วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๑



way cover





ชลนิล



บทนำ




            เสียงตะโกนโห่ร้องปลุกใจดังกระหึ่มทั่วทุ่งกว้าง แผ่นดินสเทือนลั่นก่อนปรากฏทัพช้าง ทัพม้าศึกจากกองทหารสองฝ่ายเข้าประจันหน้า รุกรบเอาเป็นเอาตาย

            ง้าว ทวนปะทะดังเปรื่องปร่างบนหลังช้าง ดาบปะทะดาบดุเดือดรุนแรง ทหารกองหน้าผู้ไม่กลัวตายดาหน้าต่อสู้จำนวนเป็นร้อย เลือดสาดกระเซ็นอาบใบหญ้าแล้วแดงฉานนองทั่วพื้น ซากศพทับถม กองก่ายเกยราวภูเขาย่อม ๆ

            บนเนินปรากฏร่างสูงใหญ่ผิวสีทองแดงยืนโดดเดี่ยว แต่งกายคลับคล้ายไพร่พลทหารทั่วไป เพียงแต่ดูไม่ออกเป็นพลทหารฝ่ายใด ในมือไม่มีอาวุธ นัยน์ตาโตนิ่งลึกทอดมองสมรภูมิรบด้วยแววสาสมพึงพอใจ

            “ดี...เข่นฆ่ากันให้พอ พวกมนุษย์โง่เง่า...สุดท้ายพวกเอ็งจะรู้ว่าไม่มีผู้ใดได้ชัยเหนือไปกว่าความตาย”

            พลทหารเดินเท้าถือดาบอีกกองหนึ่งแห่ลงมาจากเนินด้านหลัง วิ่งผ่านร่างสูงใหญ่โดยไม่สนใจ...ราวกับแลไม่เห็นกระนั้น



--------------- ------------ --------------



            หวออออ...เสียงหวอเตือนภัยทางอากาศดังลั่นทั่วเมือง ก่อนเครื่องบินทิ้งระเบิดจะหย่อนเจ้าก้อนมฤตยูจากฟากฟ้าลงสู่จุดสำคัญทางทหาร ทว่ามันไม่ได้ตรงเป้าหมายทุกลูก

            ตูม ตูม ตูม ระเบิดดังลั่น พื้นดินสะเทือน เปลวไฟลุกโพลง บ้านเรือนพังยับ ผู้คนวิ่งหนีตายจ้าละหวั่น ปืนต่อสู้อากาศยานยิงตอบโต้ดังปัง ปัง ปัง

            การต่อสู้โดยไม่เห็นหน้ากลับสร้างความเดือดร้อน ผู้คนล้มตายเป็นเบือไม่เลือกหน้าเช่นกัน ศพทหาร ศพชาวบ้านตายเกลื่อนแทบแยกแยะไม่ออก

            ‘เขา’ ยืนบนยอดตึกใกล้จุดทิ้งระเบิด ผิวสีทองแดงเป็นเงาละเลื่อม ดวงตามองสงคราม การต่อสู้ ผู้คนล้มตายด้วยแววตาสมเพช ริมฝีปากขยับพึมพำเบา ๆ

            “ไม่ว่านานแค่ไหน...มนุษย์ก็ยังพอใจการเข่นฆ่า สร้างสงครามความเดือดร้อน สังหารพล่าผลาญชีวิตกันเองโดยไม่เบื่อหน่าย ไม่กลัวบาปกรรม”

            กระแสเสียงลอยหายไปกับสายลม ทั้งร่างค่อยจางกลายเป็นเงาดำ ๆ เคลื่อนลงมารับวิญญาณผู้ตาย ‘บางดวง’ เพื่อนำส่งผู้เป็นนาย

            หากใครมีสายตา ‘พิเศษ’ อาจเห็นเงาดำ ๆ เช่นนี้กระจายเป็นจุด ๆ ทำหน้าที่เคร่งครัดคล้ายกัน...เลือกแค่บางดวงที่พอสงเคราะห์ได้ ไม่แยกว่าเป็นวิญญาณทหารหรือประชาชน



--------------- ------------ --------------



            ถนนกว้างกลางเมืองหลวง

            กลุ่มผู้คน ประชาชน นักศึกษาเดินขบวนเป็นแถวยาวเหยียดตลอดแนว เสียงตะโกนร้องเพลงปลุกใจดังกระหึ่ม มือไขว้จับมือเกาะเกี่ยวเป็นเหมือนข้าวต้มมัดแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งขบวนแนวหน้าพร้อมสู้ไม่ว่าจะเผชิญเภทภัยใด

            เบื้องหน้าเป็นกองกำลังในเครื่องแบบ อาวุธครบหวังหยุดยั้งขบวนผู้คนไม่ให้รุดหน้าก้าวไกลกว่านี้ เสียงตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียงห้ามปรามไม่อาจหยุดคลื่นมหาชน พวกเขาเสมือนกระแสน้ำถาโถมเกินสกัดกั้น ความสับสนวุ่นวายบังเกิดขึ้น ก่อนเสียงกระสุนนัดแรกดังขึ้น

            ...ปัง...

            จากนั้นกระสุนนัดอื่นก็ดังลั่นตามติด ๆ เสมือนความสะกดกลั้นถูกระเบิดกลายเป็นเสียงปืนแตกดังลั่น หลายชีวิตล้มฮวบร่วงพรูราวใบไม้ร่วง คลื่นมหาชนแตกซ่านแต่ยังไม่ยอมหยุด บังเกิดการต่อสู้ชนิดไม่กลัวตายตามมา

            ...ต้องมีอีกกี่ชีวิตหนอ ที่ทอดร่างสังเวยบนถนนสายนี้...

            บนชายคาตึกริมถนน ‘ผู้เฝ้ามอง’ กำลังยืนดูฉากอันโหดร้ายด้วยแววตาหดหู่ ร่างสูงใหญ่ตรงนิ่งเสมือนขุนเขาไม่คลอนแคลน ต่อให้ทราบตนไม่อาจเกี่ยวข้องใด ๆ ก็อดพึมพำมิได้

            “การต่อสู้ระหว่างผู้ปกครอง กับผู้ถูกปกครอง...ไม่ว่าอีกกี่ร้อยปีเหตุการณ์ยังเวียนซ้ำรอยเดิม...ไฉนมนุษย์ไม่รู้จักเรียนรู้ถึงความผิดพลาดเก่ากันบ้าง...”

            แววตาหดหู่ปรากฏชั่วครู่ก่อนจางหาย พร้อมกับร่างรางเลือนกลายเป็นเงาดำเคลื่อนออกไปกระทำตาม ‘หน้าที่’ โดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก



--------------- ------------ --------------



            สนามมวยใต้ดิน

            สถานที่นั้นหลบซ่อนสายตาบุคคลภายนอก ทางเข้าดูรกเรื้อไม่โดดเด่น ภายในกลับมีนักพนันกองเชียร์มากมายอยู่บนอัฒจันทร์เหนือเวที ส่งเสียงตะโกนโห่ร้อง บอกราคาต่อรองกันดังลั่น

            มวยคู่เอกเป็นชายกำยำผิวคล้ำ ใบหน้ามีริ้วรอยบาดแผล เลือดไหลซึมตรงหัวคิ้ว กับชายผิวขาวผอมเพรียว ประเปรียว กล้ามแขนกล้ามท้องสวยงามไร้ไขมันส่วนเกิน ผิวหน้าแดงจากอาการเหน็ดเหนื่อย ผมยาวปรกต้นคอชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฝีเท้าฟุตเวิร์คยังคล่องแคล่ว ออกหมัดเร็วแม่นยำ ดวงตาคมกริบฉับไว หลบหลีกหมัดคู่ต่อสู้อย่างเป็นต่อ

            กองเชียร์ส่งเสียงเฮเป็นระยะ ตามด้วยเสียงตะโกนสอนนักมวยให้หลบซ้ายขวา ปล่อยหมัดแบบไหน ราวกับตนเองเป็นครูมวยชื่อดัง ยิ่งนานราคาต่อรองยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ

            นักมวยใต้ดินทั้งสองชั้นเชิงสูสี หมัดหนักไม่แพ้กัน เพียงแต่คนผิวขาวหนุ่มกว่า คล่องแคล่ว นัยน์ตาคมอ่านเกมการต่อสู้ขาด เดาทางมวยแม่นยำ ทำให้หลบหมัดว่องไว จู่โจมไม่พลาดเป้า

            มุมมืดข้างเสาห่างกลุ่มกองเชียร์นักพนันเล็กน้อย ปรากฏร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งราวกับภูเขาลูกหนึ่ง ผิวพ้นชายเสื้อเป็นสีทองแดง ดวงตานิ่งลึกมีอำนาจ มองการต่อสู้ด้วยแววเหนื่อยหน่าย

            เสียงพึมพำเบา ๆ ที่คนทั้งสนามไม่มีทางได้ยิน

            “ไฉนมนุษย์พอใจได้เห็นความเจ็บปวด พอใจที่จะเสพสุขจากการชมผู้คนต่อสู้กันนักหนา...”

            ‘เขา’ ผ่านวันเวลาแห่งการปฏิบัติ ‘หน้าที่’ แสนนาน เห็นการต่อสู้ฆ่าฟัน ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดของเหล่ามนุษย์มาเนิ่นนาน แรก ๆ ยังรู้สึกสนุกสาสมใจ ต่อมาสลดสังเวช แล้วสมเพชเวทนา ยิ่งนานจิตใจเริ่มชาชิน หมดสนุกสะใจ เหลือแค่หดหู่ เบื่อล้า เป็นสัญญาณบอกว่า ‘เวลา’ ของการเป็นยมทูตใกล้หมดลง

            สายตาจับจ้องนักมวยผิวขาวผู้กำลังเป็นต่อด้วยแววราบเรียบ ไร้ความรู้สึก หูแว่วเสียงจากแดนไกล เจาะจงได้ยินเฉพาะตน พอฟังจบก็ค้อมศีรษะยอมรับ

            “ตกลงขอรับท่านพญามัจจุราช...กระหม่อมจะเลือก ‘เดิมพัน’ ชายคนนี้ตามที่แนะนำ”

            วาจากลืนหายไปกับเสียงโห่ร้องดังสนั่นเมื่อชายผิวขาวชนะเกมต่อสู้...ทว่า...การเดิมพันจริงเพิ่งเริ่มต้น











บทที่ ๑



            สนามเด็กเล่นร้างใต้ปีกรัตติกาล แสงไฟถนนสาดเข้ามาเห็นเครื่องเล่นเก่าผุพัง หญ้าขึ้นรกเรื้อปราศจากการดูแลเอาใจใส่ บรรยากาศเงียบสงัดไม่มีกระทั่งเสียงกรีดปีกแมลงราตรี

            ท่ามกลางความสงบเงียบบังเกิดเสียงเอี๊ยดอาด บางสิ่งเคลื่อนไหวช้า ๆ เป็นจังหวะคล้ายภูตผีหลับใหลกำลังฟื้นตื่นทีละตน

            ชิงช้าเก่าสายโซ่ขึ้นสนิม แผ่นไม้รองนั่งผุกร่อนกำลังแกว่งไกวเนิบช้า อืดอาดทั้งที่ไม่มีใครนั่งเล่น ก่อนหยุดกึกเสมือนมีใครหยุดไว้ เงาจาง ๆ ร่างเล็กบางขึ้นนั่งแล้วเริ่มแกว่งตัวสนุกสนาน

            ร่างบนชิงช้าชัดขึ้น เป็นเด็กชายแต่งกายดี น่ารักแบบลูกคนมีเงินกำลังแกว่งชิงช้าไปมา ดวงหน้าที่ควรกระจ่างใสกลับเขียวคล้ำคล้ายซากศพ ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มดูขัดกับบรรยากาศรอบตัว

            ชิงช้าเหวี่ยงขึ้นสูงและเหวี่ยงกลับรุนแรง จากซ้ายไปขวา จากขวามาซ้าย จากฟากหนึ่งมาอีกฟากหนึ่ง หวังจะพาหนูน้อยบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์

            สุดท้ายไปไม่ถึง มือเล็ก ๆ หลุดจากโซ่ ร่างลอยละลิ่วราวใบไม้แห้งหลุดจากขั้วแล้วตกลงมานอนฟุบกับพื้นรุนแรง เลือดสีแดงข้นไหลจากจมูกปากนองพื้นเป็นวงกว้าง...กว้างขึ้นเรื่อย ๆ

            กลางวงเลือดน่าสะพรึงปรากฏภาพอีกสถานที่หนึ่ง ชวนขนลุกไม่แพ้กัน



            มันเป็นบ้านหลังใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณกว้างขวางเกือบสองไร่ รายล้อมด้วยกำแพงสูงทึบ แผ่บรรยากาศอึมครึมเจือความเหม็นเน่าซากศพ

            มุมกำแพงด้านหนึ่ง ชายกลางคนผมสองสีกำลังขุดหลุมเงียบงัน สีหน้าชาด้าน ดินกองพูนข้างปากหลุมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดหลุมกว้างยาวพอบรรจุร่างคนผู้หนึ่งลงไปไม่ลำบาก

            ห้องรับแขกเปิดไฟดวงเดียวไม่สว่างนัก ตกแต่งเรียบ ๆ ไม่สะดุดตา หลังหลืบบังตาจะเห็นคลินิกส่วนตัว เป็นห้องตรวจมีเตียงคนป่วย ขาหยั่ง อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ครบ

            ลูกค้า ผู้มาใช้บริการต้องติดต่อล่วงหน้า...เป็นความลับบอกใครไม่ได้

            ประตูห้องด้านในเปิดออก หญิงกลางคนสวมเสื้อกาวน์ กับหญิงสาวชุดขาวกำลังช่วยกันอุ้มห่อผ้ายาว ๆ สีขาวพันทบหลายชั้นออกมา ถึงอย่างนั้นยังมองเห็นจุดแดง ๆ ปรากฏเป็นดวงจาง ๆ ด้านล่างผ้าขาวนั้น

            สิ่งของภายใต้ผ้าขาวน่าจะมีน้ำหนักไม่น้อย ทั้งคู่พยายามขนย้ายมันทุลักทุเล

            หญิงสาวชุดขาวรับน้ำหนักด้านหน้าสีหน้าแสดงความหวาดกลัว ดวงตากระสับกระส่ายอย่างคนเพิ่งกระทำความผิดครั้งแรก หญิงกลางคนด้านหลังสงบราบเรียบ ไม่หวั่นวิตกใด อาจเพราะกระทำจนชาชิน

            เดินมาเกือบถึงประตู เหตุไม่คาดฝันบังเกิดขึ้น

            “อุ๊ย!”

            หญิงชุดขาวสะดุดขาตัวเอง พลั้งมือปล่อยสิ่งที่ตนประคองออกมา ผู้อยู่ด้านหลังไม่อาจรับน้ำหนักทั้งหมดต้องปล่อยตาม มือคว้าชายผ้าไว้ตามสัญชาตญาณ

            เมื่อชายผ้าด้านหนึ่งติดมือ ห่อยาว ๆ นั้นจึงม้วนกลิ้งไปตามพื้น ผืนผ้าหลุดลุ่ยเผยสิ่งที่ซ่อนภายในออกมา!

            ศพหญิงสาวร่างเล็กบอบบาง ใบหน้าเผือด ริมฝีปากเริ่มเขียวคล้ำ กลางลำตัวชุ่มไปด้วยเลือด ย้อมผืนผ้าขาวจนแดงฉาน ขนาดห่อหลายชั้นยังซึมผ่านเป็นดวงให้เห็น

            นัยน์ตาเธอเหลือกลาน ไม่อยากเชื่อตนจะจบชีวิตที่คลินิกแห่งนี้...สถานที่เพื่อนำ ‘มารหัวขน’ ออกไป

            ...หลุมขุดริมกำแพงควรฝัง ‘ก้อนเลือด’ ไม่ใช่ร่างไร้วิญญาณของเธอ...

            บุคคลภายนอกไม่อาจรับรู้ เบื้องหลังกำแพงสูงทึบซ่อนความเลวร้าย น่าสะพรึงเพียงใด

            หากใคร ‘หูดี’ อาจได้ยินเสียงทารกน้อยร้องระงม ประสานกับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวผู้คร่ำครวญอับจนหนทาง

            “ไม่...ฉันยังไม่อยากตาย!”



--------------- ------------ --------------



            บรรยากาศรุ่งอรุณสัมผัสผิวกาย จมูกได้กลิ่นยามเช้าคุ้นเคย บัวบุษรายังไม่อยากตื่นจากความฝันแสนสุข

            ในฝัน...เธอสามารถท่องเที่ยวตามใจ มองเห็นโลกกว้างเฉกเช่นคนปกติ ผิดกับยามตื่นซึ่งถูกกักขังในร่างคับแคบไม่อาจไปไหนต่อไหนตามใจ ด้วยมีข้อจำกัดทางสายตา!

            นัยน์ตาเธอได้รับอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน จนถึงบัดนี้ยังไม่สามารถมองเห็นเหมือนเดิมอีกเลย

            หญิงสาวลุกขึ้นทำภารกิจหลังตื่นนอนโดยไม่ต้องมีคนช่วยเหลือ ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นาน สามารถจดจำทุกสิ่งภายในห้องนอน ห้องน้ำแม่นยำ เพราะคนในบ้านจะไม่แตะต้องเคลื่อนย้ายข้าวของส่วนตัวจากจุดเดิมเด็ดขาด

            แต่งกายเรียบร้อย นั่งเก้าอี้ริมหน้าต่างไม่นาน เสียง ‘ประจำวัน’ ก็ดังมาจากถนนหน้าบ้าน

            เสียงฝีเท้าวิ่งจังหวะสม่ำเสมอกำลังผ่านหน้าบ้านราวกับเป็นนาฬิกาบอกเวลาชั้นดี คนนั้นวิ่งออกกำลังกายผ่านหน้าบ้านเวลานี้เกือบสองปี กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ต้องรอคอยไปแล้ว

            วันนี้เขาชะลอฝีเท้าน้อย ๆ คล้ายตั้งใจยืดระยะเวลา เรียกรอยยิ้มบาง ๆ แตะบนใบหน้านวลใส

            บัวบุษราได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมานานโดยไม่สนใจว่าเป็นใคร ไม่คิดสืบเสาะ ไม่เคยบอกให้พ่อหรือพี่สาวช่วยสังเกตแทนว่าคนนั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร อาจเพราะทุกครั้งที่ได้ยินจิตใจบังเกิดความอบอุ่นปลอดภัยโดยไม่มีเหตุผล

            ต่อให้ไม่เห็นหน้า ไม่เคยได้ยินเสียงอื่น หัวใจก็รู้สึกว่า ‘คนนั้น’ กำลังปกป้อง เฝ้าดูแลไม่ห่าง

            ...มันอาจเป็นความคิดเพ้อเจ้อ เธอก็อยากเชื่อความรู้สึกตัวเอง...

            ขยับตัวจะลงจากชั้นสองไปห้องข้างล่าง กลิ่นผิดปกติบางอย่างลอยกระทบทำให้ชะงัก มือควานหาต้นตอจนสัมผัสดอกไม้กลีบบางนุ่มมือ พอทราบว่าเป็นดอกลั่นทม ร่างกายชะงักสะดุ้งวาบตกใจในแวบแรก

            เมื่อคนในครอบครัวไม่กล้าเคลื่อนย้ายข้าวของ ย่อมไม่มีทางนำดอกไม้ หรือสิ่งอื่นมาวางไว้โดยไม่บอกล่วงหน้า หนำซ้ำ หากมันอยู่ตรงนั้นแต่แรก เธอต้องได้กลิ่นตั้งแต่ตื่นนอน ไม่ใช่เพิ่งรู้สึกตอนกำลังออกจากห้อง

            ...ลั่นทมดอกนี้ ปรากฏในห้องอย่างไร...

            เสียงในฝันย้อนทวนกลับมาในความทรงจำ

            “ดอกลั่นทม...มนุษย์บางคนคิดว่าเป็นตัวแทนเรื่องเศร้าโศก หรือความตาย...เธอคิดอย่างนั้นไหม”

            หญิงสาวจดจำใบหน้าผู้ถามไม่ได้ รู้สึกแค่เขาตัวสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ผิวกายมีสีทองแดง คล้ายแผ่ไอร้อนบาง ๆ ออกมา

            “ไม่ค่ะ...บัวเห็นว่าดอกไม้ก็คือดอกไม้...ผู้คนต่างหากที่คิดปรุงแต่งแต้มสีสันดีร้าย ให้คุณค่าหรือวาดภาพน่ากลัวกับมันเอง”

            เธอพูดคุยกันเองสนิทสนม ด้วยบุคคลนี้เป็นเหมือนไกด์นิรนาม ปรากฏตัวในฝันพาท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ จนไม่อยากลืมตาตื่น

            “เธอคิดได้อย่างนั้นก็ดี...แล้วยังอยากออกมาเที่ยวแบบนี้อีกมั้ย”

            “อยากสิคะ แหม...ชีวิตจริงบัวออกมาเที่ยวดูอะไรโน้นนี่ได้เสียที่ไหน”

            ตอบอย่างนั้น...ในใจรู้สึกแปลบ ๆ หล่อนอยากมองเห็นเหมือนก่อน แม้แค่ในฝันก็ยังดี

            “ถ้าเธออยากออกมาเที่ยวอย่างนี้อีก ก็ต้องช่วยงานฉันด้วย”

            “งานอะไรคะ”

            “ตอนนี้ยังไม่ต้องรู้หรอก...บอกมาแค่จะรับปากช่วยหรือไม่ก็พอ”

            หากเป็นชีวิตจริง บัวบุษราคงสงสัย คิดหนัก ไม่กล้ารับปากง่าย ๆ

            “ได้ค่ะ บัวรับปาก”

            ...แต่...นี่คือโลกความฝัน การตัดสินใจจึงง่ายดาย

            “ดี...เช่นนั้นเมื่อตื่นขึ้นมา เธอจะได้การตอบรับจากฉันเช่นกัน”

            ดอกลั่นทมในมือกำลังแห้งเหี่ยว ร่วงโรยรวดเร็ว ราวกับบอกว่า...การตอบรับจากโลกความฝันไม่อาจแสดงตัวในโลกความจริงเนิ่นนานนัก

            บัวบุษราควรหวั่นเกรงหวาดกลัวต่อเรื่องประหลาดที่กำลังประสบ หรือไม่ก็ลงไปไถ่ถามพ่อ พี่สาวว่าใครนำดอกลั่นทมมาวางบนโต๊ะ ทว่า...มีแค่รอยยิ้มติดริมฝีปากบาง ๆ

            การสูญเสียดวงตา การมองเห็นเมื่อสองปีก่อนนับเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต กว่าจะผ่านวันเวลาเลวร้ายจนยอมรับความจริงได้ใช้เวลาเกือบปี และใช้เวลาอีกเป็นปีกว่าจะปรับตัวใช้ชีวิตใกล้เคียงกับคำว่า ‘ปกติ’ เช่นวันนี้

            คนที่สามารถผ่านวันเวลาโหดร้ายเหล่านั้นได้จิตใจต้องเข้มแข็ง มีครอบครัวพร้อมสนับสนุนช่วยเหลือโดยไม่ดูถูกศักยภาพกัน

            บัวบุษราผ่านเรื่องร้ายขนาดนั้น เรื่องแปลกประหลาดน่ากลัวอื่นใด ไม่น่าหนักกว่านี้อีกแล้ว หนำซ้ำอาจสนุกตื่นเต้น เป็นประสบการณ์ซึ่งคนทั่วไปยากพบเจอง่าย ๆ...มีอะไรให้กลัว



--------------- ------------ --------------



            ชุมชนชานเมืองแห่งนี้กว้างใหญ่ อยู่ติดถนนหลักซูเปอร์ไฮเวย์สามารถเดินทางออกต่างจังหวัดหรือเข้ากรุงเทพฯ สะดวกรวดเร็ว ด้านในมีหมู่บ้านจัดสรรหลายแห่งเก่าใหม่คละเคล้าปะปน สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนดั้งเดิมได้โดยไม่เคยมีเรื่องขัดแย้ง

            สนามเด็กเล่นร้างอยู่หน้าสโมสรเก่าของหมู่บ้านจัดสรรซึ่งปิดทำการหลายปี ผู้คนในหมู่บ้านพยายามหลีกเลี่ยงไม่เดินผ่านโดยเฉพาะเวลาค่ำคืน

            ขุนคีรี...ชายหนุ่มร่างสูงผอมเพรียวอยู่ในชุดวิ่ง สวมเสื้อผ้าร่มตลบฮู้ดคลุมศีรษะ เห็นแค่ใบหน้าขาว คิ้วเข้ม นัยน์ตาคมเฉี่ยวทอประกายหม่นบาง ๆ

            การวิ่งออกกำลังกายยามเช้าเป็นกิจวัตรกระทำต่อเนื่อง ใช้เส้นทางเดิมทุกวันไม่เคยเปลี่ยน จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนค่อยยอมออกนอกเส้นทางเพื่อตามหาสนามเด็กเล่นแห่งนี้

            ความฝันชวนสะพรึงเรียกร้องให้ตามหา สืบเสาะประวัติจนทราบ...มันมีที่มาอย่างไร

            เขาเคยผ่านสนามแห่งนี้บ้าง ไม่เคยสนใจ ไม่รู้สึกผิดปกติอย่างใด ทว่ายามนี้ความรู้สึกผิดแผกจากเดิม

            ภายในสนามแผ่คลื่นความอ้างว้าง เหงาหงอยคล้ายเด็กน้อยเกาะรั้วยืนรอพ่อแม่มารับเนิ่นนาน ความเดียวดายแฝงหวาดกลัวลึก ๆ จนผู้สัมผัสเกิดเมตตาสงสาร

            ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ก้าวผ่านกอหญ้ารก ๆ ไปถึงชิงช้าเก่าผุพัง หรี่ตามองหวังจะได้เห็นร่างน้อยแกว่งไกวเฉกเช่นในฝัน

            เด็กชายตัวน้อยไม่ปรากฏ ชิงช้านิ่งสนิท รอบกายเงียบงัน เสียงหนึ่งกระซิบในใจ

            มาถูกที่...แต่...ยังไม่ถึงเวลา!

            ลมหายใจถูกระบายอีกครั้ง เรื่องราวได้ยินมาบอกว่า เคยมีเด็กผู้ชายตกชิงช้าคอหักตายเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พ่อแม่ให้แกนั่งรอในสนาม ส่วนตัวเองเข้าไปทำธุระในสโมสรซึ่งกำลังมีงานเลี้ยง

            อาจด้วยความซุกซน บ้าพลัง ไม่มีผู้ใหญ่ดูแล คนอื่นในสนามเด็กเล่นสนใจแค่ลูกหลานตัวเอง พ่อหนูน้อยจึงตกชิงช้าเสียชีวิต พ่อแม่พาไปส่งโรงพยาบาลไม่ทัน หลังจากนั้นสนามเด็กเล่นถูกปิด ผู้คนเดินผ่านยามค่ำคืนมักได้ยินเสียงหัวเราะใส ๆ เยือกเย็น ชิงช้าแกว่งเองโดยไม่มีใครเล่น

            หนักสุดคือพอมีคนขับรถผ่านตอนตีสองตีสาม พบร่างเด็กชายยืนเกาะรั้วสนามกวักมือเรียก พร้อมเสียงก้องในหัวชวนขนลุก

            “คุณอาครับ...มาเล่นด้วยกันมั้ย...เล่นชิงช้าสนุ๊กสนุก...ตกตุ้บมาก็ไม่เจ็บเลย...”

            หลังจากนั้นแทบไม่มียวดยานคันใดกล้าขับผ่านสนามเด็กเล่นยามค่ำคืนอีกเลย



            สนามเด็กเล่นตอนกลางวันไม่ชวนขนลุกน่ากลัวเท่าตอนกลางคืน ชายหนุ่มก้มลงใช้ปลายนิ้วสัมผัสแผ่นไม้รองนั่ง รับรู้กระแสความเหงาหงอยขลาดกลัวเบาบาง

            เสียงเดิมกระซิบถามในหัว

            เมื่อพิสูจน์ถึงที่แล้ว...ตกลงรับเงื่อนไขหรือไม่

            ขุนคีรีไม่ตอบ หันหลังเดินออกจากสนามเด็กเล่นโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเริ่มออกวิ่งไม่สนใจกับสายตาบางคู่ที่จ้องมองจากสนามเด็กเล่นไร้ผู้คนแห่งนั้น



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP