จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนในสถานการณ์ Covid-19


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it



313 destination



ในช่วงนี้สถานการณ์ Covid-19 ในประเทศไทยกลับมามีความรุนแรงมาก
โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวันสูงถึง ๘ พัน หรือ ๙ พันคน
ในวันศุกร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา
ทางศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
ได้ประกาศล็อกดาวน์บางส่วน และเคอร์ฟิวในเวลากลางคืน
พร้อมทั้งจำกัดการเดินทางเฉพาะในพื้นที่ ๑๐ จังหวัดเป็นระยะเวลา ๑๔ วัน
https://www.prachachat.net/general/news-709536


ในขณะที่การฉีดวัคซีนก็ยังทยอยทำไปไม่ได้รวดเร็วมากนัก
เพราะกว่าจะฉีดวัคซีนให้ได้ครบร้อยละ ๗๐ ตามเป้าหมายนั้น
ก็ต้องรอไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๔
ในระหว่างนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อได้เพิ่มสูงขึ้นมาก
จำนวนเตียงผู้ป่วยในจังหวัดสีแดงเข้มเต็ม การจัดหาเตียงผู้ป่วยเป็นไปอย่างล่าช้า
จึงได้เริ่มมีการแนะนำให้ใช้มาตรการกักตัวที่บ้าน (Home Isolation)
เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่เกินจำนวนเตียงที่โรงพยาบาล
และลดภาระของบุคคลากรทางการแพทย์
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/946601


การขอเข้ารับการตรวจว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่ก็เป็นเรื่องยากมาก
เพราะจำนวนผู้เข้ารับการตรวจในเวลานี้มีจำนวนมาก และคิวยาวมาก
ในหลายจุดจะมีประชาชนจำนวนมากมาเข้ารอคิวกันตั้งแต่ช่วงเย็น
ทั้งปูเสื่อกางเต้นท์นอนค้างคืนล่วงหน้า เพื่อให้ได้คิวตรวจเช้าวันรุ่งขึ้น
หลายจุดในเวลาที่เข้าคิวก็มีรายงานคนเบียดกันแย่งคิวกันวุ่นวาย
ซึ่งโดยสภาพที่จำนวนคนไปตรวจหนาแน่นขนาดนี้ก็ย่อมมีความเสี่ยงว่า
เราอาจจะไม่ได้ติดเชื้อในตอนแรก แต่กลับจะติดเชื้อในเวลาที่ไปตรวจก็ได้
https://www.thaipost.net/main/detail/109279


ในเวลาเดียวกัน ไวรัสก็กลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ แบบไม่รอวัคซีน
โดยในขณะนี้ไวรัส Covid-19 สายพันธุ์ที่ระบาดหนักในประเทศไทยคือ
สายพันธุ์เดลต้า (Delta หรือที่เดิมเรียกกันว่าสายพันธุ์อินเดีย) นะครับ
แต่ในมาเลเซียก็มีไวรัส Covid-19 สายพันธุ์ “แลมบ์ดา” (Lambda)ระบาดอยู่
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียได้รายงานว่าสายสายพันธุ์แลมบ์ดานี้
มีอันตรายมากกว่าสายพันธุ์เดลต้าเสียอีก โดยระบาดไปแล้วกว่าใน ๓๐ ประเทศ
(แค่สายพันธุ์เดลต้านี้ ประเทศไทยก็อ่วมอรทัยแล้ว)
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/947584
ซึ่งในเมื่อสายพันธุ์แลมบ์ดาได้ระบาดไปทั่วในมาเลเซียแล้ว
ก็ย่อมจะมีโอกาสสูงมากที่จะหลุดรอดเข้ามาในประเทศไทยในอนาคต
ในขณะเดียวกัน ในประเทศไทยก็ได้พบไวรัสกลายพันธุ์ที่เกิดจาก
สายพันธุ์ “เดลต้า” ผสมกับสายพันธุ์ “อัลฟา” ในแคมป์คนงานในกรุงเทพมหานคร
https://www.thaipost.net/main/detail/109494
และในอนาคตก็ย่อมจะมีสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีก


หากจะสรุปสถานการณ์โดยย่อในเวลานี้นะครับ
ไวรัสกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ และระบาดเร็วขึ้น รุนแรงขึ้น
การกระจายและฉีดวัคซีนให้ครบตามเป้าหมายต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน
การเข้าขอตรวจการติดเชื้อไม่ใช่กระทำได้โดยง่าย และมีคิวยาวมาก แออัด
แม้จะตรวจพบว่าติดเชื้อก็ตาม ก็น่าจะหาเตียงไม่ได้ และน่าจะต้องกักตัวที่บ้าน
ต่อให้หาเตียงได้ก็ตาม ก็ไม่แน่นอนว่าบุคคลากรที่ดูแลเราจะเพียงพอหรือไม่
ในสถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้แล้ว เราย่อมไม่ควรที่จะฝากความหวังไว้ที่ผู้อื่น
แต่ควรจะระลึกถึงพุทธภาษิตที่ว่า
“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” หรือ “ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน” ครับ


โดยในเวลานี้ ผมขอแนะนำว่าที่เราพอจะสามารถทำได้ด้วยตนเองนั้น ได้แก่
๑. ต้องพยายามป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด ในช่วงเวลานี้ที่แนะนำคือ
เราต้องรักษาระยะห่าง โดยถือเสมือนว่าคนอื่น ๆ ติดเชื้อทั้งหมด
ซึ่งรวมถึงคนในบ้าน และในที่ทำงานด้วย
(เพื่อจะได้ป้องกันคนอื่น ๆ ไม่ให้แพร่เชื้อใส่เรา)
และต้องถือเสมือนว่าเราเองติดเชื้อ
(เพื่อจะได้ป้องกันไม่ให้เราแพร่เชื้อใส่คนอื่น ๆ)


๒. ควรติดตามการเปิดให้จองฉีดวัคซีน และเข้ารับการฉีดวัคซีนตามที่กำหนด
และถึงแม้บางท่านจะได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม
ก็ต้องรักษาระยะห่างและป้องกันตนเองต่อไปครับ
เพราะในเวลานี้ไม่มีวัคซีนยี่ห้อไหนที่จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ๑๐๐%


๓. ตระเตรียมสมุนไพรพื้นบ้านที่ช่วยรักษาตนเองได้
ซึ่งในเวลานี้ ดีที่สุดคือ “ฟ้าทะลายโจร” ครับ
โดยได้มีตัวอย่างการรักษาผู้ต้องขังในเรือนจำจำนวนมากที่อาการดีขึ้น
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000066583


ในการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรนั้น อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ในฐานะ
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
ได้มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้


ประการแรก ถ้ายังไม่มีโอกาสตรวจเชื้อ แต่ไม่แน่ใจเพราะไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่ติดเชื้อก็ดี หรือ มีอาการไม่สบาย (เจ็บคอ, มีไข้, ครั่นเนื้อตัวแม้ไม่มีไข้, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยเนื้อตัว) ถ้าใช้ผงฟ้าทะลายโจรทั่วๆไป ให้สังเกตว่าขนาดแคปซูลเท่าไหร่ ให้ใช้ดังนี้ ถ้าแคปซูลขนาด ๔๐๐ มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร ๔ เม็ดต่อครั้งและ ๔ ครั้งต่อวันติดต่อกัน ๕ วัน ถ้าแคปซูลขนาด ๕๐๐ มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร ๓ เม็ดต่อครั้งและ ๔ ครั้งต่อวันติดต่อกัน ๕ วัน ปริมาณดังกล่าวนี้เป็นปริมาณต่ำสุดของไข้หวัดธรรมดาที่ใช้ผงฟ้าทะลายโจร ๖ กรัมต่อวัน ตามบัญชียาหลักแห่งชาติที่ใช้สำหรับคนไทยมา ๒๐ กว่าปี จึงมีความปลอดภัย ไม่เกิดพิษเฉียบพลัน และพิษเรื้อรัง


ประการที่สอง ถ้ายังมีอาการเจ็บคอ มีไข้ หรือ ครั่นเนื้อตัวแม้ไม่มีไข้, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยเนื้อตัว หลังใช้ฟ้าทะลายโจรไปแล้วในวันที่ ๒ ไม่ดีขึ้น กดไข้ลงไม่ได้ ให้ทำการเพิ่มปริมาณฟ้าทะลายโจรเป็น ๒ เท่า และติดตามผลไปอีก ๓ วันจนครบ ๕ วัน หากไม่ดีขึ้นหรือมีอาการเริ่มหอบ เหนื่อย หายใจยากให้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดไม่เกินวันที่ ๔ นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ


ประการที่สาม ถ้าตรวจเชื้อแล้วพบว่า “ติดเชื้อ” ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรให้เร็วที่สุด และปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กล่าวคือถ้าผงฟ้าทะลายโจรขนาด ๔๐๐ มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร ๕ เม็ดต่อครั้ง และ ๔ ครั้งต่อวัน ยกเว้นถ้ามีไข้ หรือเจ็บคอมาก ให้กินทุก ๔ ชั่วโมงจนกว่าไข้จะลดลงในวันที่ ๒ จึงลดลงมาเหลือ ๕ เม็ดต่อครั้งและ ๔ ครั้งต่อวัน และภายใน ๒ วันไม่ดีขึ้นไม่ว่าจะด้วยติดเชื้อมาก ภูมิคุ้มกันไม่ดี หรือขนาดยาฟ้าะทะลายโจรไม่เพียงพอให้เพิ่มปริมาณเป็น ๒ เท่าตัว หากภายใน ๕ วันไม่ดีขึ้นให้รีบส่งตัวไปที่โรงพยาบาล


ประการที่สี่ ถ้าตรวจเชื้อแล้วพบว่า “ติดเชื้อ” และมีอาการหอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวก หรือวัดออกซิเจนแล้วต่ำกว่า ๙๕% ให้สงสัยว่าอาจเกิดภาวะปอดอักเสบแล้ว หรือเชื้อลงปอดแล้ว ลำพังฟ้าทะลายโจรอย่างเดียวจะไม่สามารถรักษาได้ จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลเร็วที่สุดอย่างเดียว


ประการที่ห้า สำหรับผู้ที่มีกินยาลดความดันโลหิต หรือยาละลายลิ่มเลือดแล้วไม่ป่วย จะต้องพิจารณาและตรวจสอบอย่างใกล้ชิดว่าจะต้องหยุดฟ้าทะลายโจร หรือหยุดยาลดความดันโลหิต หรือยาละลายลิ่มเลือด เพราะตัวยาเหล่านี้เสริมฤทธิ์ไปในทางเดียวกัน หากเป็นเบาหวานจะต้องระวังด้วยว่ายาฟ้าทะลายโจรทำให้น้ำตาลลดลง ดังนั้นผู้ที่ใช้ยาเบาหวานอยู่ จะต้องคอยวัดระดับน้ำตาลอย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจค่าน้ำตาลและความดันโลหิตในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ด้วย


ประการที่หก สำหรับผู้ได้รับผลข้างเคียงจากฟ้าทะลายโจร หากเป็นกรณีที่ยังไม่ป่วย แต่ต้องการบำบัดรวมหมู่ หรือรับประทานเพียงเพื่อลดความเสี่ยง (ยังไม่ได้ป่วย) อาจต้องกินพร้อมกับอาหารฤทธิ์ร้อนประกบตลอดทั้งวัน รวมทั้งการดื่มน้ำขิง พริกไทย กระชาย และอาหารเผ็ดร้อนอื่นๆ หากปวดศีรษะให้สังเกตตควบคู่ดูว่าเกิดอาการท้องผูกมากขึ้นหรือไม่และถ้าท้องผูกมากขึ้นให้กินยาระบาย


ประการที่เจ็ด สำหรับบางคน (ซึ่งพบได้น้อย) ที่ใช้ฟ้าทะลายโจร อาจทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร มวนท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น อ่อนเพลีย กรณีมีอาการมาก เมื่อหยุดยาก็จะหายเป็นปกติ


ประการที่แปด ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการแพ้ให้หยุดยา ให้พบแพทย์หรือแพทย์แผนไทย และอาจเลี่ยงไปใช้กลุ่มสารสกัดกระชายแทน


ประการที่เก้า ถ้ามีอาการหน้ามืด ความดันต่ำให้นั่งหรือนอนพัก อาการจะดีขึ้นใน ๓๐ นาที


ประการที่สิบ สำหรับโรคตับที่มีความกังวลนั้น พบว่าฟ้าทะลายโจรมีผลในการป้องกันและฟื้นฟูสภาพของตับ (Hepatoprotection) และใช้ในการรักษาโรคตับหลายชนิด ทั้งตับอักเสบจากไวรัส ไขมันพอกตับ ฯลฯ อย่างไรก็ตามในกรณีการใช้ฟ้าทะลายโจรขนาดสูงและเป็นเวลานานเกินกว่าที่แนะนำ อาจทำให้มีการเพิ่มของเอนไซม์ของตับแต่อยู่ในระดับต่ำ ยังไม่พบรายงานการทำลายตับแต่ประการใด ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคตับจึงสามารถใช้ได้ ยกเว้นการใช้ “สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์”หรือยาอื่นร่วมด้วยหลายชนิดหรือโรคของผู้ป่วย อาจมีผลต่อตับ จำเป็นต้องวิเคราะห์ในโอกาสต่อไป


ดังนั้น ความสำคัญของการบำบัดด้วยฟ้าทะลายโจรนั้น จึงมีตัวแปรทั้งในเรื่องสภาพการติดเชื้อ สภาพร่างกายและระบบภูมิคุ้มกัน และคุณภาพฟ้าทะลายโจร แต่ถึงแม้จะมีตัวแปรดังกล่าวก็ยังสามารถใช้วิธีปรับเพิ่มปริมาณตามความเหมาะสมโดยเน้นการใช้ให้เร็วที่สุด และปรับตัวให้ปริมาณตัวยาให้เหมาะที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงในภาวะปอดอักเสบ หรือเชื้อลงปอดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
https://mgronline.com/daily/detail/9640000066850


ในการนี้ ผมจึงแนะนำให้ท่านผู้อ่านเตรียมสมุนไพรฟ้าทะลายโจรติดบ้านไว้ด้วยครับ
และถ้าเป็นไปได้อาจจะปลูกต้นฟ้าทะลายโจรไว้ในบ้านด้วย
หากในบ้านไม่มีพื้นที่ ก็อาจจะปลูกไว้ในกระถางก็ได้ครับ
เพราะน่าจะสามารถช่วยเราและคนในครอบครัวในยามวิกฤติได้



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP