วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อมฤต ๓๐
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
หลังความจริงเปิดเผย รอยเธียรพ้นจากการเป็นจำเลยสังคม ได้รับกระแสชื่นชมเป็นห่วงตามมาอีกหลายเท่าตัว
รอยจันทร์ เธียร พักฟื้นอยู่โรงพยาบาลของท่านชัยกาล คุณหญิงเรือนอร ตายายพยุหะแบบคนป่วยระดับวีไอพี เนื่องด้วยทายาทเจ้าของโรงพยาบาลขอห้องพิเศษเป็นเตียงคู่ลักษณะห้องสูทให้สองสามีภรรยา เพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา และความสบายแก่คนเฝ้าผู้ป่วย
รอยเธียร รอยธาราผลัดกันดูแลบิดามารดา ส่วนมัชฌิมา พยุหะคอยเปลี่ยนเวรเวลาสองพี่น้องกลับไปทำธุระที่บ้านบางครั้ง
มันเป็นความสงบช่วงสั้น ๆ โดยมีคลื่นความกังวลก่อตัวอยู่ข้างใน
ไม่มีใครรู้ว่าเนวะเร้นกายรักษาตัวที่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าแผนปองร้ายต่อไปจะเป็นอย่างไร
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ห้องเกียรติยศ ประดับด้วยรูป ข้าวของเครื่องใช้และประวัติผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล...คุณนายพิกุล
รอยธารามักแวะมาดูในห้องนี้เมื่อมีเวลาว่าง มันช่วยกระตุ้นความทรงจำเก่า ๆ ทั้งยังเตือนใจตนเองว่า...ชั่วชีวิตมนุษย์มันสั้นนักหนา
เหตุการณ์เฉียดตายที่ผ่านมาบอกให้ทราบถึงความอ่อนแอของตน เธอยังหวาดกลัวต่อความตาย ต่อการพลัดพรากสูญเสีย ใจยึดติดความเป็นตัวกู ของกูเหนียวแน่น ยิ่งมีความทรงจำอดีตชาติก็เพิ่มความยึดถือตัวตนในอดีตให้เป็นภาระเข้าไปอีก
หลังชัยกาล เรือนอรเสียชีวิต โรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ในความดูแลของพงศกร ลูกชายคนเดียวซึ่งมีทีท่าจะไม่สืบสานดำเนินกิจการต่อ
หญิงสาวได้ยินจากหมอ พยาบาลว่าผู้สืบทอดโรงพยาบาลคนใหม่จะขายกิจการให้กับโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ยักษ์ใหญ่ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ
เมื่อขายแล้ว ทีมแพทย์ พยาบาล คนงานต่าง ๆ อาจยังอยู่เหมือนเดิมไม่มีใครตกงาน แต่ชื่อโรงพยาบาลย่อมเปลี่ยน นโยบายบริหารไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่โรงพยาบาลอย่างที่คุณนายพิกุลอยากให้เป็นอีกต่อไปแล้ว
รอยธาราต้องทำใจ สละความเป็น ‘ตัวกูของกูในอดีต’ ออกไปให้หมด ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา
เธอเข้ามาในห้องครั้งนี้เพื่อรำลึกความหลัง เตรียมตัดใจลืมเลือนเรื่องราวในชาติก่อน สัมผัสข้าวของรักแต่ละชิ้นเป็นครั้งสุดท้าย พอหันหลังกลับจะไปดูแลบิดามารดา พบบรรพตยืนอยู่หน้าประตูมองมาด้วยสายตาพินิจพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
“สวัสดีค่ะ” รอยธารายกมือไหว้ตามมารยาท ในใจนึกเหนื่อยหน่ายผิดหวังกับบุคคลนี้
“เธอรู้จักคุณนายพิกุลมั้ย” บรรพตถามแบบไม่ยอมให้ตั้งตัว
“รู้จักสิคะ รูปท่านก็แขวนอยู่ตรงนี้” หญิงสาวชี้ให้ดูแล้วยิ้มแปลก ๆ แววตาฉายรอยเท่าทัน
“คุณบรรพตมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ดิฉันหรือคะ”
คำถามเพื่อหยั่งเชิง เธียร รอยจันทร์นอนพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลสองสามวันแล้ว ถ้าเจ้าตัวมีใจเป็นห่วงอยากมาเยี่ยมจริงก็ควรมาถึงตั้งแต่วันแรก
“อืมม์” เสียงตอบในลำคอ สายตามองใบหน้าหญิงสาวสลับกับรูปถ่ายหญิงชราบนผนัง รู้สึกมีความลงตัวพอดีอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าอย่างนั้นเชิญค่ะ ดิฉันจะพาไปที่ห้อง” รอยธาราทำหน้าที่ลูกสาวผู้มีมารยาท
“ฉันสงสัย...” จู่ ๆ บรรพตโพล่งขึ้น
“คะ?” หญิงสาวมองด้วยสายตาคำถาม
“เธอคิดว่าคุณนายพิกุล เจ้าของโรงพยาบาลนี้จะรู้สึกอย่างไร ถ้ารู้ว่าโรงพยาบาลกำลังจะถูกขายออกไป”
รอยธาราชะงักชั่วครู่เมื่อเจอคำถามเจาะปมค้างคาในใจแบบนี้
“คนตาย...จะรู้สึกอะไรล่ะคะ คุณนายท่านก็ไม่อยู่แล้ว ลูกชายลูกสะใภ้ก็ตาย หลานชายคนเดียวไม่อยากรักษาไว้ ต้องการขายก็ต้องยอม...จะให้แกฟื้นขึ้นมาโวยวายเอาอะไร”
“ถ้า...ท่านฟื้นขึ้นมาได้ล่ะ” คำถามพร้อมแววตามุ่งหมายบางอย่าง
หญิงสาวสบกับแววตานั้นอย่างเข้าใจ ระบายลมหายใจช้า ๆ ตอบด้วยความระมัดระวัง
“คุณนายพิกุลถูกเผากลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว กระดูกที่เหลือก็น่าจะป่นเป็นดินไปหมดฟื้นขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว...แต่...ถ้าคุณนายพิกุลได้มาเห็นโรงพยาบาลในปัจจุบัน ก็คงอยากบอก ‘ขอบคุณ’ ใครบางคนที่คอยช่วยสนับสนุนกิจการมานาน ช่วยให้เจตนารมณ์ของเธอดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้...และ...ถ้าโรงพยาบาลมันจะต้องเปลี่ยนไปจริง ๆ เธอก็คงเข้าใจว่าโลกมันเป็นอย่างนั้นเอง...ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนเสมอ...กระทั่งตัวเธอในชาตินี้ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเหมือนกัน”
บรรพตอึ้ง แววตาเกิดความมั่นใจบางอย่างจึงตั้งคำถามต่อมา
“แล้ว...เธอคิดว่า...ถ้าคุณนายพิกุลเห็นฉันในวันนี้...ท่านจะพูดว่ายังไง?”
จบคำถามก็รอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
รอยธาราถอนใจเงยหน้าเอ่ยคำตอบด้วยกิริยาที่อีกฝ่ายคุ้นตา
“รวยพอหรือยัง!”
ประธาน บี.บี. พรอม. อึ้งพูดอะไรไม่ออก ใจหวนคิดถึงภาพหญิงชราที่เคยยืนมองโรงพยาบาลด้วยแววตาชื่นชม แล้วหันมาพูดกับเขาอย่างภาคภูมิใจ
“ฉันรวยพอแล้วบรรพต...คนเราแก่ขนาดนี้จะหาเงินมาไว้ทำไมนักหนา ทำไมไม่คิดใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเกื้อกูลคนอื่นที่ลำบากกว่าเรา”
ใช่...และเขาคือหนึ่งในจำนวนผู้คนที่ท่านช่วยเหลือเกื้อกูลจนมีวันนี้
รอยธารายิ้มให้ก่อนค้อมศีรษะเดินนำหน้าพาไปยังห้องคนป่วย
บรรพตเดินตามช้า ๆ หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่า เขาลอบสังเกตเธออยู่นานตลอดเวลาที่อยู่ในห้องเกียรติยศนั้น สายตาจดจำกิริยา การเคลื่อนไหวทุกอย่างชัดเจนคุ้นตาจนกล้าเอ่ยคำถามแรกเช่นนั้นออกไป
เมื่อได้ยินคำตอบ พูดคุยกันยืดยาว ไม่จำเป็นต้องสงสัย ลังเลใจอย่างไรอีก
ในเมื่อยังมี ‘เนวะ’ มนุษย์ทรงอิทธิฤทธิ์ผู้มีอายุนับพันปี...จะแปลกอะไร ถ้าใครสักคนในอดีตจะกลับชาติมาเกิดให้เห็นแบบนี้
นั่นทำให้ชายกลางคนตั้งคำถามกับตัวเอง...เขาควรอยู่ฝ่ายไหน?
บทที่ ๒๒
ตั้งแต่เธียร รอยจันทร์ประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาล นอนพักฟื้นรักษาตัวสองสามวันก็มีทั้งพนักงาน เจ้าหน้าที่ระดับสูงในบริษัทเธียร เพื่อนพ้องในวงการบันเทิงของรอยจันทร์มาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย คนเป็นลูกชายไม่มีโอกาสเหมาะเพื่อบอกเรื่องสำคัญบางอย่างกับบิดาจนถึงวันนี้
รอยธาราพาบรรพตเข้ามาเยี่ยมช่วงปลอดคน พูดคุยตามมารยาท ทุกคนเห็นท่าทางประธาน บี.บี. พรอม. อ่อนลง ยอมกล่าวขอโทษเรื่องที่ผ่านมา
“ผมต้องขอโทษคุณรอยจันทร์ กับคุณลุยด้วยที่ทางเราเข้าใจผิด ตอนนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว โฆษณาชิ้นนั้นกลับมาได้รับความนิยม...ผมต้องขอโทษอีกครั้ง และขอบคุณจริง ๆ”
“แสดงว่าเราไม่ต้องมาคุยเรื่องค่าชดเชยอะไรกันแล้วใช่มั้ยคะ”
ขนาดนอนอยู่บนเตียงคนป่วย รอยจันทร์ยังทำหน้าที่ผู้จัดการรักษาผลประโยชน์ลูกชายอย่างเหนียวแน่น
“ครับ” บรรพตตอบรับ แล้วพูดถึงสิ่งที่เขาตั้งใจชดเชยให้อีกฝ่าย
“ตามสัญญาหลังจากนี้จะมีการจัดอีเวนท์ โปรโมทสินค้าตามภาคต่าง ๆ ทางเราจะเพิ่มค่าตอบแทนเป็นพิเศษต่องานที่คุณลุยไปออก นอกเหนือจากที่ระบุในสัญญาเพื่อเป็นการขอโทษด้วย”
“ขอบคุณค่ะ” คุณแม่ซูเปอร์สตาร์ยิ้มแก้มปริ
“ถ้า...อีเวนท์ไหนผมติดธุระไม่สะดวกเดินทาง จะของดเป็นงาน ๆ ได้มั้ยครับ”
รอยเธียรถามด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ดวงตาคมปลาบแสดงการหยั่งเชิงบางอย่าง
บรรพตอึ้งชั่วขณะ รู้ว่าตนโดนลองใจกึ่งโยนหินถามทาง
“ทางเราจะให้แผนกประชาสัมพันธ์จัดตารางงานอีเวนท์ล่วงหน้ามาให้ดูก่อน ถ้าคุณลุยไม่สะดวกวันไหนก็บอกเราได้ ไม่ถือว่าผิดสัญญา”
ประธานบริษัทผู้คมเขี้ยวยอมลงให้ขนาดนี้ แสดงว่ามาขอโทษอย่างจริงใจ ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง อีกทั้งยังมีความรู้สึกผิด แสดงความรับผิดชอบเต็มที่ ซึ่งสองฝ่ายต่างรู้เหตุผลดี
อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นจากฝีมือเจ้านายใคร...
ใครเป็นคนวางแผนทำให้รอยเธียรเสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้งสนับสนุนเงินทุนจ้างคนมาเล่นอย่างสมบทบาท จ้างคนหลังคีย์บอร์ดเขียนประณามสร้างกระแสลบ
นั่นน่าจะรวมถึงการกล่าวหาปลอม ๆ สร้างกระแสว่าพยุหะลอกเพลงด้วย
ต่อให้ไม่มีใครเอ่ยปากกล่าวโทษ พาดพิงถึงชื่อ ‘เนวะ’‘บรรพต’ ต่างก็รู้แก่ใจดี...ทั้งหมดเป็นเพราะใครบ้าง
ที่น่าสงสัยคือเหตุใดบรรพตจึงสำนึกผิดมากล่าวขอโทษ ทั้งที่ตามจริงแล้ว ต่อให้เนวะบาดเจ็บเพียงใด ผลการต่อสู้ยกนี้ฝ่ายตนพ่ายแพ้ยับเยินหมดรูป
บรรพตกลับไปแล้ว ครอบครัวนาคพิทักษ์อยู่กันตามลำพังสี่คน กำลังพูดคุยถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับแขกที่เพิ่งกลับไป
“เขาจะมาไม้ไหนนะ” คนเป็นแม่เปิดประเด็น
“นั่นสิ ศึกยกนี้ฝ่ายตัวเองชนะแท้ ๆกลับมาขอโทษ ยื่นผลประโยชน์ชดเชยให้แบบนี้” รอยเธียรสงสัยเช่นกัน
“เขาคงเห็นกระแสโซเซียลตีกลับ เรายังทำผลประโยชน์ให้ได้อีกมาก คนทำธุรกิจก็ต้องรีบพลิกตัวตามน้ำเหมือนกัน” คราวนี้พ่อออกความเห็นบ้าง
“ใช่...ลงทุนขนาดเพิ่มค่าตอบแทนออกอีเวนท์ให้แบบนี้น่าอิจฉาจะตาย ปกติค่าตัวพี่ลุยก็สูงอยู่แล้ว...นี่ยังมีหน้ามาเล่นตัว บอกว่าถ้าไม่ว่างขอไม่ออกอีเวนท์ได้มั้ย”
รอยธาราประชดพี่ชายอย่างหมั่นไส้ เธอเข้าใจบรรพตกว่าทุกคน
“ถ้าอิจฉานักก็ไปออกอีเวนท์เองสิ” พี่ชายโยกหัวเจ้าตัวเตี้ยกว่าอย่างขำขัน
“โห...ถ้าเค้าออกงานครั้งนึงมีรายได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือนหาทั้งปีแบบนี้ก็เอาแหละ” หญิงสาวแกล้งพูดใส่
“จริงนะ” เสียงคนเป็นแม่ดังขึ้นทันที “งั้นแม่จะรับเป็นผู้จัดการดูแล เรียกค่าตัวให้น้ำเอง”
“แม่อ้ะ...” รอยธาราหัวเราะขัน คิดว่ามารดาหยอกล้อ “น้ำไม่ได้ดังอย่างพี่ลุยสักหน่อย”
“ใครว่า...” รอยจันทร์ยิ้มมีเลศนัย “พวกเพื่อนแม่ที่มาเยี่ยมถามหาน้ำกันให้ควั่ก อยากชวนเข้าวงการ...เราน่ะแอบไปอยู่ไหนตอนมีคนมาหาน่ะ”
รอยธาราหน้ามุ่ย ด้วยความที่ชอบเก็บตัวไม่อยากเจอคนมาก ๆ ทุกครั้งที่มีคนมาเยี่ยมบิดามารดา เธอจะปล่อยให้พี่ชายคอยต้อนรับดูแล ส่วนตัวเองหลบไปนั่งเล่นไกล ๆ ไม่ก็อยู่ในห้องเกียรติยศซึ่งไม่มีคนมารบกวน
“จริงด้วยแม่...เมื่อวานป้าแดงมาเยี่ยมยังถามถึงเจ้าน้ำเลย บอกว่าจะชวนไปเป็นนางแบบเพื่อนรักหมาปอม!” รอยเธียรแหย่น้องสาว
“อย่าไปว่าน้องนะลุย” คราวนี้แม่ดุจริงจัง “ตอนนี้น้องน้ำก็ดังไม่แพ้เซเลปคนนึงเลยล่ะ”
ซูเปอร์สตาร์ไม่คัดค้าน ทราบว่ามันเป็นเรื่องจริง
ตั้งแต่แอดมินเพจ ‘คนรักรอยเธียร’ ถูกเปิดเผยว่าเป็นน้องสาวดาราดัง เหล่าแฟนคลับสมาชิกต่างตื่นเต้น เข้ามาชื่นชมความน่ารักไม่อวดตัวของเธอ
พอรูปสองพี่น้องหน้าห้องผ่าตัดแพร่กระจายออกไป ผู้คนรู้จักรอยธารามากขึ้น เหล่าแฟนคลับตัวแม่ในร้านกาแฟวันนั้นต่างโพสต์รูปสองพี่น้องในมุมน่ารักออกมาบ้าง ตามด้วยคำบรรยายเชิงบวก บอกเล่าบรรยากาศวันที่แอดมินเพจและประธานแฟนคลับรอยเธียรถูกพี่ชายตัวเองเปิดเผยความลับ
“วันนั้นอยากกรี๊ดลั่นร้าน ตอนเห็นลุย...รอยเธียรมายืนอยู่ข้างหน้า”
“หนูพูดอะไรไม่ออกเลยค่ะ น้ำตาจะไหล พี่ลุยกับพี่น้ำน่ารักมาก”
“เก็บความลับตั้งนาน มาโป๊ะแตกตอนพี่ชายตามกลับบ้าน...น่าร้ากกกจริง ๆ”
“ใครมาเห็นสองพี่น้องวันนั้น จะรู้สึกเลยว่าพ่อแม่เขาเลี้ยงมาดีจริง ๆ น่ารักทั้งคู่ ไม่ขี้อวดไม่ถือตัวเลย”
เมื่อทุกคนทราบข่าวอุบัติเหตุพ่อแม่ทั้งสอง ทำให้เกิดกระแสความเห็นใจเพิ่มพูน กำลังใจหลั่งไหลมาทุกทิศทางแทบนับเป็นปรากฏการณ์ครั้งหนึ่งทีเดียว
รอยธาราเห็นว่าคนรู้จักเธอมากมายขนาดนั้นจึงพยายามเก็บตัว ไม่ออกสื่อ ไม่ให้สัมภาษณ์คู่พี่ชาย ขนาดคนมาเยี่ยมบิดามารดาก็ยังไม่พบหน้าลูกสาวคนเดียวด้วยซ้ำ
สิ่งที่หญิงสาวไม่ชอบตั้งแต่เด็กคือถูกปะหน้าเป็น ‘น้องสาวลุย’
สุดท้ายหนีไม่พ้น จำเป็นต้องอยู่กับมันให้ได้ ที่พยายามหลบหน้าสื่อ เลี่ยงพบปะผู้คนก็เพื่อเว้นระยะใช้เวลาปรับตัวปรับใจกับความดังที่เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืนเท่านั้นเอง
“ไม่เอา...น้ำไม่อยากเป็นเซเลป” รอยธารายืนยันคำเดิม
คนเป็นแม่ยิ้มข้างในหน้า มองลูกสาวแล้วอดคิดถึงน้องชายตัวเองสมัยก่อนไม่ได้
พระอาจารย์ราเมศว์สมัยหนุ่มหล่อจัดไม่แพ้หลานชาย ไม่ชอบออกสื่อ ไม่อยากอยู่หน้ากล้อง พยายามหลีกเลี่ยงการเป็นคนดังทั้งที่ถูกชักชวนเข้าวงการบันเทิงแทบทุกวัน
รอยจันทร์เคยสงสัยว่าเพราะเหตุใด...จนวันนี้เข้าใจแล้ว
แต่ละคนมีเป้าหมาย เส้นทางของตนซึ่งอาจถูกฝังราก ปักใจมั่นสะสมกันมาหลายภพชาติ จุดหมายเช่นนี้ยากที่ใครจะบิดเบือน หักเหง่ายดาย
“ดีแล้วลูกอย่าเป็นดาราเซเลปเลย เรียนจบแล้วมาช่วยพ่อทำงานดีกว่า” เธียรหยอกล้อลูกสาวจากอีกเตียง
รอยธาราหน้ามุ่ย การไปฝึกงานบริษัทบิดาทำให้รู้ว่า ตนไม่เหมาะกับการเป็นพนักงานออฟฟิศเหมือนกัน
“น้ำอยากเปิดร้านขนม ของหวาน” หญิงสาวบอกความต้องการในใจ
พี่ชายตอบสวนทันที
“เฮ้อ...ตอนนี้หุ่นเราก็ผอมใช้ได้แล้วนะ...ขืนเปิดร้านขนมจริง ๆ รับรองได้เลย...ไอ้เตี้ยจะกลายเป็นยายตุ่มภายในเดือนเดียวแน่”
“เค้าไม่ยอมอ้วนหรอกน่า” รอยธาราถลึงตาใส่พี่ชาย
ทุกคนในครอบครัวหัวเราะสดใส บรรยากาศอบอุ่นแผ่กระจายทั่วห้อง ช่วงเวลานี้ยังไม่มีใครมาเยี่ยมเยียน รอยเธียรจึงคิดว่าควรบอกเรื่องที่ตนติดค้างในใจออกมาได้แล้ว
ชายหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ไปใกล้เตียงบิดาแล้วพูดด้วยสีหน้าอ่อนละมุนกว่าธรรมดา
“พ่อครับ...ท่านสิงหานาคราชฝากมาบอก ‘ขอโทษ’ กับทุกเรื่องที่เคยกระทำมาในอดีต”
คำพูดเรียบ ๆ น้ำเสียงปกติทำให้ทุกคนในห้องชะงัก เธียรกับรอยจันทร์ขยับตัวลุกขึ้นนั่งฟังอย่างตั้งใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับท่าน” วาจาเธียรแสดงความเคารพ ไม่เหลือรอยแค้นเคืองสักนิด
ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่มาที่ไปทั้งหมดอย่างละเอียด จนถึงช่วงเวลาก่อนวาระสุดท้ายที่พญานาคราชได้ฝากข้อความมาให้
“ลุยบอกท่านหรือเปล่า ว่าพ่อหมดความแค้นใจตั้งนานแล้ว” เธียรพูดเสียงอ่อนโยน
“ครับ...นั่นเป็นเหตุหนึ่ง ช่วยให้ท่านหมดภาระทางใจ ผ่านวาระสุดท้ายอย่างสง่างาม”
เธียร รอยจันทร์ระบายลมหายใจเบาก่อนยกมือประณมไหว้ด้วยใจระลึกถึง
ทว่า...เรื่องที่น่าติดใจเป็นกังวลยังไม่หมดแค่นั้น
“ท่านสิงหานาคราชไม่อยู่แล้ว ถ้าศัตรูของลุยหายบาดเจ็บจะทำยังไง” เธียรถามลูกชายอย่างเป็นห่วง
รอยเธียรอ้ำอึ้ง หาคำตอบเหมาะสมบอกให้บุพการีคลายใจไม่ได้
จังหวะนั้นประตูห้องถูกเคาะตามมารยาท ก่อนเปิดออก พยุหะ มัชฌิมาเข้ามาเยี่ยม เปลี่ยนเวรกับสองพี่น้องตามปกติ
นับเป็นการตัดบทสนทนาได้พอเหมาะพอดี
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
พยุหะ มัชฌิมาเปลี่ยนเวรดูแลเธียร รอยจันทร์ตามปกติ พอถึงหน้าประตู หญิงสาวกำลังจะเคาะขออนุญาตก็โดนชายหนุ่มยกมือห้ามไว้เมื่อได้ยินเสียงลอดมาแว่ว ๆ
รอยเธียรคุยกับบิดาด้วยเสียงปกติ ไม่ดังขนาดลอดออกไปได้ยินถึงนอกห้อง พยุหะมีประสาทสัมผัสแห่งครุฑฟังชัดทุกถ้อยคำ ส่วนมัชฌิมาไม่มีความสามารถเช่นนั้น เพียงแต่หูได้ยินเสียงแว่วแล้วจิตจดจ่อด้วยความสนใจอยากรู้ ภาพนิมิตก็ปรากฏในหัวทันที
ชายหนุ่มตั้งใจดึงหญิงสาวให้ห่างจากหน้าประตู หลบไปรอที่อื่นสักครู่จนกว่าคนในครอบครัวจะคุยเรื่องสำคัญจบ พอเห็นเธอมีอาการคล้ายตกภวังค์ จมอยู่ในนิมิตจึงไม่กล้ารบกวน
ยืนคอยจนกระทั่งรอยเธียรอับจนคำตอบบิดา พยุหะค่อยแก้สถานการณ์ด้วยการเคาะประตูขออนุญาตเข้าไป ซึ่งทำให้มัชฌิมาตื่นจากภวังค์พอดี
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
มัชฌิมาเคยถามพันเกลียวว่าเหตุใดเนวะถึงได้รับบาดเจ็บ
วันนี้ทราบแล้ว...ภาพในนิมิตละเอียดชัดเจน การต่อสู้หักหาญระหว่างพญานาคราชกับอดีตอาจารย์ของตน และผลการต่อสู้อันน่าสะเทือนใจ
เข้ามาในห้องผู้ป่วยเห็นสองสามีภรรยายิ้มต้อนรับจากเตียงคนไข้ มองหล่อนเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง จิตใจยิ่งเกิดความรู้สึกผิดมากกว่าเดิม
นาคราชผู้ปกปักตระกูลนาคพิทักษ์ต้องเสียชีวิต พ่อแม่เพื่อนสนิทที่เอ็นดูหล่อนตลอด รักใคร่ไม่ต่างจากลูกหลานต้องมาเจ็บตัวขนาดนี้...มัชฌิมาเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้เลย
ตั้งแต่เนวะปรากฏตัวก่อกวน สร้างเรื่องร้ายกาจมากมาย ส่วนลึกในใจมัชฌิมาจะบอกเสมอว่าตนเป็นต้นเหตุ พยายามคิดหาวิธีแก้ไขคลี่คลาย
จนเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นเมื่อเธียร รอยจันทร์เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บหนักเข้าโรงพยาบาล ความรู้สึกผิดในใจยิ่งทบทวีคูณ จึงหาทางชดเชยด้วยการมาช่วยเฝ้าดูแลทำทุกอย่างเสมือนเป็นลูกสาวอีกคน
กระทั่งวันนี้เนวะข้ามเส้นมาไกลถึงขั้นสังหารผลาญชีวิตกันแล้ว มันจึงเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้หญิงสาวตัดสินใจบางประการอย่างเด็ดขาด
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
“ลูกสาว ลูกชายคนใหม่ของพ่อมาแล้ว” รอยเธียรรีบเปลี่ยนประเด็นทันทีเมื่อเห็นสองผู้มาเยือน “พวกหมาหัวเน่ากลับบ้านก่อน”
“พี่ลุยหัวเน่าคนเดียวดิ...เค้าไม่เกี่ยว” น้องสาวรีบแยกวง เข้าเป็นพวกเดียวกับเพื่อนสนิททันที
“หนอย...ไอ้น้องทรยศ” พี่ชายบ่นงึมงำ
คนเจ็บทั้งสองยิ้มทักทายผู้มาใหม่ ซึ่งพวกตนให้ความใกล้ชิดสนิทสนมไม่ต่างจากคนในครอบครัวเดียวกัน
กับมัชฌิมา...เห็นกันตั้งแต่วัยรุ่น เพื่อนสนิทลูกสาวที่เข้านอกออกในบ้านจนคุ้นตา เคยช่วยเหลือเกื้อกูลตอนบิดามารดาเธอเสียชีวิต เอ็นดูเหมือนลูกสาวแท้ ๆ
ส่วนพยุหะ...ชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวให้เห็น เป็นลูกชายพรนภา ซึ่งเคยถูกจับคู่กลาย ๆ กับเธียรสมัยหนุ่ม หลานชายท่านชัยกาล คุณหญิงเรือนอร ผู้ใหญ่ที่นับถือเสมือนญาติสนิท
ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขามาช่วยดูแลใกล้ชิดตอนบาดเจ็บเคียงข้างมัชฌิมา ทำให้รู้สึกรักใคร่เอ็นดู คล้ายมีลูกชายเพิ่มมาอีกคน
“พายุ ลุงถามอะไรหน่อยสิ” เธียรนับญาติชายหนุ่มอย่างสนิทใจ “พงศกรลุงเราน่ะ มันจะขายโรงพยาบาลนี้จริงหรือ”
“ครับ” พยุหะตอบรับ
นั่นทำให้รอยธาราหยุดชะงัก รอฟังโดยยังไม่รีบกลับไปทำธุระที่บ้าน
“ขายไปแบบนี้มันน่าเสียดายนะ” คนป่วยบ่นเสียดายแทน
พยุหะไม่อธิบายเพิ่ม ด้วยเห็นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ อีกทั้งตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินส่วนนี้
“เท่าที่ดูกิจการโรงพยาบาลก็พออยู่ได้ ทำไมถึงอยากขายไปล่ะ” รอยจันทร์ถามบ้าง
“ลุงพงศกรแกไม่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจด้านนี้เลย อีกอย่างก็รับช่วงบริหารบริษัทใหญ่ของคุณตาคุณยายมา ภาระเยอะมากเลยไม่อยากทำที่นี่ต่อ”
ชายหนุ่มตั้งใจหยุดคำอธิบายแค่นั้น พอเห็นสายตาทุกคู่มองเขาอย่างสนใจอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม จึงขยายเรื่องในตระกูลออกมา
“ที่จริงโรงพยาบาลนี้เป็นของคุณยายทวดพิกุล กับคุณตาชัยพร พี่ชายตาผมเป็นผู้ก่อตั้ง พอท่านทั้งสองทยอยเสียชีวิต ไม่มีทายาทรับช่วงดูแล ตายายผมเลยมาช่วยสานงานต่อให้เพราะเห็นแก่คุณยายทวด ทีนี้พอท่านทั้งสองมาเสียพร้อมกัน ก็มีการเปิดพินัยกรรมแสดงทรัพย์สินที่เหลือออกมา ปรากฏว่าสมบัติส่วนตัวพวกท่านเหลือน้อยกว่าที่ทุกคนคิด เพราะต้องนำมาใช้อุดหนุนกิจการโรงพยาบาลในช่วงแรกที่เข้ามาบริหารแทนคุณตาชัยพร กว่ามันจะอยู่ตัวแบบนี้ เงินทุนเก่าก็หมดไปเยอะ...ถ้าคิดในเชิงธุรกิจก็ถือว่าขาดทุนตั้งนานแล้ว”
“ทำไมท่านทั้งสองถึงยังฝืนทำต่อมาตั้งนานแบบนั้นล่ะ” รอยเธียรเอ่ยปากถามพร้อมปรายตามองน้องสาว
“เพราะโรงพยาบาลนี้เป็นความภูมิใจของยายทวดพิกุล ตายายเลยพยายามรักษามันจนถึงที่สุด พอตอนนี้ลุงพงศกรเปิดพินัยกรรมมาดูเห็นผลประกอบการแล้วเลยไม่อยากเสี่ยง รีบขายตอนที่มันยังดี ๆ อยู่ มีคนสนใจอยากซื้อในราคาสมน้ำสมเนื้อ”
“น่าเสียดายนะ” เธียรถอนใจ ท่านชัยกาลกับคุณหญิงเรือนอรเคยแนะนำสั่งสอนเขาเรื่องการทำธุรกิจมาก่อน ไม่คิดว่าพวกท่านจะยอมรักษากิจการที่แทบไม่ก่อให้เกิดรายได้มานานขนาดนี้
“ครับ...ผมยังคิดเลยว่า ถ้าคุณยายทวดพิกุลรู้คงเสียใจมาก ที่คนรุ่นหลาน เหลนอย่างผมรักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้ไม่ได้”
“ไม่หรอก” รอยธาราหลุดวาจาอย่างยั้งไม่ทัน “คุณนายพิกุลต้องรู้สิว่า...นี่มันเป็นแค่สมบัติโลก ไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง...ถ้ามันอาจเป็นเหตุให้หลานเหลนเดือดร้อน แล้วคุณนายพิกุลยังอยู่ เธอก็ต้องเป็นคนยอมขายมันเองเหมือนกัน”
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
รอยธารานิ่งเงียบตลอดทางจากโรงพยาบาลจนเกือบถึงบ้าน คนเป็นพี่ชายอดรนทนไม่ได้ต้องหาเรื่องแหย่ให้น้องสาวหลุดจากความครุ่นคิดเหล่านั้น
“ข้างหน้ามีร้านเค้ก ขนมอร่อยมากสนใจมั้ย เดี๋ยวพี่แวะซื้อให้”
“หลอกให้เค้ากินของหวานจนอ้วน จะได้ล้อว่ายายตุ่มทีหลังใช่มั้ย” น้องสาวรู้ทัน
รอยเธียรหัวเราะหันมามองสายตาเปี่ยมรอยยิ้ม
“เขาว่ากินของหวานแล้วจะอารมณ์ดี คลายเครียดไง”
“เค้าไม่ได้เครียดสักหน่อย”
“ไม่เครียดแต่นั่งเงียบผิดปกตินี่นะ”
“ใครมันจะอารมณ์ดียิ้มได้ตลอดเวลาอย่างนางสาวไทยล่ะ”
“อือ...แล้วทำใจได้หรือยัง เรื่องโรงพยาบาลน่ะ” ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกน้องสาว
รอยธารายิ้มใบหน้าปราศจากรอยหม่นมัว อาจเพราะได้อยู่ใกล้คนที่มีพลังงานบวกเข้าใจเธอทุกเรื่อง
“ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็ใจหายบ้างแหละ แต่มันไม่ต้องทำใจอะไรนี่...ตอนนี้น้ำไม่ได้เป็นคุณนายพิกุลแล้ว แค่ยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้ ใจมันก็หมดยึดหมดห่วงเอง”
“แสดงว่ายังยึดยังห่วงอยู่” พี่ชายถาม
“ยอมรับแค่ไหนก็ยึดน้อยลงเท่านั้นแหละ” รอยธาราตอบแล้วเปรยขึ้น “ตัวกูของกูนี่มันน่ากลัวเนอะ”
“อือ...อยากไปบวชชีอยู่วัดหลวงน้าหรือยัง” ชายหนุ่มแซว
หญิงสาวหัวเราะ
“หลวงน้าเคยบอก...ถ้าใจยังเบื่อ ๆ อยาก ๆ แบบนี้อย่าไปบวชเลย เปลืองข้าววัดเปล่า ๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะตามก่อนถามอีกเรื่อง
“ตอนนี้ยังกังวลใจเรื่องอะไร” เขาดูออกว่าน้องสาวมีอีกเรื่องให้ครุ่นคิด
“ถ้าอ่านใจเค้าออกขนาดนั้น ทำไมไม่พูดเองเลยล่ะ”
“พี่ไม่ได้มีญาณหยั่งรู้วาระจิตใครสักหน่อย แค่รู้สึกเฉย ๆ ว่าเรามีเรื่องอะไรในใจอยู่”
“สังเกตมั้ยว่าวันนี้มาผิดปกติไป” คนเป็นเพื่อนสนิทมองอากัปกิริยากันและกันออก
“ไม่ทันสังเกต...มีอะไร”
“ไม่รู้ ดูเงียบผิดปกติเหมือนมีอะไรในใจ”
“ใครเขาจะช่างพูดไม่หยุดเหมือนเราวะ” พี่ชายอดเหน็บไม่ได้
รอยธาราขมวดคิ้ว ไม่สนใจวาจาเหน็บแนมอันเป็นปกตินั้น
“พี่ลุยคิดว่า มาจะได้ยินเรื่องสิงหานาคราชที่เล่าให้พ่อฟังหรือเปล่า”
ชายหนุ่มชะงักนึกทบทวน
“พี่ไม่ได้พูดเสียงดังจนได้ยินไปถึงนอกห้องขนาดนั้นนะ”
ตอบวาจาแล้วหรี่ตาครุ่นคิด พยุหะมีสัมผัสพญาครุฑน่าจะได้ยินเสียงแม้เบาแค่ไหน ส่วนมัชฌิมาไม่น่ามีความพิเศษเช่นนั้น
“ช่างเหอะ เค้าอาจคิดมากไปก็ได้”
รอยธาราตัดบท ทั้งที่ในใจเกิดความเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก
เพื่อนสนิทคบกันมาเป็นสิบปี ย่อมดูออกว่าอีกฝ่ายมีปัญหาไม่สบายใจ เพียงแต่บอกไม่ได้ว่าไม่สบายใจเรื่องใด และยิ่งตอบไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นห่วงกันมากขนาดนี้
ริมฝีปากรอยเธียรหุบสนิท ใจแตะสัมผัสจิตมัชฌิมาชั่วแวบ รู้สึกถึงหมอกมัวที่ปิดกั้นไม่ให้ใครหยั่งทราบ
...นี่แหละผิดปกติแล้ว...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|