือนในละครไง”

            “อย่างนี้ไม่เรียกว่าบังเอิญหรอก...กรรมจัดสรรแท้ ๆ เลยล่ะ ทำบาปมาตั้งหลายปี ถึงเวลาที่วิบากกรรมทำงานซะทีนี่ไง”



--------------- ------------ --------------



            ตีสองครึ่ง ขุนคีรียืนรอริมกำแพงจุดเดิม ฝั่งตรงข้ามเคยเป็นหลุมศพผู้หญิงอาภัพคนหนึ่ง

            รอคอยไม่นานนัก เธอปรากฏตัวเลือนรางเดินผ่านกำแพงด้วยสีหน้าแววตาดีกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นยังฉายร่องรอยหม่นซึม คล้ายไม่รู้ตนเองควรไปที่ไหน อยู่ในอัตภาพใดจึงสมควร

            ความ ‘ไม่รู้’ เช่นนี้ทำให้ยังติดอยู่กับหลุมฝังศพ ทั้งที่ร่างถูกนำออกไปแล้ว

            เธอมองใบหน้าชายหนุ่มจดจำได้ก่อนเอ่ยวาจาเบา ๆ

            “ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยทำตามความต้องการของฉันสำเร็จ”

            ผู้ชายคนนี้เป็นมนุษย์คนแรกที่สามารถติดต่อสื่อสาร ถามไถ่ความต้องการ...ว่าเธอมีสิ่งใดค้างคาใจ

            เธอบอกว่า...ไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วง อย่างน้อยควรรู้ว่าเธอตายอย่างไร ศพอยู่ที่ไหน...

            ขุนคีรีรับปากช่วยเหลือ ถามกลับว่าจะหาหลักฐานเอาผิดคนฆ่าเธอได้อย่างไร

            “เดชเป็นคนเอาไป ฉันไม่รู้เขาเอากระเป๋าใบนั้นไปทิ้งที่ไหน”

            ถ้าผู้ชายคนนั้นเอากระเป๋า หลักฐานอื่นเผาทิ้งทำลายคงสืบสาวยาก ส่วนลึกในใจคิดว่าคงยังไม่ได้ทำ ไม่อย่างนั้นยมทูตหินผาคงไม่เปิดโอกาสให้ช่วยวิญญาณดวงนี้

            ขุนคีรีวางแผน ‘อุ้ม’ แฟนหนุ่มคนนั้นมาเค้นสอบถามความจริง น่าจะเป็นวิธีรวบรัดรวดเร็วสุดก่อนศพจะถูกทำลายตาม

            คิดวิธีง่าย ๆ เช่นนี้ได้ เพราะตนเองเคยเห็นการอุ้มมาเค้นถามแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว

            ทว่า เสียงยมทูตหินผาดังขึ้นในหัว

            ทำไมต้องทำบาปเพื่อสร้างความดี...หนทางง่ายกว่านี้ยังมี

            ผมต้องทำยังไง

            มนุษย์...คิดว่าไม่มีใครรู้เห็นความผิดบาปชั่วช้าที่ตนเองทำ...หารู้ไม่...อย่างน้อยตัวเองก็รู้ว่าทำอะไรลงไป...ภูตผีก็เห็นการกระทำน่าสะอิดสะเอียนของพวกมัน

            วาจานั้นสะกิดความทรงจำ...คนเฒ่าคนแก่มักพูดให้ฟังเสมอ...คนไม่เห็น ผีสางก็เห็น...

            คนธรรมดาอย่างขุนคีรีไม่มีทางมองเห็นภูตผีอย่างหนูน้อยมิว หรือหญิงสาวกานดาได้เลย ถ้าไม่มีอำนาจพิเศษจากภายนอก

            หากจะติดต่อถามไถ่ภูตผีตนอื่น อำนาจพิเศษภายนอกอย่างยมทูตหินผาต้องช่วยเหลือด้วย

            ภูตผีรู้...หลักฐานถูกโยนทิ้งในบึงน้ำลับตาคนจุดไหน แต่ไม่สามารถลงไปงมหาให้ได้ คนทำงานให้ยมทูตอย่างขุนคีรีต้องลงทุนดำน้ำลงไปหาเป็นชั่วโมงกว่าจะเจอ

            ด้วยอำนาจยมทูตหินผา...หรืออาจเป็นผีบังตา ทำให้ชายหนุ่มลอบนำหลักฐานไปวางไว้ให้ครอบครัวผู้ตาย โดยไม่มีใครเห็น จนกลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในที่สุด

            ภารกิจสำคัญสำเร็จแล้ว เหลือแค่รับดวงวิญญาณเธอไปส่งยมทูตหินผาเท่านั้น



--------------- ------------ --------------



            คำขอบคุณของเธอทำให้สีหน้าชายหนุ่มคลายลง ฉายแววอ่อนโยนชั่วขณะก่อนสงบราบเรียบดังเดิม

            “ไม่เป็นไร ขอให้ไปเกิดในที่ดีกว่านี้นะ”

            ‘เธอ’ พยักหน้าพร้อมเดินทางไปยังดินแดนแห่งการเลือกสรรแล้ว

            ขุนคีรีเคยถามสุรชัย อดีตยมทูตฝึกหัด

            “หลังจากนำวิญญาณส่งให้ยมทูตตัวจริงแล้ว พวกเขาจะถูกพาไปไหนต่อ...”

            “ท่านหินผาจะพาไปหาท่านพญามัจจุราช”

            “เพื่อตัดสินโทษลงนรกงั้นหรือ” ถามตามความเข้าใจทั่วไป

            อดีตยมทูตฝึกหัดหัวเราะขัน

            “อย่ามองท่านแง่ลบอย่างนั้นสิ...ท่านพญามัจจุราชมีเมตตามากนะ ดวงวิญญาณที่อยู่ในสภาพก้ำกึ่ง...กรรมยังไม่ชี้ชัดภพใหม่แน่นอนน่ะ ท่านจะช่วยเหลือด้วยวิธีตั้งคำถามนำ เพื่อโน้มน้าวให้นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำบ้าง บางทีก็ให้นึกถึงธรรมะที่เคยฟัง เคยรับรู้ได้ยินจะได้มีโอกาสไปสู่สุคติ”

            “ถ้าวิญญาณดวงนั้นนึกถึงเรื่องดี ๆ อะไรอย่างนั้นไม่ได้เลยล่ะ”

            “อย่างนั้นท่านจะวางอุเบกขา ทุกคนมีกรรมเป็นของตน ต้องรับผลดี ผลร้ายจากการกระทำตนเองอยู่แล้ว”

            ขุนคีรีถอนใจเบา ๆ มองดวงวิญญาณหญิงสาว ตอบไม่ถูกเส้นทางต่อไปจะเป็นอย่างไร

            จิตอกุศลพาเธอตั้งใจมาทำแท้ง พอมโนธรรมผุดเตือน กุศลจิตทำให้เปลี่ยนใจ เพียงแต่เธอ...คบคนพาล...รักคนใจมืดบอดจึงประสบเหตุเลวร้ายเช่นนั้น ตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นสุคติหรือทุคติ

            ...ท่านพญามัจจุราช อาจพอชี้นำ โน้มน้าวให้เธอระลึกถึงสิ่งที่ดีเพื่อพาไปสู่หนทางสุคติข้างหน้าได้...



--------------- ------------ --------------



            ยมทูตหินผาปรากฏตามเวลา บรรยากาศสงบงันกว่าเดิม คล้ายภูตผีโดยรอบต่างเร้นหาย ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

            ‘เธอ’ เดินเข้าไปหาอย่างรู้หน้าที่ ยมทูตปรายตาทางชายหนุ่มเป็นเชิงยอมรับ ปิดภารกิจที่สองสำเร็จสมบูรณ์

            กระไอบาง ๆ กำลังแผ่ครอบคลุมยมทูต และหนึ่งดวงวิญญาณ เตรียมเดินทางสู่ยมโลก ขุนคีรีขบริมฝีปากเบา ๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ยปาก

            “ผมขอถามอะไรหน่อย”

            การเดินทางชะงัก นัยน์ตายมทูตเฉยชา เอ่ยวาจารวบสั้น

            “ว่ามา”

            “ผมต้องทำอีกกี่ภารกิจ...คุณถึงจะช่วยให้...เธอ...มองเห็นอีกครั้ง”

            ดวงตาโตนิ่งลึกฉายแววครุ่นคิดคำตอบ หาวาจาเหมาะสมให้ชายผู้กล้าตั้งคำถามเข้าใจง่ายสุด

            “ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตาบอดสนิทใช่มั้ย”

            “ใช่...กระจกตาเธอรับบาดเจ็บเห็นแค่แสงพร่ามัว มองอะไรไม่เห็นแต่ยังมีโอกาสรักษาหาย”

            “ต้องเปลี่ยนกระจกตาใหม่ใช่หรือไม่”

            “ใช่...คุณ...สามารถหากระจกตาให้เธอได้ใช่มั้ย”

            นี่คือเหตุผลให้ขุนคีรียอมรับภารกิจยมทูตโดยไม่ลังเล

            “ตอนนี้มีคนแจ้งรอเปลี่ยนกระจกตาที่โรงพยาบาลเท่าไหร่” ยมทูตถามกลับ

            “หมื่นกว่าราย”

            “ปี ๆ หนึ่งมีคนได้เปลี่ยนกระจกตาเท่าไหร่”

            “แค่หลักร้อย...ไม่ถึงพันราย”

            “เธอคิดว่า...ต้องทำอีกกี่ภารกิจ ผู้หญิงคนนั้นถึงจะสามารถ ‘ลัดคิว’ คนอีกหลายพันเพื่อจะได้มองเห็นอีกครั้ง”

            ชายหนุ่มนิ่งอั้น...แวบหนึ่งในใจตอบโต้โดยแทบไม่ต้องคิด

            ต่อให้ต้องทำอีกกี่พันภารกิจก็ยอม...ขอแค่เธอมองเห็นอย่างเดิมเร็วที่สุดก็พอ

            ความคิดไม่ถูกเปล่งเป็นวาจา อีกฝ่ายคล้ายได้ยิน...รับรู้...จึงพยักหน้าน้อย ๆ ยอมรับวาจานั้น

            ขณะที่หนึ่งยมทูต หนึ่งดวงวิญญาณจะเลือนหาย ขุนคีรีคล้ายมองเห็นขุนเขาขนาดมหึมาขวางกั้นตรงหน้า...แต่...ต่อให้สูงใหญ่ ยากลำบากเพียงใด...ต้องปีนข้ามให้ได้...นี่คือคำสัญญาในใจ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP