วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๓๔



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บ่ายคล้อยใกล้เย็น

            รอยเธียรเข้ามาในห้องคนป่วย แววตาฉายรอยกังวล ใบหน้าพยายามเคลือบรอยยิ้มบาง ๆ เข้าไปบอกบิดามารดาบนเตียงคนไข้ด้วยน้ำเสียงปกติ

            “ลุยขอไปวัดหลวงน้าสักสองสามวันนะครับ”

            คนเป็นมารดาชะงักเห็นแววตาลูกชายรู้ว่าเกิดเรื่อง อดนึกถึงเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้ น้องชายเธอก็เคยบอกว่าขอไปอยู่วัดสักระยะเหมือนกัน...เหตุการณ์ครั้งนั้นกำลังซ้ำรอยเดิมอย่างช่วยไม่ได้

            “มีเรื่องอะไร เล่าให้แม่ฟังได้มั้ย” ต่อให้ผ่านเหตุการณ์คล้ายกันมาแล้วยังอดห่วงไม่ได้

            “ถ้าเรื่องเรียบร้อย ลุยจะกลับมาเล่าให้ฟังนะครับ”

            ชายหนุ่มบอกก่อนก้มตัวลงกอดมารดาแล้วหอมแก้มเบา ๆ เป็นการปิดวาจาไม่ให้ถามปัญหาซึ่งลำบากใจจะตอบ

            รอยจันทร์ถอนใจเฮือกใหญ่ แววตากังวล มือลูบแก้มลูกชายอย่างเป็นห่วง แล้วพยักหน้าอย่างพยายามเข้าใจ

            “ลุย” คราวนี้ผู้เป็นพ่อเรียกบ้าง

            รอยเธียรนั่งเก้าอี้ข้างเตียงบิดา สบตากันด้วยแววตาลูกผู้ชาย

            “มั่นใจเรื่องที่ทำแล้วใช่มั้ย” ถามอย่างคาดเดาออกว่าลูกชายเดินทางไปเพื่ออะไร

            ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ตอบอย่างตรงไปตรงมา

            “ไม่มั่นใจ แต่ต้องไปครับ” วาจาหนักแน่น

            บิดาขบริมฝีปาก ระงับวาจาห้ามปราม มือตบศีรษะลูกชายเบา ๆ

            “ไปเถอะ ปลอดภัยกลับมานะ”

            “ครับพ่อ”

            เธียร รอยจันทร์สบตากันข้ามเตียง หัวใจรักเป็นห่วงลูกชายไม่ต่างกัน ความที่เคยผ่านวิกฤตเหตุการณ์เสี่ยงตายมาก่อนจึงสลัดความกังวลได้เร็ว ยอมรับสถานการณ์ จิตใจหนักแน่นกว่าเดิม

            ...เรื่องใดจะเกิด ห้ามไม่ได้ ทำได้เพียงไว้ใจลูกชายตัวเอง...



            รอยเธียรออกจากห้องคนป่วย พบน้องสาวยืนรอด้านนอก สีหน้าแววตาบอกชัดว่าได้ยินคำพูด เห็นการบอกลาพ่อแม่ในห้องจนหมดแล้ว

            เธอไม่มีวาจาทัดทาน แค่ยืนส่งพี่ชาย

            ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึก อดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปกอดร่างนั้นกระชับแน่น พร้อมกระซิบข้างหู

            “ฝากพ่อแม่ด้วยนะ”
            
            “อือ” หญิงสาวกอดตอบพี่ชาย สัมผัสความอบอุ่น ห่วงใย ความรักที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจา

            ครู่หนึ่งคลายอ้อมกอดออก เงยหน้าถาม

            “มาเป็นยังไงบ้าง”

            เมื่อเช้าเห็นพี่ชายกระโจนแทบวิ่งออกจากโรงพยาบาลอย่างนั้น พอเดาออกว่าเกิดเรื่องกับใคร

            ยิ่งตลอดทั้งวันพยุหะ มัชฌิมาไม่มาเปลี่ยนเวรดูแลอย่างเคย มั่นใจว่าต้องเกิดเรื่องกับเพื่อนสนิทแน่นอน

            รอยเธียรยกนาฬิกาขึ้นดู เห็นว่ายังห่างเวลานัดหมายเดินทางกับพยุหะอีกพอสมควร จึงตอบน้องสาวอย่างไม่ปิดบัง

            “มาเข้าไปในเมืองอมฤตของเนวะแล้ว”

            รอยธาราขมวดคิ้วสงสัย

            “ไปได้ยังไง...เข้าไปเองหรือโดนจับ...”

            เหตุผลหลังเป็นไปได้ยาก มัชฌิมามีทั้งผลึกครุฑนาค และพันเกลียวคอยคุ้มครองอยู่

            “เต็มใจเข้าไปเอง” คำตอบไม่เกินคาด

            “เพราะมาได้ยินเรื่องท่านสิงหานาคราชใช่มั้ย”

            “น่าจะใช่” พี่ชายเห็นด้วย

            “มิน่าวันนั้นถึงมีท่าทางแปลก ๆ” หญิงสาวยังจำได้

            “เสียดาย พี่ไม่ทันสังเกต ไม่งั้นคงพูดให้เข้าใจมากกว่านี้”

            รอยเธียรบอกพลางพาน้องสาวไปนั่งคุยไกลจากห้องผู้ป่วย



            ริมระเบียงโรงพยาบาล หญิงสาวพูดให้พี่ชายคลายใจ

            “ไม่มีประโยชน์หรอก ต่อให้พูดยังไงเจ้ามาก็ยังทำในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้องเหมาะสมอยู่ดี”

            สองสาวคบกันมาเกินสิบปี รู้จักนิสัยกันและกันกระจ่าง

            “ตัดสินใจทำอะไรคนเดียวแบบนี้มันน่าเป็นห่วงนะ”

            “เจ้ามาไม่ทำอะไรโง่ ๆ หรอก น้ำเชื่อว่ามันต้องวางแผนรอบคอบดีแล้ว เราทำได้แค่ไว้ใจมัน”

            “ไว้ใจยังไงก็ไม่ไหว ผู้หญิงคนเดียวกับจอมอิทธิฤทธิ์ สมุนอีกไม่รู้เท่าไหร่”

            รอยเธียรพูดอย่างอึดอัด กระวนกระวาย แสดงออกทั้งสีหน้าแววตาแบบปิดไม่มิด

            “ห่วงเจ้ามาขนาดนี้ แสดงว่ารักมันเข้าแล้วใช่มั้ย”

            วาจาพุ่งตรง เปิดโปงจิตใจพี่ชายแบบไม่เกรงใจ

            รอยเธียรนิ่งอั้น พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ ต้องหยุดสำรวจความรู้สึก จิตใจตัวเองอย่างละเอียดก่อนตอบ

            “คงใช่มั้ง” ยอมรับอย่างจำนน

            “เฮ้อ...พี่ชายฉันความรู้สึกช้าจัง...กว่าจะรู้ว่ารักก็โดนคู่แข่งทำคะแนน แสดงความรู้สึกแบบโจ่งแจ้งไปหมดแล้ว”

            การแสดงออกของพยุหะ ใครมองก็รู้ว่ามีใจต่อมัชฌิมาขนาดไหน

            “จะให้แสดงอะไรมากมาย ดูไม่ออกเหรอว่าพี่แคร์เขาแค่ไหน” ชายหนุ่มพูดกึ่งเถียง

            “ดูออกแหละ แต่พี่ลุยแคร์ทุกคน ดีกับเขาไปหมด...เจ้ามามันเลยไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองไง”

            “ก็ใครวะบอกให้รักษาระยะห่าง” พี่ชายบ่น

            รอยธาราหัวเราะ

            “เออ...เป็นความผิดเค้าก็ได้ ถามจริงเหอะ รู้สึกรักเจ้ามาตอนไหน”

            เจอคำถามนี้ต้องนิ่งคิดนาน ก่อนอธิบายความรู้สึกแท้จริงในใจออกมา

            “ตอบไม่ได้หรอก ความรู้สึกมันสะสมมานานตั้งแต่เจอกันใหม่ ๆ ตอนเป็นเด็กกะโปโลเท่ากับเรานั่นแหละ”

            “เค้ากะโปโลขนาดนั้นเลยเหรอ” อดแทรกไม่ได้

            รอยเธียรยิ้มโยกหัวน้องสาวเบา ๆ

            “เพราะเป็นเพื่อนน้องสาว เลยพยายามมองเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ความรักมันเลยดูคลุมเครือ ตอนพ่อแม่เขาตายพี่อยากอยู่ข้าง ๆ คอยปลอบใจ แต่ก็ทำได้แค่นั้น พอเรามาถามพี่ว่ารู้สึกยังไง...พี่ก็ตอบตามจริงนั่นแหละว่า...ชอบ...แต่ไม่มั่นใจว่าคบกันแล้วจะไม่ทำให้เขาเสียใจ ก็เลยระวังตัวรักษาระยะห่างกันไว้ก่อน”

            รอยธาราจำได้ว่าพี่ชายเคยคบหาสาว ๆ เป็นแฟนจริงจังตอนวัยรุ่นสองสามคน แต่ประคองความสัมพันธ์ไม่นานต้องเลิกราด้วยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งไม่อาจนับเป็นความผิดใครได้

            “ทีนี้พอระลึกชาติได้...จำได้ว่าเคยมีประสบการณ์ร่วมกันอย่างไร จิตใจมันก็รู้สึกมากกว่าความรัก...มันเป็นความผูกพันทางใจอย่างลึกซึ้ง พี่จำผู้หญิงคนนี้ได้ตั้งแต่ชาติก่อน ๆ จำได้ว่าวันนั้นประทับใจความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวของเธอ รู้สึกเศร้าเสียใจวันที่เธอต้องตาย กระทั่งได้ฝังศพเธอเหนือแม่น้ำหิรัญญวดีกับมือ

            การที่มีศรัทธาเสมอกันแบบนี้ เหมือนจิตใจเราสองคนสามารถร่วมทางเดียวกันได้จนถึงวันเข้าสู่พระนิพพาน...น่าเสียดาย คนที่มีศรัทธาเสมอกันกับเธอ...ไม่ได้มีแค่พี่คนเดียว

            เมื่อรอยเธียรแจกแจงความรู้สึกทั้งมวลต่อมัชฌิมาออกมาขนาดนี้ คนเป็นน้องสาวอดไม่ได้ที่รู้สึกว่าเป็นความผิดตัวเอง

            “งั้น...น้ำต้องขอโทษด้วย ที่พูดดักไว้ตอนนั้น” วาจารู้สึกผิดจากใจจริง

            “ไม่หรอก เราทำถูกแล้วล่ะ ตอนนั้นพี่ก็ไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันว่าจะคบเขาได้ยืดยาวแค่ไหน ถ้าคบกันแล้วมันเกิดเรื่องทำให้ต้องเลิกกันเหมือนคนก่อน ๆ พี่คงเสียใจมาก เพราะมันทำให้ผู้หญิงที่ตัวเองแคร์ ต้องผิดหวังเสียความรู้สึกทีเดียวถึงสองคน”

            รอยธาราถอนใจยาว เอนตัวพิงไหล่พี่ชายอย่างสนิทสนม เป็นกิริยาที่ไม่แสดงออกบ่อยนัก

            “ถ้ามันเป็นยังงั้นจริง...เค้าก็คงโกรธพี่ลุยได้ไม่นานหรอก” พูดอย่างเข้าใจ

            “ยังไงพี่ก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นอยู่ดี” ชายหนุ่มโอบกอดน้องสาวหลวม ๆ ก้มหน้ามายิ้มให้

            “ในโลกตอนนี้ มีผู้หญิงอยู่สองคนที่พี่ไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง เสียใจในการกระทำของตัวเองเลย นั่นคือแม่...กับเรานั่นแหละไอ้เตี้ย”

            รอยธาราหัวเราะคิก

            “แหม...กำลังจะซึ้งเสียหน่อย มาเรียกเค้าซะหมดอารมณ์เลย”

            ชายหนุ่มยีหัวน้องสาวเบา ๆ

            “ไม่รู้เหรอว่า...เราเป็นคนพิเศษแค่ไหน พี่ไม่ให้ใครมาซื้อกางเกงในให้ง่าย ๆ หรอกนะ”

            หญิงสาวหัวเราะเสียงใส

            “เค้าต้องภูมิใจใช่มั้ย”

            “ใช่สิ”

            รอยเธียรยิ้มใส่ดวงตาน้องสาวด้วยแววตารักอันอบอุ่น มือโอบกระชับแน่นก่อนพูดวาจาปิดท้าย

            “เพราะผู้หญิงสองคนนี้ เป็นคนที่พี่จะรักได้โดยไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย”

            หญิงสาวเอนตัวซบในอ้อมอกพี่ชายอย่างเต็มใจ ซึมซับความอบอุ่นนั้นไว้อย่างเต็มอก ความรักผูกพันในใจไม่จำเป็นต้องเอ่ยตอบเป็นวาจามากมาย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เลยเวลาเที่ยงคืน

            โทรศัพท์มือถือเลื่อนจากวันที่ ๕ ขึ้นเป็นวันที่ ๖ เวลา ๐๐.๐๑ น.

            อีกไม่เกิน ๔๘ ชั่วโมง จะเป็นวันเวลาที่มัชฌิมาเขียนไว้หน้าซองจดหมาย

            ...วันที่ ๗ เวลา ๒๔.๐๐ น. ...

            เวลานั้นเป็นกำหนดของสิ่งใด

            ถนนยามดึกคลาคล่ำด้วยรถบรรทุก เสียงคึ่กคึ่กสั่นสะเทือน รถยุโรปคันใหญ่แล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แซงรถใหญ่หลายคันมาจนถึงช่วงถนนปลอดโปร่ง ขับสบายไม่เคร่งเครียด

            ภายในรถกว้างขวางนั่งสบาย รอยเธียรขับด้วยท่าทางผ่อนคลาย ไม่แสดงอาการง่วงงุน พยุหะเอนเบาะนอนหลับตาพักผ่อน เตรียมเปลี่ยนมือขับระหว่างทาง

            ป้ายปั๊มน้ำมันปรากฏให้เห็นแต่ไกล หนุ่มคนขับชะลอความเร็วลง จนใกล้ถึงค่อยเลี้ยวรถเข้าไปจอดเติมน้ำมัน

            พยุหะลืมตาเมื่อรถจอดสนิท

            “ถึงไหนแล้ว” ถามคนขับด้วยน้ำเสียงไม่งัวเงีย

            “เกินครึ่งทางมาแล้ว ขอเติมน้ำมันเข้าห้องน้ำ หากาแฟดื่มหน่อย” รอยเธียรตอบรวดเดียว

            “ครึ่งหลังผมช่วยขับเอง”

            “ไม่เป็นไร ได้ล้างหน้าตาสักหน่อย กาแฟร้อนสักถ้วย คงตาสว่างถึงเช้าเลยล่ะ”

            คำตอบกึ่งปฏิเสธ คนฟังไม่ใส่ใจ

            เติมน้ำมันเรียบร้อย รถแล่นไปจอดหน้าร้านสะดวกซื้อในปั๊ม

            “คุณจะอยู่ในรถหรือลงไปด้วยกัน” คนขับหันมาถามผู้โดยสาร

            “ลง”

            ดับเครื่อง แยกย้ายลงจากรถ เข้าห้องน้ำล้างหน้าตาให้สดชื่น แล้วไปสั่งกาแฟร้อนในร้านสะดวกซื้อ

            พนักงานในร้านแทบหายง่วง เมื่อเห็นซูเปอร์สตาร์เข้ามาซื้อขนม สั่งกาแฟร้อนโดยไม่สวมหมวก ใส่แว่นดำอำพรางตัวเหมือนดาราดังทั่วไปชอบทำ

            ขณะชงกาแฟใจคิดอยากขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก็พบชายหนุ่มหล่อเซอร์ผมยาว ตัวสูงหุ่นหนากว่า รูปหล่อไม่แพ้กันเดินตามมาสั่งกาแฟอีกถ้วย

            กาแฟถ้วยแรกชงเสร็จ ส่งให้ดาราดังแล้วขยับปากจะขอถ่ายรูปกับเขา พอดีพบดวงตาคมดุของลูกค้าอีกคนมองเป็นเชิงเร่งกาแฟตน

            ใจนึกหวาดไม่กล้าชักช้าเสียเวลา ชงกาแฟถ้วยสองเสร็จ ไม่เห็นดาราในดวงใจแล้ว



            รอยเธียร พยุหะนั่งจิบกาแฟบนเก้าอี้ยาวด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ มองปั๊มน้ำมันยามดึกแล้วสนทนากันเบา ๆ

            “ส่งจดหมายเสร็จ เราจะหาที่สงบปลอดคนในวัดป่าได้ใช่มั้ย” พยุหะตั้งคำถาม

            “ได้...แต่คุณไม่อยากรู้เหรอว่า มาเขียนจดหมายถึงตาอ่ำว่ายังไง” อีกฝ่ายหยั่งเชิง

            “ไม่...ถ้าเขาอยากให้เรารู้ คงไม่ใส่ซองปิดผนึก จ่าหน้าแบบนั้น”

            ดาราหนุ่มอมยิ้ม ยกกาแฟขึ้นจิบ

            “ผมถามเจ้าน้ำแล้ว...มาไม่รู้จักตาอ่ำมาก่อน คุณไม่สงสัยเหรอ ทำไมเขาถึงจงใจส่งจดหมายให้”

            “มันคงเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาส่งผลึกครุฑนาคคืนเรา...ทั้งที่เราไม่เคยบอกเลยว่า ผลึกนั่นเป็นแหล่งกักเก็บอำนาจฤทธิ์เดชพวกเราในชาติก่อนไว้ทั้งหมด...”

            พยุหะจงใจทิ้งวาจาค้างไว้ รอยเธียรต่อประโยคจนจบ

            “ถ้าพวกเราต้องการพลังอำนาจคืนเหมือนเดิม จำเป็นต้องใช้ผลึกก้อนนี้”

            สองหนุ่มสบตากัน ในใจยอมรับอำนาจการ ‘หยั่งรู้’ ของหญิงสาว เพียงไม่มั่นใจว่า พลังการหยั่งรู้นั้นจะครอบคลุมกว้างไกลแค่ไหน

            มันเพียงพอต่อการตัดสินใจเสี่ยงอันตรายบุกเข้าเมืองอมฤตหรือไม่

            กาแฟหมดถ้วยในเวลาไล่เลี่ยกัน พยุหะยื่นมือขอกุญแจรถ

            “จากนี้ผมขับเอง คุณนอนเถอะ เราสองคนจำเป็นต้องพักผ่อนเก็บแรงไว้”

            รอยเธียรอยากขัดใจ พอเห็นแววตาคมกล้าไม่ยอมรับคำปฏิเสธคู่นั้นเลยต้องอ่อนข้อให้

            “ตามใจ คุณขับไปถึงตัวเมืองฯ เมื่อไหร่ ปลุกด้วยแล้วกัน ผมพาไปวัดป่าเองจะได้ไม่หลง”

            “ตกลง” โชเฟอร์คนใหม่ไม่ร่ำไร

            ทั้งสองแบ่งหน้าที่กันชัดเจน รู้ว่าจุดหมายในการไปวัดป่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่ส่งจดหมายให้ตาอ่ำ แต่ต้องการหาที่สงบวิเวก ปลอดคน ร่วมกันดึงดูดพลังงานเก่าของตนออกจากผลึกครุฑนาคทั้งหมดเพื่อใช้ต่อกรศัตรูร้าย

            นี่คือหนทางเดียวอาจทำให้พวกเขามีฝีมือทัดเทียมเนวะปัจจุบัน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รถแล่นเข้ามาจอดข้างศาลาใหญ่เวลาฟ้าสว่าง พระเณรออกบิณฑบาตกันแล้ว

            บรรยากาศรอบศาลาเงียบสงัดแทบไม่เห็นผู้คน พยุหะลงจากรถอย่างงง ๆ ขณะเจ้าถิ่นดูจะคล่องแคล่วคุ้นเคยสถานที่เหมือนกลับบ้านตัวเอง

            “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน สาย ๆ พระท่านกลับเข้าวัดมีงานให้ทำเยอะเลย”

            ผู้มาเยือนกำลังจะถามว่าให้ไปอาบน้ำอาบท่าที่ไหน ก็เห็นอีกฝ่ายหยิบกระเป๋าเป้ออกมาเดินดุ่ม ๆ นำหน้าไม่เหลียวหลัง ทำได้แค่คว้ากระเป๋าตนเองเดินตามอย่างว่าง่าย

            จากศาลาลงเนินดินเล็กน้อยจะมองเห็นโรงครัวควันโขมง กลิ่นข้าวหุงใหม่ลอยอบอวลผสานกับกลิ่นกับข้าว อาหารตามภูมิภาค

            ในโรงครัวมีพวก ‘แม่ขาว’ สตรีสวมชุดขาวถือศีลอยู่วัด ไม่โกนผม กำลังจัดเตรียมอาหารถวายพระกันขมีขมัน

            “พ่อลุย...เป็นไงมายังไงมาแต่เช้าเชียว...มาหาหลวงน้าเหรอ...”

            แม่ขาวผู้เฒ่าหลายคนทักทายชายหนุ่มสนิทสนมไม่ต่างจากเห็นลูกหลานมาเยี่ยมบ้าน

            “สวัสดีครับคุณยาย ผมมาหาหลวงน้า คราวนี้พาเพื่อนมาด้วยชื่อพายุ”

            รอยเธียรทักทายตอบและแนะนำเพื่อนร่วมทาง

            “แหม...เพื่อนพ่อลุยนี่หล่อจัง เป็นดาราเหมือนกันหรือเปล่า” เสียงถามชื่นชม

            “เปล่าครับ” พยุหะตอบ

            รอยเธียรยิ้มให้พวกแม่เฒ่าทั้งหลายก่อนถามเข้าเรื่องสำคัญ

            “ยายจ๋า เห็นตาอ่ำบ้างไหม วันนี้แกตามไปเก็บถาดอาหารในหมู่บ้านด้วยหรือเปล่า”

            “ไม่หรอกจ้า ไม่เข้ามากินข้าวโรงครัวหลายวันแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้ พวกในวัดก็ไม่เห็นเหมือนกัน”

            ได้ยินเช่นนี้คนถามอดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ ตาอ่ำอาศัยวัดเป็นบ้าน ปกติไม่ค่อยไปไหน ทำไมคราวนี้ถึงหายหน้าหลายวันกระทั่งคนในวัดยังไม่รู้

            “งั้นผมพาเพื่อนไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวมาช่วยขนของไปศาลานะจ๊ะ” ชายหนุ่มบอกเสียงหวานแกมประจบ

            “จ้า...ไปเถอะ ห้องน้ำหลังโรงครัวกำลังว่างพอดีไม่มีใครใช้หรอก” แม่เฒ่าบอกพลางยิ้มแป้น



            ห้องน้ำที่พูดถึงอยู่เป็นสัดส่วนเลยด้านหลังโรงครัวมากพอสมควร สภาพสะอาดพอใช้แบ่งเป็นห้องอาบน้ำกับห้องสุขาคนละส่วน

            ผู้นำทางบอกคนตามง่าย ๆ

            “รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวค่อยไปช่วยพวกแม่ครัวยกอาหารไปศาลา อาจเจอตาอ่ำที่นั่น”

            คนร่วมทางพยักหน้าเข้าไปในห้องน้ำแล้วยืนมองรอบ ๆ อย่างไม่คุ้นเคย

            ถ้าจะว่าไปพยุหะไม่ใช่หนุ่มไฮโซถึงขนาดไม่เคยใช้ห้องน้ำปั๊มน้ำมัน เพียงแต่ไม่เคยต้องมาอาบน้ำที่วัดป่าบนเขาอยู่นอกเมืองไกลขนาดนี้

            ถึงพื้นจะเป็นซีเมนต์เรียบผ่านการขัดล้างทำความสะอาดบ้าง ตัวอ่างเก็บน้ำสำหรับอาบก็มีตะไคร่เขียว แสดงว่าไม่ค่อยมีการล้างอ่างเท่าไหร่ ขันน้ำอลูมิเนียมบุบบี้บอกถึงการใช้งานนานหลายมือ ที่สำคัญน้ำในอ่างเย็นเจี๊ยบน่าจะเป็นการสูบมาใช้จากแหล่งน้ำตามธรรมชาติบนเขามากกว่าน้ำประปา

            พอเจอแบบนี้ก็นึกถึงซุป’ตาร์ เจ้าพ่อพรีเซนเตอร์ ซึ่งอยู่ห้องน้ำข้าง ๆ ปกติพวกสื่อมักเห็นเขาในเสื้อผ้าแบรนเนมเนี้ยบหัวจดเท้า คงไม่มีใครนึกภาพออกหรอกว่าจะมาอาบน้ำโครม ๆ ในที่แบบนี้อย่างไม่เดือดร้อน

            นั่นทำให้พยุหะต้องประเมิน ‘ซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพง’ ใหม่แล้วว่า...ตัวจริงเขาเป็นอย่างไรกันแน่




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หลังอาบน้ำเสร็จ สองหนุ่มช่วยแม่ครัว แม่ขาวผู้เฒ่านำอาหารจากโรงครัวไปไว้ในศาลา จัดเตรียมจานชามให้ชาวบ้านที่มาทำบุญ

            พอพระกลับมาถึง ขึ้นมานั่งบนศาลาเรียบร้อยก็ช่วยประเคนอาหารอย่างขมีขมัน ไม่ต่างจากเด็กวัดทั่วไป

            ชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่ส่วนใหญ่รู้จักรอยเธียร ต่างเข้ามาทักทายอย่างคุ้นเคยซึ่งทำให้พยุหะกลายเป็นที่รู้จักในฐานะเพื่อนที่มาอยู่วัดด้วยกัน

            ในกระบวนคนเฒ่าคนแก่ทั้งหมดบนศาลา ไม่มีตาอ่ำ บุคคลที่พวกเขาต้องการเจอตัวเลย

            หลังพระฉันเสร็จ บนศาลาเริ่มว่างวาย หลายคนเก็บอาหารที่เหลือกลับบ้าน ชาวบ้านบางส่วนเข้าไปนั่งพูดคุยกับเจ้าอาวาส

            รอยเธียรพาพยุหะเข้าไปกราบเจ้าอาวาสก่อน จากนั้นค่อยพามากราบพระภิกษุกลางคนอีกรูปซึ่งมีราศีผ่องใส ดวงตาฉายแววเมตตา นั่งรอพวกเขาอยู่อีกมุมหนึ่ง

            “พ่อแม่เราเป็นยังไงบ้างล่ะ” หลวงน้าถามเป็นคำแรก

            “อยู่โรงพยาบาล อาการดีขึ้นแล้วครับ”

            ตอบอย่างไม่สงสัย ทำไมพระภิกษุถึงได้ข่าวพ่อแม่เขา

            หลวงน้าไปร่วมส่งสิงหานาคราช ย่อมทราบว่านาคราชองค์นั้นบาดเจ็บ เสียชีวิตด้วยเหตุใด

            วัดป่าอยู่ไกลเมือง ข่าวเกี่ยวดารา คนดังมักไม่ค่อยเป็นที่สนใจพูดถึงนัก พวกแม่เฒ่า แม่ขาว คนแก่แถวนี้จึงไม่ทราบว่าเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวเขา ไม่เช่นนั้นคงถามถึงแต่แรกที่เจอกัน

            “อาการดีขึ้น ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” บรรพชิตตอบยิ้ม ๆ

            ชายหนุ่มรีบแนะนำเพื่อนร่วมทาง

            “หลวงน้าครับ นี่เพื่อนผมชื่อพายุ...พยุหะ”

            พยุหะทบทวนความทรงจำในชาติก่อน ตอนวินตกะครุฑใกล้หมดอายุขัย ระลึกได้ว่าเคยมาขอความช่วยเหลือจากพันเกลียว ได้พบภิกษุรูปนี้สมัยท่านยังเป็นหนุ่ม เพียงครั้งนั้นไม่ได้สนทนากัน

            “อืม...ไม่เจอกันนานนะ” พระอาจารย์ราเมศว์ทักทายอย่างรู้ว่าชายหนุ่มจดจำได้

            “ครับ” ตอบรับสั้น

            พระภิกษุหันไปถามหลานชายเชิงสัพยอก

            “เราบอกว่าเป็นเพื่อน เจ้าตัวเขายอมรับแล้วหรือ”

            รอยเธียรยิ้มหันไปเลิกคิ้ว มองเป็นเชิงตั้งคำถามเช่นกัน

            “ครับ” พยุหะพยักหน้า

            “ดีแล้ว เป็นสหธรรมิกมีศรัทธาเห็นถูกเหมือนกัน ถ้าเป็นกัลยาณมิตรคอยชี้แจงแนะนำ ตักเตือนกันได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง”

            วาจานี้คลับคล้ายชัยยะนาคาเคยพูดกับวินตกะครุฑ เพียงแต่ละเอียดลึกซึ้งกว่า

            “ครับ” พยุหะตอบรับได้แค่คำเดียว

            “หลวงน้าครับ...ตาอ่ำหายไปไหน ถามใครก็ไม่รู้เลย”

            หลานชายใจร้อนรีบเข้าประเด็นสำคัญทันที

            “น่าจะปลีกวิเวก หลบไปเข้าสมาธิตามป่าตามถ้ำแถวนี้นั่นแหละ” ตอบแบบไม่ปิดบัง

            “เห็นพวกแม่ขาวบอกว่าไม่ไปโรงครัวหลายวันแล้วนะ”

            “ไม่ต้องห่วงหรอก แกอยู่ในสมาธิไม่ต้องกินข้าวได้เป็นวัน ๆ มีธุระอะไรกับแกล่ะ”

            หลวงน้าถามหลานชายบ้าง

            “มีคนฝากจดหมายถึงแกน่ะครับ จ่าหน้าว่าให้ก่อนวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงคืนด้วย”

            “ฝากไว้สิ...จะรีบไปไหนหรือเปล่า” บรรพชิตถามฆราวาส

            “ไม่หรอกครับ แต่คืนนี้ผมขออนุญาตใช้พื้นที่บนถ้ำท้ายวัดหน่อยนะ”

            “ได้” ตอบรับโดยไม่ถามสักนิดว่าหลานชายจะใช้พื้นที่บริเวณนั้นทำอะไร

            “ขอบคุณครับ...แต่ตาอ่ำแกจะมาวัดก่อนคืนพรุ่งนี้หรือเปล่า”

            รอยเธียรทั้งห่วงเรื่องจดหมาย และอยากรู้ข้อความที่มัชฌิมาเขียนไว้ด้วย

            พระอาจารย์ราเมศว์ยิ้ม ไม่ตอบวาจา

            หลานชายรู้ทัน ขืนเซ้าซี้ถามอีกคงเจอคำตอบประเภท

            ...ถ้าตาอ่ำมาจะบอกให้ หรือไม่ก็...ไปถามแกเองสิ...

            คำตอบเหมือนไม่ใช่คำตอบเช่นนี้ พระภิกษุกลางคนมักนำมาใช้ดัดนิสัยหลานชาย เวลาใจร้อนอยากรู้อะไรแล้วต้องเอาคำตอบให้ได้ดังใจเดี๋ยวนั้น

            “ไปจัดการเรื่องที่ทำได้ก่อนดีมั้ย”

            เมื่อหลวงน้าพูดเช่นนี้ คนฟังย่อมเข้าใจความหมาย

            ...ทำทีละเรื่อง...เรื่องไหนกระทำได้ก็ทำไปก่อน เรื่องไหนเกินกว่าการควบคุมก็ต้องปล่อยเอาไว้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP