วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๔๐



cover Amarit


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


            
            เนวะยังไม่เข้าใจ เกิดสิ่งใดกับดวงจิตหญิงกลางคนผู้นั้น จู่ ๆ มันสว่างพิสุทธิ์เกินคำบรรยายขึ้นมาแล้วสงบราบเรียบราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

            เสมือนตนยืนอยู่กลางทะเลทราย เงยหน้ามองท้องฟ้าเห็นดาวดวงหนึ่งเปล่งประกายวาบส่องสว่างงดงามขึ้นวูบหนึ่งแล้วกลับคืนสู่ปกติ เป็นการมองจากที่ไกล โดยไม่อาจรับรู้ คาดคำนวณได้เลยว่าเกิดสิ่งใดบนดาวดวงนั้น

            ทว่าอีกไม่ถึงอึดใจ หูแว่วเสียง ‘สาธุ’ สะเทือนลั่น สัมผัสกระแสอนุโมทนายินดีอย่างใหญ่ไหลมากระทบ ใจเกิดกุศลยินดีตาม หัวอกแน่นเปี่ยมล้นด้วยสุขอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน

            ปีตินี้คืออะไร เกิดมาจากไหน ทั้งที่ความสุขล้นหัวอก เขาก็ยังไม่เข้าใจ
            


            สตรีกลางคนผู้นั้นลุกจากท่านั่งขัดสมาธิ เดินมาคุกเข่าหน้าแท่นพระภิกษุแล้วก้มลงกราบอย่างสวยงาม แสดงความเคารพสูงสุด

            “ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากเจ้าค่ะ” น้ำเสียงมีความปีติซาบซึ้งยากอธิบาย

            “อนุโมทนาด้วยนะ...ผ่านด่านนี้ได้นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว”

            วาจาอ่อนโยนชักจูงให้ผู้ฟังที่อยู่โดยรอบเกิดปีติตาม

            “ค่ะ...แต่งานยังไม่จบแค่นี้” พูดอย่างรู้สภาวะตัวเอง

            “อีกด่านเดียว...ทำชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายให้ได้นะ” วาจาคล้ายคำพยากรณ์และให้กำลังใจ

            พันเกลียวยกมือพนมไหว้ ก้มกราบอีกครั้งอย่างเต็มตื้น



            กระแสปีติอย่างใหญ่ไหลย้อมจิตเนวะจนเกิดความสุขอันแผ่กว้างไม่มีสิ้นสุด ต่อให้ไม่เข้าใจเรื่องราวที่ทั้งสองสนทนากัน แต่เพราะอยู่ใกล้ใช้ความสังเกตกว่าปกติ คาดเดาได้ว่า...เทศนาเมื่อครู่ ก่อให้เกิดความเข้าใจรู้แจ้งในอีกระดับหนึ่งสำหรับเธอ

            ผลจากความเข้าใจรู้แจ้งนั้น ทำให้มีผู้ร่วมอนุโมทนายินดีมากมาย พาลให้จิตใจเขามีความสุขไปด้วย!

            ความงุนงง ปัญหาข้อสงสัยมากมายวนเวียนในหัวเนวะ

            หนึ่งในข้อสงสัยเหล่านั้นคือ...นี่ใช่มั้ย...เทศนาปาฏิหาริย์!

            ขนาดพระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมบทนี้ยังสามารถชี้นำจิตผู้ฟัง ให้ผ่านด่าน เข้าใจธรรมะ พ้นทุกข์ได้อีกขั้นหนึ่งเช่นกัน

            ความเจ็บปวดแล่นปลาบใกล้ถึงหัวใจ เนวะได้สติสลัดความสงสัยทั้งมวลทิ้งไป ก้มหน้ามองขวดยาในมือ

            น่าแปลก...พอใกล้ตาย ใจมันเมินเฉยต่อเรื่องราวไร้สาระมากหลาย...ทั้งความคับแค้น พยาบาท โกรธเคือง ล้วนเห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่ควรนำมาติดค้าง เป็นภาระทางใจก่อนตาย

            เวลานี้เขารู้สึกว่าดื่มยาหรือไม่ดื่ม ไม่แตกต่างกัน...ตายวันนี้ หรืออีกร้อยปีข้างหน้าก็ไม่พ้นความตายอยู่ดี

            เพราะความตายคือหน้าที่...ไม่มีใครหลีกหนีพ้น

            ก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้าย เนวะเอ่ยปากถามพระภิกษุตรงหน้า

            “ธรรมะของพระพุทธเจ้า...ท่านกำหนดไว้หรือไม่ ผู้สามารถเรียนรู้จนพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ต้องเป็นเฉพาะสาวกของพระองค์เท่านั้น”

            พระอาจารย์ราเมศว์ยิ้มละไม ตอบเสียงนุ่มนวลชวนให้จิตผู้ฟังเบิกบาน

            “ไม่...ธรรมะเป็นของโลก...พระพุทธเจ้าท่านเป็นบุคคลแรกในยุคนี้ที่พบเห็นและนำมาสั่งสอน...ท่านไม่เคยบอกเลยว่า มีแต่สาวกของพระองค์เท่านั้นจึงจะมีสิทธิบรรลุธรรม”

            เนวะระบายลมหายใจแผ่วเบา รอยยิ้มผุดบนใบหน้า นัยน์ตาทอดมองมัชฌิมา พยุหะ รอยเธียรโดยปราศจากความอาฆาต พยาบาทอีกต่อไป

            มือหยิบขวดยาถอนพิษขึ้นมาเปิดฝา ทุกคนในสถานที่นั้นต่างมองอดีตผู้ทรงฤทธิ์เป็นตาเดียวกัน

            ขวดยาไม่ได้จ่อริมฝีปากเพื่อดื่มรักษาชีวิต กลับเทลงบนผืนทรายจนหมดด้วยใจไร้ความกังวล

            มัชฌิมา พยุหะ รอยเธียรสะดุ้งเฮือก คาดไม่ถึง แววตาไม่แสดงความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่น่าจะบอกให้ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายยอมละทิฐิ เลิกพยาบาท คงยอมกินยาถอนพิษรักษาตัวเอง

            การกระทำตรงกันข้ามทำให้พวกเขาคาดเดาจิตใจบุคคลนี้ไม่ถูก

            พระอาจารย์ราเมศว์ ตาอ่ำ พันเกลียวไม่แสดงกิริยาแปลกใจ ด้วยเห็นถึงข้างในจิตดวงนั้นชัด

            ...เหตุใดเนวะจึงไม่สนใจชีวิต ยอมเทยาขวดสุดท้ายลงผืนทราย...

            คำถามสุดท้ายที่เนวะเอ่ยปาก บอกถึงความสนใจธรรมะ

            ด้วยยอมรับแล้วว่า...ความเป็นอมตะแท้คือการไม่ต้องมาเกิด...ไม่ใช่การไม่ยอมตาย...

คนอย่างเนวะไม่มีทางยอมเป็นสาวก เรียนธรรมจากใคร เขาจึงคิดแสวงหาหนทางด้วยตัวเอง            

            ในเมื่อ ‘อมฤตแท้’ คือการไม่เกิด ไม่ใช่ไม่ตาย

            เนวะจึงฝึกที่จะยอมรับ ‘ความตาย’ ให้ได้ก่อน

            เพื่อหาหนทางจะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก



            ไม่นาน เนวะสิ้นลมหายใจอย่างสงบ ทอดร่างลงผืนทรายราวกับต้นไม้ใหญ่เอนล้มช้า ๆ สง่างาม

            แสดงให้รู้ว่า...ความเป็นอมตะไม่มีในโลก...เขาแค่มีอายุมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง











บทที่ ๒๘



            ‘ลืมหวาน’ คอฟฟี่ เบเกอรี่ ตั้งอยู่ในซอยใหญ่กลางกรุงเทพฯ ภายในกว้างขวางตกแต่งเป็นสัดส่วน นอกจากจะเน้นขายกาแฟ เบเกอรี่ ไอศกรีม ของหวานเมนูต่าง ๆ ยังมีอาหารคาวประเภทฟิวชั่นไทยผสมฝรั่งทำออกมาชวนรับประทาน

            เค้ก ของหวานร้านนี้นอกจากอร่อยขึ้นชื่อ ยังใช้วัตถุดิบเพื่อสุขภาพ ไม่ใช้ไขมันเป็นโทษ เลือกสารปรุงแต่งความหวานแบบไม่เป็นพิษภัย ขายดีจนต้องสั่งจองล่วงหน้า กาแฟ เครื่องดื่ม ไอศกรีมโฮมเมดมีสูตรเฉพาะหารับประทานที่อื่นไม่ได้

            ลูกค้าเข้ามาครั้งแรกมักติดใจต้องกลับมาอีก ขนมบางชนิดอาจไม่หวานมากแต่รับรองอร่อยสมชื่อร้าน ‘ลืมหวาน’

            เสน่ห์อีกอย่างของร้านอยู่ที่ห้องเล็ก ๆ แยกสัดส่วนต่างหาก ลูกค้าเข้ามานั่งมักมีปัญหาส่วนตัวบางอย่างต้องการคำแนะนำ เจ้าของร้านเห็นว่าควรช่วยเหลือก็จะพาเข้ามานั่งคุยกับใครบางคน

            “ระหว่างตัดใจ กับอดทนยื้อเขาไว้ไม่ปล่อย...พี่มายด์คิดว่าอย่างไหนทุกข์น้อยกว่ากันคะ”

            คำถามจากหญิงสาวอ่อนวัยกว่าใบหน้าสะอาดผ่องใส แก้มมีลักยิ้มชวนให้คนอยู่ใกล้นึกเอ็นดู

            คนมี ‘ปัญหา’ เป็นสาวใหญ่อายุมากกว่าร่วมสิบปี ใบหน้าหมองอมทุกข์ อยากหาคนรับฟังมากกว่าคำแนะนำที่ตนกระทำตามไม่ได้

            “พี่ก็อยากตัดใจเลิกคบเขานะ แต่แค่ให้บล็อกเบอร์ บล็อกไลน์ไม่ให้โทรหา ปิดช่องทางติดต่อ บล็อกเฟซไม่ให้ตัวเองคอยแอบดูความเคลื่อนไหวเขา...พี่ยังทำไม่ได้เลย”

            “ถ้าอย่างนั้นมาคงบอกพี่มายด์ได้แค่...ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยหรอกค่ะ ถึงจะอายุมากแล้วก็ยังไม่หยุดคบซ้อนผู้หญิงหลายคน...ที่เขาไม่แสดงความชัดเจนกับใครรวมทั้งพี่มายด์ด้วย ก็เพราะต้องการเก็บไว้เผื่อเลือก...ไม่เห็นใครสำคัญมากเท่าตัวเอง”

            คำอธิบายถึงบุคคลที่สามชัดเจน ตรงไปตรงมาทั้งที่ไม่เคยรู้จัก พบหน้ากันมาก่อน ส่วนคำแนะนำล้วนไม่จำเป็น เพราะผู้ฟังมีวัยวุฒิมากพอที่รู้ว่า...เมื่อได้รับคำพยากรณ์เช่นนี้ ตนเองควรกระทำอย่างไร

            ผู้รับคำปรึกษาออกจากห้อง มัชฌิมาระบายลมหายใจยาว แล้วลากลมเข้าลึก ๆ กลั้นลมหายใจค้างไว้ จ่อความรู้สึกไว้ตรงที่ความนิ่งว่างชั่วอึดใจ ก่อนผ่อนลมออกมาเนิบช้า เพื่อให้จิตมีสมาธิขึ้นมาชั่วคราว สลัดปัญหาเรื่องนอกตัวออกไป

            นึกเคืองรอยธาราที่สรรหา ‘งานนอก’ มาให้เป็นระยะตั้งแต่เปิดร้าน ‘ลืมหวาน’ เป็นต้นมา

            ไหน ๆ มาก็มีความสามารถพิเศษขนาดนี้แล้ว นำมาใช้ช่วยเหลือคนอื่นเอาบุญดีกว่านะ



            รอยธาราได้รับร้าน ‘ลืมหวาน’ เป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ก่อนเรียนจบ เนื่องจากเจ้าของร้านเดิมต้องการขายด่วนล้างหนี้สิน จึงสามารถซื้อในราคาถูก

            โชคดีที่รอยจันทร์มารดาเธอรู้จักเชฟของหวานมือหนึ่ง ซึ่งกำลังเบื่องานคิดเกษียณตัวเอง

            สองแม่ลูกไปพูดคุยชักชวนอย่างไรไม่ทราบ เชฟมือหนึ่งคนนั้นยอมมาทำงานด้วย รับรอยธาราเป็นลูกศิษย์ ถ่ายทอดการทำขนมหวาน ช่วยคิดสูตรของหวานเพื่อสุขภาพ และเมนูอาหารฟิวชั่นแบบต่าง ๆ

            ช่วงแรกที่เปิดร้านไม่ยอมใช้ความดังของพี่ชายมาช่วยประชาสัมพันธ์ลูกค้าจึงยังไม่มาก ความที่รอยธารามนุษยสัมพันธ์ดี สร้างความสนิทสนม ผูกมิตรลูกค้าหลายคน รับฟังปัญหาต่าง ๆ ของพวกเขา เห็นว่ามัชฌิมาสามารถใช้คำพยากรณ์แนะนำ ชี้ช่องทางออกได้จึงชวนมาช่วยเหลือกัน

            นั่นคือจุดเริ่มต้นของ ‘โต๊ะพยากรณ์’ ที่ฝ่ายเจ้าของร้านเป็นคนเลือกลูกค้าเอง บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ไม่ได้เปิดกว้างสำหรับทุกคน

            เนื่องเพราะแม่หมอนักพยากรณ์รู้ล่วงหน้าว่าลูกค้าบางรายอาจสร้างความวุ่นวาย รบกวนให้เดือดร้อนทีหลัง และมีลูกค้าอีกหลายคนที่ต่อให้รู้อนาคต ก็ไม่สามารถเลือกเดินบนเส้นทางถูกต้องเหมาะสมอยู่ดี

            ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างในร้านกาแฟ ซึ่งต่อให้มีคนรับบริการเพียงน้อย ก็ได้ลูกค้าประจำชนิดเหนียวแน่นเพิ่มอีกหลายราย

            หลังเรียนจบ รอยธาราดูแลร้านเต็มตัว ฝีมือทำขนม ของหวานสุขภาพเป็นที่เลื่องลือ ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ที่น่ายินดีคือส่วนใหญ่ไม่ได้มาเพราะความเป็นน้องสาวดาราชื่อดัง

            มัชฌิมาได้ทำงานประจำที่บริษัท บี.บี. พรอม. โฆษณาที่เธอเล่นไม่ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังอะไร หนำซ้ำยังก่อความวุ่นวายชีวิตพักหนึ่ง แต่หัวหน้าฝึกงานเห็นความสามารถ ขยันขันแข็ง และการเคยเล่นโฆษณาสินค้าบริษัทมาก่อนเป็นเครดิตที่ดีสำหรับเธอ

            ดังนั้นแม่หมอพยากรณ์จึงมาช่วยได้แค่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์เป็นครั้งคราว

            ลูกค้าจะมาให้พยากรณ์ต้องจองคิวล่วงหน้าไม่ต่างจากของหวานขึ้นชื่อในร้าน



            มัชฌิมาเพิ่งผ่อนคลาย ปลอดโปร่งแค่ไม่กี่อึดใจ ลูกค้ารายต่อมาก็นั่งเก้าอี้ตรงหน้าแล้ว

            พอเห็นว่าเป็นใคร หญิงสาวก็เปิดรอยยิ้มสว่างสดใส ลืมปัญหา เรื่องทุกข์ใจลูกค้าเมื่อครู่ทันที

            “ผมอกหัก” ลูกค้ารายนี้เข้าประเด็น “ขนาดทอดสะพาน อ่อยจนสุดตัว ผู้หญิงคนนั้นยังรับรักคนอื่นได้...แม่หมอพอดูได้มั้ยว่าเขาจะเลิกกันเมื่อไหร่”

            มัชฌิมาหัวเราะเบา ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าดูสว่าง ออร่าจับตาขึ้นทุกวัน ถ้าผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธ ใจแข็งต่อเขาได้นับว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ

            “ไม่ทราบค่ะ” หล่อนตอบกลั้วหัวเราะ

            “ไม่ทราบได้ยังไง...เมื่อวานพวกเขาแอบไปเที่ยวกันสองต่อสอง สาบานรักกันตอนไหนไม่รู้ กลับมานี่ก็เห็นมีของหมั้นกันแล้ว” ชายหนุ่มพูดงอน ๆ

            “ไม่ได้ไปเที่ยวค่ะ ป้าพันเกลียวเรียกเอาเอกสารเกี่ยวกับบ้านไปให้ที่วัด...คุณป้าท่านจะจัดการทำใบมอบอำนาจให้ไปโอนบ้านกับที่ดิน...มากับคุณพายุนั่งเครื่องแต่เช้า แล้วเช่ารถขับไปที่วัด ตอนเย็นก็นั่งเครื่องกลับ ไม่ได้ค้างอ้างแรมกันเลย”

            หญิงสาวไม่เข้าใจทำไมต้องอธิบายยาวขนาดนั้น

            “แล้วของหมั้นนี่ล่ะ” ชายหนุ่มชี้ข้อมือเธอ

            “เอ่อ...” พอก้มมองกำไลพญาครุฑที่เพิ่งได้มา มัชฌิมาอ้ำอึ้งพูดไม่ออก

            รอยเธียรยิ้มกริ่มอย่างเป็นต่อที่รุกไล่จนหญิงสาวหนีไม่รอด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ถ้าจะว่าไป หลังเหตุการณ์ตื่นเต้น วิกฤตร้ายต่าง ๆ ผ่านพ้น ความสัมพันธ์หนุ่มสาวทั้งสามชัดเจนขึ้น

            รอยเธียรยังเป็น ‘พี่ลุย’ คนเดิม ที่เป็นห่วงเอาใจใส่เพื่อนน้องสาวไม่มากไม่น้อย ไม่ถอยห่างและไม่ขยับเข้าใกล้ทำคะแนนใด ๆ

            พยุหะทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย ใกล้ชิดคอยดูแลไม่ต่างจากตอนหล่อนออกจากโรงพยาบาลคราวนั้น

            พอพันเกลียวโกนหัวบวชชี แสดงความชัดเจนว่าจะอยู่ในร่มเงาพระศาสนาตลอดชีวิต เขาก็ก้าวเข้ามาในชีวิต ดูแลหญิงสาวมากกว่าเดิม

            ความสัมพันธ์เรียบง่าย ไม่หวือหวา ด้วยนิสัยสองหนุ่มสาวไม่ใช่คนช่างพูด ชอบแสดงออก ต่างฝ่ายล้วนรับรู้ความรู้สึกกันและกัน

            จนกระทั่งพันเกลียวติดต่อให้ไปหาที่วัดเพื่อจัดการเรื่องเอกสารโอนบ้านที่ดินในกรุงเทพฯให้เรียบร้อย

            พยุหะ มัชฌิมาตั้งใจเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับแต่แรก จึงไม่ได้ชวนสองพี่น้องรอยเธียร รอยธาราไปด้วย

            เช่ารถขับจากสนามบินถึงวัดป่าตอนสาย พระฉันจังหันเรียบร้อยแล้ว เห็นตาอ่ำ ศิษย์วัด และพวกแม่ชีกำลังเก็บจานชาม ทำความสะอาดศาลากัน

            หลังเซ็นเอกสาร หลักฐาน ใบมอบอำนาจให้หลานสาวเพื่อปลดภาระทางโลกเรียบร้อย แม่ชีพันเกลียวปลีกตัวเข้าไปภาวนาในป่า ไม่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ คล้ายเห็นปลายทางอยู่ข้างหน้าไม่อยากเสียเวลายุ่งเกี่ยวเรื่องนอกตัว

            ทั้งสองจึงเข้าไปคุยกับตาอ่ำ ถามไถ่เรื่องราวข่าวคราวทางนี้

            หญิงสาวได้รู้ว่า หลังพวกตนออกจากเมืองอมฤต ชาวบ้านบางคนแถวนั้นเคยเห็นประตูมิติเปิดแวบ ๆ มีภูตผีเข้าออกประปราย

            ส่วนอาจารย์มิ่ง สมุนคนสนิทเนวะอยู่ในเมืองนั้นต่อไม่ได้ เมื่อขาดพลังเนวะหนุนเสริม โลกอีกมิติก็เกิดความปั่นป่วน พลังธาตุศักดิ์สิทธิ์แปรปรวน ควบคุมไม่ได้ คนธรรมดาทั่วไปฝืนอยู่ต่ออาจไม่มีทางออกมา

            แกเลยกลับไปอยู่บ้านเกิด ฟื้นฟูสำนักเก่า ลูกศิษย์ลูกหายังติดตามมากมายเหมือนเดิม แต่ไม่กล้าวุ่นวายกับพวกเธออีก

            ครอบครัวนาคพิทักษ์มักหาเวลาวันหยุดมาถือศีล ภาวนาไม่ขาด อาจไม่ได้มาพร้อมกันสี่คนพ่อแม่ลูก ก็จะแบ่งกันมาครั้งละสองคนตามแต่ใครสะดวกว่างงาน

            รอยเธียรไม่ถึงกับออกจากวงการบันเทิง เขารับงานน้อยแต่สม่ำเสมอ สินค้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ยังขอต่อสัญญาทุกปีไม่ขาด ออกงานอีเวนท์ทีไรมักสร้างปรากฏการณ์ ‘ห้างแตก’ จนเป็นเรื่องปกติ

            ไม่ค่อยมีใครรู้ชีวิตส่วนตัวที่เขามาอยู่วัด นอนหน้ากุฎิหลวงน้า รับฟังคำสั่งสอน ตั้งใจภาวนาตามกำลังสติปัญญา

            ตาอ่ำบอกว่า ‘ทีมพญานาค’ กลุ่มนี้มีจุดมุ่งหมายชัดเจนในการมาเกิดเป็นมนุษย์

            สมัยพุทธกาลเคยมีพญานาคปลอมตัวมาบวช พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตแต่สั่งสอนให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียร รักษาศีลเพื่อจะได้เกิดในภูมิที่เหมาะแก่การภาวนาเช่นภพมนุษย์

            พญานาคผู้ศรัทธาธรรมจึงตั้งใจ วางเป้าหมายชัดเจน

            ศรัทธาของชัยยะนาคาและพวกพ้องล้วนไม่แตกต่างกัน เมื่อเห็นเพื่อนเกิดเป็นมนุษย์ ได้บวชเจริญภาวนาสมความตั้งใจ เขาก็มีเจตนาเช่นนี้แต่แรก พอตามมาเกิดบ้าง บุญกุศลที่สร้างสมไว้จึงส่งให้รูปงาม มีชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง อยู่ในครอบครัวสัมมาทิฐิ

            ทว่า...ความสุขทางโลกเหล่านี้เหมือนกับดัก คอยฉุดรั้งเขาไว้เป็นระยะ

            ยังดีที่มี ‘หลวงน้า’ เป็นหลักคอยกระตุกรั้ง ตักเตือนเวลาใจไหลตามกระแสโลกอันเชี่ยวกราก ยังดีที่ศัตรูอย่างเนวะปรากฏตัว แสดงให้เห็นว่าโลกมีความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงง่ายดายอย่างไร

            รอยเธียรวันนี้จึงเป็นคนหนุ่มที่ ‘อยู่เป็น’ ใช้ชีวิตตามครรลองธรรมโดยไม่ขัดฝืนกับโลก เขาอาจบวชเรียนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในวันหนึ่ง ซึ่งหลวงน้าเคยพูดกึ่งพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า

            เมื่อไหร่ที่ใจมันเป็นกลาง...รู้สึกว่าจะบวชก็ได้ ไม่บวชก็ได้...ค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน

            คำบอกเล่าจากตาอ่ำประโยคนี้ ลึกซึ้งเกินกว่าสติปัญญามัชฌิมาจะเข้าใจ



            ก่อนกลับเข้ากรุงเทพ พยุหะพามัชฌิมาเข้าไปกราบพระประธานในศาลาใหญ่ บรรยากาศสงบร่มเย็น เงียบสงัดไม่มีผู้คนเข้ามาวุ่นวาย

            สองหนุ่มสาวจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน พยุหะหยิบกำไลข้อมือรูปพญาครุฑกางปีกกว้างดูงดงามออกมา

            ...ปีกครุฑสองข้างโค้งเป็นวงราวกับโอบอุ้ม คุ้มครองดูแลผู้สวมใส่...

            “ฉันให้” เขาพูดง่าย ๆ แค่นั้น

            “คะ?” มัชฌิมามองกำไลอย่างไม่แน่ใจ

            “เธอไม่มีผลึกครุฑนาคแล้ว เอากำไลนี่ใส่แทนก็แล้วกัน”

            “เอ่อ...มาไม่มีศัตรูอื่นที่จะคิดทำร้ายแล้วมั้งคะ” หญิงสาวเลี่ยงแบบซื่อ ๆ

            นานครั้งหรอกพยุหะจะผุดรอยยิ้มอ่อนใจสักที

            “ไม่ได้ให้ไว้เป็นเครื่องรางป้องกันศัตรู” พูดพร้อมนัยน์ตาดุ

            “ขอบคุณค่ะ” มัชฌิมาก้มหน้าอมยิ้ม จิตใจซึมซับความหวานจากผู้ชายฟอร์มจัด ที่แววตามีรอยขัดเขิน

            กำไลพญาครุฑ เหมือนเป็นเครื่องหมายสื่อความในใจ

            ...ฉันพร้อมจะคุ้มครองเธอ...

            สองหนุ่มสาวไม่เคยเอ่ยปากบอกความรู้สึก การกระทำเล็กน้อยเช่นนี้ยืนยันแทนวาจามากมายแล้ว

            “วันนี้คุณแม่ชีทักฉันว่าใจร้อน วู่วามเกินไป” พยุหะพูดขณะดึงมือหญิงสาวมาสวมกำไล

            มัชฌิมาไม่รั้ง ปล่อยมือสัมผัสต่อมือ ความรู้สึกข้างในถ่ายทอดผ่านปลายนิ้วส่งกระแสอบอุ่นซึมซ่านสู่ใจ

            ชายหนุ่มยังพูดต่อ...

            “ก่อนหน้านี้ฉันมีแค่คุณตาคุณยายคอยเตือน...ตอนนี้...เธอจะเป็นคนเตือนแทนพวกท่านได้มั้ย”

            มัชฌิมาชะงัก เงยหน้าพบรอยยิ้มอ่อนโยนจากดวงตาคมดุ ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าสบนานเกินไป คำพูดเรื่อย ๆ ขณะสวมกำไลมีกระแสอ่อนหวานแทรกอยู่

            “คะ...?” เอ่ยเช่นนี้เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร

            สวมกำไลเสร็จ มือข้างนั้นยังไม่ปล่อยมือเธอ หนำซ้ำยังบีบกระชับเบา ๆ ราวกับรอคอยคำตอบด้วยใจกระวนกระวาย

            “กำไลนี้ ฉันให้ไว้เป็นเครื่องหมายว่า...เธอได้สิทธิพิเศษ ตักเตือนฉันได้ตลอดเวลา...”

            พยุหะยิ้มสวย เสียงเบาอ่อนโยนกว่าเดิม

            “ฉันไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ ใจร้อน ขี้โมโห โลกส่วนตัวสูง มีอะไรก็ไม่ค่อยพูด...มันอาจเป็นภาระสำหรับเธออยู่สักหน่อย...แต่...เธอยินดีจะรับหน้าที่นี้มั้ย”

            มัชฌิมาคลี่ยิ้ม ภาพอดีตระหว่างเธอกับเขาผุดพรายย้อนทวนกลับมามากมาย สายใยผูกพันระหว่างกันทอดยาวข้ามชาติภพจนกระหวัดร้อยรัดเมื่อใดไม่ทันรู้สึกตัว

            เช่นนี้แล้ว...คำตอบอื่นจึงไม่เคยมีอยู่ในหัวใจเลย

            “รับค่ะ”

            ผู้ชายอย่างพยุหะไม่ค่อยพูดจาอะไรยืดยาวขนาดนี้ ผู้หญิงอย่างมัชฌิมา...แค่คำตอบรับสั้น ๆ ก็แทนความหมายทั้งหมดในใจเธออยู่แล้ว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตอนสวมกำไลติดตัว ลืมไปว่ามีสายตาสองคู่คอยจับตาดูความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพยุหะว่าจะลงเอยกันเมื่อไหร่

            วันนี้รอยธาราเห็นกำไลพญาครุฑ จึงรีบถามที่มาอย่างละเอียด พอได้ฟังก็ยิ้มกริ่มแววตามีเลศนัย เดาได้ว่าเรื่องต้องถึงหูรอยเธียรแน่ เพราะสองพี่น้องไม่เคยมีความลับต่อกัน

            ใครจะคิด...ซูเปอร์สตาร์หนุ่มจะมาที่ร้านเร็วขนาดนี้ แถมยังแกล้งถามถึงกำไลที่ใส่อย่างเอาจริงเอาจังเหลือเกิน

            “กำไลนี่...คุณพายุให้มา ไม่ได้บอกว่าเป็นของหมั้น” หญิงสาวตอบกล้อมแกล้ม

            “อ๋อ...งั้นพี่ทำกำไลพญานาคให้ใส่อีกข้างนึงดีมั้ย” ฟังก็รู้ว่าแหย่เล่น

            “เอ่อ...” เจอแบบนี้ไม่รู้จะตอบอย่างไร



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP