วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๓๙



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ภายในเกราะพญานาค กำแพงพญาครุฑ หากพลังงานสูงสุดใดไม่มุ่งซัดเข้าใส่ตรง ๆ รับรองไม่สามารถกระทบทำร้ายผู้หลบภัย

            มัชฌิมามองเห็นการปะทะกันครั้งสุดท้ายชัดเจน เธอไม่หลับตาเบือนหน้าหนีเช่นสตรีทั่วไป ผู้ชายสองคนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเธอขนาดนี้จะให้หันหน้าหนีได้อย่างไร

            พลังการปะทะก่อให้เกิดแสงวาบบาดตา ตามด้วยเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นกึกก้อง ฝุ่นทรายตลบฟุ้งกระจายเป็นม่านสีน้ำตาลเทาปกคลุมไปทั่ว

            เกราะแห่งครุฑนาคกำบังหญิงสาว เผชิญปลายแรงปะทะจนปริร้าวใกล้แตกทำลายเต็มที

            มัชฌิมาสำรวมจิต ตั้งมั่นเป็นสมาธิรวดเร็ว ริมฝีปากเปล่งออกมาด้วยภาษาแปลก ส่งเป็นกระแสจิตออกไปสื่อสารกับใครบางคนที่ติดต่อไว้ตั้งแต่แรก

            เหตุการณ์ทั้งหลายจบลงในเวลาไม่นานเลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมื่อฝุ่นทรายจางตัวลง เผยให้เห็นซากสมรภูมิรบที่บอบช้ำ ฟ้าหม่น ผืนทรายหดหู่ คู่ต่อสู้ต่างหมดสภาพไร้เรี่ยวแรง

            เกราะครุฑนาคสิ้นสภาพแล้ว หญิงสาวออกมายืนกลางทะเลทราย สัมผัสฝุ่นผงปลิวมากระทบเป็นระยะ

            เธอปัดเส้นผมที่ปลิวสะบัด กวาดตามองหาผู้ชายทั้งสาม รู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่

            ...แต่...หลังจากนี้เกิดอะไรขึ้น...เธอไม่แน่ใจแล้ว...

            พยุหะ รอยเธียรนั่งไหล่พิงกัน เสื้อผ้าขาดวิ่น บอบช้ำ ใบหน้าซีดเผือด ลมหายใจแผ่วเบาอ่อนล้าใกล้ขาดห้วง สภาพร่างกายเหมือนเทียนใกล้ดับแสง พลังครุฑ-นาคที่มีล้วนสูญสิ้น เหลือแค่ลมหายใจรวยริน

            มัชฌิมาคุกเข่าตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง เปิดกระเป๋าสะพายหยิบยาลูกกลอนขนาดเท่าหัวแม่มือสองเม็ด บีบใส่ปากทีละคนอย่างคล่องแคล่วชำนาญ

            ระหว่างอยู่ในคุกคุมขัง หญิงสาวไม่ได้ปรุงแค่ยาถอนพิษนาคราช เธอยังปรุงยาวัฒนะ รักษาอาการบาดเจ็บต่อลมหายใจไว้ด้วย

            ความที่เคยเป็นรุกขเทพธิดา จดจำได้ถึงตำรับยาสมุนไพรโบราณช่วยต่อชีวิต รักษาลมหายใจฟื้นอาการบาดเจ็บ โชคดีที่ห้องพระพันเกลียวมีตัวยาหายากบางอย่าง พอมารวมกับสมุนไพรที่ซื้อหาทั่วไปก็สามารถปรุงเป็น ‘ยาเทวดา’ ตำรับนี้ขึ้นมาได้

            หลังสองหนุ่มกินยาลูกกลอนเข้าไป ลมหายใจค่อยมีน้ำหนักกว่าเดิม เพียงแต่ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวทันที

            มัชฌิมาเดินเข้าไปหาอาจารย์เนวะที่กำลังนั่งขัดสมาธิ ร่างกายไม่บอบช้ำเท่าคู่ต่อสู้ ลืมตามองมาด้วยแววเจ็บกร้าว แค้นเคือง

            การปะทะกันเมื่อครู่ได้ทำลายตบะวิชาจอมอิทธิฤทธิ์เสียสิ้น หนำซ้ำพิษนาคราชเพิ่มกำลังรุนแรงแผ่กระจายทั่วร่าง โอกาสรอดน้อยเต็มที

            “ไม่ต้องนำยาถอนพิษมาให้เรา ต่อให้ต้องตาย เราก็จะไม่ยอมติดค้างบุญคุณศิษย์ทรยศเด็ดขาด”

            หญิงสาวชะงักเท้า ถอนใจเฮือกใหญ่ไม่รู้ควรทำอย่างไร...

            นิมิตอนาคตหลังจากนี้มันเลือนราง บิดเบี้ยว เนื่องจากเธอมองไม่เห็นว่าจะมีวิธีใดทำให้อาจารย์ละความพยาบาทแค้นเคือง ยอมรับน้ำใจ

            เมื่อใจตอนที่เล็งมองภาพอนาคตมีแต่ความมุ่งมั่นอยากช่วยเหลือ อยากให้ผู้เป็นอาจารย์รอดชีวิต จิตจึงไม่ยอมเป็นกลาง ภาพสะท้อนออกมาบิดเบี้ยว บอกอะไรไม่ได้



            “ไอ้แก่นี่มันดื้อรั้น ถือดีจนวินาทีสุดท้ายเชียวนะ” เสียงดังจากเบื้องหลัง

            มัชฌิมาเหลียวไปมอง พบว่าประตูมิติเปิดออก ชายชราสวมชุดขาวเดินนำหน้าออกมา ตามด้วยพันเกลียว และสุดท้ายบุคคลที่คาดไม่ถึง...พระภิกษุรูปหนึ่งเพิ่งเห็นเพียงครั้งแรกก็เกิดความเคารพศรัทธาท่วมท้น

            นี่เกินกว่าแผนการที่เธอวางไว้พอสมควร

            จดหมายถึงตาอ่ำมีข้อความดังนี้

            ...อัญเชิญองค์มหาครุฑ...

            ...บอกพยุหะ รอยเธียรให้ระวังกับดัก...

            ...ขอให้ป้าพันเกลียวตามมาช่วยเหลือ...

            ...นัดเวลาเปิดประตูมิติอีกครั้ง...

            ...สุดท้าย ขอให้ทำลายจดหมายทิ้ง...

            ที่ขอให้ตาอ่ำชักชวนป้าพันเกลียวมาช่วยเหลือ เพราะรู้ว่าการประจันหน้าระหว่างอดีตครุฑ-นาคกับเนวะ ผลคือสองหนุ่มรับบาดเจ็บสาหัส คู่ต่อสู้สูญสิ้นฤทธิ์เดช พิษนาคราชกำเริบรุนแรง

            ยาลูกกลอนที่ให้พยุหะ รอยเธียรกินไม่อาจเยียวยารักษาได้ผลทันที ต้องใช้พลังจิตแกร่งกล้าระดับพันเกลียวช่วยเข้าไปกระตุ้นตัวยาให้ออกฤทธิ์มันจึงจะซึมซ่านทั่วร่างรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

            ส่วนเนวะไม่มีทางยอมรับยาถอนพิษจากเธอแน่นอน การเชิญตาอ่ำ ป้าพันเกลียวซึ่งเป็นคนนอกเข้ามาเกลี้ยกล่อม เชิญชวนอาจทำให้ผู้มากด้วยอัตตายอมลดทิฐิ เห็นแก่ชีวิตตนเองก็เป็นได้

            มัชฌิมารู้ว่า เมื่อใดเนวะยอมรับยาถอนพิษ ไม่ว่าจากใคร ด้วยเหตุผลใด ความอาฆาตพยาบาทที่มีต่อเธอและสองหนุ่มย่อมผ่อนคลายลง ไม่ถึงกับหมดสิ้นทันทีแต่จะมีทิศทางดีขึ้นในอนาคต

            พอการปะทะครั้งสำคัญเกิดขึ้น ประตูมิติกำลังจะเปิดอีกครั้ง มัชฌิมาจึงสวดส่งกระแสจิตถึงตาอ่ำ บอกจุดสถานที่ที่พวกตนอยู่ มิเช่นนั้นผู้ติดตามอาจหลงอยู่ในดินแดนต่างมิติของเนวะจนตามมาไม่ถูกก็ได้

            ที่หญิงสาวคาดไม่ถึงคือ ตาอ่ำจะนิมนต์พระสงฆ์รูปนี้มาด้วย ต่อให้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนก็พอเดาได้ว่าเป็นพระอาจารย์ราเมศว์ หรือ ‘หลวงน้า’ ที่รอยธารา เพื่อนสนิทเธอพูดให้ฟังบ่อย ๆ



            “เราบาดเจ็บใกล้ตายเช่นนี้ ไยต้องยกพวกมารุมซ้ำเติมอีกเล่า” เนวะแสยะยิ้มประชดประชัน แววตาอาฆาตไม่เจือจาง

            “ไม่ใช่ค่ะ” มัชฌิมารีบปฏิเสธแต่ไม่มีเวลาอธิบายแก้ความเข้าใจผิด

            หญิงสาวเข้าไปกราบพระภิกษุผู้น่าเลื่อมใส

            “ใช่หลวงน้าที่เจ้าน้ำพูดถึงมั้ยคะ” คำกล่าวทักทายด้วยความเคารพ

            “ใช่” ผู้ทรงศีลตอบรับใบหน้าละมุนเมตตา

            คราวนี้เธอหันไปทางตาอ่ำ ยกมือไหว้พูดจาขอบคุณอย่างเป็นทางการ

            “สวัสดีค่ะตาอ่ำ ขอโทษที่หนูรบกวน และขอบพระคุณจริง ๆ ที่ยอมทำตามทุกอย่าง ทั้งที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเจอกันเลย”

            ตาอ่ำพยักหน้ารับ

            “ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย ที่จริงก็ทำเกินกว่าที่ขออยู่บ้างแหละ” พูดพลางเหลือบตามองพระภิกษุที่ยืนข้าง ๆ “แล้วก็...แค่ได้เห็น เจอในนิมิตก็ถือว่ารู้จักกันแล้วล่ะ”

            ผู้เฒ่าบอกอย่างไม่ถือสา วาจานั้นไม่ได้แสดงความแปลกใจในญาณหยั่งรู้ของเธอ หนำซ้ำความสามารถของชายชราอาจเหนือกว่าหลายเท่า...เพราะการช่วยเหลือเกินกว่าที่ขอ...ย่อมมีเหตุผลสำคัญซ่อนอยู่

            “พยุหะ รอยเธียรกินยาแล้วใช่มั้ย” พันเกลียวถามหลานสาวราวกับล่วงรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมา อีกทั้งทราบว่าตนมีหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือเรื่องใด

            “ค่ะ...มาอยากให้...” แค่หญิงสาวเอ่ยปากไม่ทันจบประโยค อีกฝ่ายก็ขัดขึ้นเรียบ ๆ

            “รู้แล้ว” พูดจบ สตรีกลางคนเดินเข้าไปหาสองหนุ่ม

            พยุหะ รอยเธียรนั่งพิงกันหมดสติ ยาที่กินไปแค่รักษาลมหายใจยังไม่ออกฤทธิ์เต็มที่ ยังไม่สามารถกระตุ้นร่างกายให้ฟื้นตัวขึ้นมา

            พันเกลียวคุกเข่าจับชีพจรสองหนุ่ม รับรู้ถึงสภาวะความอ่อนล้าใกล้หมดเรี่ยวแรง ถอนใจเบา ๆ นั่งขัดสมาธิตรงหน้า กุมมือชายหนุ่มทั้งสองไว้คนละข้าง นิ้วโป้งกดตรงกลางฝ่ามือพวกเขา สำรวมจิตมั่น กลางทรวงอกก่อเกิดพลังงานกล้าแข็งอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นจึงค่อยถ่ายทอดพลังผ่านปลายนิ้วสู่ฝ่ามือทั้งสองช้า ๆ



            มัชฌิมาเห็นอย่างนั้นค่อยคลายใจ สมองมึนเบลอว่างโล่งคิดอะไรไม่ออกชั่วขณะ ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายสับสน เธอมีสติจัดการเรื่องราวมาถึงเวลานี้นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว

            “ว่าไงอีหนู...ท่านอาจารย์มาถึงนี่แล้ว เอายาถอนพิษมาให้ท่านเอาไปช่วยไอ้แก่นั่นดีมั้ย เผื่อมันจะเห็นแก่ผ้าเหลืองบ้าง”

            พอได้ยินตาอ่ำพูด มัชฌิมาค่อยได้สติ เข้าใจเจตนาที่ผู้เฒ่านิมนต์ ‘หลวงน้า’ ทันที

            แรกทีเดียวหล่อนคิดว่าตาอ่ำ ป้าพันเกลียวอาจโน้มน้าวใจอาจารย์เนวะได้ พอเห็นอย่างนี้คิดว่าให้พระภิกษุผู้มีจิตเมตตาออกหน้าเกลี้ยกล่อมน่าจะมีโอกาสมากกว่า

            “ได้ค่ะดีเลย”

            มัชฌิมายื่นขวดยาให้ตาอ่ำอย่างรู้วินัยสงฆ์ที่จะไม่รับของต่อมือจากผู้หญิง

            ตาอ่ำรับขวดยาแล้วส่งต่อให้พระภิกษุที่ยืนยิ้มละไม เหมือนได้รับนิมนต์ให้มาช่วยมอบยาแก่คนป่วย ก็ตั้งใจกระทำแค่นั้น

            พระอาจารย์ราเมศว์รับยาแล้วเดินเข้าไปหาเนวะ ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธินิ่ง ไม่ขยับเคลื่อนไหวเกรงพิษร้ายแล่นเข้าหัวใจเร็วกว่าเดิม

            เมื่อหยุดยืนตรงหน้า เห็นคนป่วยแสดงกิริยาเมินเฉยไม่ใส่ใจ ท่านก็คุกเข่าลงในท่าสำรวม มองด้วยแววตาอบอุ่น เอ่ยถามเสียงนุ่มนวล

            “รู้มั้ย...พิษอะไรร้ายแรงที่สุด”

            เนวะงุนงง คิดว่าพระภิกษุรูปนี้จะมาเกลี้ยกล่อม โน้มน้าวใจให้ตนยอมดื่มยาถอนพิษ พอได้ยินวาจาอีกอย่างจึงอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก

            ตาอ่ำนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ ทำหน้าที่คล้ายศิษย์สอดรู้ ถามขึ้นมา

            “ให้กระผมตอบแทนได้มั้ยครับท่านอาจารย์”

            “คำถามสำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน...ของตาอ่ำไม่ใช่คำถามนี้” พระภิกษุตอบ

            ผู้เฒ่ายิ้มแหะ ๆ พอจะเดาออกว่าตนควรโดนคำถามแบบไหน จึงก้มหน้าสงบปากคำรอจังหวะใหม่



            พิษแล่นพล่านทั่วร่าง เนวะเจ็บปวดจนชาซ่าน ทว่ายามอยู่ต่อหน้าศิษย์ตถาคต จิตใจกลับผ่อนคลายเยือกเย็น คล้ายสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ไม่มีภัยเวรต่อใคร ไม่สร้างโทษแก่ตนเด็ดขาด

            พอจิตใจสงบอดคิดถึงคำถามนั้นไม่ได้...พิษอะไรร้ายแรงที่สุด?

            ในหัวนึกทบทวนสรรพวิชา สมุนไพรยาพิษหลายขนานที่เคยทดลอง พิษจากสัตว์ร้าย แร่ธาตุต่าง ๆ เปรียบเทียบในใจว่าพิษจากสิ่งใดร้ายแรงกว่ากัน

            สุดท้ายเมื่อเห็นผู้ทรงศีลยังนิ่ง รอคอยจึงตอบส่ง ๆ พอให้พ้นตัว

            “พิษนาคราชที่เราโดนอยู่นี่ไงเล่า...ร้ายแรงสุด...มิเช่นนั้นจะคร่าชีวิตเราในอีกไม่กี่อึดใจได้อย่างไร”

            “ผิด” พระภิกษุบอก

            “ถ้าเช่นนั้นเป็นพิษอะไร” คราวนี้เนวะอยากรู้คำตอบจริง ๆ

            “พิษจากความ ‘เห็นผิด’ ร้ายกาจที่สุด”

            คำตอบที่ได้ชวนให้งุนงง ผู้ทรงศีลจึงขยายความต่อมา

            “เมื่อ ‘เห็นผิด’ ก็จะ ‘คิดผิด’ แล้ว ‘กระทำผิด’ ในที่สุด...พิษเช่นนี้จึงนับว่าร้ายแรงแท้จริง เพราะผู้ถูกพิษมักไม่รู้ว่าถูกพิษ และไม่ยินยอมถอนมันออกจากใจ”

            เนวะอึ้งสมองคิดทบทวนวาจานั้นไปมาจนวกวน มึนงง ไม่เข้าใจ พระอาจารย์ราเมศว์จึงอธิบายชี้ชัดเจาะจงแบบตรงไปตรงมา

            “เมื่อเห็นผิดว่ากูแน่ กูยิ่งใหญ่ เห็นผิดว่ายาถอนพิษเป็นของศิษย์ทรยศ ลบหลู่ครูบาอาจารย์ ทำให้เกิดความพยาบาทแค้นใจ ก็เลยตั้งใจว่าจะไม่ยอมรับบุญคุณ ไม่รับยานั่นเด็ดขาด...เกิดการกระทำต่อต้าน...ยอมตายไม่ยอมรักษาตัว!”

            โดนวาจาเสียดแทงพุ่งตรง เนวะเกิดอาการสะท้านเยือกคาดไม่ถึง ผู้ทรงศีลเห็นอีกฝ่ายเหมือนนักมวยโดนหมัดตรงจนเห็นดาวเช่นนั้น จึงปล่อยหมัดเด็ดตามมา

            “ในเมื่อโยมก็เห็นว่าชีวิตเป็นของมีค่า...ไม่อย่างนั้นเหตุใดจึงแสวงหาความเป็นอมตะ หวังสร้างเมืองอมฤต แต่น่าแปลกที่ผู้หวังความเป็นอมตะกลับกระทำการฆ่าแกง ล้างผลาญผู้อื่น สุดท้ายยังยอมสังหารตัวเอง สังเวยความเห็นผิด ด้วยการไม่กินยาถอนพิษอีก”

            นี่คือหมัดเด็ด ผู้ทรงศีลปล่อยเต็มที่ พูดถึงความผิดที่เนวะเคยกระทำ จนถึงความผิดที่กำลังจะกระทำต่อไป

            จบวาจา พระอาจารย์ราเมศว์วางขวดยาใส่มือผู้ถูกพิษแล้วลุกขึ้นยืน ถอยห่างออกมา แสดงให้ทราบว่าท่านจะไม่บังคับขู่เข็ญหรือเกลี้ยกล่อมอีกต่อไป ปล่อยให้เจ้าตัวตัดสินใจเลือกเส้นทางด้วยตนเอง



            เนวะรับยาถอนพิษไว้ในมือ ไม่คิดโยนทิ้ง หรือดื่มมันทันที

            จิตใจทบทวนวาจาผู้ทรงศีล คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา ย้อนทวนถึงอดีตครั้งที่ตนเองเกิดโทสะสังหารศิษย์ในสำนัก พ่อแม่กัลยาจนชาวเมืองหมดศรัทธา และสังหารสิงหานาคราชจนได้รับพิษกลับมา

            ...ผู้หวังความเป็นอมตะ กลับสังหารผลาญชีวิตผู้อื่น นับเป็นเรื่องขัดแย้งอย่างยิ่ง...

            นับจนถึงวินาทีนี้ เนวะเริ่มยอมรับว่าความอมตะถาวรไม่มีจริง สัตว์โลกมีแต่ตายแล้วเกิดใหม่ เฉกเช่นกัลยา ศิษย์ทรยศ วินตกะครุฑ ชัยยะนาคา ครุฑนาคคู่แค้น ที่ยังต้องตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ให้เห็น

            กระทั่งตนเอง หากไม่ดื่มยาถอนพิษก็คงต้องตายในไม่กี่อึดใจ หรือต่อให้ดื่มยาก็คงมีชีวิตต่ออีกไม่กี่ปี เพราะฤทธิ์เดชที่มีสูญสิ้น ไม่อาจรักษาธาตุสี่ รูปกายให้คงเดิมได้อีกต่อไป

            ถ้าความอมตะไม่มีจริง ตนเพียรพยายามขนาดนี้เพื่ออะไร?

            พอสาวถึงต้นตอ พบคำตอบง่าย ๆ

            ...เพราะความ ‘เห็นผิด’...

            หลงเชื่อผิด ๆ ว่าตนเก่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด มากความสามารถจนไม่มีใครเทียบ คล้ายกบอยู่ในกะลา...กะลาที่ตั้งชื่อสวยงามว่า ‘เมืองอมฤต’

            ขนาดพระพุทธเจ้าที่เหล่าทวยเทพ มนุษย์ ยักษ์ ครุฑ นาคเคารพนับถือ มาตรัสรู้สั่งสอนสัตว์โลกโดยไม่แบ่งชนชั้น ตนก็ยังประมาทดูแคลนไม่สนใจ

            พอเกิดความเห็นผิดครั้งนั้นก็คิดผิด กระทำผิดตามมา ตัวเองไม่ศรัทธาไม่พอ ยังปิดกั้นศิษย์ในสำนักไม่ให้ได้มีโอกาสเรียนรู้ ฟังธรรม

            หากย้อนเวลาได้ เนวะนึกอยากฟังธรรมจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าสักครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าเหตุใดเหล่าทวยเทพ เหล่ามนุษย์ และผู้ยิ่งใหญ่ในสามโลกถึงเคารพศรัทธาพระองค์ขนาดนั้น

            ...แต่...คนอย่างเนวะ มีหรือจะเอ่ยปากพูดวาจาเช่นนี้ออกไป



            ตาอ่ำมองปราดเดียวอ่านความในใจอดีตผู้ทรงฤทธิ์ออก จึงขยับตัวเงยหน้ามองพระอาจารย์ราเมศว์อย่างคนรู้จังหวะเหมาะสม

            “ไหน ๆ ท่านอาจารย์ก็มาถึงที่นี่แล้ว นิมนต์เทศน์ให้คนใกล้ตายฟังสักกัณฑ์เถอะครับ”

            ผู้ทรงศีลก้มมอง ‘ลูกศิษย์จำเป็น’ ก่อนตอบ

            “ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไม่ยืนเทศน์ ขณะคนฟังนั่งอยู่” กล่าวอ้างตามพระวินัย

            “ได้ครับ เดี๋ยวกระผมจัดที่นั่งให้” ตาอ่ำพูดจบก็เพ่งยังผืนทรายด้านหลังพระภิกษุ

            แท่นหินขาวโพลนผุดขึ้นจากผืนทรายช้า ๆ เป็นแท่นสะอาดตา ปูผ้าอาสนะรองนั่งเหมาะสม สะดวกสบาย

            เนวะเบิกตามองอย่างสลดใจ ที่จริงก็รู้อยู่แล้วว่าผู้เข้ามาดินแดนนี้ได้ ความสามารถย่อมไม่ธรรมดา

            ทว่า...พอเห็นผู้อื่นแสดงฤทธิ์ต่อหน้า ขณะตนไร้สิ้นพิษสง เหลือเพียงจิตสัมผัสเล็กน้อย อีกทั้งอยู่บนทางแยกความเป็นความตาย ใจเกิดความหดหู่ อัตตาความถือดีลดลงมากมาย

            มือถือขวดยาถอนพิษกำแน่น เลือกไม่ถูกควรดื่มหรือโยนมันทิ้ง

            พระอาจารย์ราเมศว์นั่งบนแท่นเรียบร้อย ตาอ่ำคุกเข่าตั้งกระทู้ธรรมถาม

            “ในตำราบอกเล่าถึงการแสดงฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกจำนวนมาก ท่านอาจารย์ยกย่องปาฏิหาริย์ใดของพระพุทธองค์ว่าเป็นเลิศที่สุด”

            ตั้งกระทู้คมคาย ซ่อนความมุ่งหมายลึกซึ้ง

            ผู้ตอบอ่านใจออกว่าผู้พูดมีเจตนาแฝงใด

            “เทศนาปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์ นับเป็นปาฏิหาริย์อันเลิศสุดสำหรับอาตมา”

            “เพราะอะไรหรือครับ”

            “คำเทศนาขององค์พระสัพพัญญูนั้น สามารถชี้ทางให้เหล่าสรรพสัตว์ได้เกิดความ ‘เห็นถูก’ พ้นทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก”

            “การไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ถือว่าถึงฝั่งอมฤต เป็นอมตะได้หรือไม่ครับ” ตาอ่ำจงใจตั้งคำถามให้คนใกล้ตายได้ฟังชัด ๆ

            ผู้ทรงศีลได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มละไม

            “สำหรับอาตมา...อมฤต...หรือ อ-มฤตยู ไม่ได้มีความหมายว่า เป็นผู้มฤตยูเข้าไม่ถึง...เป็นผู้ไม่ตาย หรือเป็นบุคคลอมตะ...”

            วาจานี้ทำให้เนวะเงี่ยหูตั้งใจฟังเต็มที่

            “สรรพสัตว์ในวัฏสงสารเกิดแล้วต้องตายไม่มีเว้น เพียงแต่จะตายช้าตายเร็วต่างกันเท่านั้น...ฝั่งอมฤตที่แท้ ไม่ใช่ความไม่ตาย...แต่เป็นการไม่ต้องมาเกิดอีกต่างหาก!”

            ท้ายประโยคสร้างแรงสะเทือนในใจเนวะอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

            “พระพุทธเจ้าทรงมาสั่งสอนสรรพสัตว์ในเรื่อง...การที่ไม่ต้องมาเกิดอีกใช่มั้ยครับ” ตาอ่ำถาม

            “ท่านสอนเรื่อง ‘ทุกข์’ และ ‘การดับทุกข์’” พระภิกษุกล่าวให้ชัดตรงขึ้น

            “ถ้าเช่นนั้น เทศนาปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ที่ท่านอาจารย์ยกย่อง คือพระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์ตรัสจบแล้ว ผู้ฟังเกิดดวงตาเห็นธรรม พ้นทุกข์ไม่ต้องเกิดอีกใช่มั้ยครับ”

            “ว่าอย่างนั้นก็ได้” ผู้ทรงศีลตอบ

            “ท่านอาจารย์พอจะยกตัวอย่างเทศนาธรรมของพระพุทธองค์ในลักษณะเช่นนี้ ให้ฟังสักกัณฑ์ได้มั้ย”

            “ได้สิ”

            พระภิกษุกับลูกศิษย์ ฝ่ายหนึ่งถาม ฝ่ายหนึ่งตอบ อย่างรู้จุดประสงค์แท้จริงพวกตนคืออะไร

            เนวะไม่มีแรงต่อต้านคัดค้าน ทำได้เพียงนิ่งฟัง มองพระสงฆ์บนแท่นโดยไม่อาจหลบสายตาไปไหน

            พระอาจารย์ราเมศว์เหลือบมองคนเจ็บอีกฟาก เห็นพันเกลียวใช้พลังจิตกระตุ้นฤทธิ์ยาเพิ่งเสร็จ จิตใจอยู่ในสมาธิสงบพร้อมฟังเทศน์ พยุหะ รอยเธียรนั่งขัดสมาธิอย่างอ่อนแรง พอรู้สึกตัวบ้าง มัชฌิมานั่งอยู่ด้านข้างคอยประคองป้องกันไม่ให้ล้ม

            พอเห็นทุกคนในสถานที่แห่งนี้พร้อมรับฟังธรรมะแล้ว พระภิกษุจึงเอ่ยปาก กล่าวพระธรรมเทศนา ทวนวาจาแห่งพระพุทธองค์

            “พระธรรมบทนี้ พระพุทธเจ้าทรงเทศนาโปรดแก่ท่านพาหิยะ ณ ริมถนน กลางกรุงสาวัตถี เมื่อเทศน์จบ ท่านพาหิยะก็เข้าใจธรรมะ ดวงตาเห็นธรรม พ้นทุกข์...พระธรรมเทศนานั้นมีเนื้อความว่า...

            ...ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า...

            ...เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟัง จักเป็นสักว่าฟัง...

            ...เมื่อทราบ จักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้ง จักเป็นสักว่ารู้แจ้ง...

            ...ดูกรพาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล...

            ...ดูกรพาหิยะ ในการใดแล...

            ...เมื่อเธอเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟัง จักเป็นสักว่าฟัง...

            ...เมื่อทราบ จักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้ง จักเป็นสักว่ารู้แจ้ง...

            ...ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มี...

            ...ในกาลใดเธอไม่มี...ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มีในโลกนี้...

            ...ย่อมไม่มีในโลกหน้า...ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง...

            ...นี่แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ฯ...

            คำเทศนาจบบท ความเงียบสงัดอันน่าประหลาดเกิดขึ้น

            เนวะพิจารณาเนื้อธรรมที่ได้ยิน ไม่มีความเข้าใจใด ๆ นึกสงสัยว่า...เป็นไปได้หรือเพียงชั่วธรรมจบบทจะทำให้ผู้ฟังบางคนมีดวงตาเห็นธรรม พ้นทุกข์ตามลำดับได้

            ความสงสัยไม่ทันสิ้นกระแส จิตสัมผัสอันเบาบางของเนวะสัมผัสรู้ถึงปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดกับสตรีกลางคนที่นั่งอยู่ห่าง ๆ

            เขาเคยพบผู้หญิงคนนี้สองครั้ง...ครั้งแรกที่โรงพยาบาล ไม่เห็นหน้ากัน ครั้งสองตามไปที่บ้าน พบว่าจิตเธอมีความแปลกบางอย่างซึ่งไม่เคยพบจากใครมาก่อน

            ครั้งที่สามคือคราวนี้ เนวะสัมผัสถึงความแปลกเปลี่ยนจากจิตเธอทันทีที่คำเทศนาจบบท




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พันเกลียวออกจากบ้านมาอยู่วัดป่าเงียบ ๆ ไม่ค่อยแสดงตัวให้ใครเห็น จนกระทั่งตาอ่ำแวะมาบอกว่าหลานสาวมีเรื่องขอความช่วยเหลือ จึงนัดหมายเวลาก่อนเตรียมตัวเดินทาง

            ก่อนเข้าเมืองอมฤตท้องฟ้ายังมืดมิด พอย่างผ่านประตูมิติบรรยากาศเปลี่ยนราวกับเป็นคนละโลก แต่เธอไม่ใส่ใจ คิดแค่งานที่ตั้งใจมาช่วยเท่านั้น

            พยุหะ รอยเธียรบอบช้ำหนัก พลังครุฑ-นาคทั้งหมดถูกทุ่มเทไปในการปะทะครั้งสุดท้าย ลมหายใจใกล้ขาดห้วง ยังดีที่มัชฌิมาให้ยาลูกกลอนต่อชีวิตก่อนแล้ว

            สตรีกลางคนรวบรวมสมาธิใช้พลังจิตแล่นผ่านปลายนิ้วสู่ฝ่ามือเข้าไปกระตุ้นฤทธิ์ยา ชักนำให้ซึมซ่านไหลเวียนตามอวัยวะสำคัญเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บสามสี่รอบ

            พอพวกเขาเริ่มรู้สึกตัว มีกำลังก็ปล่อยให้ฤทธิ์ยาทำงานเองโดยไม่ต้องควบคุม

            เวลานั้นพระอาจารย์ราเมศว์กำลังจะเทศนาสั่งสอนเนวะผู้ดื้อรั้น พันเกลียวจึงเข้าสมาธิสงบใจฟังด้วยจิตเคารพอยู่ห่าง ๆ ทำตัวเฉกเช่นคนนอก ไม่เกี่ยวกับเรื่องบาดหมางใด ๆ

            ทว่า...ขณะกระแสธรรมเริ่มต้น จิตก็เข้าไปจดจ่อเปิดรับทำความเข้าใจอย่างเป็นธรรมชาติ ตลอดเวลาที่ธรรมะถูกสาธยาย เธอแค่ภาวนาเฝ้าดูจิตตามธรรมเทศนานั้นโดยไม่คิดคาดหวังใด ๆ

            พอธรรมจบบท จิตก็รู้ตื่น เบิกบาน เข้าใจธรรมะสำคัญ ผ่านด่านอีกขั้นด้วยตัวของมันเอง

            หลังผ่านด่านเกินคาดหมาย ค่อยนึกย้อนทบทวนถึงกิเลสที่ละได้แล้ว เห็นกิเลสที่ยังเหลืออยู่...สามารถบอกตนเองได้ว่า...เหลืออีกแค่ด่านสำคัญสุดท้ายด่านเดียว ก็จะจบงาน...สิ้นภาระทั้งปวงอย่างแท้จริง

            หวนนึกย้อนใคร่ครวญ ค่อยเข้าใจชัด...ธรรมเทศนาที่พระอาจารย์ราเมศว์แสดงออกมานั้น ไม่ได้มีเจตนาสั่งสอนชี้นำเนวะ...แต่ตั้งใจเกื้อกูล เอื้อประโยชน์แก่เธอโดยเฉพาะต่างหาก




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พยุหะ รอยเธียรเริ่มรู้สึกตัวหลังจากพันเกลียวถอนปลายนิ้วจากฝ่ามือ ลืมตามองเห็นมัชฌิมายิ้มให้อย่างปลอดภัยไม่มีริ้วรอยบาดเจ็บ ใจค่อยคลายลง

            พอเห็นพระอาจารย์ราเมศว์ ตาอ่ำ พันเกลียวอยู่ที่นี่ด้วยก็นึกสงสัย ไม่มีเรี่ยวแรงไถ่ถาม ทำได้แค่พยายามขยับตัวนั่งขัดสมาธิไม่ให้เป็นภาระใคร

            ขณะพระธรรมเทศนาถูกสาธยายหนุ่มสาวทั้งสามสงบใจฟังด้วยจิตเคารพในธรรม

            กระทั่งเทศนาจบบท สัมผัสได้ถึงดวงสว่างอย่างรู้ตื่นจากจิตพันเกลียวแผ่มากระทบ

            ในหัวแว่วเสียงสาธุการดังลั่นเปรียะไกล ๆ คล้ายลอยมาจากสรวงสวรรค์ เกิดขนลุกซู่ปีติท่วมท้น

            ทั้งสามยกมือพนมกล่าววาจา ‘สาธุ’ พร้อมกันโดยไม่นัดหมาย

            ใจเต็มตื้นยินดีอย่างบอกไม่ถูก ปีติเอ่อขึ้นมาจนน้ำตาไหลพราก น้อมอนุโมทนาต่อความสว่าง รู้ตื่นของบุคคลที่อยู่ใกล้ ต่อให้ไม่เข้าใจว่าปรากฏการณ์นั้นคือเรื่องราวใด ความสุขในใจก็ขยายตัวแผ่กว้างราวกับต้องการให้คนทั้งโลกร่วมรับรู้ยินดีด้วยเช่นกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP