สารส่องใจ Enlightenment

แก้วอัศจรรย์สามดวง (ตอนที่ ๔)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส
วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่
๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๖



แก้วอัศจรรย์สามดวง (ตอนที่ ๑) (คลิก)
แก้วอัศจรรย์สามดวง (ตอนที่ ๒) (คลิก)
แก้วอัศจรรย์สามดวง (ตอนที่ ๓) (คลิก)



นี่ท่านทั้งหลายได้มาถวายทาน ทานนี้เป็นผลบุญของท่านทั้งหลายเอง
วัตถุไทยทานนี้เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ขวนขวายมาด้วยศรัทธาของตนทุกๆ ท่าน
เวลาถวายแล้วอันนี้เป็นวัตถุหยาบ
เป็นสาเหตุที่ให้เกิดขึ้นซึ่งคุณสมบัติอันละเอียดได้แก่บุญ ยื่นอันนี้ออกมาให้ทาน
ส่วนละเอียดคือบุญกุศลย้อนเข้ามาสู่ใจของเราผู้ทำ
เพราะนี้เป็นต้นเหตุคือผู้ทำ ผลก็ต้องเข้ามาที่ตรงนี้ไม่ไปที่อื่น



วัตถุทานเหล่านี้ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพาน
ให้แล้วท่านก็ใช้สอยไป และมีความชำรุดทรุดโทรมและสลายไปตามเรื่อง
วัตถุไทยทานเหล่านี้ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพาน
ใจของท่านผู้เป็นบุญ ผู้ให้ผู้เสียสละนั้นแลจะไปสวรรค์นิพพาน
ให้พากันจำไว้นะ อันนี้เป็นวัตถุต้นเหตุที่จะให้บุญกุศลเข้าสู่ใจ
ใจเป็นนามธรรม เป็นของละเอียดมาก ไม่มีอะไรจะรู้ได้นอกจากธรรม
ใจนี้แหละเป็นสิ่งละเอียดมาก บุญก็เป็นของละเอียดเหมือนกัน เป็นคู่ควรกัน
เวลาสิ่งเหล่านี้สลาย ร่างกายแตก ใจจึงไม่แตก บุญจึงไม่แตก
บุญกับใจไม่ตายจึงไปด้วยกัน นี่แหละท่านว่าไปสวรรค์
ใจกับบุญนี้ต่างหากเป็นผู้ไป ไม่ใช่วัตถุทานเหล่านี้ไป
บุญที่ท่านทั้งหลายสละทานลงไปนั้นแล
จะพาท่านทั้งหลายไปสวรรค์และไปนิพพาน พากันจำไว้



เช่นวัตถุเครื่องก่อสร้างนี่ คนนั้นมีศรัทธา คนนี้มีศรัทธาช่วยกันสร้าง
ศาลานี้ก็เป็นศาลา วัดเป็นวัด ศาลาและวัดไม่ได้สนใจจะไปสวรรค์นิพพาน
แต่ผู้ทำต่างหากจะไป บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนี้
สะท้อนย้อนกลับเข้ามาสู่ใจซึ่งเป็นคู่ควรของกันกับบุญนั้น
อันนี้แหละเป็นเครื่องพยุงใจและพาไปสวรรค์นิพพาน



ใจไม่เคยตาย ไม่เคยมีป่าช้า พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างแม่นยำ
ไม่มีใครจะสอนถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า
จึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว
คำว่าชอบก็คือไม่มีผิด ตั้งแต่พื้นๆ แห่งธรรมจนถึงวิมุตติพระนิพพานไม่มีผิดเลย
จึงเรียกว่าตรัสชอบ สัตว์ตายแล้วเกิดนี่คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนเอง
อะไรพาให้เกิด ก็สิ่งที่ละเอียดเหมือนจิตนั่นแหละควบคุมจิต เป็นเชื้อของจิตที่พาให้เกิด
ท่านแสดงไว้ในหลักธรรมว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั่นแหละเชื้อเพาะสัตว์ทั้งหลายให้เกิด
วิบากได้แก่ดีชั่วเป็นเครื่องพยุงและเครื่องกดถ่วงใจสัตว์
ให้ไปเกิดในสถานที่สูงต่ำ ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะอำนาจแห่งบาปและบุญ ท่านเรียกว่าวิบาก
อันนี้ไม่ตายไปด้วยร่างกาย แต่เป็นวิบากดี-ชั่วติดแนบไปกับจิต



ใจเป็นของไม่ตาย อันพวกหูหนวกตาบอดกิเลสมันหลอกคนว่าตายแล้วสูญๆ
รู้ไหมกิเลสมันหลอกคน ธรรมพระพุทธเจ้าปราบกิเลสเรียบหมด
เห็นกลมายาหลอกลวงของกิเลสทุกอย่าง
แล้วจึงเปิดเผยความลามกของกิเลสออกมาให้พวกเรารู้
กิเลสมันว่าตายแล้วสูญ แต่ตัวกิเลสเองไม่ได้สูญนี่น่ะ
กิเลสมันนั่งนอนอยู่บนหัวใจสัตว์โลกอย่างสบาย
ประกาศหลอกสัตว์โลกว่าตายแล้วสูญๆ
คือสัตว์โลกเมื่อตายไปแล้วก็สูญสิ้นมิได้เกิดอีก
ก็เมื่อดวงใจที่กิเลสยึดเอาเป็นที่อยู่อาศัยได้สูญสิ้นไปแล้ว กิเลสจะไม่พังไม่สูญไปด้วยหรือ
ตรงนี้เป็นตรงหมัดเด็ดตีหัวกิเลส มันจึงไม่บอกเคล็ดลับของมันให้พวกเราทราบ
จึงหลงกลของมันเรื่อยมา เมื่อกิเลสตายไปหมดแล้วไม่มีใครมาค้านแหละ



เรื่องของกิเลสพระพุทธเจ้าเห็นหมด พวกเราถูกกิเลสครอบหัวอยู่อย่างนี้
และถูกหลอกประจำจิตว่า ตายแล้วสูญๆ บาปไม่มี บุญไม่มีๆ
ผู้นั้นละผู้สร้างบาปมากที่สุด คลังแห่งบาป กองรับเหมาบาปก็คือผู้นั้นแหละ
ผู้ว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี ตายแล้วสูญ
นั้นแลผู้รับเหมาบาปมากกว่าใครๆ ในโลกันตมนุษย์
ผู้นั้นแหละจะไปเจอแต่บาปทั้งนั้น
ผู้ว่าบาปไม่มีนั้นแลจะเผาหัวใจผู้ว่าบาป-บุญ นรก สวรรค์ นิพพานไม่มีนั้นแหละ
เพราะกิเลสหลอกให้เชื่อมันต่างหากไม่ใช่ความจริง
ความจริงก็ดังพระพุทธเจ้าผู้ทรงโลกวิทูแสดงไว้แล้วนั่นแล
ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี
และทรงประกาศว่ากิเลสเอาหัวใจสัตว์โลกเป็นที่อยู่อาศัย เป็นเครื่องมือของมัน



ความจริงคือตายแล้วเกิด นี่คือความจริง
บุญมี บาปมี นรกมี สวรรค์มี คือความจริง

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มาตรัสรู้นี้ไม่เคยมีองค์ใด
เป็นล้านๆ องค์มาตรัสรู้ในแดนมนุษย์เรานี้
ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าองค์ใดคัดค้านกันว่า บาป-บุญ นรก สวรรค์เป็นต้นไม่มี
เพราะเห็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกันปฏิเสธกันได้ยังไง



เช่นท่านทั้งหลายจำนวนมากมานั่งอยู่เวลานี้ หลวงตาบัวพูดคุยอะไรกับท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายทั้งเห็นหลวงตาบัวด้วย ทั้งได้ยินได้ฟังหลวงตาบัวพูดด้วย
แล้วท่านทั้งหลายจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าไม่ได้มาวัดป่าบ้านตาดด้วย
ไม่ได้ถวายวัตถุไทยทานนี้ด้วย ไม่ได้ฟังเทศนาว่าการของหลวงตาบัวด้วย
ไม่พบเห็นหลวงตาบัวด้วย ปฏิเสธได้ลงคอละหรือ
เมื่อมาเห็นด้วยกันและได้ยินได้ฟังเรื่องต่างๆ ด้วยกันแล้ว
ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด เพราะไม่มีอะไรจะปฏิเสธกันได้
นี่เราก็เห็นชัดๆ แล้วว่า ไม่มีใครคัดค้านกันเลยว่าไม่ได้มาวัดนี้ และไม่ได้ถวายทานเป็นต้น
ดังกล่าวมาแล้วนี้ ทุกคนต้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน ยอมรับสภาพความจริงด้วยกัน



ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ธรรมก็เหมือนกัน
อันนั้นก็รู้ อันนี้ก็รู้ รู้เหมือนกัน เห็นเหมือนกัน นำมาพูดแบบเดียวกันหมด
กิเลสที่เคยปิดหัวใจมนุษย์มันก็พูดแบบเดียวกันหมด นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี
มันครอบหัวใจดวงไหนมันก็ต้องหลอก ต้องโกหกแบบเดียวกันหมด
เพราะพวกนี้พวกปลอม พวกหลอกลวงต้มตุ๋น
มันอยู่ได้ ครองอำนาจได้ด้วยการโกหกหลอกลวง
มันจำต้องหลอกลวงเพื่อความอยู่รอดของมัน ขืนบอกตามความเป็นจริงมันต้องจม
ธรรมะเป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ กิเลสเป็นของปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์
เดินสวนทางกันอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา มันคอยลบล้างกันอยู่เสมอ
ไม่ลบล้างที่ไหนแหละมันลบล้างที่หัวใจเรานั่นแล
พวกเราดูนะจะว่าหลวงตาบัวไม่บอกขอฝากคำนี้ไว้
เพราะกิเลสมันอยู่ที่หัวใจเรา แม้ธรรมก็เกิดที่หัวใจเรา อยู่ที่หัวใจเราเช่นเดียวกัน
จะบอกอุบายของกิเลสลบล้างธรรมในหัวใจเรา



เช่น เวลาจะไปวัดไปวาฟังธรรมจำศีลจะนั่งภาวนา
กิเลสมันจะหักแข้งหักขาเจ็บปวดไปหมดละ อวัยวะปกติดีๆ อยู่ก็เจ็บ
เจ็บแข้งเจ็บขาปวดหูปวดตาเป็นไปหมด เจ็บท้องปวดศีรษะเป็นไปหมดนั่นแหละ
กิเลสมันตีเอาๆ มันไม่อยากให้ออกจากเงื้อมมือของมัน
ถ้าเราจะออกไปหาศีลหาธรรมคือจะออกจากอำนาจของมัน มันจะกีดจะขวางทันทีเลย
ดีไม่ดียังถูกมันขู่เอาด้วยว่าไปทำไม ไปวัดได้ประโยชน์อะไร ได้ประโยชน์อะไร
ไปฟังธรรมะน่ะเสียเวลาและสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ
ไปฟังเพลงดีกว่า ได้สนุกสนานรื่นเริง ได้หัวเราะลั่นกันอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนเงินทองหมดไป ใจเสียไป คนเสียไปมันไม่บอก มันหลอกอย่างนั้น
และเคยหลอกมานานเท่าไรแล้วเราก็ไม่เข็ดไม่จำ



ไม่มีใครจะรื้อความชั่วของมันขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจนได้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า
ยิ่งกว่าพระสงฆ์สาวกท่าน ยิ่งกว่าท่านผู้มีใจบริสุทธิ์
ถ้าผู้บริสุทธิ์นับแต่พระอรหันต์ขึ้นไปถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้วแจ้งชัดหมด
กลมายาของกิเลสจะหลอกท่านไม่ได้เลย ท่านรู้หมด
ท่านเหล่านี้แหละเป็นผู้เปิดความชั่วกลมายาชั่วของกิเลสออกมาให้เราทั้งหลายได้ดู
ส่วนกิเลสอย่าเข้าใจว่ามันจะเปิดความชั่วของมันให้ดู มีแต่มันจะหลอกเราตลอดเวลา
ให้จำเอาไว้นะจะว่าหลวงตาบัวไม่บอกไม่แนะ เวลาไปเจอดีกับกิเลส



เป็นไงหลวงตาบัวดุไหม ใครๆ ทั่วแดนไทยว่าแต่หลวงตาบัวดุๆ
พระที่มาอยู่วัดนี้ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกก็มี
มาอยู่นี่ทำไม หูหนวกตาบอดหรือจึงไม่ทราบว่าหลวงตาบัวดุ
คนนอกกำแพงวัดนี้เขายังรู้ว่าหลวงตาบัวดุๆ พระเหล่านี้หูหนวกตาบอดหรือ
พระข้าราชการก็มี พระที่เคยเป็นปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกก็มี
ทำไมไม่หนีไปกับเขาล่ะ ถ้าว่าหลวงตาบัวดุจริง
ก็เห็นมีแต่พระเก่าๆ เต็มอยู่นี้ แม้ไล่หนีก็คงไม่หนีจะว่าไง
แต่เราไม่ได้ขับไล่ท่านเพราะท่านไม่มีความผิดนี่
มันเป็นยังไงพระเหล่านี้ เวลาอยู่นอกกำแพงวัดท่านก็ฉลาด
แต่พอมาอยู่ในกำแพงวัดป่าบ้านตาดแล้วจึงพากันโง่ไปตามๆ กันหมด
ทั้งนี้คงเป็นเพราะอาจารย์พาโง่ ลูกศิษย์ก็เลยโง่ไปตามๆ กัน
พระเหล่านี้แต่ก่อนที่อยู่นอกกำแพงวัดท่านฉลาดทั้งนั้น
พอก้าวเข้ามาในกำแพงวัดป่าบ้านตาดแล้วเลยโง่กันไปหมด
เพราะหลวงตาบัวพาโง่ ว่าไง ฟังเอานะเอาไปพิจารณา



เอาละเหนื่อยแล้ว ก็ดุ ดุไม่โกรธจะเป็นไรไป ทำท่าเฉยๆ ก็ทำได้
ดูแต่ท่านทั้งหลายดุลูก ทำท่าดุลูกเจ้าของ ทำท่าเฆี่ยนตีลูกเจ้าของ
อื๊อๆ เงื้อมือสูงจรดเมฆโน่น เวลาตีลูกดังแป๊ะแค่นี้ก็ยังทำได้วะ
ทำไมหลวงตาบัวทำไม่ได้ หลวงตาบัวมาจากคนทำไมจะทำไม่ได้ คนทำได้
หลวงตาบัวมาจากคน แม้มาบวชเป็นพระ ก็คือหลวงตาบัวมาจากคนนั่นแล
ทำไมจะทำไม่ได้ พิจารณาดูซิ ทำได้ทั้งนั้นแหละ
คิดดู กิเลส กลมายามันละเอียดสุขุมยิ่งกว่านี้ยังรู้มันและต่อสู้มันได้
นี่ก็เรื่องธรรมดาๆ ทำไมจะพูดกันไม่ได้มนุษย์เรา
ชาวพุทธแท้ๆ ซึ่งมีใจเป็นอรรถเป็นธรรมอยู่แล้ว
ต้องพูดได้ ฟังได้อย่างสะดวกสบายกว่าสมาคมใดๆ ในโลก



เอาละพอเท่านี้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก พระธรรมเทศนา “แก้วอัศจรรย์สามดวง” ใน ศาสนธรรมปลุกคนให้ตื่น
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP