ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรอกุศลธรรมจึงจะไม่เกิด



ถาม – ขอวิธีป้องกันไม่ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้นด้วยค่ะ


อกุศลธรรม อย่างหนึ่งที่เราต้องตั้งไว้ในใจนะครับ
มันไม่เกิดไม่ได้นะ จิตของเราสวิง (
swing) ง่าย
ระหว่างความเป็นกุศลกับความเป็นอกุศล เฉียดกันนิดเดียว
เอาแค่เราเจออากาศร้อน ร้อนอยู่สักชั่วโมงหนึ่ง
แล้วไม่ได้ห้องแอร์ ไม่ได้ความเคยชินแบบเย็นๆ ที่เราเคยได้มา
แค่นี้อกุศลธรรมเกิดแล้ว เกิดความหงุดหงิด เกิดความรู้สึกว่าทำไมมันร้อนนัก
ทำไมมันไม่เย็นลงซะที อากาศบ้านเราทำไมมันแย่กว่าบ้านเมืองอื่น
ทั้งๆ ที่จริงๆ บ้านเมืองอื่นมีที่เขาหนักกว่าเราเยอะนะ
ความรู้สึกอะไรที่มันจริงบ้างไม่จริงบ้างจะผุดขึ้นเต็มหัวไปหมดนะครับ
แล้วก็ส่วนใหญ่ก็จะโทษโน่นโทษนี่ โทษเทวดาฟ้าดิน โทษโลก โทษนักการเมือง
โทษคนรวยๆ ที่แข่งกันผลิตของด้วยโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซขึ้นอากาศ อะไรต่างๆ
คือมันมีความคิดที่ปนออกมากับโทสะได้สารพัด ได้หลากหลาย แล้วก็ไม่จำกัด



ตัวโทสะเป็นอกุศลธรรมที่ใกล้กับเรามากที่สุดเลย แล้วมันเกิดบ่อยนะ
โอกาสที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นเลยนี่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นตั้งโจทย์ใหม่
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนนะว่าจงกลั้นไว้ไม่ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้นเลย
แต่ท่านจะแนะนำว่าพิจารณาว่าอกุศลธรรมใดเกิดขึ้น
มีทางไหนที่จะทำให้บรรเทาเบาบางลง
หรือมีทางไหนด้วยเหตุอันใด จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกนะ
แต่ท่านจะไม่มาตรัสในสิ่งที่ทำไม่ได้จริงนะ
ประเภทที่ว่าจงอย่าเกิดขึ้นอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมใดๆ
ทีนี้พอมีมุมมองที่ชัดเจนนะครับ ว่าอกุศลธรรมอย่างไรก็ต้องเกิด
ทีนี้ทำอย่างไร ตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรจะแปรให้อกุศลธรรมนั้น
มันเปลี่ยนเป็นกุศลธรรมหรือเป็นมหากุศลเลยได้
ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นของนักเจริญสตินะครับ

ถ้าหากว่าต่อให้เราไม่ได้มุ่งหวังจะเจริญสติเพื่อเอามรรคผลนิพพาน
แต่เราก็สามารถที่จะได้ประโยชน์จากการเจริญสติ
ในแง่ของการแปรอกุศลธรรม ให้กลายเป็นกุศลหรือมหากุศลได้นะครับ



จุดที่เราต้องมองก็คือ มีความเข้าใจที่ตรงกับกลไกการทำงานของธรรมชาติ
คือเมื่อใดก็ตาม อกุศลจิตหรือว่าอกุศลธรรมเกิดขึ้นมา แล้วมีสติรู้ว่านั่นเป็นอกุศล
ตัวสตินั้น โดยตัวของตัวสติเองจะทำให้จิตแปรเป็นมหากุศลอยู่แล้ว
อันนี้ย้ำอีกทีนะ ทำความเข้าใจนะ อกุศลธรรมป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นเลยไม่ได้
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว แล้วมีสติประกอบ รู้ว่าอกุศลธรรมเกิดขึ้น
วินาทีนั้น นาทีนั้น อกุศลธรรมจะเป็นเครื่องส่งของกุศลธรรมขึ้นมาทันที



มันทำงานอย่างนี้นะ สมมติว่าเราเจออากาศร้อนแบบเดิม แบบเดียวกัน
เดิมเราจะเอาแต่บ่นไปเรื่อยๆ บ่นอยู่ในใจ หงุดหงิดอยู่ในใจ
ว่าเมื่อไหร่จะหายร้อน หรือเมื่อไหร่จะได้เข้าร่ม
เมื่อไหร่จะได้เข้าห้องเย็น เข้าห้องแอร์ แล้วก็หงุดหงิดโลก หงุดหงิดผู้คน
เปลี่ยนเป็นว่ามีสติรู้ว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่ ณ จุดที่เกิดความหงุดหงิด
การหายใจเข้าหรือหายใจออกนั้น มันหายใจเอาความทุกข์หรือความสุขเข้ามา

แน่นอนตอนที่กำลังหงุดหงิดอยู่ ย่อมหายใจเอาความทุกข์เข้ามาแน่ๆ
ถ้าคำตอบจากผู้มีสติตรงความจริง
หรือตอนที่เรากำลังนั่งอยู่ นั่งอยู่ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
เรารู้ว่าอิริยาบถนั่งนี้เป็นอิริยาบถแห่งความทุกข์ อิริยาบถแห่งความกระสับกระส่าย
เพราะถ้าหากว่าเป็นอิริยาบถแห่งความสุข ย่อมต้องสงบระงับ ไม่กวัดแกว่ง



โดยการตั้งข้อสังเกตอยู่อย่างนี้ มันได้สติขึ้นมาอย่างไร
มันได้สติขึ้นมา ตรงที่เราจะรู้ว่าอาการกระสับกระส่ายก็ดี
หรือว่าอาการร้อนรนหงุดหงิดในใจก็ดี
แต่ละลมหายใจมันไม่เท่าเดิม ถ้ามันเท่าเดิมแปลว่ามันเป็นตัวเราจริงๆ
แต่ถ้าหากว่าอะไรก็แล้วแต่แสดงความไม่เท่าเดิม
แสดงความคลี่คลาย กลายเป็นอื่นให้เห็น แสดงการล่วงลับดับไปให้รู้
อันนั้นพระพุทธเจ้าให้ถือเป็นเกณฑ์ตัดสินว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
นั่นเป็นเพียงภาวะอะไรอย่างหนึ่งที่ประกอบขึ้นมา
ก่อตัวขึ้นมา แล้วก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา


สำคัญคือพอเราเริ่มมามีความรับรู้ว่าอกุศลธรรมไม่เที่ยง
ครั้งแรกๆ จะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ไม่เกิดความต่างอะไรกับชีวิตเลย
เพราะจิตมันยังหลงเหมือนเดิมว่ามีตัวเราที่เป็นผู้โมโห มีตัวเราที่เป็นผู้หงุดหงิด
แต่พอรู้ไปตามแนวทางนี้ว่าโทสะไม่เที่ยง แต่ละลมหายใจไม่เท่าเดิม
รู้ไปเรื่อยๆ รู้ไปหลายๆ ครั้ง ชีวิตมันจะเริ่มยกระดับมาจากภายใน

เห็นเลยว่าจิตนี่ในทันทีที่รู้ว่าโกรธ รู้ว่าหงุดหงิด รู้ว่ามีความเป็นอกุศลขึ้นมา
มันจะมีความชอบใจที่จะได้เห็นความไม่เที่ยงซ้ำอีก
รอบแรกเห็นมาแล้ว เออ มันไม่เที่ยงจริงๆ
รอบสอง เออ ดูสิ เราจะดูมันโดยความเป็นของไม่เที่ยงได้ไหม



พวกที่ดูไม่ได้นะครับคือไปดูตัวโทสะตรงๆ ดูเฉยๆ โดยไม่มีเครื่องช่วย
ถ้าศึกษาอานาปานสติมาดี แล้วก็มีเครื่องช่วย
เป็นการระลึกถึงว่าที่ลมหายใจนี้ เราโมโหแค่นี้
ลมหายใจต่อมาเราโมโหน้อยลง หรือว่ามากขึ้น
เห็นไปๆ จนกระทั่งในที่สุดมันจับจุดถูก
ว่าเมื่อใดก็ตามอกุศลธรรมเกิดขึ้นในจิต เมื่อใดก็ตามอกุศลธรรมกำลังห่อหุ้มจิต
ให้ระลึกถึงว่าที่ลมหายใจนี้ มันมีความหนาแน่นแค่ไหน อกุศลธรรมดังกล่าว
แล้วก็ลมหายใจต่อๆ มา มันเบาบางหรือต่างไปเพียงใด
ด้วยอาการระลึกอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งเกิดความชำนาญ
มันจะเห็นทุกครั้งว่าโทสะไม่เที่ยงจริงๆ ด้วย
อกุศลธรรมไม่เหมือนเดิมจริงๆ ด้วย ต่างไปเรื่อยๆ จริงๆ ด้วย

ตัวที่มีสติรู้ว่าไม่เหมือนตัวเดิมจริงๆ ด้วยนั่นแหละ
ที่จะทำให้ตัวตนมันค่อยๆ ห่าง ค่อยๆ หาย ค่อยๆ เบาบางลง



ก็สรุปนะครับ วิธีป้องกันอกุศลธรรมไม่ให้เกิด
เป็นไปไม่ได้นะ อย่างไรก็ต้องเกิด
แต่เกิดขึ้นแล้วเรารับมืออย่างไร ทำให้เกิดสติขึ้นมา
แล้วก็เห็นความไม่เที่ยงของอกุศลได้อย่างไร

ตรงนั้นถึงเป็นโจทย์ที่แท้จริงนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP