วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓



way cover





ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            หลังจากยื่นมือรับ ‘สัญญา’ ดอกลั่นทม ขุนคีรีสลบไสลชั่ววูบ เพื่อพบกับผู้ทำสัญญาในความฝัน ทราบว่านั่นคือยมทูตนาม ‘หินผา’ งานที่ใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งต้องการคือ ‘ผู้ช่วยยมทูต’

            งานแรก...พาดวงวิญญาณเด็กชายในสนามเด็กเล่นออกมา

            คนทั่วไปหวาดกลัว ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับโลกหลังความตาย แค่ได้ยินสถานที่ใดชุมนุมด้วยภูตผีก็ก้าวขาไม่ออกแล้ว ขุนคีรีกลับเฉยเมย ไม่หวั่นเกรง

            ...สำหรับเขา...การมีชีวิตอยู่กับ ‘บาดแผล’ ความรู้สึกผิดเกาะกินใจมันน่ากลัวกว่าจนเทียบไม่ได้ หากมีวิธีใดรักษาแผลสำเร็จ ต่อให้เป็น ‘ยาแรง’ แค่ไหนก็ยอม

            เพียงคาดไม่ถึง ‘งาน’ ไม่ได้จบแค่พาดวงวิญญาณออกมาส่งเท่านั้น

            ยมทูตหินผาไม่ปรากฏตัวมารับพ่อหนูน้อย กลับมีแท็กซี่ประหลาดขับมาอย่างกับทราบสถานที่ เวลาล่วงหน้าเสียอย่างนั้น



--------------- ------------ --------------



            ขุนคีรีไม่ปริปากถาม ขึ้นมานั่งรถตรงเบาะหลังคู่กับวิญญาณพ่อหนูน้อยแล้วนิ่งเฉย โชเฟอร์แท็กซี่อมยิ้มมองหนึ่งคน หนึ่งผีเด็ก แล้วขับรถออกไปอย่างรู้จุดหมายโดยไม่ต้องบอกใครเช่นกัน

            ตลอดทาง ชายหนุ่มเบาะหลังกวาดตามองภายในรถแท็กซี่ รวมถึงตัวคนขับแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ รถคันนี้เป็นของจริง คนขับไม่ใช่ภูตผีแน่นอน

            ไม่นานรถมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ ภายในดับไฟมืด เจ้าของบ้านอยู่ในโลกนิทรา โคมไฟตรงประตูรั้วเปิดสว่าง ส่องแสงสีซีด ๆ ท่ามกลางความมืดรัตติกาล

            ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับวิญญาณเด็กชาย นึกไม่ออกจะพากันเข้าบ้านอย่างไร

            “พ่อกับแม่นอนหลับ” หนูน้อยพึมพำเบา ๆ ดวงตาจ้องเขม็งแลทะลุถึงด้านใน “ทำไมพวกท่านแก่จังเลย ไม่เห็นเหมือนเดิม”

            ขุนคีรีไม่จำเป็นต้องอธิบาย เด็กชายเสียชีวิตยี่สิบกว่าปี พ่อแม่ไม่แก่ลงเลยสิน่าแปลก

            “มีคนอื่นอยู่ในบ้านด้วย” สายตาเจ้าตัวน้อยเริ่มสำรวจ “พี่ผู้ชายกับพี่ผู้หญิงที่นอนห้องใกล้พ่อแม่เป็นใคร มิวไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่ลุงชดคนขับรถกับป้ามุกแม่ครัวยังอยู่เหมือนเดิม แก่กว่าพ่อกับแม่อีก”

            คนฟังลอบถอนใจเบา ๆ ดวงวิญญาณติดยึดกับ ‘ภพเก่า’ ขนาดนี้ มาเห็นความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จะเข้าใจง่ายดายหรือ?

            “คุณอา...” หนูน้อยเงยหน้าบอก “มิวจะไปหาพ่อแม่แล้ว ขอบคุณที่มาส่งครับ”

            ผู้ช่วยยมทูตอยากฉุดรั้ง บอกว่าไม่มีประโยชน์ เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ พ่อแม่ต่างมีน้องเป็นหนุ่มเป็นสาว อาจลืมลูกชายคนโตไปแล้วก็ได้

            ขณะดวงวิญญาณจะก้าวเข้าประตูบ้าน ‘ยมทูต’ ตัวจริงปรากฏตัวดักหน้า

            “อุ๊ย คุณลุงน่ากลัว”

            เจ้ามิวรีบวิ่งจู๊ดมาหลบข้างหลังขุนคีรีทันที

            ร่างสูงใหญ่ผิวสีทองแดง ดวงหน้าเรียบเฉย เปลือกตาสองชั้นชัดเจน แววตามิได้ฉายความน่ากลัวใด เพียงแต่รอบร่างเสมือนแผ่ไอร้อนบาง ๆ จนดวงวิญญาณใกล้เคียงรู้สึกขยาดระย่อโดยไม่รู้ตัว

            “ถ้าอยากเจอพ่อแม่ ฉันจะพาไปหาเอง” คำพูดเรียบ ๆ และคล้ายเจ้าตัวจะลดความร้อนตามธรรมชาติรอบร่างลง

            “ไม่เอา...มิวกลัวคุณลุง”

            “ถ้าเข้าไปเองแบบนี้ ต่อให้เจอพวกเขาก็คุยกันไม่ได้หรอก รับรองทั้งบ้านไม่เห็นเธอแน่”

            คำพูดตรง ๆ ก่อให้เกิดความลังเลในแววตาวิญญาณดวงน้อย ฝ่ายยมทูตจึงพูดต่อเป็นการโน้มน้าวใจ

            “ฉันสามารถพาเธอไปหาพ่อแม่ในความฝัน ได้พูดคุยสะสางสิ่งที่ค้างคาใจได้...เอามั้ย”

            วิญญาณดวงน้อยลังเล ความหวาดกลัว ‘ไอร้อนยมทูต’ ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้

            ผู้ช่วยยมทูตหันไปสบดวงตาที่อยู่เบื้องหลัง บังเกิดความเข้าใจจึงคุกเข่าลงพูดจาโน้มน้าวอีกแรง

            “อาเคยบอกแล้วไง คุณลุงคนนี้ใจดีกับเด็กดีทุกคน...มิวเป็นเด็กดีหรือเปล่า”

            “เป็นครับ”

            “ถ้าเป็นเด็กดีก็ไม่ต้องกลัวคุณลุงยมทูตหรอก ท่านจะพามิวไปพบคุณพ่อคุณแม่ในความฝัน...เรื่องนี้มิวทำเองไม่ได้ อาก็ทำไม่ได้...เราต้องพึ่งท่านนะ”

            บังเกิดสมรภูมิเล็ก ๆ ในจิตใจวิญญาณดวงน้อย ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้ารับ

            “ครับ”

            ร่างสูงใหญ่ของยมทูตยืนข้างวิญญาณบริสุทธิ์ดวงน้อยดูเป็นภาพความขัดแย้งอันลงตัว ก่อนทั้งสองเข้าไปในบ้าน ยมทูตได้ทิ้งวาจาสองประโยคสำหรับสองคน

            “งานชิ้นแรกสำเร็จแล้ว ที่เหลือฉันจัดการเอง” ประโยคนี้สำหรับขุนคีรี

            “สุรชัย พาเขาไปดูสถานที่ภารกิจสองได้เลย”

            “ครับผม...ท่านหินผา” โชเฟอร์แท็กซี่รับคำอารมณ์ดี



--------------- ------------ --------------



            ตีห้าเศษ เมื่อแท็กซี่มาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ กำแพงสูงทึบล้อมรอบ บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากหลังกำแพงนั้น เสียงคล้ายเด็กทารกร้องงอแงดังแว่ว ๆ ผสานกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงสาวผู้ตกอยู่ในทะเลทุกข์

            ชายหนุ่มฝันเห็นสถานที่แห่งนี้แล้ว ไม่แปลกใจเมื่อมาเยือนในโลกความจริง

            “ผมต้องทำยังไง...ให้ไปรับวิญญาณดวงไหน”

            ตั้งแต่นั่งเบาะหน้าคู่กันจนถึงเวลานี้ นี่เป็นวาจาเต็มประโยคแรกที่ขุนคีรีเอ่ยกับโชเฟอร์

            “ถ้าจำทาง สถานที่ได้แล้วผมจะพาคุณกลับบ้านก่อน คุยรายละเอียดระหว่างทางก็ได้ งานนี้ซับซ้อนกว่างานแรก เพราะไม่ใช่แค่มารับดวงวิญญาณอย่างเดียว มีบางเรื่องต้องทำด้วย แต่ไม่ต้องห่วง...สงสัยอะไรโทรถามทีหลังได้ ไม่ต้องจุดธูปบอก...ผมเป็นคนธรรมดาไม่ใช่ยมทูต ภูตผี”

            แท็กซี่แล่นออกจากข้างกำแพงบ้านหลังใหญ่ ไม่นานสู่ถนนด้านนอก รถราหนาตา มุ่งหน้ากลับที่พักขุนคีรี

            ชายหนุ่มมองถนนเบื้องหน้าจิตใจผิดแผกไปจากเดิม เส้นทางคุ้นตาเหล่านี้กลายเป็น ‘ถนนแปลกหน้า’ เมื่อผ่านประสบการณ์เมื่อคืน

            เขาไม่ทราบว่าทางสายนี้จะพาตนไปพบสิ่งใดอีกบ้าง











บทที่ ๒



            ‘เธอ’ อาศัยตู้โชว์กำบังกายชั่วคราว ทราบว่าไม่อาจหลบเลี่ยงเนิ่นนานนัก ประตู ‘ห้องนั้น’ กำลังเปิด จำเป็นต้องซ่อนตัวรอให้คนออกไปเสียก่อนจึงค่อยหาทางหนี

            บานประตูเปิดอ้า เสียงแว่วมาก่อนเจ้าตัว

            “จะขนตอนนี้เลยหรือคะป้า”

            “รีบเอาไปให้พ้น ๆ เลยดีกว่า”

            “ข้างนอกยังขุดหลุมไม่เสร็จนะคะ”

            “เราขนไปแค่สองคนก่อนก็ได้”

            หญิงกลางคนร่างท้วมกับหลานสาวในชุดขาวช่วยกันประคองห่อผ้ายาว ๆ ออกมา คนหนึ่งรับน้ำหนักด้านหน้า อีกคนอุ้มด้านหลัง สภาพทุลักทุเล

            ‘เธอ’ รีบกระถดตัวหลบลึกกว่าเดิม หวังว่าสองคนนั่นจะรีบออกไปรวดเร็ว โดยไม่หันมาเห็นตนเองเสียก่อน

            สีหน้าหญิงสาวที่อุ้มห่อผ้าด้านหน้าบอกถึงความหวาดกลัว มือไม้สั่น เดินขาแทบพันกัน ไม่แปลกที่จะสะดุดขาตัวเองจนพลั้งปล่อยของในมือหลุดลง

            หญิงกลางคนด้านหลังไม่อาจประคองคนเดียว ทำได้แค่รั้งชายผ้าเอาไว้ ยิ่งทำให้บังเกิดภาพชวนตระหนกตามมา

            ผ้าหลุดลุ่ย...ของที่ห่อม้วนกลิ้งตามพื้น เผยให้เห็นสิ่งซ่อนภายใน

            “กรี๊ด...”

            ‘เธอ’ หวีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็น ‘สิ่งนั้น’ เต็มตา

            เสียงหวีดร้องดังลั่นไม่มีผลต่อสตรีต่างวัยทั้งสอง ผู้เป็นป้าดุหลานสาวเสียงเข้ม

            “ระวังหน่อยสิ”

            “ขอโทษจ้ะป้า...หนูกลัว...มือไม้แข้งขาสั่นไปหมดแล้ว”

            “เออ...รีบจัดการเร็วเข้า”

            ภายใต้ห่อผ้าเป็นศพหญิงสาวร่างเล็กบอบบาง ริมฝีปากเริ่มเขียวคล้ำ กลางลำตัวชุ่มด้วยเลือด สภาพเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน

            สองป้าหลานรีบพันผ้าห่อไว้ลวก ๆ แล้วรีบนำออกไปอย่างรวดเร็ว

            ‘เธอ’ วิ่งถลาไปขวางทั้งสองพร้อมตะโกนลั่น

            “ไม่...ไม่...อย่าเอาตัวฉันไป”

            ...ร่างไร้ชีวิตคือตัวเธอเอง...

            เสียงร่ำร้องคร่ำครวญไม่มีใครได้ยิน ต่อให้พยายามขัดขวางสกัดกั้นก็ไม่อาจหยุดการกระทำเจ้าของสถานที่ได้

            คำอ้อนวอน ร่ำไห้ปริเวทนาไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้ยิน หนำซ้ำยังมีเสียงร้องกระจองอแงของเหล่าทารกร่วมประสานชวนขนลุก



--------------- ------------ --------------



            เหตุการณ์ปรากฏต่อหน้าตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่อาจหลีกหนี หลังจากสงบสติอารมณ์บัวบุษราจึงตั้งคำถามแรก

            “เธอเสียชีวิตจากการทำแท้งหรือคะ”

            ผู้นำทางแค่ปรายตามอง ไม่ตอบคำถามทันที

            “เสียใจหรือไม่ ที่คราวนี้ฉันไม่ได้พาเธอท่องเที่ยวอย่างครั้งแรกที่เราเจอกัน”

            คำพูดคล้ายช่วยให้เธอปรับสติอารมณ์อีกครั้ง

            “ไม่หรอกค่ะ...บัวแค่ตกใจกับสิ่งที่เห็น ต่อให้รู้ว่ามันเป็นความฝันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”

            คนกำลังฝันมักไม่รู้ว่าตัวเองฝัน คิดว่าคือความจริง...จนกระทั่ง ‘ตื่น’

            หญิงสาวแยกความจริงกับความฝันง่าย ๆ เพราะโลกความจริงเธอมองไม่เห็น ส่วนในฝันดวงตาปกติ มองเห็นทุกอย่างไม่ต่างจากก่อนเกิดเรื่องร้ายแรงนั่น

            “ตอนนี้คิดยังไงกับเรื่องที่เห็นบ้าง” คำถามเข้าประเด็น

            “เท่าที่บัวทราบ การทำแท้งเป็นบาปหนักเลยนะคะ” คำตอบกึ่งแสดงความเห็น

            “เธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นรับกรรมเบาไปมั้ย”

            “เอ่อ...บัวไม่รู้หรอกว่าทำแท้งแล้วต้องได้รับกรรมแบบไหน...แต่เห็นวิญญาณดวงนั้นวนเวียนอยู่กับการพยายามหนีจากคลินิก แล้วพบตัวเองเป็นศพซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้เลยแปลกใจ...ดูเหมือนเธอกำลังอยากหนีมากกว่าตั้งใจจะฆ่าเด็กในท้อง”

            ผู้ฟังนิ่งชั่วขณะ ลักษณะเสมือนขุนเขาลูกหนึ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดทั้งสีหน้าและแววตา

            “ลองเข้าไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นดูมั้ย” คำถามนี้ทำเอาสะดุ้ง

            “บัวเข้าไปคุยได้หรือคะ?” เธอคิดว่าตนทำได้แค่ดูอยู่ข้างนอก

            “ได้สิ...มันเป็นหนึ่งใน ‘งาน’ ที่เธอต้องทำด้วย”

            บัวบุษราเริ่มเข้าใจ นับจากคืนที่ฝันถึงชายแปลกหน้าคนนี้ จนได้รับสัญญา ‘ลั่นทม’ ในโลกความจริง ต่อแต่นี้โลกความฝันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป



--------------- ------------ --------------



            ห้องรับแขก ‘ฉากหน้า’ คลินิกทำแท้งเถื่อนเหมือนบ้านปกติทั่วไป โต๊ะ โซฟารับแขก ตู้โชว์ขนาดใหญ่จัดวางเป็นระเบียบ ไม่ทำให้ห้องคับแคบ

            ‘เธอ’ นั่งกระสับกระส่ายบนโซฟา สีหน้ากังวล บัวบุษราทราบว่าอีกไม่นานผู้หญิงคนนี้จะได้ยินเสียงผิดปกติ จนพบเรื่องน่ากลัวก่อนหาทางหนี กระทั่งเจอศพตัวเอง

            ก่อนเข้าสู่เหตุการณ์เดิม จำเป็นต้องแทรกทำลายวงจรก่อน

            “แกร้ก” เสียงเหมือนของบางอย่างตกบนพื้น เธอสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นไปดูต้นเสียง

            “สวัสดีค่ะ”

            คำทักทายจากบัวบุษราทำให้เธอชะงัก เบี่ยงเบนความสนใจกลับมา

            “คุณเป็นใคร?”

            “คนแปลกหน้าค่ะ” ตอบด้วยรอยยิ้ม

            แววฉงนสงสัยฉายผ่านดวงตาคู่นั้น เสียงเปิดประตูดังขึ้น เธอกลับคืนดังเดิม คล้ายกำลังเข้าสู่วงจรซ้ำซากที่ไม่อาจหลุดออกมาได้

            หญิงสาวรีบกระโจนหลบข้างตู้โชว์ คิดว่ามันสามารถช่วยกำบังกาย ผู้มาใหม่เห็นอย่างนั้นจึงเดินตามพร้อมเอ่ยถามขึ้น

            “มาหลบอยู่นี่ทำไมคะ ไม่มีอะไรน่ากลัวสักหน่อย”

            “เธอไม่ได้ยินเสียงนั่นเหรอ ฉันว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ”

            “ถ้าสงสัยก็ออกมาดูให้เห็นชัด ๆ ดีกว่าค่ะ” พูดจบทดลองคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้

            มือต่อมือสัมผัสชัด แทบไม่ต่างจากโลกความจริง ผู้หญิงคนนั้นพยายามบิดมือจะสลัดออก

            “ไม่”

            “ออกมาเถอะค่ะ ไม่ต้องหลบหรอก” น้ำเสียงอ่อนลงพร้อมออกแรงฉุดเบา ๆ

            “ไม่...พวกนั้นจะออกมาแล้วฉันต้องซ่อนตัว”

            “ต่อให้ไม่ซ่อนตัว พวกเขาก็ไม่เห็นคุณอยู่ดี”

            “ไม่จริง อย่ามาหลอกฉัน”

            “ไม่เชื่อลองออกมาดูด้วยกันสิคะ”

            คำชักชวนไม่เป็นผล แรงฉุดดึงไม่อาจพาเธอออกจากที่ซ่อนได้ บัวบุษราจนปัญญาไม่ทราบควรทำอย่างไร

            ‘...ความจริง...’ เสียงกระซิบดังกลางหัว ‘ผู้หญิงคนนี้เหมือนกำลังวนเวียนอยู่ในฝัน...มีแต่...ความจริง...อาจพอปลุกเธอได้ชั่วคราว

            บัวบุษราตัดสินใจเอ่ยวาจาสำคัญ

            “ออกมาเถอะค่ะ” น้ำเสียงอ่อนลงแฝงรอยลังเลใจก่อนพูดต่อ “คุณตายไปแล้ว พวกเขาไม่เห็นหรอก”

            แรงต้านลดลง คล้ายเจ้าตัวตกใจคาดไม่ถึง จนสามารถดึงร่างเล็กบอบบางออกจากข้างตู้โชว์สำเร็จ

            ขณะนั้นสองป้าหลานกำลังประคองห่อผ้าขาวออกจากห้องพอดี

            “ร่างคุณอยู่ในห่อผ้าขาวนั่น อีกเดี๋ยวมันจะกลิ้งตกลงมา คอยดูดี ๆ นะคะ” พูดน้ำเสียงหนักแน่นให้อีกฝ่ายเตรียมใจ

            ทุกอย่างดำเนินรวดเร็ว หญิงสาวข้างหน้าสะดุดขาตัวเอง ปล่อยห่อผ้าหลุดลงพื้น เผยให้เห็นร่างข้างใน

            “นี่ไงคะ...ร่างของคุณ” รีบสำทับก่อนอีกฝ่ายจะทันเห็นภาพชัดเจน

            ความที่ได้รับการบอกเล่าล่วงหน้า ดวงตาจับจ้องห่อผ้าเป็นพิเศษ พอเห็นร่างตนเองกลายเป็นศพ เสียงกรีดร้องจึงจุกตันแค่ในลำคอ

            “เป็นไปได้...ยังไง” คำถามลอย ๆ มากกว่าต้องการคำตอบ

            “ฉันต้องถามคุณมากกว่าค่ะ...เรื่องราวเป็นมายังไง” ถามเชิงกระตุ้นความทรงจำ

            เธอไม่ตอบ...ในหัวว่างโล่ง เห็นสองป้าหลานเดินออกจากประตูหน้าบ้านแล้วรีบตามไปดู นั่นทำให้พบบุคคลคาดไม่ถึง

            “เดช!”

            ชายหนุ่มหน้าตาดีกำลังช่วยรับ ‘ศพ’ จากหญิงต่างวัยทั้งสอง

            “ลุงแกเพิ่งขุดหลุมเสร็จ พวกคุณจะรีบเอาศพออกมาทำไม”

            “ไม่ต้องถามมากเรื่อง รีบเอาไปฝังแล้วเก็บหลักฐานพวกเธอออกไปให้หมด” หญิงกลางคนบอกห้วน ๆ

            คำสนทนาสั้น ๆ ปลุกความทรงจำบางอย่าง...ดวงหน้านั้นค่อย ๆ เผือดลงเรื่อย ๆ เดินตามชายหนุ่มไปยังข้างกำแพง มองเขานำศพลงหลุมแล้วช่วยชายกลางคนผมสองสีกลบฝังอย่างเร่งรีบ



            บัวบุษราทราบว่าตนเองไม่ควรเอ่ยวาจาใด วิญญาณดวงนั้นเริ่มจดจำเรื่องราวก่อนตายมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นอาจทำให้หลุดจากวงจรเดิมสำเร็จ

            “จำได้แล้ว...” เธอหลุดเสียงแผ่วเบา แววตาเปลี่ยนไป “เดชพาฉันมาทำแท้งที่นี่...แต่...ฉันเปลี่ยนใจ...”

            คำพูดพร้อมเรื่องราวทบทวนให้หัว บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปคล้ายเข็มนาฬิกาย้อนกลับ...กลับไปยังช่วงเวลาที่เธอกับเขามาถึงคลินิก

            บัวบุษราร่วมชมเหตุการณ์นั้นโดยปริยาย



--------------- ------------ --------------



            “กาน...ทำไมถึงเปลี่ยนใจ คุณก็รู้ว่าเรารับผิดชอบเด็กไม่ไหวหรอก”

            “ฉันกลัว...เรากำลังจะฆ่าคนทั้งคนนะเดช...ฉันทำไม่ได้หรอก”

            “เราคุยกันเข้าใจแล้วนะ...ถ้าปล่อยให้เด็กออกมาพวกเราจะลำบากกันขนาดไหน...ไม่ต้องกลัว...คุณไม่ต้องทำอะไรเลย หมอที่นี่เขาจัดการเองทั้งหมด ไม่นานเราก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว”

            “ไม่...ไม่...ไม่...ไม่เอาแล้ว...ฉันกลัว...ทำไม่ได้...ฉันฆ่าลูกของเราไม่ได้”

            “ใจเย็น ๆ กาน...ตอนนี้คุณแค่สับสนชั่วคราว ดื่มน้ำก่อน...ค่อย ๆ คิดดูอีกที...ผมไม่บังคับคุณหรอก”

            “จริง ๆ นะเดช...เราไม่ควรทำแบบนี้”

            “จ้ะ...จ้ะ...ค่อย ๆ ดื่มน้ำนะ...ระวังสำลัก ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่พร้อม ไม่อยากทำเดี๋ยวผมพากลับหอ...”

            ดื่มน้ำหมดแก้ว มือไม้สั่น หวาดกลัว...กลัวไปหมด กลัวทุกเรื่อง และลึกลงไปกว่านั้น...ความรัก ความผูกพันต่อชีวิตน้อย ๆ ในครรภ์ก่อกำเนิดโดยไม่รู้ตัว...เพิ่งรู้สึกชัดตอนที่เขาเริ่มดิ้นแสดงการมีชีวิต

            ...เธอไม่อาจฆ่าลูกตนเองได้...

            ทว่า...น้ำแก้วนั้นนอกจากทำให้ใจเย็นลง ยังก่อให้เกิดความง่วงงุน มึนงงประหลาด เคว้งคว้าง สติดับวูบ ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

            สิ่งที่ดวงวิญญาณเห็นมีมากกว่าตอนเธอเป็นมนุษย์

            หลังจากแฟนสาวสลบไสล ชายหนุ่มถอนใจโล่งอก หันไปพบเจ้าของคลินิกที่ออกมาจากห้องด้านในพอดี

            “เรียบร้อยแล้วครับ”

            “เจ้าตัวไม่เต็มใจ ทำแบบนี้จะดีหรือ”

            “ไม่เป็นไร กานคงแค่สับสนชั่วคราว พอเสร็จ ‘ธุระ’ ฟื้นขึ้นมาอาจเสียใจนิดหน่อย ผมปลอบเดี๋ยวเดียวก็หาย”

            “แน่ใจนะว่าจะให้ทำทั้งที่เป็นแบบนี้”

            “แน่ใจครับ ผมเป็นพ่อเด็ก มีสิทธิตัดสินใจแทนอยู่แล้ว”

            เจ้าของคลินิกไม่พูดจาอะไร พยักหน้าเป็นเชิงบอกชายหนุ่มให้อุ้มแฟนสาวเข้าไปในห้อง จากนั้นทุกสิ่งก็ดำเนินไปตามกรรมวิธี

            เพียงแต่...เกิดการผิดพลาด...จากสาเหตุใดยากอธิบาย หญิงสาวเสียชีวิต แฟนหนุ่มจำเป็นต้องเลือกระหว่างแจ้งความคลินิกโดยที่ตนติดร่างแห หรือเก็บกวาดหลักฐาน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



            ศพถูกกลบฝังเรียบร้อย บัวบุษราเหลือบมองวิญญาณด้านข้าง ไม่รู้ควรมีคำพูดใดปลอบใจ

            “ฉันจะทำยังไงดี” วาจาเลื่อนลอย

            “คุณหลุดจากวงจรฝันซ้ำซากแล้ว เดินหน้าต่อไปเถอะค่ะ”

            คนพูดไม่มีสติปัญญาให้คำแนะนำดีกว่านี้...อยากบอกให้เธอไปเกิดใหม่ในที่ดี ๆ ก็พูดไม่ออก เพราะส่วนลึกในใจรู้สึก...ยังมีภาระค้างคาฉุดรั้งวิญญาณดวงนั้นอยู่

            หมดหน้าที่เธอแล้ว...ออกมาเถอะ’ เสียงบอกในหัว

            นั่นทำให้บัวบุษราตื่นจากความฝันพบกับความจริงในโลกที่มองไม่เห็น ใช้ชีวิตประจำวันอย่างเคย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP