สารส่องใจ Enlightenment

ส่งเสริมบุญญาบารมี (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒




พวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่เสียชาติที่ได้เกิดในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนา
อันเป็นศาสนาที่เลิศตามความเป็นจริง
ไม่ใช่เลิศด้วยความสรรเสริญเยินยอโดยหาความจริงไม่ได้
พระพุทธเจ้าก่อนที่จะเป็นศาสดาเอกในโลก
พระองค์ก็ทรงประพฤติปฏิบัติค้นคว้าอยู่เป็นเวลาหกปี
ในระยะหกปีที่เสด็จออกจากความเป็นกษัตริย์ไปสู่ความเป็นคนขอทานนั้น
ก็ไม่ผิดอะไรกับคนที่ตกจากสวรรค์ลงไปนรก
เพราะฐานะแห่งความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
กับฐานะแห่งความเป็นคนขอทานในขณะที่ทรงผนวชอยู่นั้น
รู้สึกว่าผิดกันอยู่มากราวกับว่าเป็นคนละโลก
จึงเทียบกันได้ว่าเหมือนเราตกจากสวรรค์แล้วลงไปตกนรกนั้นเอง



พระองค์ทรงค้นคว้าด้วยความทุกข์ความลำบากอยู่เป็นเวลาหกปี
ในขณะที่ทรงบำเพ็ญด้วยความทุกข์ทรมานพระองค์อยู่นั้น
ไม่เป็นความลำบากลำบนเฉพาะการฝึกฝนอบรมหักห้าม
หรือต่อสู้กับกิเลสทั้งหลายเพียงเท่านั้น
พระอาการทุกส่วนแห่งพระสรีระของพระองค์ที่เคยเป็นกษัตริย์
ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมากเกี่ยวกับสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง
เช่น ปัจจัยสี่ เครื่องนุ่งห่มอาศัย อาหารการบริโภค ที่อยู่ ตลอดถึงหยูกยา
เป็นสิ่งที่ลำบากขาดแคลนด้วยกันทั้งนั้น
ภายในจิตก็ต้องต่อสู้กับกิเลสซึ่งเคยเป็นข้าศึกต่อธรรมมาแต่กาลไหนๆ ไม่ลดละ
ทางพระกายก็ทรงลำบากทรมานมากจนสลบไปถึงสามครั้ง
ถ้าไม่ฟื้นก็เรียกว่าตาย คือไม่พ้นตาย
แต่นี่ก็ทรงฟื้นกลับมาได้ถึงสามหนจึงได้ตรัสรู้ธรรม



คำว่าตรัสรู้ธรรมนั้น หมายถึงรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย
ทั้งภายนอกภายในใจของพระองค์เอง
กิเลสตัณหาอาสวะทุกประเภทบรรดาที่รุมล้อมอยู่ภายในจิตใจ
และบีบคั้นจิตใจพระองค์อยู่ตลอดมานั้น
ก็ทรงรู้แจ้งเห็นชัดและถอดถอนทำลายกันลงได้โดยไม่เหลือเลย
เพราะพระปัญญาฉลาดสามารถแหลมคมของพระองค์นั้นเอง
เมื่อกิเลสซึ่งเป็นสิ่งต่ำทรามทั้งหลายได้หลุดลอยออกไปจากพระทัยโดยสิ้นเชิงแล้ว
ใจดวงนั้นจึงกลายเป็นธรรมทั้งดวงขึ้นมา



เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงรู้ทั้งกิเลส
ซึ่งเป็นสิ่งพอกพูนหัวใจและนำความทุกข์มาให้อยู่ตลอดมา
และรู้ทั้งธรรมอันเลิศประเสริฐสุดภายในพระทัย
ที่ระหว่างใจกับธรรมได้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วนั้น
ปัญหาทั้งมวลที่เคยพาให้เกิดแก่เจ็บตายมาโดยลำดับจนกระทั่งชาติปัจจุบัน
และกิเลสทั้งมวลที่เคยเสียดแทงจิตใจของพระองค์เรื่อยมานั้น
ได้สำเร็จเสร็จสิ้นลงไปไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลยภายในพระทัย
พระองค์จึงทรงรู้แจ้งทั้งอรรถทั้งธรรมอันเป็นของเลิศโลกของประเสริฐเหนือโลก
และรู้แจ้งทั้งกิเลสตัณหาอาสวะด้วยความเห็นโทษอย่างถึงใจและละได้เด็ดขาด



เมื่อเป็นเช่นนั้นการนำทั้งเรื่องดีเรื่องชั่ว ที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้วมาสั่งสอนสัตว์โลก
จึงทรงสั่งสอนด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงไม่สะทกสะท้าน
ภายในก็ทรงรอบรู้ตลอดทั่วถึงภายนอกก็ทรงรู้รอบขอบชิด
ดังในพระคุณของพระองค์ที่เราทั้งหลายได้สวดอยู่เสมอว่า โลกวิทู
ทรงรู้แจ้งโลก ก็หมายถึงทั้งโลกนอกโลกใน รู้ตลอดทั่วถึงนั่นเอง
โลกนอกกว้างแคบขนาดไหนก็รู้
นรกภายนอก นรกภายใน อันเป็นสื่อที่จะให้พาไปนรกภายนอก พระองค์ก็รู้
สวรรค์ภายใน สวรรค์ภายนอก
คือสวรรค์ภายในที่จะให้เป็นสื่อทางก้าวเข้าสู่สวรรค์ภายนอก พระองค์ก็รู้
พรหมโลกภายในที่เป็นพื้นฐานให้ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งพรหมโลกภายนอก พระองค์ก็รู้
นิพพานในขันธ์ พระองค์ก็รู้ นิพพานนอกขันธ์เวลาขันธ์สลายลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว พระองค์ก็รู้
จึงเรียกว่า รู้แจ้งโลก คือโลกแห่งขันธ์ก็รู้ โลกภายนอกก็รู้
สภาพทั่วๆ ไปพระองค์ทรงรู้แจ้งแทงตลอดไม่มีอันใดปิดบังที่เป็นแง่ให้สงสัย



เพราะฉะนั้น การประกาศธรรมสั่งสอนโลก
จึงประกาศได้อย่างถนัดชัดเจนเต็มพระทัย ไม่มีความสะทกสะท้าน
เพราะได้เห็นแล้วรู้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้นำมาแสดง
จึงไม่แสดงด้วยอาการด้นเดา คาดคะเนไปต่างๆ นานาเหมือนดังโลกทั่วๆ ไป
นี้แหละธรรม จึงจัดว่าเป็น สวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุมทุกขั้นของธรรม



เราได้อุบัติเกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา
คือคำสั่งสอนพร้อมด้วยเหตุและผล อันเป็นแนวทางให้ไปถึงผลอันดีที่พึงหวัง
จึงชื่อว่าเราเป็นผู้มีวาสนาอยู่แล้วเวลานี้
เป็นเพียงเราจะส่งเสริมเพิ่มเติมวาสนาบารมีของเราด้วยวิธีการต่างๆ
ให้เป็นตัวบุญพูนผลขึ้นมา เป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจของเรา
ให้ได้ก้าวพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับจนถึงวิมุตติหลุดพ้นเท่านั้น
ส่วนวาสนาของเรามีอยู่แล้ว มีอยู่ด้วยกันทุกคน เป็นแต่เพียงว่ามากน้อยต่างกัน
เหมือนดั่งตาน้ำที่อยู่ลึกบ้างตื้นบ้าง
ผู้บรรลุธรรมได้รวดเร็ว เช่น สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา ทั้งปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็ว
นั่นก็เหมือนกับตาน้ำอยู่ตื้นๆ ขุดลงไปไม่ลึกนักก็เจอตาน้ำแล้ว
และที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้นก็มี สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ปฏิบัติสะดวกแต่รู้ได้ช้านั้นก็มี
ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ทั้งปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้าอย่างนั้นก็มี
ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็วอย่างนั้นก็มี
มีอยู่ในจิตใจของเรานี้แหละ
ปฏิปทาทั้งสี่นี้ไม่นอกเหนือไปจากจิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมเลย
จงอย่าคิดไปที่อื่นๆ จะผิดจากหลักธรรมอันถูกต้องแม่นยำ



จะเป็นประเภทใดก็ตามในสี่ประเภทนี้
เป็นเรื่องของเราที่จะส่งเสริมเพิ่มเติมบุญญาบารมีของเรา
เหมือนกันกับเขาขุดบ่อ ไม่ถึงน้ำไม่ถอย
จะอยู่ตื้นหรืออยู่ลึกก็เป็นเรื่องของเราจะขุดให้ถึงน้ำ นาของเรา สวนของเรา
จะทำยากทำง่ายเราจำเป็นต้องทำเพราะความจำเป็นบังคับ
จะไปทำนาทำไร่ทำสวนของคนอื่นที่เขาทำได้ง่ายๆ เขาไถง่ายๆ ได้ผลมากๆ ก็เป็นไปไม่ได้
เพราะไม่ใช่สมบัติของเรา ไม่ใช่นาไม่ใช่สวนของเรา
นิสัยวาสนาของคนก็เช่นกัน จะลึกตื้นหยาบละเอียดก็เป็นบุญวาสนาของเราที่จะสั่งสมอบรม
เพื่อพอกพูนคุณงามความดีด้วยความเพียรพยายามของเราเอง เพื่อถึงจุดหมายปลายทาง



พระพุทธเจ้าผู้เป็นสรณะของพวกเรา
ท่านไม่เคยย่อท้ออ่อนแอต่อหน้าที่การงานและกิเลสประเภทใดๆ ทั้งสิ้น
ปราบให้เรียบด้วยความเพียรพยายาม
ด้วยความอดความทน ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์
พระองค์ทรงบำเพ็ญตามพระนิสัยวาสนาบารมีของพระองค์เอง
ไม่ทรงไปยึดเอาพระนิสัยวาสนาบารมีของพระพุทธเจ้าองค์ใด
ที่ทรงบำเพ็ญและตรัสรู้เร็วหรือช้ามาดำเนิน
ความตรัสรู้เร็วหรือช้าเป็นไปตามพระนิสัยวาสนาของแต่ละพระองค์



เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตก็ควรยึดธรรมบทว่า
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
มาดำเนิน
ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์มาจากทางไกล
สละทั้งหน้าที่การงานเวล่ำเวลา แม้ชีวิตก็ยอมสละได้ในขณะที่มา
ก็แสดงให้เห็นว่าน้ำใจของเรานั้นเป็นน้ำใจของศิษย์ตถาคต
คือมุ่งผลประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
การแสวงบุญการทำบุญเป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับผู้ไม่มีอุปนิสัย
แต่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและคล่องตัวสำหรับผู้มีอุปนิสัยมีจิตใจรักใคร่ในอรรถในธรรมของศาสดา
เราก็อยู่ในข่ายแห่งความเป็นผู้มีนิสัยวาสนาอยู่แล้ว
จึงอุตส่าห์พยายามมาและบำเพ็ญด้วยความพอใจเลื่อมใสศรัทธาเรื่อยมา



(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา https://bit.ly/368fw9m


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP