ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะเจริญมรณสติได้ถูกต้อง



ถาม – ดิฉันได้ฝึกเจริญมรณสติ แล้วพบว่าถ้าตัวเองจะต้องตายตอนนี้
ก็รู้สึกเหมือนตัวเองพร้อมแล้ว ไม่มีห่วงอะไร
แต่พอคิดถึงความตายของคุณแม่ กลับไม่อยากยอมรับ
แล้วก็เกิดความกังวลมากๆ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้คะ



ตอบคำถามเลยนะ อย่างที่คุณที่เล่ามา
เขาเรียกว่าเป็นการเตรียมตัวตายหรือว่าเจริญมรณสติด้วยจินตนาการ
ด้วยการใช้การนึกคิด การนึกภาพความตาย
ทีนี้การอาศัยจินตภาพในการเจริญมรณสติ
มันไม่ทำให้เราได้เห็นภาพความตายขึ้นมาจริงๆ ว่าความตายเป็นอย่างไร
แต่มันจะช่วยให้เราได้เตรียมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราซักซ้อมทุกคืนนะ
แค่ใช้จินตภาพแบบนี้มันก็ได้ผลระดับหนึ่งแล้ว
คือเวลาที่มันจะเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ มันจะถึงเวลาจวนอยู่จวนไปจริงๆ
มันจะรู้สึกว่าเราเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาแล้วนะ



คือด้วยจินตภาพในหัวของเรา มันจะแฟลชแบ็ก (Flashback) ในแบบที่ว่า
เออ เราเตรียมมาแล้วนะ เรามีทุนรอนอะไรบางอย่างที่จะเอามาใช้ในเวลานี้แล้วนะ
ประเด็นคือ อย่างที่คุณบอก เวลาที่เรานึกถึงตัวเองเหมือนจะไม่ห่วง
แต่พอนึกถึงคุณแม่หรือบุคคลอันเป็นที่รัก มันกลับห่วงขึ้นมา
นี่แสดงให้เห็น มันสะท้อนให้เห็นว่าการใช้เพียงจินตภาพ
บางทีเรานึกว่าตัวของเราเองนี่ไม่เป็นไร
แต่พอจะเอาของจริงที่มันมีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นก่อน
อย่างเช่นบุคคลอันเป็นที่รัก บุพการีอย่างนี้นะ มันรู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว
เหมือนกับปกติ ตอนที่เรานึกขึ้นมาไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เป็นอะไร
คุณพ่อคุณแม่เป็นที่รัก เป็นที่รักที่สุดในชีวิต
แค่นึกว่าวันหนึ่งเราจะต้องไปงานศพท่านหรือว่าจะจัดงานศพให้ท่าน
โอ้โห รู้สึกเหมือนใจจะแหลกสลาย แล้วความที่เป็นทุกข์มาก ใจเหมือนจะแหลกสลาย
ก็เป็นเหตุให้มีการสั่งสอนกันมาว่าอย่าไปคิดถึงความตาย
การคิดถึงความตายเป็นอัปมงคล การคิดว่าพ่อแม่จะตายถือว่าแช่งพ่อแม่
เป็นเรื่องอกุศล เป็นเรื่องบาป เป็นเรื่องไม่ดี อย่าทำ


ทั้งๆ ที่สมัยพุทธกาล สอนกันแบบว่าพ่อแม่แทบจะสอนลูกตามพระพุทธเจ้ากันเลยนะ
สอนเกือบทุกวันว่าให้นึกถึงเสมอว่า วันหนึ่งพ่อแม่จะต้องตายไป
พ่อแม่ยังอยู่ก็จะทำให้ลูกสามารถที่จะอยู่รอด เลี้ยงดูตัวเองได้นะ เอาตัวรอดในโลกได้
พ่อแม่ตายไปก็คือเราจะต้องเตรียมใจไว้ก่อนนะว่าวันหนึ่งจะต้องมาถึง
สอนตามพระพุทธเจ้าแบบนี้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล
ตรงกันข้ามเป็นมงคล เป็นสิ่งที่เตรียมจิตนะให้เป็นกุศล เมื่อถึงเวลาจริงขึ้นมา



ทีนี้ถามว่าเราจะต่อยอดจากจินตภาพแบบนี้ของเราไปได้อย่างไร
วิธีที่เราจะเจริญมรณสติ มันสามารถที่จะแอดวานซ์ (
advance) ขึ้นไปได้เรื่อยๆ
ตามประสบการณ์เจริญสติของเรา
ยกตัวอย่างเช่นแทนที่เราแค่จะถามตัวเองว่าทำใจได้ไหม
ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติ มันก็อาจจะตอบตัวเองว่าทำใจได้ ไม่เป็นไร ไม่รู้สึกอะไรแล้ว
แต่พอมีสถานการณ์จวนตัวขึ้นมา อย่างเช่นไปนั่งเครื่องบิน
หรือว่าตกหลุมอากาศอะไรบนเครื่องบินอย่างนี้นะ เครื่องบินตกหลุมอากาศอย่างนี้
แล้วเราถามตัวเองว่าถ้าเครื่องบินร่วงลงไป เราจะทำใจได้ไหม
ตรงนี้นะ มันจะได้คำตอบออกมาอีกแบบหนึ่งเลยนะ
แล้วถ้าเรายังทำใจได้ ใจเรายังนิ่งๆ เย็นๆ สบายๆ
อันนี้ถือว่าเริ่มทำใจได้จริง ไม่กลัวมาก ไม่วิตกมาก
ไม่มีความจิตหดให้มีความตระหนกอะไรขึ้นมาก่อนตาย


ทีนี้ที่จะเป็นประโยชน์ลึกไปกว่านั้น คือเราตั้งโจทย์ ตั้งโจทย์ใหม่ให้มันรัดกุมขึ้น
ถามว่าถ้าต้องตายในนาทีนี้ เรามีดีอะไรไปตาย
มันจะเกิดการสำรวจ แล้วก็รู้ตัว มีสติมากขึ้นนะ
อย่างเช่น พอเราถามตัวเองว่าถ้าต้องตายนาทีนี้ มีดีอะไรไปตาย

แล้วขณะนั้นจิตสว่างอยู่ เราบอกเอาจิตสว่างนี้แหละ จิตที่เป็นกุศลนี้ไปตาย
มันจะรู้สึกปลื้มขึ้นมาเลยนะว่าเรามีทุน เรามีสมบัติอะไรบางอย่างติดตัวไปจริงๆ
มันมีความสว่างเป็นประตู ประตูความตาย ไม่สงสัย
เพราะมันปรากฏขึ้น ณ ขณะจิตที่ถามตัวเองว่านาทีนี้ถ้าตายมีดีอะไรไปตาย


หรือถ้า ณ นาทีนั้น เรานึกไม่ออกนะ
จิตมันไม่ได้สว่าง มันไม่ได้เกิดความรู้สึกสบายใจมากพอที่จะรู้สึกว่าตัวเองมีดีไปตาย
ก็อาจจะทบทวนว่าที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ที่เป็นอาจิณกรรมที่เกิดขึ้นเสมอ
แต่ละวันเราคิดถึงเรื่องอะไรดีๆ โดยมาก หรือว่าเราคิดถึงแต่ศัตรูคู่แค้น คู่อาฆาต
มันจะนึกออกเลยนะว่าถ้าต้องตายในนาทีนั้น เราจะเอาอะไรติดตัวไปด้วย
ระหว่างคู่แค้น ความแค้น ความพยาบาท
หรือว่าจิตนึกคิดถึงสิ่งที่มันดีๆ ที่ตั้งของความคิดนึกดีๆ
สำรวจตัวเองไปอย่างนี้ ถามตัวเองง่ายๆ
ถ้าต้องตายนาทีนี้ เราเอาดีอะไรไปตาย แล้วตอบตัวเอง
ยิ่งบ่อยขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการซ้อมตายที่มีความชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น

การซ้อมตายที่มีความชัดเจน แล้วเอาไปใช้ได้จริงเมื่อถึงเวลา
มันก็คือการที่เรามีความเคยชินที่จะถามตัวเอง
ว่าตอนนี้จิตของเราเป็นกุศลหรืออกุศลอยู่


ถ้าเราได้คำตอบเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ยอมรับตัวเองตามจริงว่าแต่ละวัน มันมีแต่ความคิดไม่ดี
บางคนนะบอกกับตัวเองตรงไปตรงมา ว่ามันมีแต่ความคิดชั่วร้าย
มันก็ได้มีโอกาสซักซ้อม มีโอกาสขัดเกลาตัวเอง ก่อนถึงเวลาจริงเป็นเวลานาน
แต่ถ้าเราไม่สำรวจ ไม่มามีการมานึกนะว่านาทีนี้เราจะตาย เราจะเอาอะไรไปตาย
บางคนหลงนึกว่าเราทำบุญมาเยอะ แล้วคำว่าทำบุญ ไปทำที่ไหน ไปทำที่วัด
แต่ตอนอยู่บ้านนี่ทำบาปไม่รู้ ไม่รู้ตัวเลย ไม่เคยสำรวจเลย ไม่เคยเห็นเลยนะ
ทีนี้พอได้มาถามตัวเองบ่อยๆ ว่าถ้าตายในนาทีนี้ เราเอาอะไรไปตาย
เอาบุญที่เรานานๆ ไปทำที่วัด
กับที่มันทำอยู่ที่บ้านที่ทำงาน ทุกวัน ทุกชั่วโมง อันไหนมันมากกว่ากัน
มันชั่งน้ำหนักแล้ว อันไหนมันมาอยู่ในใจเรามากกว่ากัน ในนาทีนั้น ที่เรากำลังจะตาย
พอเห็นชัด มันก็จะเริ่มมีความรู้สึกตัว เริ่มมีความสังวร
ว่าจริงๆ แล้วเรายังไม่มีดีพอที่จะไปตายนะ เดี๋ยว ขอมาสร้างสมใหม่
ตรงนี้จะเป็นมรณสติที่แอดวานซ์ขึ้นมา



แต่ถ้าเป็นมรณสติของจริงแบบนักเจริญสตินะ
มันจะมีเริ่มรู้เข้ามา หายใจครั้งนี้อาจจะไม่หายใจข้างหน้า
แล้วอยู่ในอิริยาบถนี้ เดี๋ยวมันอาจจะหงายลง หงายลงหัวฟาดพื้นตึง
แล้วก็อยู่ในท่าใหม่ ท่านอนตลอดกาลนะ
หรือเราจะมองเข้ามาว่าที่กำลังหายใจเข้าหายใจออกอยู่ในอิริยาบถนี้
มันมีความเด่นชัดแค่ไหนนะ อิริยาบถปรากฏเป็นกาย สักแต่เป็นรูป ชัดแค่ไหน
ถ้าหากว่าเห็นสักแต่เป็นรูป ชัดเจนมากขึ้นๆ
จนกระทั่งเกิดสมาธิแบบหนึ่งขึ้นมานะ
มันสามารถมองเห็นได้ว่ารายละเอียดโครงสร้างภายในของกายหน้าตาเป็นอย่างไร
แล้วก็สามารถเห็นได้ว่าตับไตไส้พุงที่อยู่แออัดยัดทะนานอยู่
วันหนึ่งมันจะต้องแตกสลาย แยกย้ายหายกันไป



นี่บรรลุถึงกายานุปัสสนาขั้นสุดยอดนะ
นวสีวถิกาบรรพ คือมองเห็นว่ากายมันมีแต่ธาตุมาประชุมกัน
แล้ววันหนึ่งมันจะต้องแตกสลายหายไป
ตัวนี้แหละคือมรณสติขนานแท้ ของจริงแบบนักเจริญสติ

ที่จะเห็นว่ากายนี้วันหนึ่งมันจะต้องแตกดับ
มันจะชัวร์อยู่เดี๋ยวนี้เลยนะ จิตมันจะมีความรู้ซึ้งเลยนะ
ว่าของที่มันกำลังตั้งเป็นอิริยาบถปัจจุบันอยู่ในขณะนี้ แป๊บเดียว
มันจะรู้สึกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย คือไม่เกินร้อยปี ของจิตที่มันใหญ่นะ จิตแบบนักเจริญสติ
มันรู้สึกว่าไม่เกินร้อยปีของร่างกายนี้ มันแป๊บเดียว


แต่ถ้าเป็นจิตที่มีโมหะ จิตที่ยังยึดอยู่ว่ากายนี้เป็นของเรา
มันจะรู้สึกว่ามันต้องมีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มองเห็นว่ากายนี้เที่ยง
หรือถ้ากายนี้ไม่เที่ยง เดี๋ยวไปมีกายอื่นที่มันต้องเที่ยงจนได้
มีอัตตาอะไรอยู่สักอย่างหนึ่งที่มันอยู่นอกเหนือภพนี้ภูมินี้
อันนี้ตรงนี้เป็นความเข้าใจแบบผิดๆ ของปุถุชนทั่วไป
และความเข้าใจผิดๆ แบบนี้ มันก็จะไปเล็งร่างกายอื่นนะ
ร่างกายของพ่อ ร่างกายของแม่ ร่างกายของบุคคลอันเป็นที่รัก ของแฟน ของลูก
ว่าจงเที่ยงเถิด จงอยู่กับเราไปนานๆ เถิด
มันจะเข้าใจลึกซึ้ง แล้วก็ปลดล็อกได้เลยนะ




ถาม - ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ อย่างที่อาจารย์บอกค่ะ
ก็คือดิฉันเคยนั่งเครื่องบินแล้วตกหลุมอากาศ หรืออะไรประมาณนั้น
ก็มีความรู้สึกว่าถ้าสมมุติว่าตอนนี้ต้องตายไป มันจะเป็นอย่างไร
แต่พอนึกถึงคุณแม่ขึ้นมาก็จะเป็นความกังวลที่ยังไม่อยากให้ท่านไป
ดิฉันก็เลยรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเห็นแก่ตัวหรือเปล่า



ตอบ - ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ตรงนั้นหรอก
มันเป็นอย่างนี้มากกว่า คือมรณสติในแบบของเราน่ะ
มันเป็นจินตภาพซึ่งใช้ได้เมื่อเราบอกกับตัวเองว่าเราจะไป
แต่ตัวความยึดติดถึงความมีร่างกายของเรา หรือว่าความมีร่างกายของท่าน
ตรงนี้มันยังไม่ได้ถอนไปไหน คือโคตรเหง้าของความยึดติดในร่างกายมันยังคงอยู่กับที่
ที่ผมบอกก็คือว่าถ้าเราเจริญสติ ไปถึงขั้นที่เห็นกายโดยความเป็นของแตกดับได้
อันนั้นมันถึงจะถอนความกลัวได้จริง
ถอนความยึดติดถือมั่นในกายของคนอื่นได้จริงนะ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP