วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อมฤต ๓๗
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
เที่ยงคืนประตูมิติเปิด
พยุหะส่งสัญญาณบอกให้คู่หูรับรู้ ทั้งสองยกมือไหว้ผู้เฒ่าก่อนหายวับจากลานหิน
ตาอ่ำเงยหน้ามองท้องฟ้า นัยน์ตาฉายรอยกังวลเล็กน้อย
เวลานี้แกทำตามข้อความในจดหมายสามอย่างแล้ว
ข้อแรก...อัญเชิญองค์มหาครุฑ ข้อสอง...ทำลายจดหมายทันทีที่อ่านจบ และข้อสาม...เตือนพยุหะ รอยเธียรเรื่องกับดักข้างใน
นอกจากนี้ยังมีข้อความขอร้องให้แกช่วยเรื่องอื่นอีก
พอคิดถึงหญิงสาวผู้เขียนจดหมาย ใบหน้าผู้เฒ่าก็ผุดรอยยิ้มเอ็นดู
การมีญาณหยั่งรู้อนาคตอย่างเดียว ไม่พอที่จะทำให้เขียนข้อความเหล่านั้นได้ ต้องมีความฉลาดรอบคอบในการวางแผนจัดการด้วย
หนำซ้ำเจ้าตัวต้องกล้าหาญยอมเสี่ยงเผชิญหน้าศัตรูร้ายอย่างไม่พรั่นพรึง
การเห็นอนาคตด้วยญาณหยั่งรู้แบบห่าง ๆ กับการเข้าไปเผชิญเหตุการณ์ด้วยตัวเองมันเป็นคนละเรื่องกัน
หากไม่มีใจเด็ดเดี่ยวพอย่อมกระทำไม่ได้
หลังเที่ยงคืนไม่กี่นาทีประตูมิติปิด
ตาอ่ำลุกจากลานหิน ลงเขา...มีภารกิจให้กระทำหลังจากนี้เช่นกัน
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ก่อนย่างเข้าเมืองอมฤต ตาอ่ำเตือนให้ระวังกับดัก
พยุหะ รอยเธียรมองหน้ากัน ที่เห็นอยู่นี้ไม่น่าใช่ ‘กับดัก’ แต่ควรเป็น ‘กองทัพ’ ที่เตรียมพร้อมสรรพไว้ต้อนรับพวกตนมากกว่า
มองลงไปจากจุดที่ยืนจะเห็นเมืองในหุบเขาสงบเป็นระเบียบ ทว่าเบื้องหน้ากลับเรียงรายด้วยเหล่าภูตผีใบหน้าถมึงทึง ร่างใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นจำนวนนับพันนับหมื่นยืนเป็นแถวตลอดถนนสายยาว และเต็มสองฟากแนวป่าแลดำครืดไปหมด
หากพวกมันอยู่ในโลกปกติจะเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อน ทำอะไรใครไม่ได้นอกจากปรากฏกายวอบแวบให้คนขวัญอ่อนตกใจ พอเป็นสมาชิกเมืองอมฤตกลับเหมือนจะมีเลือดเนื้อ พละกำลัง ฤทธิ์เดช ตั้งกองทัพบดขยี้ผู้บุกรุกทั้งสองไม่ยากเย็น
นั่นด้วยอาคมเนวะ และธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่อาจารย์มิ่งนำมาผสานเสริมให้พวกมันแกร่งกล้า สร้างเป็นนักรบหวังสยบอดีตครุฑนาคให้อยู่มือ
พยุหะกวาดนัยน์ตาคมกริบมองกองทัพที่ตั้งประจันหน้า หันมาถามคู่หูด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“เลือกฝั่งซ้ายหรือขวา”
“ขวา” รอยเธียรตอบพร้อมมองศัตรูด้านตนเอง
“งั้นผมเลือกทางซ้าย” อดีตครุฑพูดจบก้าวนำหน้า เดินตรงเข้าหากองทัพปิศาจอย่างไม่หวั่นเกรง
อดีตนาคายิ้มน้อย ๆ ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับอีกฝ่าย เพียงแค่ยืนนิ่งมองกองทัพฝั่งที่ตนรับผิดชอบ ประเมินด้วยสายตาแล้วผิวปากเบา ๆ
เสียงหวีดหวิวดังจากริมฝีปากชายหนุ่ม พญานาคาลำตัวขนาดท่อนซุงผุดขึ้นเบื้องหน้าเป็นฝูง เลื้อยปราดเข้าจู่โจมผู้ตั้งตนเป็นอริทันทีโดยไม่ต้องออกคำสั่ง
แกร้ก แกร้ก แกร้ก สรรพเสียงอื้ออึงเลื่อนลั่นจากฟากฟ้า ปักษาเพลิงจำนวนมหาศาลปรากฏตัวขึ้น บินเกาะกลุ่มเป็นฝูงมหึมาเหนือศีรษะพยุหะ แล้วพุ่งโฉบเข้าใส่ภูตผีร่างยักษ์อย่างไม่รั้งรอ
ทัพภูตผีด้านขวาปะทะกับฝูงพญานาคาที่รอยเธียรเสกสร้างขึ้น สองฝ่ายปะทะรุนแรง เหล่านาคาบุกไปทางไหนกองทัพภูตผีล้วนกระเจิดกระเจิง
ขบวนปักษาเพลิงก่อรูปจากพลังพยุหะ บินโจมตีฝั่งซ้ายสะบัดปีกโปรยพิรุณอัคคีติดร่างพวกมันจนมอดไหม้ร้องโอดโอยกันระงม เสียงวิ่งหนีหลบหลีกดังสะเทือนเลื่อนลั่นทั้งเมือง
นั่นเพียงยกแรกแห่งการประจันหน้า กองทัพปิศาจไม่ทันคาดว่าสองหนุ่มมีพลังสูงส่งขนาดนี้ พอมันปรับขบวนใหม่ได้แรงเสริมจากผู้อยู่เบื้องหลังก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น มีอาวุธพิสดารเข้าต่อต้าน รุกรบอย่างพอสมน้ำสมเนื้อ
การต่อสู้สองฟากระหว่างกองทัพปิศาจกับปักษาเพลิงและพญานาคาดำเนินไปอย่างดุเดือด เหล่าปักษาโดนอาวุธตีโต้ร่างก็ดับหาย แต่ปรากฏขึ้นใหม่อีกสามสี่เท่า พญานาคาโดนกลุ้มรุมเท่าใด พลังในตนยิ่งเพิ่มพูนต่อสู้โดยไม่มีลางพ่ายแพ้
ผลจากการสัประยุทธ์ทำให้ป่าไม้ข้างทางราบเตียน ถนนข้างหน้าเกลื่อนกล่นด้วยซากฝูงปิศาจ
พยุหะ รอยเธียรเดินอ้อมร่างพวกมันช้า ๆ มุ่งหน้าเข้าเมือง ระหว่างทางยังมีปิศาจร่างใหญ่ทะมึน สูงราวห้าหกฟุตถือดาบเล่มใหญ่กรูมาฟาดฟันทำร้าย พอเข้าใกล้ไม่เกินสองเมตรคล้ายปะทะกำแพงไร้รูปต้องกระเด็นไกล
รอบร่างสองหนุ่มก่อเป็นรัศมีบาง ๆ ป้องกันไม่ให้ใครลอบจู่โจมทำร้าย และไม่ยอมเสียเวลารับมือเหล่าสมุนภูตผีตัวใหญ่ฝีมืออ่อนด้อยทั้งหลาย
พอพ้นเขตป่าเข้าใกล้เมือง เสียงต่อสู้เงียบหาย ฝูงปิศาจ ภูตผีบาดเจ็บต่างเร้นกายหนีหายไม่ยอมสู้ต่อ ฝูงนาคาหายวับเมื่อหมดหน้าที่ ปักษาเพลิงโบกบินวนรอบภูเขาดูภูมิประเทศ สำรวจผลการต่อสู้ จนแน่ใจไม่มีการซุ่มโจมตีก็เลือนหายไปเช่นกัน
สมรภูมิดุเดือดเมื่อครู่กลายเป็นแค่ฉากสั้น ๆ ไม่ต่างจากภาพลวงตา
สองหนุ่มแทบไม่พูดจากัน สติ สมาธิพร้อมพรักเตรียมรับมือเหตุไม่คาดฝัน กับดักแท้จริงยังไม่แสดงตัวออกมา
ย่างเท้าเข้าเมืองมองเห็นกระท่อมบ้านเรือนหลายหลังเรียงรายเป็นระเบียบ บรรยากาศเงียบวังเวง อากาศเย็นยะเยือกผิดกับความร้อนแรงในสมรภูมิที่ผ่านมา
กวาดตาสำรวจ แผ่จิตสัมผัสออกกว้าง เปิดรับคลื่นแปลกปลอมผิดปกติก่อนมันจะแสดงตัวตน
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” เสียงแหบเครือไร้เรี่ยวแรงของชายชราดังลอดออกมาจากกระท่อมใกล้ ๆ
ชายทั้งสองหันมองทางต้นเสียง
กระท่อมหลังนั้นยกพื้นสูงประมาณเอว ประตูหน้าต่างปิดสนิท มีเสียงขยับตัวแกรกกรากเบา ๆ คล้ายคนหมดแรงใกล้ตาย
รอยเธียรสบตาพยุหะเป็นเชิงปรึกษา...ควรเข้าไปดีหรือไม่?
อดีตครุฑแค่ดีดนิ้วเบา ๆ ปรากฏสกุณาตัวน้อยบินลอดเข้าไปในกระท่อมหลังนั้น
พรึบ...ฟู่ พอมีสิ่งแปลกปลอมเข้าข้างใน กระท่อมทั้งหลังก็ติดไฟลุกโพลงขึ้นมาเองโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
แสงเพลิงสีส้มแดงอาบใบหน้าสองหนุ่มเป็นเงาละเลื่อม ขับเน้นดวงตาคมกล้า แน่วแน่ผิดเคย
ทั้งสองเดินต่อไม่ใส่ใจ ปล่อยพระเพลิงเผาผลาญจนมอดไหม้อยู่เบื้องหลัง กระท่อม บ้านเรือนหลังอื่นที่เรียงรายต่อมาก็ยังมีเสียงร้องเรียก ขอความช่วยเหลือดังไม่ขาดสาย
จุดประสงค์ของมันไม่ได้หวังล่อลวงให้เข้าไปติดกับดักข้างใน แค่ตั้งใจทำลายสติสมาธิจนไขว้เขว วุ่นวาย กระทั่งกระตุ้นโทสะในใจเพื่อจะได้ขาดสติตัดสินใจผิดพลาด
ยิ่งเข้าเมืองอากาศเย็นลงเป็นเรื่อย ๆ ท้องฟ้าสว่างแต่แสงที่ส่องกลับหม่นมัว ซีดจางเสมือนโดนม่านบางอย่างครอบคลุมบดบังไว้
“พี่ลุย คุณพายุ” น้ำเสียงใสคุ้นหูดังจากเรือนไม้ข้างทาง
สองหนุ่มหันไปมอง พบมัชฌิมานั่งอยู่หน้าระเบียงเรือนไม้ กวักมือเรียกพวกตนด้วยท่าทางอิดโรย เหน็ดเหนื่อย
“พี่ลุยช่วยมาด้วย” กระแสเสียงเว้าวอนอ่อนล้า
พยุหะเมินหน้าไม่สนใจ หันกลับกำลังจะเดินจากไป
“คุณพายุอย่าเข้าไปในเมือง มันเป็นกับดัก”
เจ้าของนามทำเสียงดังเฮอะในลำคอเบา ๆ ก่อนเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่เหลือบแล รู้เสียแล้วว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นเพียงร่างแปลง ไม่ใช่คนที่ตนตั้งใจมาช่วยเหลือจริง ๆ
รอยเธียรยังไม่หันกลับทันที สังเกตเห็นแววแปลก ๆ ในดวงตาหญิงสาว ทันทีที่พยุหะแสดงท่าไม่สนใจ ประกายตานั้นก็แดงโร่น่ากลัว
“คุณพายุระวัง” อดีตนาคาร้องเตือนพร้อมก้าวออกไปขวางเบื้องหน้า
หญิงสาวบนเรือนไม้กระโจนตัวมาอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ร่างเธอแปรเปลี่ยนเป็นเสือขนาดใหญ่ตัวเกือบเท่าม้า พุ่งจู่โจมไม่ทันให้ตั้งตัว
รอยเธียรสะบัดมือเบา ๆ เพลิงพิษแห่งนาคาพุ่งเป็นลำสีส้มแดงเข้าใส่พยัคฆาทันท่วงที
โฮกกก...พรึบ...เสียงขู่คำรามดังเพียงครู่เปลวไฟก็ลุกท่วมร่างมัน น้ำเสียงนั้นกลายเป็นร้องลั่นอย่างคาดไม่ถึง
พยัคฆาลายพาดกลอนมอดไหม้ในพริบตา รอยเธียรแปลกใจที่ไม่ได้ยินเสียงขยับตัวของพยุหะ พอหันกลับไปค่อยทราบว่าคู่หูกำลังเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ร้าย หนำซ้ำมากกว่าตนหลายเท่า
เสือลายพาดกลอนจำนวนนับสิบยืนเรียงหน้ากระดานพร้อมพุ่งเข้าใส่ แววตาอดีตครุฑทอประกายกล้าฉายรังสีสยบมันไว้ชั่วขณะ ทว่าพลังสะกดเสือทำได้ไม่นานนัก
รอยเธียรก้าวมายืนเคียงข้างเตรียมใช้เพลิงพิษนาคาเข้าช่วย ผู้สะกดเสือยกมือห้ามเป็นเชิงบอกไม่ต้องยุ่ง ก่อนปลดมวยผมตนลงมา ปล่อยเส้นผมยาวเคลียบ่า ทั้งร่างเปล่งพลังไร้รูปชวนสะพรึง
ปลายผมแต่ละเส้นคล้ายมีประจุไฟฟ้า ส่องแสงสีเงินแวบ ๆ ดูเหมือนขยับเขยื้อนมีชีวิต
พยุหะถอนอำนาจสะกด เหล่าพยัคฆาทั้งหลายแยกเขี้ยวคำรามกร้าวกระโจนเข้าใส่พร้อมเพรียง
ทันใดนั้น...เปรียะ เปรียะ เปรียะ...ปลายผมแต่ละเส้นเปล่งแสงสีเงินออกมาไม่ต่างจากฟ้าผ่า พุ่งเข้าใส่ทีหลังแต่บรรลุถึงตัวสัตว์ร้ายทั้งหลายก่อน
โฮกกกก...เสือลายพาดกลอนทั้งฝูงกระเด็นไกลบ้างสลบแน่นิ่ง บางตัวรับบาดเจ็บสาหัส อย่างเบาก็ลากขากะเผลกไม่กล้าบุกเข้ามาเป็นคำรบสอง
รอยเธียรมองสภาพพวกมันแล้วหันมายิ้มให้กับเพื่อนร่วมต่อสู้
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าไว้ผมยาวก็มีประโยชน์เหมือนกัน” พูดพลางลูบผมสั้นเกรียนของตน
พยุหะสบตาคู่หู คร้านสนใจวาจาหยอกล้อที่อีกฝ่ายตั้งใจพูดเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดรอบตัว
“ไปเถอะ...ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว” พูดจบเดินนำหน้า
“ความตั้งใจจนระวังตัวเกินไป อาจเป็นจุดอ่อนได้นะ” คนเดินตามพูดลอย ๆ
พยุหะกะพริบตารู้สึกตัว มองเห็นจิตตนเกิดความตึงเครียด จริงจังจนคล้ายมีกระแสโทสะห่อหุ้มอยู่ตลอดเวลา ขณะอีกฝ่ายดูเหมือนปล่อยกายปล่อยใจ ใช้สัญชาตญาณออกรับรู้อย่างเดียว จิตกลับเป็นธรรมชาติผ่อนคลายมากกว่า
หากเผชิญหน้าศัตรูฝีมือสูงส่งเช่นเนวะยามนี้ ตนเองน่าจะมีโอกาสพลาดพลั้งสูง
อดีตครุฑระบายลมหายใจยาว ผ่อนคลายตนเอง เพียงแค่มีสติเห็นกระแสโทสะห่อหุ้มจิตชัด ความตึงเครียดนั้นก็เริ่มเบาบางลงโดยไม่ต้องบังคับฝืนใจ
สองหนุ่มเดินช้า ๆ ไม่ตึงเครียดจนเกร็ง ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจจนเข้าขั้นประมาท แต่ละก้าวจึงเหมือนเดินพักผ่อน ออกกำลังกาย รอบตัวบังเกิดกระแสพลังงานหมุนวนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
สุดปลายถนนเบื้องหน้ามองเห็นสถานที่ใหญ่โตกว้างขวาง กำแพงสูงล้อมรอบ ประตูด้านหน้าแข็งแรงเปิดกว้าง ด้านบนติดป้ายตัวใหญ่...สำนักอมฤต
รอยเธียร พยุหะหยุดยืนหน้าประตู หูสดับฟังเสียง นัยน์ตากวาดมองด้านใน สัมผัสแห่งจิตแผ่ออกสำรวจรับรู้อย่างละเอียด
ภายในสำนักเงียบกริบปราศจากเสียงใด ๆ นัยน์ตาสองคู่มองเห็นเพียงต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ตัวตึกอาคารตั้งวางเป็นระเบียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ใบไม้สงบนิ่งไม่ไหวติง บ่อน้ำหน้าอาคารต้อนรับไม่มีรอยกระเพื่อม กระทั่งเงาผู้คนวอบแวบแอบซ่อนก็ไม่มี
สัมผัสพิเศษแห่งจิตแผ่กว้างครอบคลุมทั่วบริเวณ รับรู้แค่ความว่างเปล่าเหมือนสำนักร้าง เรือนว่าง ไม่มีบุคคลที่ตามหา ไม่มีกระทั่งศัตรูคอยซุ่มโจมตี
มันเงียบจนเหลือเชื่อ วังเวงจนไม่แน่ใจ สัมผัสแห่งจิตตนหลอกลวงหรือภายในไม่มีผู้คนจริง ๆ
ทั้งสองสบตาปรึกษากันอีกครั้ง...ที่นี่คือคุกคุมขังมัชฌิมา หรือกับดักล่อลวงพวกตนกันแน่
เพียงครู่เดียวได้คำตอบ...จะเป็นที่ไหนก็ช่าง ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือหรือ?
สองหนุ่มก้าวเข้าสำนักอย่างไม่เกรง เดินไปจนถึงบ่อน้ำหน้าอาคารต้อนรับแล้วหยุดยืนนิ่ง...ได้รับคำตอบที่สงสัยทันที
ครืด...ครืด...ครืด...
บทที่ ๒๗
ภายในสำนักเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง ต้นไม้ ตัวตึกสามารถเลื่อนไปมา หนำซ้ำแปรสภาพเป็นอื่นได้
เสียงครืด ครืด ครืดดังลั่นราวสิบกว่าครั้ง สำนักอมฤตที่เห็นกลายสภาพเป็นเขาวงกต กักสองหนุ่มไว้ตรงกลางไม่เหลือกระทั่งร่องรอยบ่อน้ำที่เคยอยู่ตรงหน้า
รอบกายเป็นผนังหินแข็งแกร่งสูงละลิบเรียงยาวเป็นแนว เปิดทางเล็ก ๆ พอให้เดินเรียงหนึ่งแบบหลวม ๆ เส้นทางข้างหน้าดูคดเคี้ยววกวน มีทั้งทางออกและทางตันเป็นกลลวงให้หลงวนเวียนไปไหนไม่ได้
นิมิตภาพรวมสถานที่แห่งนี้ปรากฏในหัวสองหนุ่มชั่วแวบ แสดงถึงเส้นทางเหมือนด้ายพันกันยุ่งเหยิงเกินปัญญาสะสางออก ต่อให้มองจากข้างบนลงมาก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร
มันเป็นเขาวงกตสุดซับซ้อนชวนให้จนปัญญาจริง ๆ
จิตสัมผัสพยุหะ รอยเธียรกระทบเข้ากับจิตอันเบ่งพองยินดีจนคับอกของผู้ควบคุมเขาวงกตแห่งนี้ได้ชัด
ดวงจิตผู้นั้นไม่แกร่งกล้ามากฤทธิ์เดชเท่าเนวะ เทียบกับคนธรรมดาทั่วไปอาจอยู่ในระดับอาจารย์เจ้าอาคมผู้หนึ่ง
ยามนี้ผู้ควบคุมกลไกเขาวงกตกำลังดีใจที่แผนการสำเร็จ เห็นว่ามันสมองตนแหลมคมยิ่ง เส้นทาง อุปสรรคที่ผ่านมาเป็นแค่การล่อลวงให้หลงเชื่อว่านั่นเป็นด่านขัดขวางอันร้ายกาจมากแล้ว
ทว่า...นี่คือกับดักอันแท้จริง...กับดักที่รอจนพวกเขาคลายใจ คิดว่ามาถึงจุดคุมขังมัชฌิมาเรียบร้อย ต่อให้รู้ว่ามีอันตรายรออยู่ข้างในก็ยังกล้าบุกเข้ามาอยู่ดี
กับดักนี้สร้างภาพเบื้องหน้าเป็นสำนักอมฤต อำนาจพิเศษสองหนุ่มตรวจสอบไม่พบสิ่งผิดปกติเหมือนเรือนว่าง นั่นยิ่งสร้างความสงสัย เร้าใจอยากย่างเท้าเข้ามาพิสูจน์
หารู้ไม่...นอกจากไม่พบบุคคลต้องการช่วยเหลือ กลับพลาดพลั้งกลายเป็นเชลยเสียเอง
กระแสความยินดีเบ่งพองคับอก ย้ำความเป็นตัวตน จนเชลยทั้งสองเห็นภาพใบหน้าผู้ควบคุมชัดเจนในหัว...รู้ว่าเป็นใคร...ควรจัดการอย่างไร
“เอาไงดี” รอยเธียรถาม “ผนังหินสูงขนาดนี้ปีนขึ้นไปไหวมั้ย”
“ไม่คิดจะเดินหาทางออกง่าย ๆ บ้างเหรอ” พยุหะย้อน
“สามวันจะออกไปได้มั้ยล่ะ” คนพูดมีอารมณ์หยอกล้อ “ถ้าผมมีปีกคงบินหนีออกไปแล้วล่ะ”
แกล้งพูดใส่เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงอดีตพญาครุฑ อาจบินออกไปได้จริง ๆ
“ถ้าผมบินออกไปได้จะหิ้วคุณไปด้วยแล้วกัน”
พยุหะพูดเหมือนไม่เห็นเขาวงกตอยู่ในสายตา
ตึง! จบคำพูด บังเกิดแผ่นผลึกใสขนาดใหญ่เลื่อนมาปิดทับเขาวงกตด้านบน แสดงให้ทราบชัด...ต่อให้มีปีกก็บินหนีไม่ได้
“ไม่น่าบอกว่าจะบินหนีเลย ผู้คุมนี่หูไวเนอะ รีบปิดทางออกเราซะแล้ว” รอยเธียรยังอารมณ์ดี
“ถ้าเป็นเนวะคงไม่คิดอะไรโง่ ๆ อย่างหาของมาปิดบนเขาวงกตนี่หรอก น่าจะเป็นลูกน้องไร้ฝีมือของมันมากกว่า” พยุหะตอบวาจาคู่หู
“นั่นสิ เขาถึงบอกว่าคนเรายิ่งแก่ สมองไม่แล่นฉิวเหมือนหนุ่ม ๆ แล้ว” อดีตนาคาจงใจยั่วยุ
“มันก็ไม่ทุกคนหรอก คนแก่ที่น่านับถือ สติปัญญาฉลาดเฉลียวมีเยอะแยะ แต่ที่เยอะกว่าน่าจะเป็นคนแก่กะโหลกกะลา หลงเคารพนับถือคนโง่ที่คิดว่าตัวเองจะไม่ตาย...ชีวิตเป็นอมตะจริง ๆ”
นานครั้งหรอกพยุหะจะกล่าววาจาเชือดเฉือนใครยืดยาวขนาดนี้
“เงาหัวพวกเอ็งจะขาดอยู่แล้ว ยังกล้าปรามาสท่านเนวะอีก”
เสียงกระหึ่มดังลั่นเขาวงกต บอกให้รู้ว่าผู้ควบคุมเกิดโทสะจนไม่อาจข่มอารมณ์ได้อีกต่อไป
รอยเธียรผุดรอยยิ้มเยือกเย็น ประกายตาฉายวับ...จิตสัมผัสตรวจสอบหาที่อยู่ผู้ควบคุมกลไกเขาวงกตตลอดเวลาอยู่แล้ว พออีกฝ่ายเผลอหลุดปากบอกจุดที่ซ่อนตัวอย่างนั้น ก็รีบหันไปทิศทางที่มั่นใจ สะบัดมือเบา ๆ แสงสีส้มแดงพุ่งจากปลายนิ้วเป็นลำยาวเหยียดคล้ายงูพระเพลิง เลื้อยซอกซอนตามทางอย่างรวดเร็ว
พยุหะดีดมือเบา ๆ เส้นสีเงินยวงแผ่จากปลายนิ้วไล่ตามงูพระเพลิงโดยไม่รั้งรอ
โอ๊ยยย...เสียงร้องดังลากยาวอย่างเจ็บปวด ก่อนมีการดิ้นรนต่อสู้เอาตัวรอด งูพระเพลิงกับพลังครุฑเผชิญหน้ากับอาคม อิทธิฤทธิ์ผู้ควบคุมกลไก ต่อสู้กันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อนชั่วขณะหนึ่ง บอกให้ทราบว่าอีกฝ่ายก็มีฝีมือไม่ธรรมดา ทว่าพลังอดีตครุฑและนาคายามนี้สูงส่งปานใด ผลงานที่ผ่านมาย่อมแสดงให้รู้อยู่แล้ว
สุดท้ายสรรพเสียงเงียบลงในเวลาไม่นาน
กลไกถูกเปิด...ครืด ครืด ครืด...แผ่นผลึกใสด้านบนถูกเลื่อนออก ผนังหินผลุบหาย กับดักเขาวงกตกลายเป็นพื้นดินโล่งอยู่ข้างถนนสายหลัก
อาจารย์มิ่งโดนเพลิงนาคา เส้นพลังครุฑมัดไว้แน่นหนา สีหน้าเจ็บแค้นไม่ยินยอมพร้อมใจ
“มัชฌิมาอยู่ที่ไหน” พยุหะถามทันที
เจ้าอาคมนิ่งไม่ตอบ วงรัดพญาครุฑมัดแน่นกว่าเดิม ส่งกระแสเสมือนไฟฟ้าแรงสูงแล่นผ่านสร้างความเจ็บปวด
ร่างชรากระตุกเฮือก ขบริมฝีปากแน่นไม่ยอมหลุดเสียงแสดงความเจ็บปวดออกมาต่อหน้าศัตรู
นัยน์ตาอดีตครุฑทอประกายโทสะ ตั้งใจเพิ่มความรุนแรงเข้าไปอีก
“เมืองอมฤตไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ หากันเองเดี๋ยวก็เจอ” วาจาเรียบ ๆ จากคนยืนข้างดังขึ้นเป็นการเตือนสติ
พยุหะชะงักหันมองคู่หู พบรอยยิ้มและแววตาซ่อนนัยรู้กันเฉพาะสองคน
“อาจารย์มิ่งแกแก่แล้ว อย่าไปคาดคั้นให้ลำบากใจเลย” คำพูดอดีตนาคาเหมือนเห็นใจแต่แทรกรอยเหน็บแนมเยาะหยันให้รู้สึก
วงรัดพญาครุฑดับหาย เพลิงนาคาหรี่แสงสลายตัวช้า ๆ เชลยลุกขึ้นยืนมองอย่างเจ็บแค้น รู้ว่าตนถูกสบประมาทหยามหน้าแต่ตอบโต้ไม่ได้
“เมืองอมฤตไม่ใหญ่โตก็จริง แต่ถ้าคิดจะซ่อนใครสักคน ต่อให้หาเป็นปีก็ไม่เจอ” อาจารย์มิ่งอวดโอ่
“ลองดูมั้ยว่าพวกเราจะหาเจอหรือเปล่า” รอยเธียรถามกึ่งท้าทาย
“อาจจะเจอแค่ศพนังนั่นก็ได้” จงใจกล่าวยั่วโทสะ
ดวงตาพยุหะหรี่เรียวรู้ทันแต่ข้างในใจยังขุ่นเคือง
“ถ้าเนวะตั้งใจฆ่ามัชฌิมากับพวกเราจริง คงฆ่าทิ้งตั้งแต่ออกจากถ้ำนาคอำพรางแล้วมั้ง ไม่รอจนป่านนี้หรอก”
รอยเธียรเปิดโปงเจตนาศัตรูร้ายด้วยวาจาง่าย ๆ
“พาเราไปหามัชฌิมา” อดีตครุฑพูดเสียงเรียบแฝงความจริงจังน่ากลัว
“ทำไมกูต้องทำตามคำสั่งพวกเอ็งด้วย” อาจารย์มิ่งแสดงท่าถือดีไม่ยอมสยบ
“ที่คุมขังมัชฌิมากับที่ซ่อนเนวะน่าจะเป็นที่เดียวกันนะ” อดีตนาคาพูดยิ้ม ๆ “หรือว่าตอนนี้เนวะบาดเจ็บสาหัสจากพิษนาคราช ไม่กล้าพบหน้าพวกเรา”
คำพูดแรกว่าเจ็บแสบแล้ว วาจาชายหนุ่มนัยน์ตาดุอีกคนยิ่งแหลมคมกว่า
“คนอย่างเนวะคงไม่ขี้ขลาดสิ้นคิด จับผู้หญิงเป็นตัวประกัน หวังใช้เป็นโล่ไม่ให้พวกเราทำอะไรหรอกนะ”
พอวาจานั้นจบประโยค บังเกิดเสียงกระหึ่มดังเลื่อนลั่นทั่วเมืองอมฤต
“มิ่ง...พาพวกมันมาที่สำนักเดี๋ยวนี้!”
อาจารย์มิ่งสะดุ้งเฮือก ไม่คิดว่าผู้เป็นนายจะเกิดโทสะรุนแรงขนาดนั้น
ผู้ทรงฤทธิ์เช่นเนวะเกลียดการถูกหยามหยันที่สุด ไม่มีทางยอมถูกประณามว่าหลบเบื้องหลังสตรีเด็ดขาด
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
รอยแผลจากคมเขี้ยวนาคราชสมานเป็นเนื้อเดียวไม่มีร่องรอยให้เห็นแล้ว พิษอันร้ายกาจแทรกซึมทั่วบริเวณนั้นแต่ไม่สร้างความเจ็บปวดในเวลานี้
นั่นเพราะธาตุศักดิ์สิทธิ์และวิชาคงกระพันของเนวะช่วยบำบัดรักษา
‘ธาตุศักดิ์สิทธิ์’ ในถ้ำนาคอำพรางมีหลายชนิด สรรพคุณแตกต่างไม่เหมือนกัน ทุกชนิดล้วนทรงคุณค่าเสาะหายากเย็น ไม่เช่นนั้นอาจารย์มิ่งคงไม่เบิกตาโพลง คุกเข่ายอมเป็นข้ารับใช้เพียงแค่เนวะแสดง ‘ตัวอย่าง’ เล็กน้อยให้ดู
ด้วยอำนาจฌานอันแกร่งกล้า อาคมทรงฤทธิ์ตลอดสองพันกว่าปีได้ช่วยหล่อหลอม เพาะบ่มธาตุศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นให้มันบรรลุถึงสรรพคุณสูงสุดในตัวเอง ชนิดหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
เนวะมอบธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้อาจารย์มิ่งเพิ่มพูนกฤตยาคม ร่วมเสริมสร้างเมืองอมฤตแห่งใหม่ และยังใช้รักษาบาดแผล ถอนพิษนาคราชออกไปบางส่วน
ทว่า...พิษของสิงหานาคราชร้ายกาจเกินไป วิชาคงกระพันรวมกับธาตุศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สามารถถอนมันหมดทันที ต้องใช้เวลาร่วมปีกว่าจะรักษาหายขาด
ช่วงเวลานี้ทำได้เพียงสะกดอาการเจ็บปวด ให้พิษอยู่ในสภาวะสงบนิ่งไม่กำเริบ สภาพภายนอกจึงดูเหมือนปกติไม่มีอาการใดบอกว่าเคยบาดเจ็บ
แผนการเนวะระหว่างพักฟื้น ถอนพิษอย่างใจเย็นคือเสาะหาบุคคลผู้มีพรสวรรค์จำนวนมาก นำมาเป็นลูกศิษย์ในเมืองอมฤต กอปรสร้างเมืองในฝันให้กลับคืนมาอีกครั้ง
การดำเนินแผนกลับต้องชะงัก เมื่อมัชฌิมา...ศิษย์ทรยศไม่ยอมสงบเสงี่ยมอยู่เฉย คิดใช้บุญคุณรักษาพิษนาคราชมายุติความแค้นอันยาวนาน
เนวะรู้ว่าหากใช้ตัวยาที่หญิงสาวปรุงมาผสานกับธาตุศักดิ์สิทธิ์และอาคมคงกระพัน พิษนาคราชจะถูกถอนหายขาดทันที
...แต่...คนอย่างเนวะไม่มีวันรับบุญคุณใคร โดยเฉพาะศิษย์ทรยศผู้นี้
พอมัชฌิมาเสนอตัวเข้ามาหาถึงเมืองอมฤต เนวะจึงเปลี่ยนแผนคิดสยบเสี้ยนหนาม ล้างรอยอาฆาตในใจเสียก่อน ค่อยดำเนินการสร้างเมืองสมบูรณ์ต่อไป
พยุหะ รอยเธียรเข้ามาในเมือง เนวะก็ลอบดูที่คุมขัง เห็นเชลยสาวยังอยู่ในอาการสงบอย่างเคยเป็น ยาถอนพิษถูกปรุงอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจว่าขวดแรกถูกเททิ้งไม่ไยดี
นึกแปลกใจการกระทำศิษย์ทรยศอยู่บ้าง แต่ความสนใจถูกดึงไปทางอดีตครุฑ-นาคซึ่งกำลังแสดงแสนยานุภาพของพวกมันมากกว่า
กับดักต่าง ๆ กางรอสองหนุ่ม ไม่คาดหวังสกัดกั้นจับกุม มันเป็นการหยั่งเชิงดูว่าฤทธีฝ่ายนั้นเพิ่มพูนเท่าใด สูงส่งขนาดไหน
ตลอดเส้นทางตั้งแต่เข้าเมืองอมฤตจนถึงสำนักลวง เขาวงกต ทั้งสองแสดงพลังให้ดูชัดเจนจนเนวะประเมินศัตรูออกว่าอยู่ในระดับใด
วินตกะครุฑ ชัยยะนาคามีพลังสูงส่งกว่ากาลก่อน...ทว่า...เนวะวันนี้ไม่ใช่บุคคลเดียวกับที่เคยพ่ายแพ้ต่อพวกมันเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว
พละกำลัง อิทธิฤทธิ์อาคมเหนือกว่าเมื่อก่อนชนิดเปรียบเทียบกันไม่ถูก ต่อให้มีพิษนาคราชในกายก็ไม่มีผลลดทอนอิทธิฤทธิ์ หนำซ้ำอาจกระตุ้นพลังอันซ่อนเร้นให้ออกมาอีกมหาศาล เป็นพลังที่เนวะเองคาดเดาไม่ได้ หยั่งคาดไม่ถูก
การปะทะกันระหว่างผู้ทรงฤทธิ์กับอดีตครุฑ-นาคเป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
เนวะไม่ได้ถูกแผนกระตุ้นยั่วยุของสองหนุ่มจนเผลอขาดสติ ตกหลุมพรางตะโกนเรียกให้พวกมันมายังสำนักอมฤต
ทุกการกระทำล้วนผ่านการวางแผนใคร่ครวญรอบคอบ กระทั่งส่งเสียงแสดงโทสะ
เพราะหากพวกมันประมาทคิดว่าเขาขาดสติด้วยโทสะ ก็นับว่าเข้าแผนการพอดี
...ยิ่งศัตรูประเมินเนวะผิดพลาดเท่าใด โอกาสเพลี่ยงพล้ำยิ่งสูงเท่านั้น...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|