ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

จะปล่อยวางความเศร้าเพราะสูญเสียสัตว์เลี้ยงแสนรักได้อย่างไร



ถาม – สุนัขที่ดิฉันรักเหมือนลูกป่วยหนักและเพิ่งเสียไป
โดยตลอดเวลาที่เขาป่วย ดิฉันได้ดูแลและรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด
ช่วงไม่กี่วันก่อนที่สุนัขจะเสีย ดิฉันก็คิดขึ้นมาได้ว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้เพิ่งเคยตายครั้งแรก
เขาต้องเคยตายมาแล้วหลายครั้ง แล้วก็เห็นจิตของตัวเองที่เข้าไปยึดว่าเขาเป็นของเรา
แล้วก็ถามตัวเองว่ายึดอะไร ในเมื่อตัวเรายังไม่ได้เป็นของเราเลย
ตอนนั้นก็เลยเหมือนกับตั้งมั่นขึ้นมา แต่พอสุนัขเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ ก็รู้สึกอาลัยมาก
ดิฉันพยายามดูสภาวะที่เกิดขึ้น ไม่ทราบว่าควรพิจารณาอย่างไรจึงจะถูกต้องคะ



มันก็มีเป็นขั้นเป็นตอนมา อย่างเวลาที่เราคิดได้ว่าเขาไม่ได้ตายครั้งแรก
เขาตายมาแล้วหลายครั้ง เราแค่มาอยู่ในการตายครั้งนี้ของเขาอีกครั้งหนึ่ง
แล้วเราก็เกิดความเศร้า เกิดความโศกสลดเสียใจว่าเขาจะไม่ใช่ของของเราแล้ว
อันนี้มันก็เป็นการเรียนรู้ มันก็เป็นบทเรียนทางความรู้สึกชนิดหนึ่ง
ทีนี้ อย่างพอเราคิดได้ว่าเขาไม่ได้ตายครั้งนี้ครั้งแรก
เขาตายของเขาอยู่แล้ว จะต้องอีกหลายครั้ง

แล้วที่ย้อนหลังมาก็ไม่รู้อีกกี่ล้านครั้งที่เขาเคยตายมาแล้ว
แล้วเราเกิดความรู้สึกว่าเราเลิกเสียใจได้ อันนี้เรียกว่าเป็นการคิดได้


ซึ่งการคิดได้มันจะอยู่กับเราพักหนึ่ง
มันจะทำให้จิตของเรามีความรู้สึกว่าเป็นอิสระจากการยึดเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
ไม่ใช่เจ้าของชีวิต ไม่ใช่เจ้าของหมา ไม่ใช่เจ้าของสิ่งที่มันจะต้องเป็นไปตามกรรม
มันจะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสังขาร
นี่เรียกว่าเป็นการทำใจได้ด้วยความคิดที่แยบคาย
ด้วยความคิดที่มันกระแทกใจ แล้วกระแทกความยึดติดถือมั่น ออกไปได้ชั่วคราว
พอมันตายจริง แล้วก็ย้อนไปนึกถึงแล้วเกิดความอาลัยอาวรณ์
อันนี้มันเป็นคนละจังหวะ เป็นคนละเวลากันแล้วนะ
ตอนก่อนหน้ามันตาย เราคิดได้ เราทำใจได้
แต่ตอนหลังมันตายจริงๆ จิตมีความปรุงแต่งขึ้นมาอีกแบบ คือนึกถึงวันคืนที่เคยมีมันอยู่
หรือบางทีไม่ต้องนึกถึง อยู่ๆ ความอาลัย มันก็กลับมาครอบงำจิตได้เอง
ตรงนี้ไม่ได้ผิดอะไร มันเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติที่จะต้องเกิดขึ้น



วาระก่อนตายกับวาระหลังตาย จิตของเราถูกปรุงแต่งด้วยปรากฏการณ์ที่ต่างกัน
ภาวะก่อนตายนี่ ยังเห็นอยู่นะ
เสร็จแล้ว เราก็นึกว่าเดี๋ยวมันจะต้องตาย ช่างมัน เราทำใจได้
นี่เรียกว่าเป็นภาวะปรุงแต่งแบบหนึ่ง
กับภาวะหลังตาย คราวนี้ไม่มีร่างกายเหลืออยู่แล้วจริงๆ นะ
มันไม่มีอะไรที่เป็นร่องรอยที่บอกความมีชีวิตแบบเดิมแล้วจริงๆ
มันก็เป็นการปรุงแต่งจิตอีกรูปแบบหนึ่ง
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตอีกแบบหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งเราก็ได้รู้ว่าจิตของเรายังถูกปรุงแต่งในแบบที่ทำให้อาลัยอาวรณ์ได้นะ
ถูกห่อหุ้มด้วยความยึดติดเหนียวแน่นได้
เราก็รู้ไป ยอมรับว่ามันยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่



ความยึดมั่นถือมั่นของจิต ไม่ใช่อะไรที่เรานึกว่าทำได้แล้ว คิดได้แล้ว แล้วปล่อยได้แล้ว
แล้วมันจะปล่อยได้จริงๆ
ไม่อย่างนั้น ไม่ต้องมีระดับโสดาบัน สกทาคา อนาคา ไปถึงพระอรหันต์
พระอรหันต์เท่านั้นที่ตัดเยื่อตัดใยจากความเป็นภาวะขันธ์ ๕ นี้ ได้จริงๆ
นอกนั้นยังตัดไม่ได้ แล้วตัดไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับไป
ทีนี้พอยอมรับว่ามันมีความอาลัยอาวรณ์
อย่าไปดูว่านี่เราทำมาผิดหรือเปล่า เราปล่อยวางไม่จริงหรือเปล่า
เรายอมรับว่าจิตของเรายังมีเยื่อใย ยังมีความผูกพัน
ยังมีความสามารถที่จะเศร้าโศกได้ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
การตายของคนใดคนหนึ่งหรือสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งที่เรารัก
มันคือเครื่องชี้ว่าใจของเรายังสามารถเป็นทุกข์ได้กับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ถ้าทุกข์กับความตายของสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งได้
นั่นแสดงว่าเรายังพร้อมที่จะได้เกิดเอง เกิดใหม่ด้วยตัวเองอีก มันยังยึดติดอยู่กับภพ
เราก็รู้ แค่รู้และยอมรับ แล้วก็ฝึกต่อ อย่างที่เราเคยฝึกๆ มา
จนกว่ามันจะยอมรับได้ทีละลมหายใจ ยอมรับได้ทีละนาที ทีละชั่วโมง
ว่ากายนี้ใจนี้ มันไม่ใช่ของเราจริงๆ มันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ จนกระทั่งมันขาดนะ



จะได้ธรรมะ จะได้อะไรแค่ไหนก็ตามให้ถือเป็นอุปาทานทั้งหมด
ผมเคยเขียนไว้ครั้งหนึ่งนะ ต่อให้เป็นพระอนาคามีก็ให้นึกว่ายังอุปาทานอยู่
ยังอุปาทานไปว่าเราเป็นอนาคามี
อันนี้พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้จริงๆ นะ
ถ้าเธอยังมีตัวตนอยู่ ยังมีมานะ ยังมีอัตตามานะ
ตราบนั้นเธอยังต้องศึกษา ยังเป็นพระเสขะอยู่ ต้องมีกิจที่ต้องทำต่อ
ต่อเมื่อจิตมันพรากออกมาจากความเป็นขันธ์แล้วจริงๆ เป็นพระอรหันต์แล้ว
นั่นถึงจะถือว่าเป็นพระอเสขะ การเป็นพระอเสขะก็คือไม่มีเยื่อใยแล้วจริงๆ



นอกนั้นจะทำมาได้แค่ไหน จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมขึ้นกับจิตอย่างไรก็ตาม
บอกว่าเป็นอุปาทาน เป็นหนึ่งในอุปาทาน อุปาทานว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่
แม้แต่พระอริยเจ้า ท่านก็มีอุปาทานของท่านว่าท่านเป็นพระโสดา พระสกทาคา พระอนาคา
แต่พระอรหันต์ท่านจะไม่รู้สึกว่าท่านเป็นอะไรเลยนะ
มันเป็นเรื่องของขันธ์ ๕ ท่านไม่ได้เป็นอะไรมาตั้งแต่แรก
แล้ว ณ เวลาที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่ได้เป็นอะไรต่อด้วย
หลังจากซากของความเป็นอรหันต์ คือกายของอรหันต์ได้ดับลง แตกลง หยุดลมหายใจแล้ว
ก็ไม่ได้มีใครที่มาสืบต่อความเป็นอรหันต์นั้น ไม่มี ไม่มีใครตั้งแต่แรก แล้วไม่มีใครตายนะ


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP