วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๒




way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ร้านข้าวแกงยายปันตั้งอยู่ปากทางเข้าชุมชนนกคู่ ตั้งโต๊ะบริการลูกค้าแค่สองสามตัว โดยมากตักใส่กล่องใส่ถุงขายมากกว่า

            เดิมตรงนี้เคยเป็นค่ายมวยตาแคล้ว สามียายปันเป็นอดีตนักมวยระดับแชมป์ เคยปั้นนักมวยรุ่นหลังให้มีชื่อเสียงหลายราย จนระยะหลังเจ้าของค่ายเจ็บออด ๆ แอด ๆ ไม่แข็งแรงดังเดิมต้องปิดค่ายไปเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว

            ค่ายมวยถูกรื้อแบ่งเป็นห้องเช่า และเปิดร้านข้าวแกงด้านหน้าจนถึงทุกวันนี้

            “ไอ้ท่านขุนมันหายหัวไปไหน ทำไมไม่โผล่มาสักทีวะ”

            ยายปันวัยหกสิบปี ร่างท้วมแข็งแรงอย่างคนทำงานตลอดวัน ส่งเสียงถามสามีที่กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ในร้าน

            “มันวิ่งออกกำลังอย่างนี้ทุกเช้าแกก็เห็น จะถามหาอะไร”

            ตาแคล้ว วัยเดียวกับภรรยาแต่ดูแก่ชรากว่า ผมหงอกขาวเกือบทั้งศีรษะ ร่างผอมบางผิวคล้ำ ใบหน้ามีริ้วรอยโรคภัยเบียดเบียน

            พอได้ยินสามีตอบเช่นนั้นจึงหันมาแว้ดใส่ทันที

            “แหม แตะไม่ได้เลยนะ...ลูกศิษย์ตัวทำเงินทำทองของแกนี่...ไอ้แก่”

            “อ้าว...แกจะเอาอะไรกับมันนักหนา ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ก็จ่ายค่าเช่าไม่เคยขาด พอเริ่มไม่มีเงินก็มาขอทำงานแลกข้าวแลกที่อยู่ ตอนนี้มันมีงานไปชกมวยได้เงินก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ฉันตั้งเยอะ แถมยังทำงานที่ร้านอย่างเดิมไม่เคยอู้ไม่เคยบ่น...คนหนุ่มแบบนี้หาที่ไหนได้อีก”

            “ใช่ซี้ไอ้แก่...ลูกศิษย์แกดีทุกคนเลยนี่ ตอนนี้มีนักมวยคนไหนใช้นามสกุลว่า ‘ศิษย์ตาแคล้ว’ อยู่หรือเปล่า”

            “จะไปพูดถึงพวกลูกศิษย์เก่ามันทำไมนักหนา เด็กคนนี้มันดี ฉันก็ว่าไปตามที่เห็น แกจะหาเรื่องอะไรมันวะ เคยเห็นมันเถียงอะไรแกบ้างมั้ยล่ะ”

            “เออ มันไม่เคยเถียงฉันหรอก วัน ๆ นึงเคยพูดจากับใครซะที่ไหน คนแถวนี้คิดว่ามันเป็นใบ้ หูหนวกกันหมดแล้ว”

            สิ่งที่สองสามีภรรยาพูดไม่เกินจริงนัก ขุนคีรีมาขอเช่าห้องพักเมื่อเกือบสองปีก่อน ใช้ชีวิตเงียบ ๆ ไม่สุงสิงใคร มีกิจวัตรประจำวันตายตัว ตื่นนอน ออกไปวิ่ง กลับมาพักเงียบ ๆ ในห้อง ออกมากินข้าวตามเวลา

            ก่อนชายหนุ่มมาเช่าไม่นานเท่าไหร่ ผู้เช่าห้องรายหนึ่งผูกคอตาย รายอื่นหวาดกลัวย้ายหนีหมด มีเสียงเล่าลือว่าวิญญาณผู้ตายยังวนเวียน ลดค่าเช่าเท่าไหร่ไม่มีใครยอมอยู่ ตอนขุนคีรีมาเช่า สองตายายคิดว่าคงอยู่แค่คืนเดียวก็เปิดหนี กลับกลายเป็นอยู่ได้นานเป็นเดือนโดยไม่มีปัญหา ไม่บ่นถึงภูตผีใด ๆ

            ไม่กี่เดือนต่อมาเขาจำเป็นต้องบอกยายปันตรง ๆ ว่าไม่มีเงินเหลือพอจ่ายค่าเช่าห้องต่อ ขอทำงานแลกข้าวแลกที่อยู่ได้หรือไม่

            ยายปันเสียดายผู้เช่าไม่กลัวผีแค่ไหนก็ยังปฏิเสธ ร้านข้าวแกงเล็ก ๆ ทำคนเดียวไหวไม่จำเป็นต้องมีคนช่วย ขุนคีรีพยักหน้าไม่เซ้าซี้ ไม่ขอร้อง ครบสิ้นเดือนจ่ายค่าเช่าตามจำนวนแล้วเก็บกระเป๋าเตรียมย้ายออกไป

            วันนั้นตาแคล้วไปรับยาที่โรงพยาบาลไม่อยู่บ้าน ยายปันหน้ามืดเป็นลมคาอ่างน้ำล้างผัก ชายหนุ่มรีบช่วยไว้ทันก่อนขาดอากาศหายใจ คนเป็นสามีทราบทีหลังต้องขอร้องให้เมียรับไว้ทำงานทันที

            เงินค่าเช่าบ้านอันน้อยนิด เทียบไม่ได้เลยกับการมีคนไว้ใจได้ คอยดูแลช่วยเหลือยามคับขัน

            ตาแคล้วสังเกตชายหนุ่มฝึกซ้อมมวยเวลาว่าง เห็นทางมวยดีแสดงว่าเคยเรียนมาก่อนไม่ใช่มวยวัด จึงชวนไปทำงานพิเศษชกมวยใต้ดินตอนกลางคืน

            เจ้าของสนามมวยรู้จักตาแคล้วมานาน ถึงเป็นเวทีใต้ดินก็กล้ารับประกันว่าวัดฝีมือกันแท้ ๆ ไม่มีการโกงล้มมวยต้มคนดู ทำให้นักพนันทั้งหลายไว้ใจมากันคึกคัก

            ขุนคีรีชกมวยในนามศิษย์ตาแคล้ว ชกชนะมากกว่าแพ้หรือเสมอ เดือนนึงจะขึ้นชกสองสามครั้ง หลังแบ่งเปอร์เซ็นต์แล้วยังมีเงินในกระเป๋ามากพอจ่ายค่าเช่าค่าอาหาร ถึงอย่างนั้นก็ยังช่วยยายปันทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตตอนกลางวันปกติไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

            ชายหนุ่มพูดน้อยจนแทบไม่พูดจาเลย ไม่สนใจดูแลตนเองปล่อยผมยาวปกปิดหน้าตา ไม่มีใครทราบประวัติความเป็นมา ต่อให้เป็นศิษย์ตาแคล้ว ร่ำเรียนทางมวยเพิ่มเติม ก็ไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ครูอาจารย์ฟัง

            ตาแคล้วไม่เคยถาม สายตาคนผ่านโลกมานานเชื่อว่าไว้ใจชายหนุ่มคนนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องซักไซ้มากความ



            ขณะสองสามีภรรยาชรากำลังจะโต้เถียงกันต่อ สายตาเห็นเงาร่างสูงเพรียวเข้ามาในร้าน ดึงฮู้ดออกถอดเสื้อผ้าร่มพาดบนเก้าอี้ จากนั้นเก็บจานชามไปล้างตามหน้าที่โดยไม่เอ่ยปากทักทายเจ้าของบ้านสักคำ

            ยายปัน ตาแคล้วรีบหุบปากฉับ ขนาดอยู่ร่วมกันมาเกือบสองปี ชายหนุ่มมีฐานะเป็นลูกศิษย์ กึ่งผู้อาศัยกลาย ๆ ทั้งคู่ก็ยังมีความเกรงใจบอกไม่ถูก

            ต่อให้ไม่ทราบภูมิหลังความเป็นมา สองผู้เฒ่าก็เชื่อว่าชายคนนี้ไม่ใช่นักมวยกระจอก ลูกตาสีตาสาแน่นอน



--------------- ------------ --------------



            หลังจากทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อย เก็บจานชามเข้าที่ ขุนคีรีค่อยกลับเข้าห้อง ค่ายมวยเก่าถูกรื้อไป เหลือโรงยิมเล็ก ๆ กับห้องพักนักมวยซึ่งปรับปรุงเป็นห้องเช่ารายเดือนสามสี่ห้อง ปัจจุบันเหลือชายหนุ่มพักแค่ห้องเดียว

            ห้องแคบมีโต๊ะตู้เตียงเท่าที่จำเป็น ผนังห้องติดรูปภาพเก่า ๆ ผู้เช่าคนก่อนประดับไว้โดยไม่มีใครรื้อออกไป มรดกอีกชิ้นคือกีตาร์เก่าโทรมวางพิงหัวเตียง สภาพของมันทำให้รู้...ทำไมเจ้าของเดิมไม่คิดหอบติดตัวเป็นภาระ

            ขุนคีรีเปลี่ยนสายกีตาร์ ตั้งเสียงใหม่ ใช้ดีดเล่นซ้อมมือเพื่อผ่อนคลาย เจ้าของบ้านทั้งสองมักได้ยินเสียงเพลงชายหนุ่มมากกว่าเสียงพูดจาจากเจ้าตัวด้วยซ้ำ

            ทันทีที่ก้าวเข้าห้อง กลิ่นแปลก ๆ กระทบจมูก พบดอกลั่นทมวางบนโต๊ะ มั่นใจว่าเจ้าของบ้านไม่มีทางนำมาให้ อีกทั้งไม่มีใครกล้ายุ่มย่ามห้องส่วนตัวเด็ดขาด

            ความสงสัยปรากฏแค่แวบแรก ก่อนคำตอบตามมาแบบไม่ทันตั้งตัว

            ...ดอกลั่นทม...ในฝัน...มาอยู่ที่นี่แล้ว!

            ความฝันย้อนทวนอีกครั้ง...สนามเด็กเล่นร้าง...เด็กชายตกจากชิงช้า...บ้านหลังใหญ่...คลินิกเถื่อน...ร่างไร้วิญญาณ

            ผู้พาไปชม ‘ความฝัน’ เหตุการณ์ชวนขนลุกเป็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวสีทองแดง หน้าตาดุ เข้มงวด

            หลังจากนำชมเรื่องน่ากลัว ค่อยพามาพักผ่อนยังลานลั่นทม สถานที่กว้างขวาง ปลูกต้นลั่นทมเป็นทิวแถวออกดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมระรวย บรรยากาศผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ

            ในฝันขุนคีรียังพูดน้อย ไม่เอ่ยถาม...เหตุใดพาไปชมเรื่องเหล่านั้น ไม่สงสัย...ทำไมมาลานลั่นทมแห่งนี้

            “ดอกลั่นทม...มักถูกมองเป็นสัญลักษณ์ความเศร้าโศกเสียใจ ตัวแทนความสูญเสีย ความตาย...เธอคิดอย่างนั้นหรือไม่”

            คำถามลอย ๆ คนฟังไม่สนใจตอบ กระทั่งในฝันยังคร้านเอ่ยวาจา

            แววตาแปลกผุดขึ้น ริมฝีปากขยับเอ่ยอีกคำถาม

            “ฉันรู้ว่าเวลานี้ เธอต้องการสิ่งใดมากที่สุด”

            วาจาจี้ตรง อ่านความต้องการในใจชัดเจน ชายหนุ่มหันขวับ จ้องเขม็ง ส่งสายตาคาดคั้นไม่เกรง

            ชายผิวสีทองแดงรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถาม เมื่อไม่ได้ยินจึงพูดต่อเสียเอง

            “ถ้าฉันช่วยให้ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ มองเห็นอีกครั้ง เธอพร้อมจะทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนหรือไม่”

            ขุนคีรีสะดุ้งวาบ คาดไม่ถึง ขนาดไม่เอ่ยปากพูดอะไร ฝ่ายตรงข้ามยังทราบความต้องการในใจจนบ่งบอกชัดเจน

            ...หรือว่า...ในฝันไม่อาจปกปิดความจริงในใจ

            ชายหนุ่มขบริมฝีปาก ลังเลว่าควรตอบอย่างไร

            “เธออาจไม่เชื่อ ไม่มั่นใจ...” ผู้พูดไม่ใส่ใจอาการเงียบงัน “ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่า...ข้อตกลงครั้งนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน”

            คราวนี้คนฟังเกือบหลุดปากถาม...พิสูจน์อย่างไร?

            ผู้พูดชิงตอบก่อน

            “สถานที่แห่งแรก และเรื่องราวของมันอยู่ไม่ไกลที่พักเธอ สืบเสาะพิสูจน์ไม่ยาก...เมื่อพบมันแล้ว ฉันจะส่งดอกลั่นทมไปวางไว้เป็นข้อพิสูจน์ที่สอง...ถ้าเธอยอมรับมัน เท่ากับตกลงทำงานให้ฉัน แลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือให้ ‘เธอ’ คนนั้นมองเห็นอีกครั้ง”



            ความฝันชัดเจนติดตากระทั่งยามตื่นนอน เป็นเหตุให้พยายามพิสูจน์ความจริงข้อแรก เมื่อเขาพบสนามเด็กเล่นร้างแห่งนั้น...ดอกลั่นทมจึงปรากฏบนโต๊ะแทนหนังสือสัญญา...เป็นข้อพิสูจน์ที่สอง

            สองข้อพิสูจน์แสดงตัวชัดเจนขนาดนี้...เชื่อหรือไม่?

            สมัยก่อนขุนคีรีไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติจนมาพักห้องเช่าแห่งนี้ ดวงวิญญาณคนผูกคอตายก่อนเขามาอยู่ยังไม่ไปไหน กลับมาผูกคอตายซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้นยืดยาวไม่รู้จบ

            ชายหนุ่มเคยเห็น...แต่ไม่กลัว!

            กลัวทำไมในเมื่อสัมผัสได้ว่าวิญญาณดวงนั้นทุกข์ทรมานเหลือเกิน สมัยเป็นคนประสบเรื่องราวความทุกข์ทนไม่ไหว คิดว่าฆ่าตัวตายคือหนทางรอด...ทว่ามันไม่ใช่

            การฆ่าตัวตายคือเปิดประตูไปสู่ความทุกข์ยิ่งกว่า เพราะห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นยืดยาวจนคำนวณไม่ถูก

            จิตใจ ‘รับรู้’ เช่นนั้น ส่วนลึกบังเกิดเมตตาขึ้นมา...ความเมตตาเป็นขั้วตรงข้ามกับหวาดกลัว...เมื่อเมตตาเกิด... ความกลัวจึงดับหาย

            พอเห็นโลกหลังความตาย ทำให้เชื่อข้อพิสูจน์จากความฝัน ยืนยันว่าการตกลงมีจริง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

            เวลานี้อยู่ที่ตนเองจะยื่นมือรับข้อเสนอ ‘สัญญา’ โดยไม่รู้ว่าต้อง ‘ทำงาน’ ใดเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน...หรือนิ่งเฉยปฏิเสธ

            ขุนคีรีเดินไปที่โต๊ะ ยื่นมือหยิบดอกลั่นทมมาวางตรงกลางฝ่ามือ แทนวาจาตกปากรับคำ!

            คล้ายหนังสือสัญญาได้รับตราประทับสองฝ่ายเรียบร้อย ดอกลั่นทมจึงเหี่ยวแห้ง ร่วงโรยคามือภายในเวลาไม่กี่วินาที พร้อมกับส่งกลิ่นหอมรวยรินออกมาให้สัมผัส

            ชายหนุ่มวิงเวียน มึนเบลอยืนเซ ๆ พยายามพาร่างไปนั่งบนเตียงจนสำเร็จ ก่อนสติดับวูบไม่ทันรู้ตัว



--------------- ------------ --------------



            ตีสองเศษ รอบสนามเด็กเล่นร้างเงียบงัน ไม่มีรถราผ่าน ผู้คนไม่เฉียดใกล้ กระทั่งแมลงราตรียังไม่กล้ากรีดปีกส่งเสียงดัง

            ขุนคีรียืนนิ่งหน้าสนามชั่วอึดใจ ก่อนก้าวเท้าเข้าไปปราศจากความหวั่นเกรง

            ...นี่คือ ‘งาน’ รับสัญญาแล้วไม่อาจหลีกเลี่ยง...

            ทันทีที่ย่างเข้าเขตสนาม บรรยากาศรอบกายแปรเปลี่ยนฉับพลัน กลายเป็นคนละเวลากับปัจจุบัน

            ยามเย็น...แดดอ่อนโรย สนามเด็กเล่นกำลังคึกคัก เหล่าหนูน้อยกำลังวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวสนุกสนาน โดยมีพ่อแม่ผู้ปกครองคอยดูแลไม่ห่าง

            ...มันคือภาพความทรงจำช่วงสุดท้ายของเด็กชายก่อนเสียชีวิต...

            “น้องมิวรอพ่อที่นี่แป๊บเดียวนะลูก”

            “อย่าเล่นดินเล่นทรายจนเลอะนะ...เดี๋ยวแม่จะรีบกลับมารับ”

            “เล่นทรายไม่ได้...มิวเล่นชิงช้าได้ใช่มั้ยครับ”

            “อันตรายลูก ไม่มีใครดูเดี๋ยวตก”

            “มิวจะเกาะแน่น ๆ”

            “ไม่เอา งั้นแม่ให้ไปเล่นก่อกองทรายกับน้องแพตตี้แล้วกัน”

            พ่อแม่แต่งตัวดี พาลูกชายออกมาส่งที่สนามเด็กเล่นชั่วคราว โดยฝากฝัง ‘แม่น้องแพตตี้’ คนในหมู่บ้านจัดสรรเดียวกันให้ช่วยดูแลอีกแรง ก่อนรีบเข้างานเลี้ยงสโมสรซึ่งอยู่ติดกัน

            ‘ผู้ดู...วงนอก’ ไม่สนใจสองพ่อแม่มีธุระด่วนสำคัญอะไร ถึงกล้าปล่อยลูกในสนามคนเดียว ต่อให้มีคนรู้จักช่วยดูแลให้ก็ตาม สายตากำลังมองเป้าหมายสำคัญ

            เด็กชายแต่งกายดีกำลังนั่งเล่นก่อกองทรายกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักอย่างสนุกสนาน ไม่กลัวเสื้อผ้าเลอะเปื้อน

            ‘แป๊บเดียว’ ของสามีภรรยาคู่นั้นคงเนิ่นนานเกินไป เมื่อเด็กชายเริ่มเบื่อกับการเล่นก่อกองทราย เด็กหญิงปลีกตัวไปเล่นม้าหมุนก่อน แล้วชิงช้ากำลังว่างพอดีเด็กชายจึงวิ่งจู๊ดไปจับจอง

            คุณแม่น้องแพตตี้จำเป็นต้องสนใจลูกสาวตัวเองมากกว่า นั่นทำให้เผอเรอไม่คิดจะเกิดเหตุร้ายเร็วขนาดนั้น

            ชิงช้าแกว่งตัวไปมาสูงขึ้น แรงเร็วน่ากลัวด้วยความซนและบ้าพลังแบบเด็กผู้ชาย ทว่ามือน้อยกลับลื่นพลาดหลุดจากโซ่ ร่างถูกเหวี่ยงตกลงมารุนแรง

            ‘ผู้ดู’ เหตุการณ์อดีตยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เตรียมใจพร้อมอยู่แล้วต้องมาชมเรื่องชวนสังเวช อาการหวั่นไหว สงสารเกิดขึ้นวูบหนึ่งก่อนเรียบเฉย ยอมรับว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไข

            แสงสนธยาทาทาบ ราวกาลเวลาหยุดนิ่ง ผู้คนในสนามชะงักงันเสมือนถูกสาป ร่างเด็กชายที่นอนฟุบกับพื้นขยับตัวลุกขึ้นเชื่องช้า ไม่เข้าใจสภาวะตนเอง ยังกลับไปนั่งเล่นชิงช้ารอบิดามารดาเหมือนเดิม

            เอี้ยด...เอี้ยด...เอี้ยด...เสียงโซ่ชิงช้ากวัดแกว่งเสียดสีกับเหล็กดังเป็นจังหวะเสียดประสาทบาดลึกน่ากลัว

            ขุนคีรีเดินผ่านเหล่าผู้คนนิ่งค้าง ไปยืนเบื้องหน้าชิงช้ากำลังแกว่งไกว

            “น้องมิว...” คำแรกหลุดจากปากชายหนุ่ม ทำให้บรรยากาศยามสนธยาพลิกเปลี่ยนฉับพลัน

            ท้องฟ้ามืดสนิท ผู้คนทั้งสนามหายวับ บรรยากาศเยือกเย็นชวนสะพรึงแผ่ซ่าน ชิงช้ายังแกว่งไกว ไม่ช้าไม่เร็ว บนนั้นปราศจากร่างเด็กชายเสียแล้ว

            “น้องมิว!” คำเรียกขานดังอีกครั้ง ดวงตาเฉี่ยวคมจ้องชิงช้าไม่กะพริบ

            คล้ายเจ้าตัวน้อยบนชิงช้าทราบว่าผู้เรียกขานเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง จึงค่อยกล้าปรากฏตัวราง ๆ ส่งเสียงดังกังวานในหัวชายหนุ่ม

            คุณอาครับ มาเล่นด้วยกัน เล่นชิงช้าสนุ๊กสนุก ตกตุ้บมาก็ไม่เจ็บเลย

            เสียงเรียก ‘คุณอา’ ดังสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาหลอกหลอนในหัว ผู้ฟังไม่หวาดกลัว หนำซ้ำเดินไปจับสายโซ่รั้งชิงช้าไว้ให้มันหยุดนิ่ง



            ดวงหน้าน้อยเงยหน้ามองไร้จุดหมาย แววตาหม่นซึมเลื่อนลอย ฉายรอยโดดเดี่ยวอ้างว้าง คอเอียงน้อย ๆ สงสัยเหตุใดชิงช้าไม่ขยับอย่างเคย พยายามแกว่งร่างไปมาโดยไม่เกิดผลอย่างใด

            ...ความน่ากลัวตอนแรก กลับกลายเป็นชวนเวทนาสงสาร...

            แววตาชายหนุ่มจุดประกายอ่อนโยนอย่างไม่เกิดบ่อยนัก มือเสยผมยาวออกเผยใบหน้าขาว คิ้วเข้ม นัยน์ตาเฉี่ยวคมละมุนลง ก่อนคุกเข่าลงจนใบหน้าเสมอกัน

            “น้องมิวครับ” เสียงเรียกอีกครั้ง อ่อนเบาเมตตา

            นัยน์ตาคู่นั้นเริ่มแสดงการรับรู้ เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ทราบว่าชิงช้าถูกดึงไว้ด้วยมือใคร

            “คุณอาปล่อยมือ มิวจะเล่นชิงช้า เล่นชิงช้าสนุกจัง...เล่นชิงช้าสนุกจัง”

            “เลิกเล่นเถอะ มันไม่สนุกแล้วล่ะ”

            “มิวเล่นชิงช้ารอคุณพ่อคุณแม่ ท่านยังไม่มารับ มิวยังเล่นต่อได้อีก”

            “น้องมิวรอพวกท่านนานหรือยัง”

            “ไม่นาน ‘แป๊บเดียว’ เอง”

            ดวงตาชายหนุ่มฉายแววหดหู่ ไม่อยากเอ่ยวาจาสำคัญ...แต่...นี่คืองานที่ตนรับมา

            “มันนานแล้วล่ะ...น้องมิว...ตาย...นานแล้ว”

            เด็กน้อยชะงักงัน แววตาไม่เข้าใจ

            “ตายคืออะไร...มิวยังไม่ตายสักหน่อย”

            “ความตายคือการที่ใคร ๆ มองไม่เห็นเราอีกแล้ว...” พยายามอธิบายให้ ‘ผีเด็ก’ เข้าใจง่ายสุด

            “ไม่จริง มิวยังไม่ตาย คุณอามองเห็นมิว...บางคนที่มาตอนกลางคืนก็มองเห็นมิว...แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขากลัวมิว...ชวนให้มาเล่นด้วยกันก็ไม่มา”

            คำพูดไร้เดียงสาทำให้คนฟังถอนใจเบา ๆ ความอยากช่วยเหลือเพิ่มพูนในใจ พยายามหาวิธีชักจูงใจอื่น

            “คุณพ่อคุณแม่ยังไม่มารับน้องมิว แล้วทำไมน้องมิวไม่คิดจะออกไปหาท่านเองล่ะ”

            วาจาจุดประกายบางอย่างแก่วิญญาณดวงน้อย รอยยิ้มผลิบานคล้ายดอกไม้แย้มกลีบ

            “จริงด้วย คุณอาพามิวไปหาคุณพ่อคุณแม่ได้มั้ย...”

            “น้องมิวต้องออกจากสนามเด็กเล่นนี้ก่อน” ชายหนุ่มกล่าวเลี่ยงโดยไม่กล้ารับปาก

            “มิวไม่กล้าออกไปหรอก ข้างนอกมีคุณลุงน่ากลัวเดินไปเดินมา มิวต้องเล่นซ่อนแอบทุกทีที่คุณลุงคนนั้นมาหา”

            ขุนคีรีเพิ่งเข้าใจ...เหตุใดตนเองต้องรับงานนี้แทน ‘ผู้มีหน้าที่ตัวจริง’

            “คุณลุงอาจไม่น่ากลัวอย่างน้องมิวคิดก็ได้...ลองมองดูสิ ตอนนี้คุณลุงคนนั้นยังอยู่ข้างนอกหรือเปล่า”

            แววลังเลปรากฏในดวงตา ก่อนเจ้าตัวน้อยจะลงจากชิงช้า วิ่งไปเกาะรั้วสนามกวาดตามองออกไปจนทั่ว

            “ไม่มีจริง ๆ ด้วย...คุณลุงน่ากลัวไม่อยู่แล้ว คุณอารีบพามิวไปหาคุณพ่อคุณแม่ที”

            ชายหนุ่มยื่นมือให้วิญญาณดวงน้อย โอกาสเช่นนี้มีไม่บ่อย วิญญาณเด็กน้อยเหมือนตกในความฝัน ความคิด ความต้องการเปลี่ยนไปมารวดเร็ว

            ปลายนิ้ว...คล้าย...เกาะเกี่ยวกันทางความรู้สึก ร่างสูงผอมเพรียวพาร่างน้อยสูงไม่ถึงเอวเดินออกจากสนามเด็กเล่นอย่างปลอดโปร่ง

            ...นับว่าทำงานแรกสำเร็จแล้ว...ทว่า...

            “ไชโย...มิวออกมาได้แล้ว...คุณลุงน่ากลัวไม่อยู่แถวนี้ด้วย คุณอารีบพามิวไปหาคุณพ่อคุณแม่นะครับ”

            น้ำเสียงออดอ้อน เว้าวอนเกินกว่าใครจะทำใจแข็งลงได้

            ขุนคีรีคุกเข่าจ้องดวงตาวิญญาณหนูน้อย

            “คุณพ่อคุณแม่ท่านไม่อยู่บ้านหลังเดิมแล้ว น้องมิวไปกับ...อา...ก่อนได้มั้ย...”

            เขาไม่อยากสร้างความผูกพันกับใคร แต่ความไร้เดียงสา เรื่องราวชวนเวทนาของวิญญาณดวงน้อยสะกิดเมตตาในใจ อยากช่วยเหลือ...อย่างน้อย...ปลอบประโลมด้วยวาจาอ่อนโยนก็ยังดี

            “คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้านเดิมแล้ว...คุณอาจะพามิวไปไหน ไปบ้านหลังใหม่เหรอ”

            “ไม่ใช่...อาจะพาไปหาคุณลุงคนหนึ่ง”

            “ไม่ใช่คุณลุงน่ากลัวคนนั้นนะ”

            “อาไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า แต่รับรองได้ว่าคุณลุงไม่น่ากลัวหรอก”

            “ไม่น่ากลัวแล้วใจดีมั้ย”

            “คุณลุงใจดีกับเด็กดีทุกคน” ไม่เคยคิดว่าต้องพูดแบบนี้กับ ‘ผีเด็ก’

            “ถ้าคุณลุงใจดีจริง ๆ ก็ต้องรอมิวไปหาคุณพ่อคุณแม่ก่อนได้สิ...มิวเป็นเด็กดี...คุณลุงก็ใจดี...งั้นคุณอาพามิวไปบ้านใหม่พ่อแม่ก่อนนะ...นะคุณอา...”

            ขุนคีรีนิ่งอั้นเถียงไม่ออก ไม่รู้ควรหาคำพูดใดหลีกเลี่ยง พยายามกวาดสายตามองรอบ ๆ หวังจะเห็นผู้สั่งงานตนออกมารับวิญญาณเด็กน้อยผู้นี้เสียที

            แค่งานแรกก็ประสบกับเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตัดสินใจลำบากเสียแล้ว เขาอยากปฏิเสธตรง ๆ ว่าไม่รู้ ‘บ้านใหม่’ อยู่ไหน คนแถวนี้ทราบแค่หลังจากลูกชายตาย สองสามีภรรยาไม่อาจทนอยู่บ้านเดิมได้ จึงขายแล้วขนข้าวของย้ายไปแล้ว

            ...แต่...พูดไม่ออก...นัยน์ตาละห้อยจ้องมองเปี่ยมด้วยความหวัง รอยยิ้มน้อย ๆ มอบความไว้วางใจ ปลายนิ้วเกาะเกี่ยวเบา ๆ ก่อให้เกิดความผูกพันสงสารบอกไม่ถูก

            เขาไม่กลัวภูตผี ไม่แปลกใจในสิ่งเหนือธรรมชาติ พยายามปิดกั้นตนเองไม่พูดจาสุงสิงกับใคร เพราะกลัวความความผูกพัน สนิทสนมไว้วางใจเช่นนี้เอง

            สุดท้าย พยักหน้ารับคำทั้งที่ไม่รู้จะพาวิญญาณดวงนี้ไปตามหาพ่อแม่ที่ไหน

            “ไชโย คุณอาใจดีจังเลย มิวจะได้เจอพ่อแม่แล้ว ขอบคุณมากครับ”

            วิญญาณเด็กน้อยยิ้มเต็มที่ราวกับดอกไม้เบ่งบาน ตรงข้ามกับจิตใจชายหนุ่มที่หนักอึ้งเหมือนมีลูกตุ้มถ่วง

            ...จากนี้ควรทำอย่างไร...คำถามบังเกิดในใจ

            คำตอบมาพร้อมกับแสงไฟหน้ารถแท็กซี่คันหนึ่ง ซึ่งขับมาจอดข้างสนามเด็กเล่นอย่างถูกที่ถูกเวลา คนขับเป็นชายกลางคนหน้าตาใจดี ดูหนุ่มกว่าอายุ ลดกระจกลงแล้วชะโงกหน้าถาม

            “ดึกดื่นป่านนี้ไม่กลับบ้านกันเหรอ...ให้ไปส่งที่ ‘บ้านใหม่’ มั้ย”

            สายตาคนขับแท็กซี่มองมายังวิญญาณหนูน้อย ขุนคีรีชะงักหรี่ตาครุ่นคิด ก่อนจูงมือพาเด็กชายขึ้นรถโดยไม่ลังเล



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP