วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๓๖



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ดึกสงัด

            ดวงดาวนับล้านจุดประกายระยิบระยับแก่ฟากฟ้าสีหมึก แต้มสีสันรัตติกาลมิให้มืดมิดเงียบเหงาเกินไปนัก

            บนลานหินกว้างยอดเขา จุดโคมไฟไว้ตามโขดหินรอบด้านส่องแสงสว่างเรือง กลางลานปูผ้าขาวสะอาดตา วางไว้ด้วยพานบรรจุผลึกครุฑนาคโดดเด่นสะท้อนแสงดาวสะดุดตา

            พยุหะสวมชุดขาวเกล้ามวยเช่นเมื่อคืนนั่งขัดสมาธิริมผ้าขาวด้านหนึ่ง รอยเธียรแต่งกายตามสบายร่างกายผ่อนคลายนั่งตรงข้ามคู่หู

            ตาอ่ำอาบน้ำผลัดผ้าเป็นสีขาวทั้งชุดสะอาดตา ดูสว่างเรืองคล้ายฉายแสงจากภายใน แกนั่งใกล้พานผลึกครุฑนาคมากที่สุด สายตาทอดมองสิ่งมหัศจรรย์ตรงหน้าก่อนเปรยขึ้นเบา ๆ

            “ของสิ่งนี้สร้างยากเย็น อาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ครุฑกับนาคยอมร่วมใจสร้างสรรค์มัน...น่าเสียดายที่ต้องทำลายกันเสียแล้ว”

            “สิ่งของมันก็แค่สิ่งของ...ถ้าจิตใจ ศรัทธา ความเห็นถูกมันไปในทิศทางเดียวกันอยู่แล้ว...จะมีผลึกหรือไม่มีผลึกครุฑนาค...มันก็ไม่แตกต่างกัน”

            ผู้เฒ่าพยักหน้าให้กับวาจาหลานชายพระอาจารย์ราเมศว์

            “ที่ตาจะบอกคือ...การสร้างมันยากเย็น ทำลายมันยากกว่า แต่ที่ยากกว่านั้น เมื่อทำลายผลึกแล้วต้องควบคุมพลังครุฑนาคอันมหาศาลให้กลับคืนสู่เจ้าของ โดยไม่ปล่อยให้มันหลุดไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์”

            ความยากเย็นเช่นนี้เอง ทำให้เมื่อคืนพยุหะ รอยเธียรต้องยอมแพ้

            “เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำลายและควบคุมผลึกครุฑนาค ต้องมีพลังสูงเกินหยั่งคาด” แววตาพยุหะเจิดจ้า

            “ใช่...เท่าที่ตารู้จักมีแค่สอง...” ผู้เฒ่าเว้นไว้แค่นั้น

            “หลวงน้ากับใครครับ...ใช่ตาอ่ำหรือเปล่า” รอยเธียรถาม

            ตาอ่ำโบกมือไปรอบ ๆ เปลวไฟในโคมสะบัดไหว สายลมเบา ๆ พัดวนรอบกายทั้งสามคน

            “ตามีแค่ของเล่น เอาจริงยังสู้ท่านอาจารย์...หลวงน้าพ่อลุยไม่ได้เลย”

            “ถ้างั้นใครครับ ใช่ป้าพันเกลียวมั้ย” พูดแล้วนึกหวั่นใจ พันเกลียวไม่มีทางยอมช่วยแน่นอน

            “คุณพันเกลียวก็เก่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นนั้น”

            คำตอบชวนให้นึกสงสัย อีกคนที่ตาอ่ำรู้จักคือใคร?

            “คุณพายุคิดว่าใคร” ผู้เฒ่าเจาะจงถาม

            พยุหะระบายลมหายใจแผ่วเบา ชื่อบุคคลนั้นอยู่ที่ริมฝีปาก เพียงแต่ใจมีความเคารพ ยำเกรงเกินกว่าจะเอ่ยนามออกมาแบบพล่อย ๆ

            ตาอ่ำคล้ายอ่านใจชายหนุ่มออกจึงพยักหน้ายืนยัน เอ่ยวาจาชวนตกใจ

            “เราจะอัญเชิญท่านลงมาช่วย”

            “หา...” อดีตครุฑอุทานตกใจเกินคาด

            รอยเธียรสะดุ้งเฮือกคิดไม่ถึงเช่นกัน

            ในความคิดเขา...ตาอ่ำมีพลังเหลือเฟือพอจะทำลายผลึกครุฑนาค อาจขาดความมั่นใจเล็กน้อยที่จะควบคุมพลังอันรุนแรง แตกต่างคนละขั้ว แต่นั่นสามารถให้พวกเขาคอยระวังหลังได้

            น้ำเสียงที่บอกว่าจะอัญเชิญ ‘ท่าน’ ลงมาช่วย ไม่มีร่องรอยล้อเล่น

            อิทธิฤทธิ์ความสามารถของ ‘ท่าน’ สูงล้ำเกินหยั่งคาด

            ปัญหามีข้อเดียว ท่านยินดีรับการ ‘อัญเชิญ’ ครั้งนี้หรือไม่




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ใกล้เวลาเที่ยงคืน

            น้ำค้างหยดเปาะแปะตามใบไม้ แสงโคมหรุบหรู่ใกล้ดับแหล่มิดับแหล่ พยุหะ รอยเธียรนั่งขัดสมาธิหลับตา จิตกำลังเข้าสู่สมาธิ

            เสียงสวดพึมพำจากตาอ่ำดังเป็นจังหวะเสนาะหู น้ำเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ สาธยายด้วยภาษาแปลก ทว่างดงาม อ่อนโยน แฝงความหนักแน่น เข้มแข็ง อย่างประหลาดลงตัว

            คำสวดสาธยายนั้นช่วยกล่อมเกลาจิตผู้ฟังทั้งสองให้ละเอียด เบาบางจากกิเลสหยาบ ตั้งมั่นในสมาธิอย่างแข็งแรง มั่นคงอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน

            จิตแน่วแน่ในบทสวดที่ได้ยิน ภาษาไม่ปรากฏบนโลกอยู่เนิ่นนาน จนเสียงนั้นแผ่วเบา จางหายไปกับสายลม

            สมาธิสองหนุ่มทรงตัวไม่หวั่นไหว เกิดดวงสว่างเฉิดฉายกลางอก จิตเคล้าเคลียดวงสว่างจนเกิดความสุขสงบนิ่ง แล้วดวงสว่างค่อยคลี่คลาย ฉายเป็นภาพสถานที่คุ้นเคย ทว่าดูแตกต่างจากเดิม

            มันคือลานหินกว้างบนยอดเขาหลังวัดป่า เพียงแต่ยามนี้ดูสงบ เงียบงันราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง ใบไม้ไม่ขยับ สายลมไม่เคลื่อนไหว คล้ายกาลเวลาหยุดนิ่งชั่วขณะ

            พวกเขามองเห็นร่างตนยังนั่งเข้าสมาธิตรงหน้าผลึกครุฑนาค ส่วนตาอ่ำหยุดสวดบริกรรม ลืมตาขึ้นฉายประกายเจิดจ้าด้วยรังสีผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

            ใบหน้ายังดูชราดุจเดิม หากราศีที่มีฉายชัดสว่างเรืองจากดวงจิตทรงอานุภาพขนาดใหญ่ภายใน ทำให้ดูไม่ต่างจากมหาเทพองค์หนึ่งทีเดียว

            ถ้าพยุหะ รอยเธียรพบผู้เฒ่าแสดงลักษณะนี้เวลาปกติ คงคุกเข่าก้มกราบด้วยความเคารพอย่างสูง ไม่อยากเชื่อว่าเปลือกร่างชราของผู้เฒ่าจะซ่อนดวงจิตสว่างไพศาลถึงขนาดนี้

            ตาอ่ำเงยหน้ามองฟ้า พึมพำด้วยภาษาแปลกอันงดงามรื่นหูสองสามคำ ส่งกระแสแห่งการเชิญชวนด้วยใจเคารพออกไป

            ครู่หนึ่งบังเกิดการตอบรับจากฟากฟ้า เริ่มจากดาวดวงหนึ่งจุดประกายสว่างเจิดจรัสกว่าดวงอื่น ดวงสว่างนั้นขยายตัวใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นจนเต็มท้องฟ้า

            ม่านมืดสลายสิ้น ฟากฟ้าสว่างยิ่งกว่าเคยสว่าง กระแสความอบอุ่น ทรงพลังงานอันยิ่งใหญ่แผ่กระทบให้รู้สึกก่อนเจ้าตัวมาถึง

            ท่ามกลางดวงสว่างสีขาวเรืองรอง ปรากฏแสงสีทองทอดเป็นลำมาหยุดเหนือลานหินที่ทุกคนนั่งอยู่

            รัศมีสีทองสว่างเจิดจ้ากลบกลืนทุกสรรพสิ่งจนแลไม่เห็นสิ่งใด ครู่หนึ่งค่อยหรี่แสงลงทีละน้อยด้วยรู้ว่ามนุษย์ธรรมดา ต่อให้มีพลังครุฑนาคก็ไม่อาจต้านทานรัศมีแห่งตนได้

            เมื่อแสงสีทองกระจายตัวเป็นวงกว้างคล้ายลูกคลื่นทยอยซัดออกไปโดยรอบจนหมด ร่างหนึ่งลอยตัวเด่นสง่างาม ขยับปีกสีทองช้า ๆ ประกายแสงนุ่มนวลเย็นตา มองลงมาด้วยแววตาอ่อนโยน

            “วินตกะ...ไม่พบกันนานเลยนะ”

            ดวงจิตพยุหะเกิดอาการนิ่งงัน มิอาจส่งกระแสจิตโต้ตอบ คาดไม่ถึงท่านผู้นี้จะยอมลงมาช่วยเหลือจริง ๆ

            ...องค์มหาครุฑ...ผู้เป็นเจ้าแห่งพญาครุฑทั้งปวง...











บทที่ ๒๖



            เวลาในเมืองอมฤตดำเนินเป็นเอกเทศ ไม่ตรงกับโลกมนุษย์ทั่วไปด้วยอยู่คนละมิติกัน

            มัชฌิมาถูกขังนานกี่ชั่วโมง กี่วันเจ้าตัวไม่มั่นใจ เธอสนใจแค่การปรุงยารักษาบาดแผลพิษนาคราชให้เสร็จตามต้องการเท่านั้น

            บัดนี้ยาถอนพิษนาคราชเสร็จเรียบร้อยแล้ว

            หญิงสาวเทยาบรรจุขวด ตัวยาใสสะอาดดูเผิน ๆ คล้ายน้ำบริสุทธิ์ พร้อมใช้รักษาถอนพิษ

            เสียงฝีเท้าภายนอกเดินเป็นจังหวะ ประตูเปิดออกร่างเนวะยืนโดดเด่น ไม่ยอมก้าวเข้ามาราวกับรังเกียจบุคคลในห้อง

            “ท่านอาจารย์” มัชฌิมาทักทาย

            “ยาเสร็จแล้วรึ” คำถามคล้ายรู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดในที่คุมขัง

            “ค่ะ”

            “ไม่คิดนำมาให้เราหรือ?” ถามด้วยน้ำเสียงแปลก

            “ท่านอาจารย์ต้องการยาถอนพิษเวลานี้เลยหรือคะ” วาจาไม่มีร่องรอยประชดประชัน

            “ในเมื่อเป็นของกำนัลจากศิษย์คนเล็ก เราจะไม่รับได้ยังไง”

            ขวดยาถูกนำส่งถึงหน้าประตูด้วยกิริยาเคารพ ผู้รับไม่ยอมก้าวขาเข้ามา เพียงแค่เอื้อมรับขวดยาพร้อมรอยยิ้มหยัน

            “ยานี้เจ้ามอบให้เราแล้วใช่มั้ย” ยกขวดยาขึ้นถาม

            “ค่ะ...ดิฉันจะอธิบายวิธีใช้ให้...”

            มัชฌิมาไม่ทันพูดจบประโยค เนวะก็เทยาทั้งขวดลงบนธรณีประตูด้วยสีหน้าหยามหยัน

            หญิงสาวไม่แสดงอาการแปลกใจ ยืนมองการกระทำอดีตผู้เคยเป็นอาจารย์อย่างใจเย็น

            “เจ้าคงรู้ว่าเราไม่มีทางลดตัวใช้ยาขวดนี้แน่...ก็ยังอุตส่าห์ปรุงมาให้” เนวะดักคอรู้ทัน

            “จะรู้หรือไม่รู้มันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ ดิฉันแค่พยายามเสนอทางเลือกอื่นให้เท่านั้นเอง...ถ้าท่านอาจารย์เห็นว่า อาคมกับธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่มีสามารถรักษาบาดเจ็บตัวเองได้ก็ไม่เป็นไร”

            วาจาราบเรียบแทบไม่แสดงความรู้สึกในน้ำเสียง

            ผู้ทรงฤทธิ์เพ่งมองใบหน้าศิษย์เก่า พยายามอ่านความคิดข้างใน สัมผัสได้เพียงความสงบราบเรียบราวกับบ่อน้ำใสเย็น

            “เจ้าลืมไปกระมังว่าสำนักนี้ชื่อ ‘อมฤต’ เราคือผู้เพียรแสวงหาความเป็นอมตะ เวลานี้มีผู้ใดในโลกอายุขัยเท่าเศษเสี้ยวเราบ้าง...พิษนาคราชแค่นั้นคิดหรือว่าจะทำอันตรายอะไรได้”

            เนวะแสดงความอหังการเต็มที่ เชื่อมั่นว่าตนเองเข้าใกล้ความเป็นอมตะ ไม่เจ็บ ไม่ตายตามเป้าหมายที่วางไว้เต็มทีแล้ว

            แววตามัชฌิมาฉายรอยหดหู่ ถอนใจเบา ๆ การเรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมกับพันเกลียวในช่วงเวลาที่ผ่านมายืนยันให้เธอเชื่อมั่นว่า...

            ...ความเป็นอมตะอย่างที่อาจารย์เนวะคาดหวัง ไม่มีวันเป็นจริง...เมืองอมฤต สำนักอมฤต เป็นแค่ชื่อหลอกลวง โป้ปดให้ผู้สร้างมันเกิดความหลงใหล งมงายเหมือนคนหลับฝันไม่ยอมตื่นเท่านั้นเอง...

            “ถ้าท่านอาจารย์ต้องการยาถอนพิษก็ขอให้บอก ดิฉันยังปรุงให้ได้นะคะ”

            หญิงสาวทิ้งท้ายวาจาก่อนประตูถูกปิดลง

            เนวะเดินจากไปด้วยความหยิ่งผยอง สาแก่ใจที่ได้แสดงการหยามหยันศิษย์คนเล็กสำเร็จ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตั้งแต่รอยเธียร รอยธารามาวัดป่าคราวก่อน ตาอ่ำก็เกิดสังหรณ์รู้ว่าสองพี่น้องต้องเผชิญภัยร้าย จึงหาทางช่วยเหลือผ่อนหนักเป็นเบาด้วยการปลุกเสกประคำข้อมือ แทรกพลังสมาธิแกร่งกล้าของตนเข้าไปเพื่อใช้คุ้มครองหญิงสาว

            ตอนเกิดเหตุประหลาดในสตูดิโอถ่ายโฆษณา รอยธาราใช้ประคำข้อมือส่งสารขอความช่วยเหลือ พลังตาอ่ำในประคำก่อรูปออกมาช่วยคลี่คลาย นั่นทำให้ผู้เฒ่าทราบว่านับจากนี้เหตุร้ายคงไม่หยุดเท่านั้น

            ตาอ่ำเข้าสมาธิตรวจสอบเหตุการณ์ล่วงหน้า ญาณหยั่งรู้อนาคตระยะสั้นบอกว่าอีกไม่นานจะเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวนาคพิทักษ์

            ผู้เฒ่าเร้นกายเข้าป่า เสาะหาที่วิเวกไร้ผู้คนรบกวน เข้าสมาธิสะสมกำลังเพื่อนำพลังพิเศษมาใช้ช่วยเหลือในวันที่เกิดอุบัติเหตุ จนรอยธาราปลอดภัยไร้ริ้วรอยขีดข่วน

            หลังจากนั้นแกก็ทราบอีกว่าอดีตครุฑ นาคจะมาขอความช่วยเหลือให้ทำลายผลึกซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังสมาธิ ฤทธีเพิ่มมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

            ผู้เฒ่าเริ่มเข้าสมาธิสะสมพลังอีกรอบตั้งแต่วันนั้น พอสองหนุ่มบุกตามหาถึงในป่าวันนี้จึงค่อยออกจากสมาธิ จิตทรงพลานุภาพยิ่งใหญ่ กำลังเต็มเปี่ยม โผล่จากที่เร้นกาย

            จดหมายจากมัชฌิมาเป็นสิ่งเกินคาดสำหรับตาอ่ำ

            เพียงถ้อยคำแรกก็ทำให้เกิดสติฉุกคิดได้

            อัญเชิญองค์มหาครุฑ

            จิตทรงกำลังกล้าแวบออกไปรู้ทันที ตนสามารถทำลายผลึกครุฑนาคได้ก็จริง แต่อาจพลาดพลั้งไม่ทันระวังปล่อยพลังมหาศาลเล็ดรอดออกไปทำร้ายสัตว์น้อยใหญ่ในป่ารอบด้าน

            นั่นทำให้ชายชราทรงฤทธิ์เริ่มเข้าใจ ญาณหยั่งรู้ตนเข้มแข็ง แต่จิตยังไม่เป็นกลางเพียงพอ ถูกอคติด้วยใจรักผูกพันบดบัง อยากช่วยเหลือจนละเลยเรื่องเล็กน้อย

            ยิ่งเห็นตอนท้าย หญิงสาวขอให้ทำลายจดหมาย ก็นับถือความรอบคอบระมัดระวังของเธอที่ไม่ต้องการให้สองหนุ่มวุ่นวาย สงสัย ครุ่นคิดตีความในข้อความอื่นในนั้น

            การติดต่ออัญเชิญองค์มหาครุฑไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับผู้เฒ่า ดวงจิตผ่านฌานขั้นละเอียดประณีตลึกซึ้งออกมาย่อมมีกำลังกล้า รวมดวงใหญ่คล้ายดวงจิตเทพผู้ใหญ่องค์หนึ่ง วัดด้วยศักดิ์ศรีแล้วไม่ด้อยกว่าใครเลย

            เพียงแต่เผ่าพันธุ์แห่งครุฑมักมีนิสัยหยิ่งทระนง รักสันโดษ ความเป็นตัวตนสูง ไม่ใส่ใจคำเชิญชวนผู้ใดง่าย ๆ

            ยิ่งกับองค์มหาครุฑผู้เลิศกว่าพญาครุฑทั้งปวง นับเป็นงานหินที่แทบเป็นไปไม่ได้

            ตอนที่รอยเธียรถามว่าพอจะมีใครทำลายผลึกครุฑนาคได้อีกหรือไม่ พยุหะจึงตอบรับว่ามี...บุคคลนั้นอิทธิฤทธิ์สูงล้ำเนวะเทียบไม่ได้...แต่คิดว่าท่านไม่มีทางลดตัวลงมาช่วยเหลือแน่นอน

            นับว่าเป็นโชคดีผู้ออกหน้าอัญเชิญคือตาอ่ำ และมหาครุฑองค์นี้เคารพนับถือพระพุทธเจ้าไม่ต่างจากผู้ยิ่งใหญ่บนเทวโลกองค์อื่นในปัจจุบัน

            สมัยพุทธกาลยังเคยพาชาวครุฑจำนวนหนึ่งมาฟังธรรม ในนั้นมีวินตกะครุฑร่วมด้วย

            พระองค์มีศรัทธาต่อธรรมพระพุทธเจ้าก็จริง แต่ไม่ถึงขนาดรั้งอยู่บนมนุษยภูมิอย่างเช่นบริวารตน

            ผู้ที่มีอัตตาใหญ่ ยามจิตเกิดความเคารพนับถือใครแล้ว อัตตาย่อมเหวี่ยงลงต่ำกลับข้างเป็นอีกฟากได้

            ความศรัทธาพระพุทธองค์ การอ้างขอความช่วยเหลือจากอดีตบริวารตน พอจะเป็นเหตุผลอัญเชิญมหาครุฑผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ลงมาได้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บัดนี้สิ่งแทบเป็นไปไม่ได้ปรากฏขึ้นแล้ว

            คนตระหนกเกินคาดสุดย่อมเป็นพยุหะ อดีตครุฑผู้มีความเคารพยำเกรงองค์มหาครุฑท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง

            ด้วยความคาดไม่ถึงจึงกระทำตัวไม่ถูก ได้รับคำทักทายแรกไม่รู้ควรตอบอย่างไร

            “เป็นเช่นไรวินตกะ...ลืมเลือนเราแล้วรึ” ถามเสียงหนักคล้ายดุแววตากลับฉายรอยเมตตา

            “มิได้พระเจ้าข้า” จิตพยุหะรีบส่งกระแสตอบวาจา รู้สึกเสมือนตนเป็นพญาครุฑในปกครองอีกครั้ง

            “ข้าน้อยจดจำพระองค์ได้แม่น เพียงแต่คาดไม่ถึง พระองค์จะยอมเสด็จลงมาเช่นนี้”

            “ทำไมเราจะมาไม่ได้” วาจาแสดงความมีอำนาจทระนงตน

            “ขอขอบคุณองค์มหาครุฑยิ่งนัก ที่ให้เกียรติยอมมาตามคำเชื้อเชิญพวกเรา” กระแสจิตตาอ่ำส่งเป็นเสียงกังวาน แสดงการต้อนรับและขอบคุณต่อผู้ทรงศักดิ์

            “ผู้อัญเชิญทรงฤทธิ์ ดวงจิตสว่างไพศาลขนาดนี้ เราจะเพิกเฉยไม่มาได้อย่างไร” กระแสคำตอบให้เกียรติอีกฝ่ายเช่นกัน

            “มีสิ่งใดให้เราช่วยเหลือก็บอกมา”

            เมื่อองค์มหาครุฑกล่าววาจาเปิดโอกาสเช่นนี้ ผู้อัญเชิญจึงรับหน้าที่อธิบายจุดประสงค์ทั้งหมดเอง



            พยุหะ รอยเธียร รู้สึกเหมือนตนเองตัวเล็กกระจิดริดเมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลทั้งสอง

            ตัวอดีตครุฑไม่ต้องพูดถึง ความเคารพยำเกรงฝังแน่นในใจตั้งแต่ชาติก่อน มาพบกันวันนี้ความรู้สึกเดิมยังไม่เสื่อมคลาย ต่อให้ทราบว่าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้มีจิตเมตตา ปรานีต่อพวกพ้องบริวารก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกร็งไม่กล้ากล่าววาจาวุ่นวาย

            ส่วนอดีตนาคายิ่งหนักกว่า ต่อให้สงครามครุฑ-นาคจบลงด้วยดีเนิ่นนานแล้ว ใจที่หวาดกลัวต่อองค์มหาครุฑก็ยังไม่จางหาย ขนาดสนิทสนมคุ้นเคยกับวินตกะครุฑตั้งแต่ชาติก่อน แต่พญาครุฑทั่วไปอย่างไรก็ไม่อาจมีรัศมีบารมีเทียบได้แม้เพียงเศษเสี้ยวผู้เป็นองค์เจ้า

            รอยเธียรสงบเงียบ นิ่งงันไม่กล้าเอ่ยวาจาใดตั้งแต่องค์มหาครุฑปรากฏตัว รู้สึกว่าตาอ่ำดูยิ่งใหญ่ มากบารมีกว่าเคยเห็นมาตลอดชีวิต

            ผู้อัญเชิญอธิบายเหตุผลทั้งหมดแก่มหาครุฑผู้สูงศักดิ์จนเข้าใจ ร่างที่ลอยเหนือทุกคนค่อยร่อนลงมาช้า ๆ หุบปีกหางเรียบร้อย รัศมีสีทองยังเคลือบบาง ๆ

            นัยน์ตามหาครุฑเพ่งมองผลึกครุฑนาคบนพานแล้วส่งกระแสบอกผู้สร้างสรรค์ทั้งสอง

            “สิ่งที่พวกเจ้าสร้างสรรค์น่าชื่นชมนัก”

            คำชมนั้นทำให้ทั้งสองก้มศีรษะไหว้อย่างปลาบปลื้ม

            “สองเผ่าพันธุ์เราบาดหมางกันมาเนิ่นนาน” มหาครุฑกล่าว “ต่อให้สงครามยุติ ไม่มีการฆ่าฟันกันอีกต่อไปแล้ว ส่วนลึกในใจสองฝ่ายก็ยังไม่อาจลงรอยกันอย่างแท้จริง...ใช่มั้ยเจ้านาคาน้อย”

            คำถามโดยไม่คาดคิดเล่นเอาอดีตนาคอ้ำอึ้งตอบไม่ถูกชั่วขณะ

            “เอ่อ...ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก...พระเจ้าข้า” รอยเธียรรู้สึกเหมือนตัวเองกลับเป็นชัยยะนาคาเช่นกัน

            “ไม่ต้องตอบเอาใจเราหรอก” วาจาตรงไปตรงมาแทงใจผู้ฟัง

            ยามมองอดีตครุฑ-นาคทั้งสอง ดวงหน้ามหาครุฑฉายรอยปรานี ราวกับเห็นเป็นลูกหลานวงศ์วานเดียวกัน

            “ผลึกนี้สร้างสรรค์ออกมาได้ ด้วยจิตใจสองฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือความเมตตาปรารถนาดีอยากให้ผลึกก้อนนี้เป็นเครื่องปกป้องภัยพาลแก่ผู้ที่ได้รับ”

            “ครั้งที่เราไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงโปรดแสดงธรรมเรื่องความเมตตา ท่านบอกว่า...เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก...ซึ่งเราเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะสงครามครุฑ-นาคยุติได้ด้วยสำนึกที่มีเมตตาเช่นนั้นเอง”

            “ผลึกนี้นอกจากเป็นเครื่องหมายการรวมใจระหว่างครุฑนาคแล้ว ยังเป็นการแสดงออกถึงเมตตาจิตพวกเจ้าที่มีให้ต่อสตรีนางหนึ่งด้วย”

            “เราเสียดายนะ ถ้าจะต้องทำลายผลึกชิ้นนี้เพื่อแบ่งแยกพลังอำนาจสูงสุดคืนไป แต่ผลึกครุฑนาคมันก็เป็นแค่วัตถุสิ่งของ...จิตใจเมตตาปรารถนาดีต่อกันต่างหากจะดำรงอยู่ต่อไป จิตใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่นนั้นเองจะเป็นเครื่องประคับประคองสัตว์โลกในวัฏสงสาร ไม่ให้ทุกข์จนเกินทนไปนัก”

            วาจาองค์มหาครุฑจบเท่านี้



            ละอองสีทองโปรยปรายราวกับเป็นสายฝนบาง ๆ ลานหินกว้างบนยอดเขากลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งถูกแยกเป็นคนละมิติกับโลกปกติ ช่วยป้องกันไม่ให้แสงสีจากพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เล็ดรอดออกสู่สายตามนุษย์ทั่วไปได้

            ร่างพยุหะ รอยเธียร ยังนั่งตรงหน้าผลึกครุฑนาคดังเดิม ส่วนตาอ่ำถอยกายออกห่างเสมือนเว้นระยะส่วนตัวออกมา

            จิตสองหนุ่มแยกออกมาเป็นผู้ดูภายนอก เห็นร่างตนกำลังนั่งขัดสมาธิเสมือนหุ่นปั้นโดยมีรัศมีแห่งองค์มหาครุฑครอบคลุมโดยรอบ

            ผลึกครุฑนาคลอยจากพานอย่างเชื่องช้า กระทั่งมาหยุดตรงระหว่างกลางหน้าผากชายหนุ่มทั้งสอง

            ร่างตาอ่ำบังเกิดรัศมีสีขาวพร่างห้อมล้อม ป้องกันไม่ให้พลังครุฑนาคแตกตัวออกมาทำร้ายได้

            เม็ดละอองสีทองรวมตัวเป็นกำแพงโอบล้อมนอกลานหิน เปล่งประกายเจิดจ้าแสดงความแข็งแกร่งยากมีฤทธีพลังใดทะลวงผ่านออกไปได้

            องค์มหาครุฑขยับปีกลอยตัวสูงเหนือศีรษะทุกคน ร่างขยายใหญ่กว่าเดิม ปีกสีทองกางออกแผ่กว้างปกคลุมบริเวณลานหินอีกชั้น

            ผลึกใสลอยเด่นส่องประกายเฉิดฉันราวกับแสดงอานุภาพแกร่งกล้าจากภายใน ไม่ยอมสยบต่ออำนาจผู้มีฤทธิ์ใดที่มุ่งหมายทำลายมัน

            ดวงตามหาครุฑเพ่งตรงใจกลางผลึกนั้น บังเกิดลำแสงสีทองแหลมคมพุ่งเป็นเส้นเข้าเจาะยังใจกลางผลึก หวังแยกทำลายมันออกมา

            ผลึกก่อพลังอันแข็งแกร่งเข้าต่อต้าน ไม่ยอมให้พลังภายนอกเข้ามาทำลายง่าย ๆ

            ครืน ครืน ครืน เสียงคล้ายแผ่นดินไหวสะเทือนเมื่อพลังงานสูงยิ่งสองฝั่งเกิดการปะทะกันรุนแรง

            ลำแสงสีทองเพิ่มความเข้มข้นเจาะใส่ผลึกเป็นระยะ พลังต่อต้านไร้รูปไร้สีจากภายในก่อตัวตั้งรับ และตอบโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ สามารถผลักไสลำแสงมหาครุฑถอยกลับไปได้ถึงสามสี่ครั้ง

            องค์มหาครุฑรวบรวมสมาธิเปล่งพลังในตนเต็มกำลัง นัยน์ตาทอประกายกล้า ลำแสงสีทองจัดตาแหลมคมกว่าเดิมพุ่งออกไปหวังเจาะให้ถึงกลางผลึก ปลายนิ้วชี้สองข้างกรีดวาดปรากฏแสงสีเงินยวงพุ่งออกมาเป็นเส้นหงิก ๆ งอ ๆ คล้ายสายฟ้าแลบเข้ามาทางด้านข้างผลึกอีกสองฝั่ง เพิ่มแรงกดดันเต็มที่

            รัศมีสีเงินยวงผสานสีทองส่องประกายบาดตา ร้อนแรง ยากมีมนุษย์ผู้ใดทนทานมองได้แม้เสี้ยววินาที

            พลังไร้รูปไร้สีในผลึกครุฑนาคขยายอานุภาพขึ้นอีกสี่ห้าเท่า เปล่งพลังตอบโต้ ต่อต้านสุดกำลัง ผลักไสพลังมหาครุฑระลอกใหม่กลับไปได้อีกสามสี่ครั้ง

            ทว่า...ครานี้ผู้เป็นเจ้าแห่งครุฑมิออมกำลังใด ๆ ทุ่มเทฤทธีเข้าใส่ หมายมุ่งแยกทำลายพลังครุฑนาคอันสมบูรณ์นั้นให้ออกจากผลึกโดยเร็ว มิเช่นนั้นหากเว้นอีกแค่ชั่วอึดใจ พลังในผลึกจะยิ่งขยายอานุภาพแกร่งกล้ารุนแรงขึ้นอีก จนยากรับมือได้

            นี่คือความพิสดารอันร้ายกาจของผลึกครุฑนาค หากอยู่เฉย ๆ หรือนำไปใช้ต่อกรศัตรูทั่วไป มันก็จะเปล่งอานุภาพไม่มากมายเท่าใด

            หากมีพลังภายนอกมุ่งหวังทำลายล้างมันหรือผู้ครอบครอง พลังในผลึกจะสามารถขยายตัวออกไปได้ไม่สิ้นสุดเพื่อปกป้องตัวเอง ยิ่งอีกฝ่ายเพิ่มพลังรุนแรงแค่ไหน มันก็สามารถใช้พลังฝ่ายตรงข้ามมาเพิ่มเกราะคุ้มกันตนแข็งแกร่งกว่าได้

            เพียงแต่มันเป็นพลังเพื่อป้องกันไม่ใช่พลังในการรุกรานทำร้ายผู้ใด จึงไม่อาจใช้ผลึกนี้ไปต่อสู้เอาชนะเนวะได้

            ด้วยเหตุนี้พยุหะ รอยเธียร อดีตครุฑนาคผู้สร้างสรรค์มันจึงไม่อาจทำลายแยกพลังตนคืนมาได้สำเร็จ

            กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านฤทธิ์อภิญญาอย่างตาอ่ำก็ยังมีโอกาสเพลี่ยงพล้ำ

            องค์มหาครุฑดีดนิ้วหัวแม่มืออีกสองข้าง พลังอสุนีบาตไหลมาอีกสองสาย พุ่งเข้าเจาะผลึกเพิ่มสองด้านรวดเร็ว ป้องกันไม่ให้ผลึกครุฑนาคมีโอกาสปรับกระบวนขยายพลังมาต่อต้านพลังมหาครุฑได้อีก

            รังสีประกายเงินยวงเหลือบทองเข้มข้นห้าสาย เจาะเข้ายังใจกลางผลึกพร้อมเพรียง พลานุภาพสูงส่งมหาศาลเกินกว่าผลึกนั้นจะปรับตัวขยายพลังต่อต้านได้ทัน

            พลังทั้งห้าสายเจาะถึงใจกลางผลึกสำเร็จ บังเกิดรวมตัวเป็นมหาอานุภาพอันน่าแตกตื่นกระจายรัศมีสีทองเจิดจ้ายิ่งกว่าเคย ส่งผลให้ผลึกอ่อนตัว หลอมละลายลงช้า ๆ

            ช่วงเวลาสำคัญมาถึงแล้ว

            พยุหะ รอยเธียรรู้ทันทีว่าพวกตนต้องเร่งกลับเข้าร่างเพื่อดึงดูดพลังเดิมของตนกลับคืนโดยเร็ว มิเช่นนั้นมันอาจแผ่กระจาย ทะลุกำแพงองค์มหาครุฑ ผ่านช่องว่างมิติออกไปทำลายผู้บริสุทธิ์ภายนอก

            จิตสองหนุ่มเข้าร่างทันเวลาก่อนกึ่งกลางผลึกจะปริแตก พลังมหาศาลแห่งครุฑนาคไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนมหึมาพังทลาย มวลน้ำมหาศาลไหลท่วมท้นอย่างปราศจากทิศทาง

            องค์มหาครุฑเพ่งจิตตนเข้าไปหลอมทำลายผลึกจนสำเร็จ จากนั้นมุ่งเข้าไปแทรกแซง ก่อกวนทำลายพลังครุฑนาคที่เสถียรมั่นคงดีแล้วให้ปั่นป่วน จนถูกแยกออกมาเป็นสองสาย

            ผู้เป็นเจ้าแห่งครุฑเปล่งรัศมีสีทองออกครอบคลุมทั่วลานหินเป็นชั้นที่สาม ปีกที่กางกั้นเปล่งสีทองมลังเมลืองสกัดขวางไม่ให้คลื่นพลังครุฑนาคกระจายออกไปอย่างไร้ทิศทาง

            ชั่วเวลาเดียวกันนั้น พลังครุฑในร่างพยุหะ พลังนาคาในร่างรอยเธียรก็ส่งแรงดึงดูดเข้าโอบรับ ดูดซับพลังที่เป็นเส้นทางเดียวกับตนกลับคืนสู่เจ้าของ

            สองหนุ่มรู้สึกร่างกายตนกลวงเปล่า ว่างโล่งสามารถรับสายน้ำ คลื่นฤทธีที่ไหลทะลักมหาศาลเข้ามาสู่ตนได้อย่างไม่มีหมดสิ้น

            เวลาผ่านไปธาราแห่งครุฑ-นาคแยกเป็นสองสายชัดเจน แบ่งกันไหลสู่มหาสมุทรแห่งจิตที่เปิดรับไม่จำกัดได้เป็นระเบียบราบเรียบ

            กาลเวลาช่วงนี้คล้ายหยุดนิ่ง สายธารพลังงานไหลเอื่อยช้าลง รัศมีสีทองแห่งองค์มหาครุฑค่อยหรี่แสง หดตัวกลับ

            กำแพงที่ปกป้องพลังครุฑนาคไม่จำเป็นแล้ว เมื่อชายหนุ่มทั้งสองสามารถควบคุมพลังงานที่กระจัดกระจายของตนให้ไหลสู่ต้นตอได้อย่างเป็นธรรมชาติ

            ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง พยุหะ รอยเธียรลืมตาขึ้นพร้อมกัน ประกายตาเจิดจ้าทรงฤทธิ์ยิ่ง รู้ด้วยตนเองว่า พลังในยามนี้เพิ่มพูน ขยายตัวกว่าชาติก่อนหลายเท่า

            มันเกิดจากการผสานกำลังอย่างเสถียรสมบูรณ์ เพาะบ่มมานานก่อนได้พลังจากท่านมหาครุฑเข้าไปกระตุ้นแยกออกมา จนมันขยายตัวเพิ่มพูนสูงส่งขนาดนี้



            ตรงหน้าสองหนุ่มคือ ตาอ่ำซึ่งกำลังส่งรอยยิ้มละไมยินดี ส่วนองค์มหาครุฑผู้สูงส่งจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยเมตตาเป็นประกายสีทองจาง ๆ กลมกลืนกับบรรยากาศยามราตรี

            อดีตครุฑ นาคหันหน้าทางท้องฟ้า คุกเข่าก้มกราบเจ้าแห่งพญาครุฑโดยไม่ต้องนัดหมาย จากนั้นประนมมือไหว้ผู้เฒ่าข้างกายด้วยความเคารพตื้นตันในพระคุณ

            “ขอบคุณมากครับตาอ่ำ” รอยเธียรเอ่ยปาก

            “ผมก็ต้องขอบคุณเหมือนกัน” พยุหะพูดจากใจ

            “ใกล้เวลาประตูมิติจะเปิดแล้ว”

            ตาอ่ำไม่ใส่ใจวาจาอีกฝ่าย เอ่ยปากบอกในสิ่งที่สองหนุ่มน่าจะทราบอยู่แล้ว เพราะในจดหมายจ่าหน้าชัดเจนให้ส่งถึงแกก่อนเวลาเที่ยงคืน

            “ผมทราบครับ” รอยเธียรเข้าใจเจตนาที่ซ่อนในจดหมายหญิงสาวมากขึ้น

            พยุหะเหลือบสายตามองท้องฟ้าราวกับรอเวลา

            อีกไม่กี่นาทีจะเที่ยงคืน!

            “จำไว้อย่างนึงนะ” ตาอ่ำเตือน “พลังครุฑนาคตอนนี้มันเพิ่นพูนกว่าในชาติก่อนหลายเท่า ด้วยร่างกายมนุษย์ธรรมดาแบบนี้ ไม่สามารถควบคุมมันได้นานสักเท่าไหร่หรอก”

            “เราจะรีบจัดการเนวะให้เร็วที่สุด” พยุหะบอก

            “ระวังกับดักข้างใน” คำเตือนที่สองตามมา

            “ครับ” รอยเธียรรับคำไม่ประมาท เนวะไม่มีทางปล่อยพวกเขาเดินลอยชายไปหาง่าย ๆ แน่



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP