วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๓๑



cover Amarit


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            หลังออกจากโรงพยาบาล พยุหะชวนมัชฌิมาไปสถานที่แห่งหนึ่ง

            วัดกลางกรุงเทพฯ เวลาบ่ายคล้อยใกล้เย็น

            สภาพวัดมีความเจริญแต่ยังไม่ทิ้งบรรยากาศร่มรื่นแบบอาณาเขตผู้ทรงศีล พระสงฆ์ เณรน้อยออกมากวาดลานวัดตามปกติ ผู้คนในวัดบางตา ชายหนุ่มหาที่จอดรถตรงข้างโบสถ์แล้วพาหญิงสาวเดินลัดเลาะไปทางด้านหลังวัด

            เบื้องหน้าสองหนุ่มสาวเป็นโกฐิบรรจุกระดูกเพิ่งสร้างใหม่ ประดับประดาตกแต่งสวยงาม ติดรูปท่านชัยกาล คุณหญิงเรือนอรคู่กัน

            พยุหะจุดธูปปักด้านหน้า หญิงสาวนำพวงมาลัยไหว้ผู้วายชนม์ ทั้งสองก้มกราบด้วยความเคารพ สายตาจากในรูปมองออกมาอ่อนโยน แฝงความรักระลึกถึง

            “ตายายครับ โกรธผมหรือเปล่าที่เป็นต้นเหตุให้ต้องเสียชีวิตแบบนี้” จู่ ๆ พยุหะเอ่ยขึ้น

            “คุณพายุ” มัชฌิมาอุทานตกใจ “พูดอะไรอย่างนั้นคะ”

            “ฉันพูดอะไรผิดเหรอ” ดวงตาชายหนุ่มราบเรียบ

            “คุณอย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิคะ ถ้าพวกท่านรู้คงเสียใจมาก”

            พยุหะถอนใจ แววตามองหญิงสาวเปลี่ยนไปคล้ายอ่านบางสิ่งที่เร้นลึกในใจเธอออก

            “น่าแปลกนะ...เธอบอกไม่ให้ฉันโทษตัวเอง ทั้งที่เธอก็กำลังทำแบบนั้นอยู่!”

            มัชฌิมาสะดุ้งเฮือกคล้ายเด็กโดนจับผิดได้ พูดอะไรไม่ออก

            “เธอรู้มั้ย...พ่อฉันยังอยู่นะ แต่หลังจากตายายเสียฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือใครอีกแล้ว เพราะท่านทั้งสองเป็นครอบครัวเดียวที่ฉันมี”

            เมื่อหญิงสาวไม่พูดอะไร ชายหนุ่มจึงบอกเล่าเรื่องราวตัวเอง สายตามองภาพผู้วายชนม์ด้วยแววตาความรักอาลัย

            “ตอนพวกท่านเสีย ฉันโทษตัวเอง...ถ้าไม่เกิดมาเป็นหลานพวกท่าน ไอ้เนวะมันก็คงไม่มาทำร้าย พวกท่านก็จะมีความสุขสงบในบั้นปลาย ไม่ต้องมาตายก่อนอายุขัยแบบนี้”

            ความเงียบคลี่คลุมลงมาเป็นบรรยากาศกางกั้น พยุหะไม่พูดอะไรต่อ มัชฌิมายิ่งเอ่ยวาจาไม่ออก...ทุกคำของชายหนุ่มเหมือนนำความรู้สึกในใจเธอยามนี้ออกมาตีแผ่ ทั้งความรู้สึกผิด และการกล่าวโทษตัวเอง

            เวลาผ่านไปชั่วขณะ ความรู้สึกในใจหญิงสาวค่อยตกตะกอนถ่ายทอดเป็นคำพูดในที่สุด

            “ค่ะ...มากำลังโทษตัวเองจริง ๆ ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าพ่อแม่พี่ลุย เจ้าน้ำเกิดอุบัติเหตุด้วยฝีมือใคร ยิ่งวันนี้รู้ว่ามีอีกหนึ่งชีวิตต้องสังเวยเพื่อรักษาชีวิตพวกท่านไว้ มารู้สึกว่า...ให้ตัวเองเป็นฝ่ายตายแทนได้มั้ย ไม่อยากให้คนอื่นต้องมารับเคราะห์เพราะเราเลย”

            พยุหะนิ่งฟังทุกวาจา สดับเสียงความรู้สึกผิดจากหัวใจที่ยังไม่ได้เอ่ยออกมาอีกมากมาย จากนั้นค่อยพูดช้าเบา

            “เราโทษตัวเองได้...แต่อย่านาน...ฉันได้สติในวันที่เผาศพพวกท่าน ใจมันเห็นว่าการเพ่งโทษตัวเองจนจิตมืดบอดแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เท่ากับยอมทุกข์ทรมานตามแผนการเนวะเปล่า ๆ”

            คำบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัว ไม่ต่างจากชี้นำเส้นทางสว่างแก่หญิงสาว

            ชายหนุ่มสัมผัสกระแสหม่นมัวจากใจมัชฌิมาได้ตั้งแต่ก่อนเข้าห้องคนป่วย และตลอดเวลาที่ช่วยเฝ้าดูแลสองสามีภรรยา

            ต่อให้พยายามทำตัวปกติ พูดคุยยิ้มแย้มกับผู้ใหญ่อย่างเคย แววตาไม่ฉายรอยหม่นหมองรู้สึกผิดให้เห็น นั่นยิ่งทำให้เขาเป็นห่วง กลัวเธอจะทำอะไรไม่เข้าท่าด้วยความรู้สึกอยากชดเชยความรู้สึกผิดในใจ จึงพามาหาตายายที่วัดพร้อมกับพูดความในใจตนออกมา



            “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงเบา

            “พูดอย่างนี้แสดงว่ายอมรับ แต่ยังทำไม่ได้” พยุหะดักคอไม่จำเป็นต้องอ่านใจ

            มัชฌิมาระบายลมหายใจยาว รู้สึกเหมือนเธอไม่สามารถปิดบังความรู้สึกใด ๆ ต่อหน้าชายคนนี้ได้เลย

            “มาว่า...คุณตาคุณยายท่านไม่โกรธคุณพายุแน่นอน แบบเดียวกับที่คุณลุงคุณป้า พี่ลุย เจ้าน้ำไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของมาเหมือนกัน...แต่...”

            วาจาสะดุดเล็กน้อยคล้ายกำลังกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงลำคอ

            “ยิ่งพวกท่านเป็นคนดี เข้าใจเหตุผลมากแค่ไหน...มายิ่งรู้สึกผิด ละอายใจมากขึ้นเท่านั้น”

            หยาดน้ำตาไหลรินผ่านร่องแก้ม พยุหะดึงหญิงสาวมากอด

            “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว...”

            อ้อมกอดชายหนุ่มอบอุ่น เต็มไปด้วยความเข้าใจ หัวใจที่เจ็บปวดจากความรู้สึกผิดทั้งสองดวงกำลังเยียวยากันและกันอย่างเชื่องช้าอ่อนโยน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ภายในโบสถ์กว้างขวาง สูง อากาศเย็นสบาย องค์พระประธานตั้งเด่นสง่าสีทองสว่างไสวกระทบแสงไฟส่องยิ่งงดงามจับตา เสาแต่ละต้นตกแต่งขรึมขลัง ฝาผนังวาดภาพจิตรกรรมด้วยสีสันลายเส้นระดับศิลปิน

            พยุหะ มัชฌิมาเข้ามาในโบสถ์ด้วยอาการสำรวม นัยน์ตามององค์พระประธานฉายแววเคารพศรัทธา แต่ละก้าวที่เดินเข้าไปหาคลับคล้ายเป็นเหตุการณ์หนึ่งซึ่งผ่านมาเนิ่นนานแล้ว



            ณ สาลวโนทยาน ท่ามกลางหมู่สงฆ์มากมาย วินตกะครุฑ กัลยาอำพรางร่างตนเพื่อเข้าไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตใจล้นด้วยศรัทธานอบน้อมแฝงความตื่นเต้น เดินไปยังไม่ถึงที่ประทับแค่มองเห็นห่าง ๆ ก็ต้องคุกเข่าลงกราบ ด้วยรู้สึกว่าไม่เป็นการบังควรเข้าไปรบกวนพระองค์ใกล้กว่านี้



            ความรู้สึกวันนี้แทบไม่แตกต่างจากวันนั้น แม้ไม่มีพุทธสรีระให้กราบไหว้ แต่มีองค์พระพุทธรูปที่ปั้นหล่อด้วยใจเปี่ยมศรัทธาหวังเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้คนได้กราบแทนพระองค์จริง

            สองหนุ่มสาวคุกเข่ากราบพระเคียงกัน ลักษณะแทบไม่ผิดเพี้ยนจากอดีต เสมือนอยู่ท่ามกลางวงล้อมหมู่สงฆ์ในวันนั้น สัมผัสสายลมกลิ่นดอกไม้หอมโชยชาย จิตใจอบอุ่นชุ่มเย็นด้วยกระแสคลื่นแห่งพุทธคุณลอยมากระทบให้รับทราบ

            พยุหะเปลี่ยนจากท่านั่งคุกเข่าเป็นพับเพียบ หญิงสาวขยับตัวตาม บรรยากาศในโบสถ์ช่วยให้จิตใจเธอสงบเยือกเย็น

            “เธอยังจำวันที่ฉันบินพาไปกุสินาราได้มั้ย” พยุหะเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ

            มัชฌิมาพยักหน้า ภาพเหตุการณ์สำคัญวันนั้นถูกเนวะแกล้งให้ย้อนวนเวียนกลับไปมาหลายรอบจนจำได้ขึ้นใจ

            วินตกะครุฑรับตัวเธอจากชัยยะนาคา จากนั้นก็โบกบินมุ่งหน้าสู่กรุงกุสินารา ระหว่างทางพญาครุฑไม่กล้าบินรวดเร็วนัก เนื่องจากร่างหญิงสาวในอ้อมกอดบอบบางคล้ายเทียนใกล้ดับแสงเต็มที

            “แล้วจำได้มั้ย ระหว่างทางไปกุสินารา เราสองคนได้พูดคุยอะไรกันบ้าง”

            “จำได้ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ...บทสนทนานั้นจดจำมั่นไม่ลืมเลือน



            เส้นทางอันยาวไกล พญาครุฑผู้ห้าวหาญกลับมิกล้าทะยานฟ้า โบกบินสุดกำลังตน มือทั้งสองประคองร่างน้อยไว้แนบอก ถนอมป้องกันมิให้กระทบกระแสลมแรง ห่วงว่าชีวิตอันเปราะบางนั้นจะดับลงระหว่างทาง

            กัลยาทราบดี เหตุใดพญาครุฑจึงบินช้ากว่าปกติ ใจบังเกิดความสำนึกตื้นตัน เอ่ยปากเบา ๆ ในอ้อมแขน

            “บุญคุณที่ท่านช่วยพาข้าน้อยไปพบพระพุทธองค์ครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก...ข้ามิรู้จะตอบแทนเช่นไร”

            “รักษาชีวิต และลมหายใจของเจ้าไว้ จนกว่าจะได้กราบแทบพระบาทพระองค์...นั่นย่อมเป็นการตอบแทนอย่างที่เราพอใจแล้ว” วินตกะครุฑตอบ

            “ลมหายใจข้าน้อยคงรักษามันได้ไม่นานนัก หากในชาติภพถัด ๆ ไป ข้าน้อยกับท่านมีโอกาสได้พบกันอีก...ท่านมีประสงค์ให้ข้าน้อยกระทำสิ่งใดเพื่อเป็นการตอบแทน...ขอให้บอกได้เลย”

            นางกล่าวด้วยใจสำนึกบุญคุณยิ่ง

            “วัฏสงสารกว้างใหญ่นัก เราเจ้าเวียนว่ายตายเกิดกันอย่างไม่รู้ต้นรู้ปลาย จบจากชาตินี้ไปก็มิรู้อีกเมื่อใดจะได้เวียนมาเจอกัน”

            วินตกะครุฑกล่าวอย่างผู้เห็นความจริงข้อนี้

            กัลยากล่าวค้าน

            “ข้าน้อยเชื่อในสายบุญสายกรรมที่เชื่อมโยงกันและกัน โดยเฉพาะสายใยแห่งบุญกุศลเช่นนี้ ย่อมชักนำท่าน ข้าน้อย และท่านชัยยะให้ได้มาพบกันอีกในกาลข้างหน้าแน่นอน...เมื่อถึงวันนั้น ขอให้ท่านได้บอกความประสงค์แก่ข้าน้อยเพื่อจะได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณด้วยเถิด”

            วินตกะครุฑไม่เคยคิดหว่านบุญหวังผลตอบแทนอยู่แล้ว ไม่อยากปฏิเสธนางให้เสียกำลังศรัทธาจึงกล่าวรับปากออกไป

            “ได้สิ...ในชาติภพข้างหน้า หากเราและเจ้าได้พบกัน อีกทั้งระลึกถึงเหตุการณ์วันนี้...เราค่อยทวงสัญญาจากเจ้าอีกที”

            “ข้าน้อยยินดียิ่งนัก”

            กัลยาคลี่รอยยิ้มผลิบานจากหัวใจเต็มอิ่มด้วยปีติ แรงศรัทธาและจิตใจอันสะอาดบริสุทธิ์นี้สร้างรอยประทับ สะเทือนลึกถึงจิตใจพญาครุฑผู้ไว้ตัวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

            คำสัญญานั้นจะถูกทวงถามในเวลานี้



            มัชฌิมาจดจำทุกวาจาขึ้นใจ เงยหน้ายิ้มให้พยุหะพร้อมเอ่ยปากถามตรงไปตรงมา

            “คุณพายุอยากขอให้มาทำอะไรหรือเปล่าคะ”

            “อืมม์” ชายหนุ่มตอบรับ ดวงตาแลตรงชัดเจน

            “อะไรคะ” หญิงสาวถาม

            “ฉันขอไม่ให้เธอทำอะไรโง่ ๆ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิด หรือทำอะไรก็ตามที่คิดว่ามันจะเป็นการแก้ไขเรื่องร้าย และลงโทษตัวเอง...อย่างเช่น...การคิดจะไปเผชิญหน้าเนวะโดยลำพัง!”

            มัชฌิมาสะดุ้งเฮือกเสมือนโดน ‘คำขอ’ นั้นแทงเข้ากลางใจ

            “ทำตามที่ฉันขอได้มั้ย” ชายหนุ่มย้ำถาม

            หญิงสาวนิ่งอั้นไม่ตอบทันที นัยน์ตาหรี่ลงถอนใจเบาครุ่นคิดทบทวน ไตร่ตรองไปมาอย่างละเอียดก่อนเงยหน้าขึ้นตอบ

            “ค่ะ...มารับปาก...จะไม่ทำอะไรโง่ ๆ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิด และจะไม่ทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบก่อน...ด้วยเหตุผลเพียงแค่ต้องการลงโทษตัวเองอย่างเดียว”

            พยุหะถอนใจยาว ดวงตาอ่อนโยนลง ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มบาง ๆ

            “ดี...เพราะฉัน...ไม่อยากเสียคนใน ‘ครอบครัว’ ไปอีกแล้ว”

            มัชฌิมาชะงัก สบสายตาเขาอย่างเข้าใจ วาจาเรียบ ๆ ทว่าอบอุ่นบอกถึงความรู้สึกในจิตใจอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน พยุหะไม่ยอมนับใครเป็นคนในครอบครัวง่าย ๆ

            คำพูดนั้นบอกชัดว่าเธอสำคัญกับเขาขนาดไหน

            ผู้ชายคนนี้ไม่พูดจามากมาย แต่ทุกวาจาคือความจริงแท้จากใจซึ่งซึมซ่านเข้าสู่หัวใจคนฟังโดยไม่รู้ตัว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รถพยุหะแล่นมาส่งหญิงสาวหน้าบ้านเวลาค่อนข้างดึก จอดรถรอจนหล่อนเข้าบ้านปิดประตูเรียบร้อยจึงค่อยจากไป

            มัชฌิมามองตามไฟท้ายที่ห่างออกไปด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่เจอกันมา วันนี้รู้จักชายหนุ่มมากกว่าเคย

            หลังออกจากวัด พยุหะชวนไปรับประทานอาหารเย็น ซึ่งทีแรกคิดว่าเป็นแค่ร้านอาหารธรรมดาทั่วไปจึงรับปาก พร้อมกับโทรศัพท์ขออนุญาตพันเกลียวเรียบร้อย

            กลายเป็นว่าร้านอาหารที่เขาพามาเป็นโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา โต๊ะติดริมแม่น้ำรับประทานอาหารเคล้าบรรยากาศธรรมชาติ อาหารอร่อย แสงไฟโรแมนติกบริการชั้นเลิศไม่ต่างจากการออกเดตอย่างสมบูรณ์สวยงามเลย

            ระหว่างรับประทานอาหาร พยุหะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังหลายอย่าง ทั้งชีวิตวัยเด็ก ความผูกพันกับตายาย มุมมองในการเขียนเพลง ทำงาน จากนั้นก็ชักนำให้หล่อนบอกเล่าเรื่องส่วนตัวอย่างแนบเนียน

            มัชฌิมาสบายใจจนสามารถเล่าชีวิตวัยเด็กอันอบอุ่น จนถึงวันที่สูญเสียบิดามารดา ได้ครอบครัวรอยธาราเป็นหลักช่วยเหลือ ได้ป้าพันเกลียวเข้ามาดูแลเลี้ยงดู

            พอเรื่องราวหญิงสาวเริ่มเข้าสู่ความดราม่าหดหู่ เขาก็ใช้อารมณ์ขันเข้าแทรกเปลี่ยนเรื่องคุยโดยไม่สะดุด เล่าเรื่องส่วนตัวในมุมที่คนอื่นไม่เคยเห็น ทำให้คนฟังรับรู้ว่า พยุหะ โปรดิวเซอร์เพลงชื่อดังไม่ได้มีแค่ความติสต์แตก ดุเอาแต่ใจเพียงอย่างเดียว เขายังมีอารมณ์ขันแปลก ๆ ไม่เหมือนใคร มุมมองอ่อนโยน ความรู้สึกอบอุ่นซ่อนอยู่ภายใน

            มัชฌิมาจึงเล่าเรื่องส่วนตัวในมุมรั่ว ๆ มึน ๆ ให้ฟังบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคบเพื่อนสนิทอย่างรอยธารา โดยไม่รู้ว่าเป็นน้องสาวใคร หลงพูดจาพร่ำเพ้อ แสดงความเป็นติ่ง ‘ลุย Three-Rex’ บอยแบนด์ดังพี่ชายเธอชนิดสุดขั้ว จนมาความแตกตอนนักร้องดังคนนั้นมารับน้องสาวที่โรงเรียน

            หญิงสาวสังเกตว่าพอเธอพูดถึงความหลงใหลชื่นชมในตัวรอยเธียร แววตาพยุหะเริ่มฉายรอยขัด ๆ ไม่พอใจคล้ายหึงหวงขึ้นมาเล็กน้อย จึงต้องรีบเปลี่ยนไปเล่าเรื่องอื่นแทน

            การพูดคุยสนทนาจึงราบรื่นไม่สะดุด รวมกับอากาศริมแม่น้ำปลอดโปร่งเย็นสบาย ช่วยให้ผ่อนคลาย สองหนุ่มสาวได้รู้จักกันหลายแง่มุมผ่านการพูดคุยแบบไม่มีปกปิดสร้างภาพ พบว่ามีความคิดเห็นใกล้เคียงกันหลายเรื่อง มุมมองชีวิตอยู่ในระนาบเดียวกัน มีความชอบ ไม่ชอบแทบไม่แตกต่างกัน

            สำหรับพยุหะ...นับเป็นครั้งแรกที่พบผู้หญิงซึ่งตนอยู่ใกล้แล้วสบายใจผ่อนคลาย สนิทใจมากเท่านี้

            สำหรับมัชฌิมา...นอกจากรอยเธียรแล้ว ผู้ชายตรงหน้าเป็นอีกหนึ่งคนที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงผิดปกติ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ดึกขนาดนี้พันเกลียวอยู่ในห้องส่วนตัว อาจพักผ่อนนอนหลับ หรือเจริญภาวนาไม่มีผู้ใดล่วงรู้

            หลังเข้าบ้านอาบน้ำเสร็จ มัชฌิมาสวมชุดนอนหลวมสบายเข้ามาในห้องพระพร้อมคล้องผลึกครุฑนาคเรียบร้อย

            เธอรับปากพยุหะจะไม่ทำเรื่องโง่ ๆ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิด ไม่กระทำเรื่องที่คิดว่าเป็นการลงโทษตัวเองอย่างเช่น การไปเผชิญหน้าเนวะตามลำพัง

            พยุหะอ่านใจหล่อนออกอย่างละเอียด ทราบว่าพอได้รู้เบื้องหลังอุบัติเหตุสองสามีภรรยา ต้องไม่ยอมอยู่เฉย...อาจมุ่งไปเผชิญหน้ากับเนวะกระทำเรื่องโง่ ๆ ที่คิดว่าเป็นการช่วยเหลือทุกคน

            ...แต่...ชายหนุ่มพลาดไปเล็กน้อยที่ไม่ตีความคำตอบรับของเธออย่างละเอียด

            มัชฌิมาบอกว่า...จะไม่ทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบก่อน ด้วยเหตุผลเพียงต้องการลงโทษตัวเองอย่างเดียว

            มันเป็นถ้อยคำบอกกล่าว เว้นช่องว่างเพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียสัตย์

            ถึงอย่างไรการเผชิญหน้ากับเนวะย่อมเกิดขึ้น แต่มันต้องเกิดขึ้นจากการวางแผนไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่การกระทำผลีผลามด้วยความรู้สึกผิด อยากลงโทษตัวเอง



            หญิงสาวคิดทบทวนแล้วทบทวนอีก เธอไม่มีอิทธิฤทธิ์สูงส่งเช่นพญาครุฑ พญานาคอย่างพยุหะ รอยเธียร ที่สามารถใช้ต่อกรกับเนวะ เช่นนั้นหากหวังเผชิญหน้าเอาชนะผู้ทรงฤทธิ์ต้องหาบางสิ่งมารับมือ

            มัชฌิมานั่งขัดสมาธิหน้าพระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่บูชา ระลึกถึงภาพพระพุทธเจ้าในอดีต พระประธานในโบสถ์อันสวยงาม ระลึกถึงอำนาจพระพุทธคุณจนจิตเกิดปีติสุข ตั้งมั่นเป็นสมาธิขึ้นมา

            ความทรงจำในอดีตชาติกระจ่างในหัว ทั้งชาติที่เป็นกัลยา และรุกขเทพธิดาผู้รักษาป่าในอาณาเขตเมืองอมฤต

            สมัยเป็นกัลยา เธอร่ำเรียนวิชาอาคมแบบพอรักษาตัวจากเนวะ...วิชาเหล่านั้นย่อมไม่สามารถทำร้ายผู้เป็นอาจารย์ได้แน่นอน

            ตอนเป็นรุกขเทพธิดา เธอหยั่งทราบความแปรปรวนดินฟ้าอากาศล่วงหน้า จึงมักบอกเตือนชาวบ้านให้คอยระวังพายุ ภัยธรรมชาติ หรือบางปีฝนแล้ง ขาดแคลนน้ำก็จะเตือนให้ผู้คนเตรียมพร้อมรับมือ

            ญาณหยั่งรู้อันเกิดจากจิตเมตตานี้ ส่งผลให้ชาติปัจจุบันมัชฌิมาเห็นนิมิตอนาคตสั้น ๆ เพื่อเตือนตนและคนรอบข้าง แต่มันไม่ละเอียดชัดเจนจนใช้ประโยชน์มากมายนัก

            มัชฌิมาไม่เคยกำหนดรู้ ‘นิมิตอนาคต’ ตนเองได้ ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร เหตุใดจึงเกิด

            หญิงสาวฉุกคิด...หากเธอกำหนดมันได้ และขยายอำนาจแห่งนิมิตอนาคตให้ละเอียดกว้างไกล สามารถเห็นในทุกแง่มุม ที่คนปกติธรรมดาไม่มีทางล่วงรู้

            เธอย่อมพบช่องว่างจุดอ่อนในการเอาชนะเนวะ ให้ผู้ทรงฤทธิ์ยอมละพยาบาท หยุดตามจองล้างจองผลาญพวกเธอในที่สุด

            แต่...มันจะเป็นไปได้หรือไม่?...

            ด้วยจิตที่ยังทรงสมาธิ ด้วยพลังอำนาจแห่งผลึกครุฑนาค ด้วยใจเมตตาหวังคลี่คลายความอาฆาตพยาบาท เธอเชื่อว่าจะขยายอำนาจนิมิตอนาคตให้กลายเป็นการ ‘หยั่งรู้’ ละเอียดเพื่อหยุดวงจรการตามล้างนี้ให้สิ้น

            ปลายนิ้วแตะผลึกครุฑนาคที่อยู่เหนืออก จิตจดจ่อเข้าไปรวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่ออาศัยพลังอันกล้าแกร่งข้างใน

            ...ไม่มีเวลาครุ่นคิดสงสัยมากมาย...ต้องเริ่มต้นทดลองทันที...











บทที่ ๒๓



            เมื่อคืนพันเกลียวบำเพ็ญภาวนาในห้องส่วนตัวตลอดคืนโดยไม่มีสิ่งใดรบกวน จิตตั้งมั่นเป็นธรรมชาติไม่ออกไปรับรู้เรื่องอื่นนอกจากเรียนรู้กาย-ใจตนเอง

            ก่อนรุ่งสางเกิดปรากฏการณ์จิตเข้าใจธรรมะขึ้นอีกขั้น ใจรู้ตื่นเบิกบานสว่างไสวชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นลงรวมเข้าสมาธิพักผ่อนจนเต็มอิ่ม

            ฟ้าสว่างจิตถอนจากสมาธิมีความสดชื่น สติฉับไวคล่องแคล่วกว่าเดิม กิเลสขยับตัวเล็กน้อยก็รู้ทันรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ

            ใจทราบเองว่า...หากตนจะภาวนาให้เข้าใจธรรมะสูงขึ้น เพื่อสังหารกิเลสลึกซึ้งกว่านี้ สมควรปลีกวิเวกหาสถานที่สัปปายะเจริญภาวนา

            พอใจเห็นเช่นนั้นก็พบว่าตนมีภาระรับผิดชอบหลานสาว ไม่อาจทอดทิ้งกลางคัน ค่อยระบายลมหายใจแผ่ว รับรู้ เข้าใจ ด้วยจิตเป็นกลาง ไม่เร่งร้อนกระวนกระวาย

            ออกมาทำภารกิจส่วนตัวตามปกติ พบมัชฌิมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อย สายตากวาดผ่านใบหน้าหญิงสาว จิตแวบรู้เองถึงความสว่างไสวผิดปกติ

            “คุณป้าคะ มามีเรื่องขออนุญาต” ผู้อ่อนวัยกว่าเอ่ยปากขณะร่วมรับประทานอาหารเช้า

            พันเกลียวเงยหน้ามองเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดความต้องการออกมา

            “คือ...มาขออนุญาตเอาของบางอย่างในห้องพระออกไปใช้...จะได้มั้ยคะ”

            ปากไม่ทันขยับถามว่าของนั้นเป็นสิ่งใดบ้าง ใจก็แวบรู้เอง

            พันเกลียวพยักหน้า หมดสงสัย

            “ได้สิ ป้าอนุญาต”

            หญิงสาวเคยชินเสียแล้วกับการเจรจาเพียงหนึ่งอีกฝ่ายเข้าใจถึงสิบ จึงพูดเรื่องต่อมา

            “และอีกเรื่อง...” คราวนี้มัชฌิมาชะงักวาจาตั้งใจไม่เอ่ยปาก แน่ใจว่าผู้อาวุโสกว่าย่อมทราบ

            จิตผู้บำเพ็ญเพียรเวลานี้กระจ่างเบิกบานแผ่กว้างด้วยความสุขภายใน กิเลสขยับสติก็รู้ทันว่องไว ความสามารถในการ ‘อ่าน’ ฝ่ายตรงข้ามยิ่งคมชัดรวดเร็ว

            ดังนั้นเพียงแค่มัชฌิมาขออนุญาตข้อแรก ก็รู้แล้วว่าข้อสองเธอต้องการอะไร

            “อืมม์” หญิงกลางคนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตอีกครั้ง

            มัชฌิมาประนมมือไหว้ขอบคุณ ซาบซึ้งบุญคุณ...ถ้าจะมีใครเข้าใจการกระทำเธอที่สุด คงเป็นคุณป้าคนนี้

            พันเกลียวทอดสายตามองความสว่างสวยภายในตัวหลานสาว คล้ายเป็นแสงแห่งจิตแบบรุกขเทพธิดา

            เมื่อคืนผู้บำเพ็ญภาวนามุ่งมั่นในงานตน ไม่ส่งจิตออกนอกจึงไม่รู้ว่าหลานสาวกำลังทำอะไร

            ตอนนี้ทราบแล้ว...มัชฌิมากระทำเรื่องที่เกิดได้ยากให้สำเร็จภายในชั่วข้ามคืน

            แวบหนึ่งในความรู้สึก พันเกลียวเห็นว่า...เวลาที่จะได้ปลีกวิเวก บำเพ็ญภาวนาอย่างเข้มข้นเฉพาะตัวใกล้มาถึงแล้ว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คืนที่ผ่านมา ในห้องพระ

            ปลายนิ้วมัชฌิมาแตะผลึกครุฑนาค จิตเข้าไปสัมผัสพลังอันแตกต่างทว่าหลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ จากนั้นค่อยซึมซับพลังเข้าไปเพื่อให้เกิดกำลังกล้าแข็งก่อนถอยจิตกลับมาตั้งมั่นยังกายใจตน

            เวลานี้ร่างกายจิตใจเธอหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผลึก สามารถชักนำอานุภาพเข้ามาช่วยส่งเสริมใช้งานได้ชั่วคราว

            ความรู้สึกปลอดโปร่ง กายใจเบา สมาธิตั้งมั่นมีกำลังมากพอทบทวนความทรงจำย้อนหลังกลับไปยังชาติก่อนโดยไม่คลาดเคลื่อนผิดเพี้ยน

            ระลึกถึงสมัยเป็นรุกขเทพธิดา สังเกตว่านางใช้วิธีใดเข้าไปหยั่งทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า ญาณที่บอกว่าจะเกิดพายุฝน ภยันตราย หรือความแห้งแล้งลำบากต่าง ๆ มีวิธีดำเนินอย่างไร

            ความเป็นรุกขเทพธิดาครอบครองจิตใจหญิงสาวชั่วขณะใหญ่ก่อนเคลื่อนคลายออก ทิ้งร่องรอยเคล็ดลับการหยั่งรู้อนาคตเอาไว้

            มัชฌิมาทบทวนเคล็ดสำคัญนั้นไปมาหลายรอบจนกระจ่างแก่ใจ จากนั้นขยับจิตดำเนินตามเส้นทางการล่วงรู้อนาคตทีละน้อยทีละน้อย

            ภาพอนาคตตอนแรกปรากฏวูบวาบเหมือน ‘นิมิตอนาคต’ ที่เคยเกิดประจำ

            พอเวลาผ่านไปจิตเข้าใจเคล็ดลับลึกซึ้งขึ้น เกิดความคล่องแคล่วชำนาญ จิตทรงตัวเป็นกลางไม่หวั่นไหวต่อภาพที่เห็น กระทำตัวเป็นผู้ดูโดยไม่แทรกแซง ปล่อยให้เหตุการณ์อนาคตฉายตามครรลองของมัน

            ภาพอนาคตแสดงให้ดูในแง่มุมแต่ละคนที่เธอสนใจ แบ่งเป็นช่วง ๆ คล้ายคนละเหตุการณ์ คนละเรื่องราว ต้องกลับมาดูซ้ำใหม่แล้วค่อยเรียบเรียงอย่างใจเย็นอีกที จนกลายเป็นภาพรวมขนาดใหญ่บอกเล่าเหตุการณ์อนาคตทุกด้านที่ต้องการรู้

            พอจิตเหนื่อยล้าก็เข้าพักในสมาธิครู่หนึ่ง แล้วกลับมาดูเรื่องราวเดิมในหลายมุมหลายด้านอีกครั้ง จนแน่ใจว่าตนไม่ตกหล่นเหตุการณ์สำคัญใด ๆ

            มัชฌิมาใช้เวลาตลอดทั้งคืนตรวจสอบเรื่องราว เหตุการณ์อนาคตซ้ำไปซ้ำมาโดยใช้พลังพิเศษจากผลึกครุฑนาคมาเป็นแรงเสริม

            เมื่อเห็นภาพอนาคตตลอดสายเหมือนอ่านลายมือตนเอง ก็ใช้สติปัญญาหาช่องว่าง วิธีแทรกแซงเพื่อให้พวกตนมีโอกาสเอาชนะเนวะอย่างสะอาดสวยงาม

            แผนการถูกวางในหัวแล้วลบทิ้งหลายรอบ ภาพอนาคตถูกนำมาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก กว่าจะได้แผนการที่รอบคอบรัดกุมที่สุดโดยไม่ขัดกับภาพอนาคตที่เห็น

            เธอเชื่อว่า...สิ่งที่จะกระทำต่อไปอาจไม่สมบูรณ์พร้อม มีจุดอ่อนช่องโหว่ โอกาสผิดพลาดหลายแห่ง แต่มันเป็นวิธีที่ดีสุดแล้ว ไม่ได้เกิดจากความวู่วามขาดสติเด็ดขาด

            เมื่อวางแผนสำเร็จ หลังจากนี้คือปฏิบัติการจริง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หลังจากมัชฌิมาขออนุญาตเรียบร้อย ก็หายขึ้นไปบนห้องพระครู่หนึ่ง กลับลงมาพร้อมกระเป๋าสะพาย แล้วนำของบางอย่างฝากไว้กับพันเกลียว

            “ฝากให้พี่ลุย กับคุณพายุด้วยค่ะ”

            ผู้เป็นป้ารับของฝากมาโดยไม่ไถ่ถามเหตุผล

            หญิงสาวคุกเข่ากราบบนตักผู้สูงวัยอย่างสำนึกบุญคุณก่อนออกจากบ้าน ไม่บอกกล่าวสักคำว่าจะไปที่ใด

            พันเกลียวมองส่งจนหลานสาวเลื่อนประตูหน้าบ้านปิดตามปกติ คล้ายเห็นเธอออกไปเรียน หรือทำงานพิเศษเหมือนทุกวัน

            “คุณเชื่อว่าแผนการเธอจะสำเร็จแน่หรือ”

            เสียงถามก้องในหัว ขณะปรากฏร่างเพียงเงาราง ๆ สีเทาตรงมุมมืด

            “ยังไม่หายดี ไม่ต้องตามไปหรอก” พันเกลียวดักคอ รู้ว่านายทวารผู้ดูแลบ้านมีเจตนาอย่างไร

            “เธอกำลังทำเรื่องที่เสี่ยงมาก” คำพูดเหมือนค้าน

            “ต้องลองดู” สตรีกลางคนบอกเพียงเท่านั้น

            เงาสีเทาเลือนหาย ทิ้งร่องรอยความเป็นห่วงกังวลเอาไว้

            พันเกลียวลุกขึ้นไปยังห้องส่วนตัว เก็บเสื้อผ้าของใช้จำเป็นใส่กระเป๋า ทราบว่าตนก็ต้องออกเดินทางจากบ้านหลังนี้เช่นกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP