ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

จะอธิบายเรื่องการทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ให้คนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้เข้าใจได้อย่างไร



ถาม – ผมได้เคยสนทนากับผู้ใหญ่และเพื่อนๆ เกี่ยวกับเรื่องการทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
ตัวผมเองเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมแต่คนรอบข้างเขาไม่เชื่อเรื่องนี้
บางคนบอกว่าคนที่ทำชั่วก็เห็นยังเสวยสุขอยู่ ไม่เห็นจะได้รับผลอะไรเลย
ผมได้แต่บอกว่าต้องรอเวลาที่กรรมจะให้ผล แต่ว่าก็อธิบายต่อไม่ได้ครับ
อยากได้คำแนะนำจากคุณดังตฤณ ว่าจะพูดให้พวกเขาเข้าใจได้อย่างไร



คือเรื่องของเส้นทางความดีความชั่ว แล้วการเสวยผลดีเสวยผลชั่ว
มันเป็นเรื่องเดียวเลย มันเป็นเรื่องหลัก เรื่องสำคัญที่สุดเลย
ที่ทำให้คนเราติดอยู่กับความไม่เชื่อเรื่องของกฎแห่งกรรม
เรื่องของกรรมและวิบาก เรื่องของการที่จะต้องไปรับผลสิ่งที่ได้เคยทำไว้นะ
ถ้าสมมติว่าเราไปเตะใครให้เจ็บ เตะใครให้ล้ม แล้วมีคนมาเตะเราล้มทันทีทุกครั้ง
อย่างนี้ทุกคนจะเชื่อว่าวิบากของกรรมมีจริง
แต่เนื่องจากว่าถ้าเราไปเตะใครล้มนะ เรามักจะมีกำลังมากกว่าเขา แล้วเขาสู้ไม่ได้
หรืออีกนานเลย หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยนะที่จะมีใครมาเตะเราล้ม
มันอาจจะทั้งชีวิตนี่ไม่มีใครมาเตะเราเลย แล้วเราไม่เคยล้มจากการโดนใครเตะเลย
มันก็เลยเชื่อยากว่ากฎแห่งกรรมมีจริง หรือผลที่เราไปทำกับคนอื่น เราจะต้องได้รับ
นี่คือหนึ่งชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่มันสั้น อายุไม่ถึงร้อยปี



ทีนี้เวลาพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่เรื่องยากนะ
สอนแต่เรื่องยากที่จะเห็นตาม สอนแต่เรื่องยากที่จะเชื่อ
คือเรื่องของวิบากกรรม มันไปให้ผลจริงๆ ตอนที่เราตายไปแล้ว
ไปปรากฏเป็นอีกร่างหนึ่ง ปรากฏเป็นอีกภพหนึ่งภูมิหนึ่ง
ที่มันแตกต่างไปจากความเป็นมนุษย์
ไปได้รับผลลัพธ์ที่เราทำไว้เป็นประจำมาตลอดนะ
ซึ่งอันนั้นท่านเรียกว่าเป็นการที่เราใช้ชีวิตหนึ่งสะสมกองบุญและกองบาป
กองบุญนี่ทุกคนต้องเคยสะสมไว้ กองบาปทุกคนก็ต้องเคยพลาดที่จะทำ
ทีนี้พอมันต้องไปตัดสินเอาตรงที่ตายไปแล้ว
มันเลยยาก มันเลยเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถเชื่อได้


ทีนี้นอกจากเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนเกี่ยวกับวิบากของกรรมแบบข้ามภาพข้ามชาติ
ยังมีเรื่องยากไปกว่านั้นอีก คือเรื่องของการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
คือถ้าไม่เชื่อกันแล้วว่ามันมีการเวียนว่ายตายเกิด
มันมีการเวียนวนอยู่กับความทุกข์ของความไม่รู้
ว่าจะต้องเกิดแก่เจ็บตายไปเรื่อยๆ ตามกรรม มันก็จะไม่มีการหาทางออก
แต่ถ้ารู้ว่าพวกเราในร่างนี้ ในสภาวะแบบนี้ เป็นแค่ผลลัพธ์ของกรรมมาจากอดีต
แล้วก็จะต้องไปเสวยผลแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ อย่างนี้อีกไปเรื่อยๆ
เสี่ยงบุญเสี่ยงบาปไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าหากจบการเสี่ยงบุญเสี่ยงบาป เข้าถึงนิพพานเสียได้
มันถึงจะได้พบกับบรมสุขของการออกจากสังสารวัฏอันเป็นโทษ



นี่เห็นไหม พระพุทธเจ้านะ พุทธศาสนาสอนเรื่องยาก สอนเรื่องลึกลับ
ที่มันเป็นแก่น ที่มันเป็นจุดที่มันเป็นเป้าหมายจริงๆ ของพุทธศาสนา
มันต้องเล่นกันที่ความเชื่อ ซึ่งความเชื่อนี่เราเอามาโชว์ที่ต้นทางไม่ได้
ว่าสุดท้ายมันเป็นของจริงหรือเปล่า ทั้งเรื่องของชาติหน้า ทั้งเรื่องของนิพพาน
มันพิสูจน์ไม่ได้ด้วยต้นทางที่เราเอาไปบอกใครเขา
อย่างเวลาเราจะคุยกับผู้ใหญ่ แล้วบอกว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่วิบากกรรมของเขาจะมาถึง
หรือว่าเขาจะต้องได้รับผลเอาตอนนี้ มันมองไม่ได้
แล้วตรงนี้ ถ้าเราไปตามเกมเขานะ
เราไปอยู่กับข้อจำกัดของมนุษย์ที่มันไม่สามารถรู้เห็นได้
มันก็จะคุยกันได้แค่เรื่องจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
แล้วคนส่วนใหญ่ มนุษย์ส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคไอที
แนวโน้มคือมันจะไม่อยากเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข้ออ้างที่เป็นรูปธรรม
บอกว่าเห็นไหมนักการเมือง นักธุรกิจ หรือว่าพ่อค้าอะไรต่างๆ นะ
มันโกงมันกินกันตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ยิ่งโกงมันยิ่งมี มันพิสูจน์ได้ชัดๆ
หน้าตามันยังดูเหมือนกับเป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตาในสังคม มันมีแต่ดีกับดี
แล้วจะไปพูดได้อย่างไรว่าวิบากกรรมมีจริง



เวลาที่เราจะคุยกันเรื่องของใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือว่าวิบากกรรมมีจริง
เราไม่สามารถที่จะไปพูดกันตรงไปตรงมากับคนที่เขาพร้อมจะไม่เชื่อ
อย่าไปพูดกับคนที่เขามองว่าเห็นไหมทำชั่ว มันได้ดีมีถมไป ไม่มีประโยชน์
แต่จะมีประโยชน์ถ้าหากว่าเราดึงเขามา หาเกมใหม่
เกมที่เขาไม่ค่อยชำนาญในการเล่น ไม่ค่อยจะคิดกันเท่าไหร่
นั่นก็คือว่าโรคทางใจของคนยุคปัจจุบัน ที่มันไม่เชื่ออะไรมากกว่าเรื่องเงิน
มันมากกว่าคนยุคไหนๆ เลย มากกว่าคนยุคก่อนที่เขามีเวลาทำอะไร
งานอดิเรกแบบเรื่อยเปื่อย ไม่ต้องไปเร่งรีบ ไม่ต้องไปเร่งรัดหาเงินหาทอง
หรือใจไม่ได้ผูกอยู่กับเงินมากขนาดนี้



เรื่องโรคทางใจ จะเป็นโรคเครียดก็ตาม จะเป็นโรคนอนไม่หลับก็ตาม
จะเป็นโรคคิดมาก ขี้วิตก ขี้ระแวง ขี้กังวลก็ตาม
ข้อสังเกตก็คือคนที่ยิ่งมี ยิ่งมีทรัพย์สินมากขึ้นเท่าไหร่
ยิ่งมีความร่ำรวยจากการกอบโกย จากการไปเอารัดเอาเปรียบคนอื่นเขามา มันยิ่งมาก
พอเราพูดเรื่องโรคทางใจ เราไม่พูดคำว่าวิบากกรรมนะ
เราพูดเรื่องโรคทางใจ อันเป็นผลลัพธ์มาจากการเอาแต่คิดเรื่องเงิน
เอาแต่คิดเรื่องทำชั่วแล้วได้ดี มันมีมากกว่าคนยุคอื่นๆ
หรือมีมากกว่าคนที่เขายากจน คนที่เขาได้ดีทางใจ
แต่อาจไม่ใช่ดีทางวัตถุ เงินทอง ทรัพย์สิน บ้านช่องหรือว่ารถรา



การตั้งข้อสังเกต การเปลี่ยนโจทย์ใหม่ มันเหมือนกับเราตั้งกฎกติกาเกมใหม่ขึ้นมา
แล้วถ้าเขายังไม่เคยเล่น ยังไม่เคยชินกับการเอาชนะด้วยเกมแบบนี้มาก่อน
เราจะมีช่องทางที่จะชนะใจเขาได้
ชนะใจนะ ไม่ใช่ไปชนะแบบ ข้าคือผู้ชนะ แกคือผู้แพ้นะ ชนะใจนะ
เกมที่เราจะชนะใจเขาได้ คือเกมที่เขาคิดไม่ถึงหรือไม่ติดอยู่กับการเล่นแบบนั้นๆ
อย่างถ้าจะให้เขาเชื่อว่าการปล่อยใจฟุ้งซ่านแบบขาดสติ
มันทำให้เกิดโรคทางใจขึ้นมา เช่น โรคเพ้อเจ้อ
หรือการที่เขาไม่เชื่อเรื่องความดี แล้วพร้อมจะทำอะไรที่ชั่วร้าย
หรือเอารัดเอาเปรียบกับใครเขาก็ได้
เรายกตัวอย่างคนที่เรารู้จักหรือเรารู้เห็น ว่ามันมีความเศร้าหมอง
มีความรู้สึกใจไม่ดี มีความรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ที่มันเกิดขึ้นเป็นผลลัพธ์


พูดง่ายๆ นะ ถ้าเราอยากจะให้เขาเชื่อในแบบพุทธ
อย่าไปเถียงในสิ่งที่เอาหลักฐานมาพิสูจน์กันไม่ได้
หรือเราไม่สามารถจะจูงเขาไปในจุดที่เราถึงแล้ว อย่าไปเล่นเกมแบบนั้น
ให้เล่นเกมในแบบที่มันจะต้องยอมรับกันด้วยใจของเขาเองที่เขาประสบมาแล้ว
เราลองสังเกตเขาว่าเขามีปัญหาทางใจแบบไหน หรือว่ามีความทุกข์อะไรที่แก้ไม่ตก
ถ้าเราไม่เจอ ถ้าเราไม่รู้จักเขามากพอ แนะนำให้เงียบเสีย
อย่าไปเถียงกับคนพวกนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย



แต่ถ้าเรารู้ ถ้าเราพอจะจับจุดเขาถูก รู้ว่าจุดอ่อนทางใจทางอารมณ์ของเขาอยู่ตรงไหน
แล้วเรายกขึ้นมา โดยอาศัยการเปรียบเทียบกับคนอื่น
โดยอาศัยการที่เรายกตัวอย่างคนที่เรารู้จักคนอื่นมา
บอกว่ารู้จักคนเป็นโรคเครียด รู้จักคนเป็นโรคเหม่อลอย รู้จักคนเป็นโรคซึมเศร้า
ซึ่งมาจากสาเหตุคือความไม่รู้จะเชื่ออะไร ไม่รู้จะใช้ชีวิตให้มันรู้สึกดีได้อย่างไร
แบบนั้นมันจะได้จุดสรุปของการสนทนา ซึ่งมันจะค่อยๆ พาเขามาในทางธรรมะมากขึ้น
ดีกว่าจะไปพยายามให้เขาเชื่อในสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้นะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP