วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อมฤต ๓๕
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
บทที่ ๒๕
ถ้ำท้ายวัด
หน้าถ้ำเป็นลานหินกว้าง ร่มรื่นด้วยแมกไม้โดยรอบ โขดหินตั้งเป็นแท่นให้นั่งพักผ่อนมองแนวป่าเบื้องล่าง เทือกเขาเขียวชอุ่มสุดสายตา
พยุหะสวมชุดขาว ผมยาวเกล้าเป็นมวยง่าย ๆ ดูคล้ายพราหมณ์หนุ่มรูปงาม สายตาแลตรงแผ่นฟ้าเบื้องหน้า ปักษาฝูงใหญ่บินวนเวียนรอรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง
รอยเธียรยืนบนลานหินคนละฟาก ทอดสายตายังโขดหิน แนวป่า ต้นไม้ใหญ่ที่เรียงรายข้างล่าง อสรพิษน้อยใหญ่ชูคอ ผงกศีรษะ ขดตัวตามก้อนหิน เลื้อยพันบนคาคบไม้ราวกับเป็นกองทัพขนาดย่อม
“ตามหาว่าตาอ่ำอยู่ที่ไหน” อดีตนาคาบอกเพื่อนพ้องตน
“กระจายกำลังล้อมบริเวณนี้ให้ทั่ว อย่าให้ใครเข้ามารบกวน” เจ้าปักษาออกคำสั่งสมุนเช่นกัน
กองทัพงูค่อยเลื้อยลับ เคลื่อนตัวเสียงดังแสกสากหายไปในเวลาไม่นาน ส่วนฝูงปักษาโผบินแยกย้ายกระจายเป็นวงกว้างก่อนร่อนเกาะบนยอดไม้ ห่างจากหน้าถ้ำประมาณหนึ่งกิโลเมตร คอยสอดส่องดูแลเหมือนยามรักษาการผู้เคร่งครัด
ดวงตะวันคล้อยต่ำแสงสีส้มแดงอาบลานหินหน้าถ้ำ ผลึกทรงรีใสสะอาดขนาดเท่าหัวแม่มือสะท้อนแสงส่องประกายสีสันงดงาม
รอยเธียรมองผลึกครุฑนาคในมือก่อนแลสบตาพยุหะด้วยแววลึกซึ้ง
ผลึกก้อนนี้สร้างสรรค์ยากเย็น ทุ่มเทฤทธีครุฑนาคในชาติก่อนจนหมดกว่าจะได้มันมา หากจะนำพลังเดิมทั้งหมดกลับคืนจำเป็นต้องทำลายผลึกชิ้นนี้เสียก่อน ค่อยแยกพลังครุฑ นาคออกมาคืนสู่เจ้าของ ลำบากกว่าสร้างมันขึ้นมาหลายเท่า
...ด้วยผลึกชิ้นนี้มีพลานุภาพกว่าพวกตนในปัจจุบันจนเทียบไม่ได้...
“เริ่มยกแรกกันเลยมั้ย” ผู้ถือผลึกถามอดีตครุฑ
“รอยามสนธยา รอยต่อกลางวันกลางคืนค่อยเริ่มต้น” นี่คือคำตอบ
สนธยามาเยือน แสงสว่างหรุบหรู่เชื่อมต่อความมืด ผลึกครุฑนาคตั้งบนแท่นหินกลางลาน สองหนุ่มนั่งคนละฟาก นัยน์ตามองตรงผลึกนั้น
ยกแรกในการทำลายผลึก แบ่งแยกพลังเริ่มขึ้น...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ฟ้าเริ่มมืด
เสียงแสกสากเคลื่อนไหวเลื้อยผ่านใบไม้แห้งดังเป็นระยะ ต่อให้จงใจเลี่ยงห่างกุฏิกลางป่า เสียงยังดังให้ได้ยิน
เจ้าของกุฏิเปิดประตูออกมายืนตรงระเบียง
“จะรีบไปไหน มาคุยกันหน่อยสิ”
เพียงสิ้นเสียง การเคลื่อนไหวล้วนหยุดนิ่ง ปรากฏร่างหนุ่มสาวสามสี่คนนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้อยู่บนลานดินหน้ากุฏิ
“ยกพวกออกมาขนาดนี้ จะรีบไปไหนกัน” บรรพชิตถาม
“ชัยยะขอให้พวกเราช่วยตามหาตาอ่ำขอรับ” ชายอาวุโสสุดในทีมตอบ
รอยยิ้มบาง ๆ แตะบนใบหน้าผู้ทรงศีล
“ไม่ต้องตระเวนหาทั่วป่าทั่วถ้ำให้ชาวบ้าน ชาววัดเขาแตกตื่นหรอก ตาอ่ำแกรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ถึงเวลาแกจะโผล่มาเองนั่นแหละ”
“ขอรับ” รับคำโดยไม่โต้แย้งคัดค้าน แสดงให้เห็นว่าเหล่านาคานาคีให้ความเคารพผู้ใดสูงกว่า
“เรียกรวมพรรคพวกมาสร้างฉากกั้น ม่านบังตาไม่ให้คนนอกมองเห็นบริเวณถ้ำบนเขาท้ายวัดดีกว่า ไม่งั้นทั้งชาวบ้านชาววัดมองมา คงแตกตื่นคิดว่ามีปาฏิหาริย์ พรุ่งนี้จะแห่ขึ้นเขากันวุ่นวาย”
“ขอรับ กระผมจะแจ้งพรรคพวกเดี๋ยวนี้” ก้มกราบแสดงความเคารพก่อนเลือนหายพร้อมกันทั้งหมด
ผู้ทรงศีลหันหน้าไปทางถ้ำบนเขาท้ายวัด บริเวณนั้นเริ่มมีแสงสีปรากฏรำไรคล้ายประกายดาวระยิบระยับ
ก่อนที่แสงปาฏิหาริย์เหล่านั้นจะเจิดจ้าเฉิดฉายจนมองเห็นได้แต่ไกล ม่านบังตาสีเทาเข้มก็ออกมาคลี่คลุมปิดบังไว้จนมิดเม้น
ด้วยการรวมกำลังของเหล่านาคานาคีจำนวนมาก สามารถสร้างม่านอำพราง ปิดบังรัศมีเจิดจ้าจากพลังอดีตครุฑ นาคได้สำเร็จ
พระภิกษุกลางคนมองผ่านม่านอำพราง แลเห็นแสงสีพลังอดีตครุฑนาคที่เปล่งออกมาเป็นระยะ รัศมีนั้นสดสวยบาดตา มุ่งมั่นหวังทำลายผลึกที่ตนสร้างอย่างเต็มกำลัง ถ้าไม่ถูกม่านปิดบังอำพรางเสียก่อนคงมองเห็นแต่ไกล
ท่านไม่ใส่ใจสองหนุ่มจะทำตามประสงค์สำเร็จหรือไม่ พอแน่ใจว่ารัศมีแสงสีไม่เล็ดรอดให้คนนอกเห็นแล้วก็เข้ากุฏิ ปิดประตูราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เช้ามืด ฟ้ายังไม่ทันสว่าง
พระอาจารย์ราเมศว์ได้ยินเสียงขยับตัวเบา ๆ ตรงระเบียงหน้าห้อง ทราบว่าผู้ใดมาเยือนจึงลุกขึ้นครองผ้าเรียบร้อย เปิดประตูกุฏิออกมา
สองหนุ่มนั่งพับเพียบหน้าห้อง ใบหน้าเผือดซีด ท่าทางอ่อนเพลียใกล้หมดเรี่ยวแรง พอเห็นประตูเปิดก็ขยับตัวนั่งในท่าเรียบร้อยขึ้น ยกมือประณมไหว้พระภิกษุเหมือนมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือ
“ไหนว่าเมื่อคืนไปอยู่ถ้ำบนเขาท้ายวัดไง” ผู้ทรงศีลนั่งลงถาม
“ไปมาแล้วครับ อยู่ที่นั่นทั้งคืนแต่ไม่ได้เรื่อง”
หลานชายรีบตอบพร้อมแบมือให้ดูผลึกครุฑนาคซึ่งใสกระจ่างไร้ริ้วรอยขีดข่วน
มันบอกว่า...การทุ่มเทพลังทำลายผลึกทั้งคืนล้วนสูญเปล่า
“อือ...ก็สวยดี...ให้ดูทำไมล่ะ” ถามอย่างไม่ใส่ใจ
รอยเธียรยิ้มแหย ๆ รู้ว่าพระภิกษุเข้าใจเรื่องราวเหตุผลทั้งหมด เพียงแต่รอให้พูดออกมาตรง ๆ ตนก็เดาได้ว่าหากบอกเจตนาในใจจะได้รับคำตอบเช่นไร
นั่นทำให้เขานิ่งคิดหาวาจาอันเหมาะสมครู่หนึ่ง
คนอดทนต่ำกว่าเอ่ยปากขึ้นก่อน
“กระผมมากราบขอความช่วยเหลือครับ” พยุหะร้อนใจเต็มที
“จะให้ช่วยอะไร” เสียงถามแฝงกระแสเมตตาชวนให้คนฟังใจเย็นลงทันที
คราวนี้สองหนุ่มสบตากันเป็นเชิงเกี่ยงให้อีกฝ่ายเป็นคนบอก
รอยเธียรยิ้มแห้ง ๆ ตอบตรงไปตรงมาอย่างไม่มีทางเลือก
“ช่วยทำลายผลึก แยกพลังเราสองคนออกมาให้ทีครับ”
“มันใช่เรื่องของพระเหรอ”
นี่คือวาจาที่หลานชายรู้ว่าต้องเจอ
ผู้ทรงศีลไม่บอกว่าตนกระทำได้หรือไม่ได้ เลี่ยงไปพูดถึงความเหมาะสมไม่เหมาะสมแทน
...ท่านช่วยได้ แต่เห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะกระทำ...
“ผลึกนี้มีพลังข้างในแกร่งกว่าพวกเรามาก การรวมพลังครุฑนาคอย่างเสถียรสมบูรณ์ทำให้มันขยายตัวมีพลังมากกว่าครุฑนาคในชาติก่อนหลายเท่า เราพยายามทำลายเพื่อแยกพลังออกมาทั้งคืนก็ไม่สำเร็จ ผมเชื่อว่าพลังของท่านสูงกว่าผลึกนี้แน่นอน สามารถทำลายมันได้จึงมาขอความช่วยเหลือครับ”
พยุหะอธิบายและขอร้องอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา
รอยเธียรสะกิดเพื่อนคู่หูเป็นเชิงว่าไม่ต้องอธิบาย ไม่ควรพูดอะไรมากมาย เพียงแค่ประโยคเดียวที่ท่านตอบ คนที่เคยอยู่กับหลวงน้าตั้งแต่เล็กย่อมเข้าใจความหมายว่าท่านปฏิเสธชัดเจนแล้ว
เพราะ...มันไม่ใช่กิจของสงฆ์...และมีพระวินัย ห้ามพระภิกษุแสดงฤทธิ์!
อดีตครุฑหันมามองอย่างดื้อดึง เขารู้ว่าแววตาคู่หูกำลังสื่อความหมายอย่างไร แต่นี่อาจเป็นทางเลือกเดียวที่มีเพื่อจะได้พลังทั้งหมดคืนมา แล้วนำไปช่วยมัชฌิมา!
สัมผัสรู้ในใจยืนยันชัด พระอาจารย์ราเมศว์ทำลายผลึกครุฑนาคได้แน่ คำพูดของท่านอาจหมายความเชิงปฏิเสธว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ เขาเชื่อมั่นว่าผู้ทรงศีลย่อมเปี่ยมเมตตา หากขอร้องอ้อนวอนอีกสักหน่อยท่านคงยอมช่วยเหลือ
“มันอาจไม่ใช่กิจของสงฆ์ก็จริงครับ แต่ผมหวังว่าท่านคงเมตตาช่วยเหลือ เพราะมีหนึ่งชีวิตอยู่ในกำมือผู้ร้ายคนนั้น ซึ่งพวกเราต้องช่วยเธอออกมาให้ได้”
คำขอร้องพยุหะเรียกแววเมตตาจากนัยน์ตาผู้ทรงศีล
“ที่จริง...คำว่าอะไรเป็นกิจของสงฆ์ไม่ใช่กิจของสงฆ์ สมัยนี้มันพูดยากนะ” พระภิกษุเริ่มต้นด้วยเสียงนุ่มนวล
“ถ้าใช้คำว่าเหมาะสมไม่เหมาะสม จำเป็นไม่จำเป็น โดยพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์กับโทษให้ดีเสียก่อน อาจเข้าใจง่ายกว่า”
พยุหะ รอยเธียรตั้งใจฟังอย่างสงบสำรวม ความร้อนรนกระวนกระวายดับหาย เมื่อใจสัมผัสเมตตาธรรมที่แผ่จากผู้ทรงศีลจนรู้สึกชุ่มชื่น
“ฟังนิทานสักเรื่องมั้ย” ถามด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ
“ครับ” ไม่มีทางอื่นนอกจากตอบรับ
พระภิกษุเริ่มต้นเล่าด้วยเสียงนุ่มนวล
“นานนับสิบ ๆ ปีได้แล้ว เมืองหนึ่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขั้นรุนแรง ผู้คนตกงาน บริษัทล้มละลาย บ้านเมืองนั้นติดหนี้สินต่างประเทศจำนวนมาก เงินทองในคลังแทบไม่เหลือ เรียกว่าเห็นความล่มจมหายนะอยู่ข้างหน้า”
สองหนุ่มขมวดคิ้ว คุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินเรื่องคล้ายแบบนี้มาก่อน
“เมืองนั้นมีพระภิกษุชรารูปหนึ่ง อายุแปดสิบกว่าปีได้ ท่านเป็นที่เคารพศรัทธา มีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก พอเห็นบ้านเมืองเกิดวิกฤต ชาวบ้านตกทุกข์ได้ยากขนาดนั้น ก็พิจารณาทั้งคืนว่าควรหาใครมาช่วย...หรือทำอย่างไรจึงจะให้บ้านเมืองพ้นหายนะครั้งนี้ได้”
“สุดท้ายก็เห็นว่าตัวท่านจำเป็นต้องออกหน้าช่วยเหลือ ซึ่งอาจโดนบางคนว่าไม่เหมาะสม ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่เมื่อเหตุผลสมควร เกิดประโยชน์ขนาดใหญ่กว่า ท่านก็ยอมกระทำ...”
“พระภิกษุชรารูปนั้นใช้วิธีออกตระเวนเทศนาสั่งสอน รับบริจาคเงินทองจากผู้คนชาวเมืองมาร่วมใช้หนี้ที่กู้จากต่างชาติ และซื้อทองคำเข้าคลังหลวงเพื่อเป็นทุนสำรองประกันเงินตราอย่างตั้งใจไม่ย่อท้อ แม้ร่างกายจะสูงวัยแก่เฒ่ามากแล้วก็ตาม”
“ท่านออกเทศนาสั่งสอน รับบริจาคเงินทองทั่วเมือง...เหนือ...กลาง...ตะวันออก...ตะวันตก แทบทุกที่ที่ลูกศิษย์ลูกหา ผู้คนศรัทธาได้กราบนิมนต์ เดินทางอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ร่างกายอ่อนล้าแต่ไม่เคยปริปากบ่น มุ่งมั่นไปตามแรงศรัทธาของทุกคน หวังให้บ้านเมืองพ้นภัย จนเกิดปรากฏการณ์ได้รับบริจาคเงิน และทองคำมากมายอย่างไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน”
“ท่านเคยบอกว่า...ถ้าจะยกชาติบ้านเมืองให้พ้นภัยครั้งนี้ จำเป็นต้องยกระดับจิตใจชาวเมืองให้สูงขึ้นก่อน...จิตใจจะถูกยกให้สูงได้ก็ด้วยธรรมะ ด้วยบุญกุศล ให้ผู้คนร่วมกันสละความโลภในใจ สละทรัพย์สินส่วนเกินออกมาเป็นทานแก่บ้านเมือง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน”
“การตระเวนเทศนาสั่งสอน รับบริจาคเงินทองครั้งนี้ ใช้เวลาร่วมห้าหกปีกว่าจะหยุดพัก ได้เงินใช้หนี้ต่างชาติจำนวนหนึ่ง และซื้อทองคำเข้าคลังหลวงเกินหนึ่งหมื่นสามพันกิโลกรัม นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในอดีต และไม่รู้ว่าจะมีในอนาคตอีกหรือไม่...”
ฟังถึงตอนนี้จิตใจรอยเธียร พยุหะชุ่มชื่นด้วยปีติราวกับตนเองเป็นผู้หนึ่งซึ่งร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ด้วย
“การออกช่วยเหลือบ้านเมืองของท่าน มีเสียงเล็ก ๆ พูดอยู่บ้างว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ท่านมองข้ามด้วยเห็นประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่าจนเทียบกันไม่ติด...เพราะนี่นับเป็น...การร่วมกันสร้างมหาทาน มหากุศล เพื่อคนทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริง!”
สิ้นวาจานี้ หัวใจชายทั้งสองบังเกิดอาการสะท้านเยือกขนลุกซู่ด้วยแรงปีติมหาศาล เสมือนตนเองอยู่กลางทะเลบุญ มหาสมุทรแห่งกุศลที่โอบล้อมด้วยความอบอุ่นชุ่มเย็น
ทั้งสองบอกต่อตนเองว่า เรื่องที่พวกตนประสบมันเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับ ‘นิทาน’ ที่ท่านเล่า
ไม่ควรเลยที่จะขอร้องพระภิกษุตรงหน้าให้มาแทรกแซง เดือดร้อนในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
หากพวกเขาเกิดร่วมสมัยในนิทานที่พระอาจารย์ราเมศว์เล่าให้ฟัง คงเกิดศรัทธาแรงกล้า ร่วมฟังธรรมบริจาคทาน ไปบนถนนสายมหากุศลครั้งนั้นอย่างเต็มกำลัง ไม่ลังเลเลย
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ตั้งแต่เช้ายันเที่ยงไม่มีใครพบตาอ่ำ
วันนี้วันที่ ๗ เหลือเวลาอีกสิบสองชั่วโมงจะเป็นเวลาตามจ่าหน้าบนซองจดหมาย
สองหนุ่มนั่งคุยใต้ถุนศาลาใหญ่ซึ่งปราศจากบุคคลภายนอก
“เพื่อนคุณกระจายกันหาทั้งป่าแล้วยังไม่เจออีกเหรอ” พยุหะไม่อยากเชื่อ
“พวกเขาบอกว่าไม่ได้ออกตามหา หลวงน้าสั่งให้มาช่วยกางม่านปิดบังพลังพวกเราเมื่อคืนแทน”
ฟังเช่นนั้นค่อยนึกได้ว่าเมื่อคืนพวกตนประมาทพลาดพลั้ง ในเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความแตกตื่นกับชาวบ้านแถวนี้ ยังดีที่พระภิกษุท่านเมตตาหาวิธีป้องกันให้
บริเวณรอบศาลาเงียบสงัด ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมา พระเณรบำเพ็ญภาวนาตามป่าถ้ำใกล้ ๆ ไม่ก็อยู่ในกุฏิตนเอง ส่วนพวกแม่ชี แม่ขาว ถ้าไม่แยกตัวภาวนาก็มักเข้าป่าหาพวกหน่อไม้ เห็ด พืชผักมาประกอบอาหารในวันต่อไป
การสนทนาครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนความลับใด
“นอกจากหลวงน้าของคุณ...ยังมีใครอีกมั้ยที่พอจะทำลายผลึกได้” อดีตครุฑตั้งคำถาม
“ตอนนี้ยังนึกไม่ออก...ป้าพันเกลียวอาจทำได้ แต่คิดว่าคงไม่ช่วยทำลายให้แน่”
“ตาอ่ำที่เราต้องส่งจดหมายให้เป็นใคร”
“แกเหมือนลูกศิษย์วัดที่นี่ เป็นพวกชอบเล่นสมาธิ มีฤทธิ์เยอะแต่ไม่เคยแสดงให้ใครเห็น คนธรรมดาทั่วไปไม่รู้ความสามารถของแก”
“คิดว่าตาอ่ำจะช่วยพวกเรามั้ย” ถามอย่างมีความหวัง
“ไม่แน่” ตอบแล้วนัยน์ตาสว่างวาบ “จริงสิ...นี่อาจเป็นเหตุผลที่น้องมาให้เราส่งจดหมายก็ได้”
“เป็นไปได้” พยุหะพึมพำ “มัชฌิมามีนิมิตเห็นอนาคต...เธออาจจงใจเขียนจดหมายขอให้ตาอ่ำช่วย แล้วบอกพวกเราให้มาส่งกับมือ”
รอยเธียรนิ่งฟังโดยไม่สงสัยในคำว่า ‘นิมิตเห็นอนาคต’
ต่อให้น้องสาวไม่เคยบอกเล่าความสามารถพิเศษเพื่อนสนิทตน เขาก็รู้ว่ามัชฌิมามีความไม่ธรรมดาในตัวนานแล้ว สังเกตง่าย ๆ จากตอนที่เคยเตือนให้ออกจากห้องจัดเลี้ยงก่อนฝูงอีกาโจมตี
พอมองเห็นชาติก่อนของเธอเมื่อไม่นานมานี้ ทราบว่าเคยเป็นรุกขเทพธิดาก็ยิ่งไม่แปลกใจ
“นอกจากคนที่เราพูดถึง ซึ่งโอกาสพวกเขาจะช่วยเหลือคงน้อยเต็มที คุณคิดว่ามีใครพอจะทำลายผลึกครุฑนาคได้อีก”
อดีตนาคาตั้งปัญหาใหม่ คนฟังครุ่นคิดชั่วขณะก่อนชื่อหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว
“ผมมั่นใจว่ามี...เคยคิดว่าอยากให้ท่านออกหน้าจัดการเนวะเหมือนกัน...แต่...ท่านไม่น่าจะช่วยเราหรอก”
ได้ยินอย่างนี้จิตใจคันยิบ ๆ อยากรู้ชื่อ พอขยับปากจะถามสายตาสบกัน ชื่อนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวเอง
รอยเธียรยิ้มแห้ง ๆ ยกมือไหว้ขึ้นทางท้องฟ้า
“ผมเห็นด้วยนะ...ฝีมือท่านเหนือกว่าเนวะ สามารถทำลายผลึกของเราได้...แต่ปรากฏตัวให้เห็นยังยาก อย่าพูดถึงเรื่องให้ท่านลงมาช่วยเลย”
พูดจบก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ถามคู่หูอย่างอับจนหนทาง
“ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้างเนี่ย”
“ถ้าไม่นอนพัก ก็ออกไปตามหาตาอ่ำของคุณไง” พยุหะตอบง่าย
เมื่อคืนหลังจากพยายามแล้วพยายามอีกก็ยังทำลายผลึกไม่สำเร็จ สองหนุ่มหลับไหลด้วยความอ่อนเพลีย ไม่กี่ชั่วโมงก็รีบตื่นลงจากถ้ำท้ายวัดไปขอความช่วยเหลือจากพระอาจารย์ราเมศว์
ดังนั้นทางเลือกแรกที่เสนอนับว่าไม่เลว
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
บ่ายคล้อย
รอยเธียร พยุหะพักผ่อนไม่นานรู้สึกหลับเต็มอิ่มก็ลุกขึ้นออกจากศาลา เข้าไปตามหาตาอ่ำในป่าด้านหลังวัด
ฝูงนกบินวนอยู่เหนือป่าทึบด้านหลังเลยเขตวัดพอสมควร พวกมันแสดงอาการประหลาดคลับคล้ายส่งสารบอกข้อความบางอย่าง
ผู้เป็นนายอ่านสัญญาณจากสมุนตนก่อนหันมาบอก
“พวกนั้นพบสิ่งผิดปกติบางอย่างทางป่าด้านนั้น”
ไม่จำเป็นต้องถามว่าเป็นสิ่งผิดปกติใด รอยเธียรพยักหน้าแล้วรีบนำทางอย่างคนเป็นเจ้าถิ่น คุ้นเคยสถานที่มากกว่า
เส้นทางเข้าป่าทึบมีทางเดินเล็ก ๆ พอสังเกตได้ เป็นเส้นทางพวกชาวบ้านใช้เข้าไปเก็บเห็ด เก็บของป่าออกมาขายเป็นประจำ
ผู้นำทางก้าวเดินสวบ ๆ ตามเส้นทางนั้น สายตาจ้องมองฝูงนกที่ยังบินวนแสดงจุดหมาย บุกป่าเข้าไปโดยใช้เวลาไม่นานนัก
สถานที่นั้นร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ใบหนาทึบ แสงสว่างรำไรลอดผ่าน เสียงลำธารรินไหลพอให้ได้ยิน ตามคาคบไม้เรียงรายด้วยเหล่าปักษาซึ่งเกาะนิ่งสนิทเงียบงัน
พยุหะสบตาผู้นำฝูงนก เกิดการสื่อสารระหว่างกัน ชั่วเวลานั้นรอยเธียรเหลียวมองรอบ ๆ สัมผัสบรรยากาศแปลกเปลี่ยนไม่เหมือนป่าเขาที่ตนคุ้นเคย
“พวกเขาบอกว่าป่าแถวนี้ผิดปกติ ไม่มีสัตว์ตัวใดกล้าเข้ามา พอบินค้นจนทั่วแล้วไม่พบใครเหมือนมีพลังผลักไสตลอดเวลา เลยเรียกให้พวกเรามาดู” อดีตครุฑบอกคู่หู
“ให้พวกเขาออกไปก่อนก็ได้” คนฟังพอจะรู้ว่าสมุนเพื่อนอึดอัดแค่ไหนกับการต้องอยู่ในป่าพิสดารเช่นนี้
ผู้เป็นนายโบกมืออนุญาต ฝูงนกทั้งหลายต่างเร่งกระพือปีกบินออกจากบริเวณนั้นโดยเร็ว กระแสพลังงานบางอย่างพุ่งปลาบมาให้รู้สึกทันที
“พลังผลักไส...”
“พลังผลักไส...งั้นหรือ”
สองหนุ่มพึมพำเกือบพร้อมกันแล้วเพิกเฉยต่อสิ่งที่มากระทบ แยกย้ายเดินรอบบริเวณ สัมผัสรู้ข้างในบอกถึงแรงผลักไสอ่อน ๆ ที่แผ่ออกจากหินแต่ละก้อน ต้นไม้แต่ละต้นเป็นเชิงบอกกล่าวเบา ๆ ให้ออกไปก่อน
กับผู้มีฤทธิ์ครุฑ นาคยังรู้สึกเช่นนี้ สัตว์ป่าทั่วไปย่อมไม่กล้ากรายใกล้
เสียงธารน้ำไหลระริกฟังชัดเจนขึ้น ทั้งสองพยายามเดินไปหาต้นเสียง ทว่ารู้สึกเหมือนต้นไม้ ป่าเขารอบกายกำลังเคลื่อนไหว เส้นทางเดินคดเคี้ยวผิดปกติ ก้อนหินเลื่อนปิดบางเส้นทางที่ตั้งใจผ่าน ป่าหญ้าผุดขึ้นขวางทางเดินอย่างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
สุดท้ายสองหนุ่มต้องชะงักเท้าถอยหลังออกมา
“ผมว่าเราไปนั่งรอตรงร่มไม้ใกล้ ๆ นี่ดีกว่า”
รอยเธียรบอกเพื่อนร่วมทาง
แววตาพยุหะฉายรอยดื้อดึงอยากเอาชนะ ก้าวขากลับไปอีกครั้งพร้อมเปล่งพลังครุฑาในตัวออกเป็นวงกว้างเพื่อขจัดอุปสรรคขวางหน้า
อดีตนาคาจำเป็นต้องเอื้อมมือไปจับต้นแขนอีกฝ่ายเพื่อเตือนสติ ออกแรงดึงเล็กน้อยเพื่อแสดงเจตนาว่าต้องการให้ไปนั่งใต้ร่มไม้ด้วยกันจริง ๆ
“เอาชนะไปเพื่อประโยชน์อะไร” เสียงแห่งสติแว่วในใจอดีตครุฑ
พยุหะหรี่ตามองบรรยากาศป่าโดยรอบ สบตากับเพื่อนคู่หูแล้วถอนใจเบา ๆ ยอมตามไปนั่งตรงรากไม้ ใต้ร่มใบหนาที่อยู่ใกล้ ๆ
อากาศเย็นสบาย สายลมพัดใบไม้สะบัดกราว คลอด้วยเสียงลำธารไหลระริน
รอยเธียรนั่งเหยียดขาผ่อนคลาย สูดกลิ่นอายอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด จิตใจซึมซับความสงบสงัดจนบังเกิดกลุ่มก้อนความสุขขึ้นกลางอก ค่อย ๆ ดูมันจนแปรเปลี่ยนคลี่คลายกระทั่งจางหาย มองเห็นว่ามันไม่เที่ยง แปรเปลี่ยน บังคับไม่ได้
พยุหะไม่ผ่อนคลายเท่า เพียงแต่ความร้อนรุ่มกังวลใจคลายลง ฟังเสียงบรรยากาศรอบ ๆ ด้วยใจเป็นสุข แยกแยะออกว่าเป็นเสียงของสายลม ใบไม้ไหว สายน้ำไหลผ่านโขดหิน
บทเพลงธรรมชาติถูกบรรเลงโดยไม่มีผู้ใดควบคุม ขับกล่อมเฉพาะผู้ใส่ใจสดับฟัง ส่งผลให้จิตใจเยือกเย็นลง
ทั้งสองไม่ปริปากเจรจา นั่งพักอยู่กับความสงบ ซึมซับทุกอณูแห่งความเงียบงัน ก่อให้เกิดความตั้งมั่นขึ้นในใจ เห็นพลังในตนไหลเวียนเป็นระเบียบ เพิ่มพูนขึ้นช้า ๆ เกิดขึ้นเองโดยไม่จงใจ ไม่จำเป็นต้องบังคับ เร่งเร้า
เฝ้าดูนานโดยไม่แทรกแซง จนรู้สึกว่ามันเป็นอื่น...เป็นของนอกกาย-ใจ...ไม่ใช่ตัวตน
เสียงแมลงในป่ากรีดปีกส่งเสียงขจัดบรรยากาศสงบระงับ ตามด้วยเสียงปลาฮุบเหยื่อในลำธาร นกร้องขับขานบนยอดไม้ใกล้ ๆ
ป่าคืนสู่สภาพปกติ พยุหะ รอยเธียรมองเห็นพลังในตนเพิ่มพูน แม้ไม่เท่าชาติก่อนก็ยังนับเป็นเรื่องน่ายินดี
อดีตครุฑขยับตัวลุกขึ้นยืนเตรียมบุกป่าหาตาอ่ำ เห็นเพื่อนร่วมทางนั่งเฉยอมยิ้มมองไปทางดงไม้ข้างหน้าจึงเหลียวตาม
ชายชราผอมเกร็ง ผมหงอกขาวทั้งศีรษะสวมเสื้อผ้าเก่าปอนเดินออกมาจากแนวไม้ คล้ายจู่ ๆ ผุดขึ้นมาเฉย ๆ ดวงหน้าค่อนข้างดุ แววตาฉายประกายกล้าเจิดจรัสเข้มข้นชั่ววูบหนึ่งก่อนสลายลง กลายเป็นปกติเช่นคนทั่วไป
“สวัสดีครับตาอ่ำ” รอยเธียรลุกขึ้นยกมือไหว้เมื่อเห็นผู้เฒ่าเดินเข้ามาใกล้
พยุหะยกมือไหว้ตาม สัมผัสในใจไม่สามารถคาดหยั่งความพิเศษในตัวชายชราตรงหน้าได้เลย หากคู่หูไม่บอกที่มาเบื้องหลังคงคิดว่าเป็นชายแก่ทั่วไป
...นี่แหละ สูงสุดคืนสู่สามัญ...
“ตาอ่ำหายไปไหนมาตั้งหลายวัน คิดถึงจัง” สอบถามกึ่งหยอดคำหวาน
ตาอ่ำตอบโดยไม่ปิดบัง
“ตาก็ออกมาหาที่วิเวกนั่งสมาธิ อยู่กับความสุขความสงบตามประสาคนแก่บ้างสิพ่อลุย”
รอยเธียรฟังอย่างเข้าใจ คนทั่วไปนั่งสมาธิไม่กี่ชั่วโมงก็ปวดแข้งปวดขาแทบตาย ตาอ่ำกลับหลบมานั่งสมาธิในป่าหลายวันโดยไม่อิดโรย แสดงว่าเป็นสมาธิขั้นสูงลึกซึ้งเกินกว่าคนทั่วไปเข้าถึง
“ไปแอบนั่งสมาธิที่ไหนก็ไม่บอก ปล่อยให้พวกผมตามหากัน” พูดกึ่งบ่น
“แหม...พ่อลุยไม่ต้องมาหาคนแก่ถึงในป่านี่ก็ได้ รออยู่ที่วัดเดี๋ยวตาก็ต้องไปหาข้าวกินอยู่ดี”
“คนมันใจร้อนนี่ครับตา...อ้อ...เพื่อนผมชื่อพายุ...พยุหะ” ชายหนุ่มแนะนำเพื่อนร่วมทาง
ตาอ่ำมองผู้ถูกแนะนำดวงตาอ่านทะลุ
“อืมม์...ใจร้อนจริง ๆ ด้วย” เอ่ยโดยไม่เจาะจงว่าหมายถึงใคร
“ตาอ่ำ...มีคนฝากจดหมายมาให้ด้วยครับ”
รอยเธียรรีบยื่นจดหมาย คิดว่าอีกฝ่ายคงสงสัยแกะอ่านทันที
“อือ ขอบใจนะพ่อลุย” เก็บจดหมายใส่กระเป๋าหน้าตาเฉย
พยุหะขยับจะบอกให้แกรีบเปิดอ่าน เพราะตนอยากรู้ข้อความในนั้น พอเห็นคู่หูนั่งนิ่งสีหน้าแววตาแสดงว่ารู้ทันผู้เฒ่าจึงเฉยไม่พูดอะไรเหมือนกัน
“เย็นแล้ว ตาอ่ำหิวหรือยัง เดี๋ยวเราไปขอข้าวแม่ชีที่โรงครัวกินกันเถอะ”
“บ๊ะพอดีเลยพ่อลุย กำลังนึกอยากกินน้ำพริกปลาร้าแซ่บ ๆ ไม่รู้ว่ายังมีเหลือมั้ย”
“เหลือเยอะเลยตา ผมเป็นคนช่วยเก็บจากศาลาตอนเช้าเอง”
พูดแล้วชักชวนกันเดินออกจากป่า
พยุหะตามหลังสองชายต่างวัยเห็นพูดจากันสนิทสนมถูกคอ ต้องยอมรับความสามารถดาราหนุ่มจริง ๆ ที่สามารถเข้ากับคนทุกเพศทุกวัย เหมาะจะเป็นศิลปินอยู่หน้ากล้องอย่างแท้จริง
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ผู้เฒ่ารับประทานอาหารหนึ่งจาน โดยมีข้าวแค่สองทัพพี ราดน้ำพริกกับผักสดคลุกรวมกันง่าย ๆ ไม่ต่างจากพระธุดงค์เคร่งการปฏิบัติ
พอข้าวหมดจานรอยเธียรรีบถาม
“อิ่มหรือยังจ๊ะตา อยากได้อะไรเพิ่มมั้ย”
“พอแล้ว...ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ขืนกินเยอะกระเพาะมันรับไม่ไหว” พูดเป็นเชิงเปรยให้สองหนุ่มทราบ
รอยเธียรแย่งเก็บจานผู้เฒ่าไปล้างแล้วมานั่งยิ้มกริ่ม แสดงท่ารอคอยให้อีกฝ่ายกระทำเรื่องบางอย่าง
ตาอ่ำเห็นกิริยานั้นก็รู้ทัน หยิบจดหมายในกระเป๋าออกมาอ่านโดยไม่มีพิธีรีตอง
สองหนุ่มรีบขยับเข้าใกล้ แอบชำเลืองมองข้อความในจดหมายแบบไม่ให้เสียมารยาท
ผู้เฒ่าอ่านจบก็รีบพับจดหมายซ่อนข้อความไม่ให้เห็น พยักหน้าคล้ายพึงพอใจบางอย่าง เหลือบตามองชายหนุ่มสองคนที่แทบเกาะเกยเข่าแก แล้วยื่นจดหมายให้
พยุหะรับจดหมายมาคลี่อ่านข้อความในนั้น เพียงแค่กางกระดาษออก ไฟก็ลุกพรึบขึ้นเอง จนต้องสะบัดมือทิ้งโดยไม่ตั้งใจ
จดหมายมอดไหม้เป็นขี้เถ้าในเวลารวดเร็ว คล้ายตาอ่ำจงใจแสดงปาฏิหาริย์ให้ดู
“ตาอ่ำ...เล่นอะไรน่ะ” รอยเธียรบ่นไม่จริงจังนัก
ชายชรายิ้มเจ้าเล่ห์
“ขอโทษทีนะ แม่หนูคนเขียนเขาบอกให้ทำลายจดหมาย อย่าให้คนอื่นได้อ่านน่ะ”
สองหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ ทั้งขันทั้งขัดใจ พอเห็นแววบางอย่างในดวงตาผู้เฒ่าค่อยคลายใจ เชื่อว่าต่อให้พวกตนไม่ได้อ่านจดหมาย มัชฌิมาคงมีวิธีขอร้องให้แกยอมช่วยเหลือโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอะไรแล้ว
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|