วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๒๗



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            รถยนต์สองคันจอดตรงริมถนนใกล้โรงพยาบาลร้าง

            เวลาโพล้เพล้ แสงจากเสาไฟข้างทางส่องสว่าง มัชฌิมาจำรถคันหนึ่งแม่นเพราะเคยอาศัยมาส่งถึงบ้านหลายครั้ง ส่วนอีกคันคุ้นตาด้วยเป็นรถพี่ชายเพื่อนสนิทเห็นจนชิน

            พยุหะ รอยเธียรมาที่นี่ จอดรถทิ้งไว้โดยเจ้าตัวหายไปไหนไม่ทราบ

            นิมิตอนาคตของเธอมืดบอดแทบทั้งวันคล้ายโดนพลังเนวะปิดกั้น ด้วยความที่ฝึกเจริญสติระหว่างวันจึงรับรู้เฉย ๆ ไม่ใส่ใจ ไม่ห่วงพะวงคิดว่าจะเกิดเหตุไม่ดีใด ๆ

            เมื่อไม่ถึงชั่วโมงพลังปิดกั้นคลายออกโดยไม่ทราบสาเหตุ นิมิตในหัวปรากฏเป็นภาพปัจจุบันสด ๆ ร้อน ๆ

            พยุหะ รอยเธียรติดอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง พยายามดิ้นรนจะออกมาจนเหนื่อยล้าแต่ไม่สำเร็จ จากนั้นเป็นภาพรถยนต์พวกเขาจอดริมถนน และป้ายชื่อโรงพยาบาลเก่าทิ้งร้างที่เธอเคยรู้จัก

            ใจหยั่งทราบทันทีว่าสองหนุ่มเกิดเหตุคับขัน ต้องรีบไปช่วยเหลือ!
            
            หญิงสาวขออนุญาตพันเกลียวออกมาข้างนอกโดยไม่ปิดบังเหตุผล ผู้สูงวัยกว่าแค่พยักหน้า กิริยาคล้ายมีอีกเรื่องอยากบอกแต่ยับยั้งไว้ด้วยไม่เห็นประโยชน์ใด

            มัชฌิมาสังหรณ์ใจว่าน่าจะมีเรื่องร้ายอีกเรื่องที่เธอควรรู้ แต่โดนพลังเนวะปิดบังไว้ตั้งแต่ต้น พอผ่านเหตุการณ์ไปแล้วนิมิตอนาคตไม่ฉายภาพให้ดู

            ...เรื่องนั้นรบกวนใจอยู่บ้าง แต่เห็นปัญหาสองหนุ่มเร่งด่วนสำคัญกว่าจึงสลัดความกังวลออกไป...

            มัชฌิมาใช้เวลานั่งแท็กซี่มาถึงโรงพยาบาลร้างเกือบชั่วโมง ตลอดทางนั้นรู้สึกว่านอกจากเธอกับคนขับรถแล้ว ก็ยังมี ‘บางตน’ ติดตามมาจากบ้าน เหมือนพันเกลียวบอกให้คอยมาช่วยเหลือดูแล

            ฟ้าเริ่มมืด ริมถนนไม่ถึงกับเปลี่ยว ห่างไปอีกไม่ไกลมีตึกแถวอาคารพาณิชย์เรียงราย บริเวณหน้าโรงพยาบาลเป็นตึกเก่าที่ถูกทุบทิ้งซากไว้โดยยังไม่ได้ก่อสร้างสิ่งใด ถัดมาเป็นที่ดินว่างหญ้ารกเรื้อมองเข้าไปเห็นแนวกำแพงโรงพยาบาลอยู่ใกล้ ๆ

            รอยเธียร พยุหะอยู่ที่ไหน?

            ทั้งคู่ทิ้งรถไว้ที่นี่แสดงว่าต้องไปไม่ไกลนัก ภาพนิมิตเห็นพวกเขาอยู่ในห้องที่ตกแต่งทันสมัย เฟอร์นิเจอร์ครบครันมีชั้นหนังสือเรียงรายแน่นขนัด ดูแล้วบริเวณใกล้ ๆ ไม่น่ามีสถานที่ใดใกล้เคียงเลย

            ป้ายชื่อโรงพยาบาลเด่นชัดในนิมิต น่าจะเป็นสถานที่สำคัญ พวกเขาอาจอยู่ในนั้น

            หญิงสาวเดินตรงไปทางหน้าประตูโรงพยาบาล แสงไฟริมถนนสาดส่องเข้ามาดูเป็นเงาตะคุ่มน่ากลัว เหลือบตามองกำแพงโดยรอบรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวพิกลคล้ายมีสายตาจำนวนมากกำลังจับจ้องเธออยู่ ขาเริ่มสั่นทีละน้อย

            ผลึกครุฑนาคที่ลำคอแผ่กระแสอบอุ่นออกมาให้สัมผัส ซึมซ่านเข้าสู่ใจช่วยขับไล่ความหวาดหวั่นพรั่นพรึง มือเอื้อมแตะผลึกนั้นอย่างวางใจ

            ประตูบานใหญ่คล้องสายโซ่แน่นหนา ล็อคด้วยกุญแจอีกชั้นแสดงว่าสองหนุ่มไม่น่าอยู่ข้างใน

            มัชฌิมาขมวดคิ้ว ขบริมฝีปากสงสัย ใจหนึ่งอยากเดินกลับ อีกใจยังรู้สึกค้างคา...หากพยุหะ รอยเธียรไม่เข้าไปในนั้นเหตุใดจึงเห็นนิมิตป้ายชื่อโรงพยาบาล

            ลองเอื้อมมือไปจับกุญแจ คิดว่ามันอาจจะไม่ได้ล็อคจริงจัง ขยับเพียงนิดน่าจะหลุดได้

            “มาทำอะไรที่นี่!” เสียงห้าวห้วนดังจากเบื้องหลัง

            หญิงสาวสะดุ้ง มือหลุดจากกุญแจ หันกลับมาพบชายชราผอมบางแข็งแรงลักษณะคุ้นตา ดวงตาฉายแวววับเป็นประกายในความมืด บ่งบอกถึงพลังอาคมแฝงเร้น

            “มาหาเพื่อนค่ะ” สะกดใจข่มความกลัวตอบโต้พยายามนึกว่าเคยพบผู้เฒ่าคนนี้ที่ไหน

            “กลับไปซะ” เสียงพูดข่มขู่

            สังหรณ์ส่วนลึกบอกว่าชายชราผู้นี้ต้องรู้ที่อยู่สองหนุ่ม ปากจึงถามต่อไป

            “คุณตาเห็นผู้ชายหนุ่ม ๆ สองคนมาแถวนี้มั้ยคะ”

            “จะไม่กลับใช่มั้ย”

            คราวนี้ไม่ได้ขู่ ผู้เฒ่าย่างเข้ามาด้วยกิริยาคุกคาม

            มัชฌิมาปักเท้ามั่นไม่ถอย ผลึกที่คล้องคอส่งประกายวับกระทบนัยน์ตาอีกฝ่ายทำให้ผงะ ชะงักเท้าหรี่ตามองอย่างไม่พอใจก่อนก้าวขามาอีกครั้ง

            ทว่า...ครั้งนี้มาได้เพียงก้าวเดียวต้องนิ่งงัน เงยหน้ามองเบื้องหลังหญิงสาวคล้ายพบ ‘ใคร’ บางตนร่างสูงใหญ่ ยืนตระหง่านง้ำ คุมเชิงเบื้องหลัง แสดงกิริยาชัดไม่ยอมให้ใครแตะต้องทำร้ายเธอเด็ดขาด











บทที่ ๒๐



            มัชฌิมานึกออกแล้วเคยพบชายชราที่ไหน...

            เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้เฒ่านี้มาบ้านเธอพร้อมกับอาจารย์เนวะ แกเป็นลูกสมุนชื่อว่า...อาจารย์มิ่ง

            การปรากฏตัวเช่นนี้แสดงชัดว่าต้องการขัดขวางไม่ให้ช่วยเหลือพยุหะ รอยเธียร

            ปลดโซ่ออกจากประตูให้ได้” เสียงห้าวดุคุ้นหูกระซิบบอก

            หญิงสาวขนลุกซู่ สงบใจถอยหลังช้า ๆ จนชิดประตูเลื่อน เหลือบตามองสายโซ่ที่คล้องประตูพร้อมล็อคกุญแจ นึกไม่ออกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างไร

            ที่น่าหวั่นใจกว่าคืออาจารย์มิ่ง ลูกน้องท่านเนวะที่เลื่อนสายตาลงมาจ้องเธอเขม็งพร้อมจู่โจมทำร้าย ไม่มีทางยอมให้ปลดโซ่ง่าย ๆ

            ไม่ต้องกลัว ข้าจัดการไอ้แก่นี่เอง” คำพูดแว่วมาอีกครั้ง

            มัชฌิมาเห็นเงาดำวูบผ่านข้างกายตรงไปหาสมุนเนวะ บังเกิดคลื่นพลังงานสองสายปะทะกันระลอกแรกจนเกิดแรงสั่นสะเทือนให้รู้สึก

            จากนั้นภาพตรงหน้าดูเบลอ ๆ ด้วยแสงสลัว คล้ายสองฝ่ายเข้าโรมรันห้ำหั่นกันรวดเร็ว บางครั้งเหมือนกั้นอาณาเขตเฉพาะตน บุคคลภายนอกไม่อาจมองเห็น แว่วเพียงเสียงสวดบริกรรมอาคมลอยมาเบา ๆ สัมผัสแรงปะทะต่อสู้ในศาสตร์วิธีซึ่งไม่คุ้นเคยรู้จักมาก่อน

            หญิงสาวไม่ยอมเสียเวลารีบหันไปสังเกตโซ่คล้องประตูอย่างละเอียด ลองดึงมันออกมาพบว่าสามารถขยับเลื่อนง่ายดาย หนำซ้ำมีปลายโซ่โผล่ให้เห็น พอดูดี ๆ จึงรู้ว่ากุญแจล็อคมันพังแค่คล้องไว้เฉย ๆ ประตูบานนี้ใช้สายโซ่พันไว้หลอกตาเท่านั้น

            มือจับปลายโซ่รื้อออกมาช้า ๆ ทีละชั้น ๆ จนหมด ดึงกุญแจดอกนั้นออกมาง่าย ๆ

            หนึ่งในสองหนุ่มคงจัดการเจ้ากุญแจดอกนี้แต่แรก จากนั้นเข้าไปสำรวจข้างใน อาจารย์มิ่งตามมาทีหลังทำได้แค่พันสายโซ่แล้วนำกุญแจมาคล้องไว้พรางตา

            ทิ้งสายโซ่ กุญแจลงกับพื้น มือเตรียมเลื่อนบานประตูออก พลันเกิดคลื่นพลังงานรุนแรงพุ่งมาปะทะด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว

            ...โครม...ปัง...

            มัชฌิมาถลาชนประตูโครมใหญ่จุกเสียดทั้งร่าง รีบหันกลับมาพบอาจารย์มิ่งยืนเด่นตระหง่าน สีหน้าซีดเผือดลง ประกายตาอ่อนล้า เงาดำทะมึนที่คุ้มครองหล่อนหายไปแล้ว แสดงให้ทราบว่าฝ่ายใดได้ชัยชนะ

            มือเอื้อมแตะผลึกครุฑนาคที่ลำคอ หวังเรียกสติความกล้าหาญ ตอนนี้หลังชนประตูถอยหนีไม่ได้ จำเป็นต้องหาทางเอาตัวรอดเอง

            อาจารย์มิ่งย่างสามขุมมาด้วยเจตนาร้าย เหมือนธนูเหนี่ยวสุดล้าอย่างไรเสียต้องปล่อยลูกศรออกมา

            ปลายนิ้วสัมผัสผลึกกระตุ้นให้ระลึกความทรงจำชาติก่อน ๆ ตอนเป็นกัลยา และเทพธิดานางไม้

            กัลยามีวิชาอาคม ร่ำเรียนจากอาจารย์เนวะ เคยบุกป่าฝ่าเขาเอาตัวรอดเพียงลำพัง รุกขเทพธิดาก็มีฤทธารอบรู้กว้างขวาง สามารถขับไล่ภูตร้าย ผีป่าง่ายดาย

            ใจรำลึกถึงความทรงจำเหล่านั้น บังเกิดความมั่นใจกล้าหาญขึ้นมา

            อาจารย์มิ่งเอาชนะผู้คุ้มครองหล่อนได้เพราะมีคาถาอาคมผสมกับธาตุศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำนาคอำพราง ทำให้กลายเป็นผู้แก่กล้าจอมเวทยากหาใครต้านทาน

            มัชฌิมาไม่มีอิทธิฤทธิ์เช่นเทวนารีในชาติก่อน คาถาอาคมเคยฝึกฝนตอนเป็นกัลยาก็เนิ่นนานจนเลือนราง ไม่สามารถใช้ต่อสู้กับใคร มีเพียงผลึกครุฑนาคสุดยอดวัตถุทรงฤทธิ์ชิ้นเดียวในโลก ที่อาจต่อต้านอาคมรวมกับธาตุศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามได้

            หญิงสาวใช้สัมผัสปลายนิ้วแตะผลึกเป็นจุดจดจ่ออารมณ์ให้เกิดสมาธิ จิตเพ่งผลึกจนรวมกำลังแกร่งกล้าแล้วอธิษฐานขอให้พลังนั้นปกปักคุ้มครองตนเอง

            ผลึกครุฑนาคแผ่เกราะบาง ๆ ออกมาห่อหุ้ม เป็นเวลาเดียวกับอาคมร้ายผสานพลังจากธาตุพิเศษพุ่งเป็นสายกระหน่ำเข้าใส่หญิงสาวจำนวนไม่นับ

            ปึง ปึง ปึง...วิ้ว...วิ้ว...วิ้ว กระแสพลังอันรุนแรงนับไม่ถ้วนกระทบเกราะเพียงชั่วขณะเดียวก็แปรเป็นสายลมอ่อนละมุนพัดผ่านไร้ร่องรอย

            อาจารย์มิ่งเผชิญเกราะต่อต้านอย่างไม่เคยเจอมาก่อน มันโอนอ่อนเหนียวแน่น แข็งแกร่งแต่ไม่ตอบโต้สะท้อนกลับ คล้ายเป็นเครื่องมือแปรเปลี่ยนพลังร้ายให้คลี่คลายสู่ธรรมชาติโดยไม่ทำร้ายใคร

            ผู้เฒ่าตระหนักว่าขืนปล่อยเช่นนี้สืบไปตนต้องหมดแรงพ่ายแพ้ ไม่มีหน้าไปพบท่านเนวะ จึงดึงดูดพลังงานจากธาตุวิเศษในถ้ำอำพรางเต็มที่ ผสานด้วยอาคมกล้าก้นหีบเข้าจู่โจมทำลายเกราะหลายด้านพร้อมกัน

            ระลอกแรกไม่เป็นผล ตามด้วยระลอกสอง สาม สี่ ห้าไม่หยุดยั้งจนอำนาจผลึกที่กอปรสร้างเกราะถดถอยลง มีแรงดีดสะท้อนกลับมาแสดงว่าอาจถูกทุบทำลายในขณะใดขณะหนึ่ง

            มัชฌิมาเริ่มรู้สึก...กระแสลมผะแผ่วพัดผ่านรุนแรงขึ้น โหมพัดหนักข้อแทบกลายเป็นพายุหมุนหยัดยืนต้านไม่ไหว การตั้งรับอย่างเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นต้องตอบโต้ขับไล่

            จิตดิ่งลึกลงในผลึกอีกครั้ง อธิษฐานขอพลังแห่งครุฑนาคสร้างสิ่งขับไล่ศัตรูร้ายให้หลีกลี้หนีไกล

            แสก แสก แสก เสียงแหลมสูงดังจากขอบกำแพงด้านหลัง ปรากฏร่างนกแสกตัวใหญ่เรียงรายนับสิบ ส่งเสียงร้องข่มขู่ดังลั่น

            ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ บนลานซีเมนต์เกลื่อนด้วยอสรพิษดำเมื่อม ลำตัวใหญ่เท่าแขนยาวสามสี่เมตรกระจายโอบล้อมเบื้องหน้ามัชฌิมาราวกับเป็นกองทัพ

            พึ่บ พึ่บ พึ่บ ฝูงนกแสกถลาลงมาจู่โจมอาจารย์มิ่งก่อน จากนั้นเหล่าอสรพิษเลื้อยปราดดาหน้าพุ่งเข้าใส่อย่างไม่เกรงกลัว

            เจ้าอาคมถอยกรูด ดวงตาฉายแววหวั่นชั่วแวบ ก่อนรวบรวมสติบริกรรมคาถารวดเร็วแล้วพ่นสะกดใส่สัตว์สองชนิดอย่างทันท่วงที

            ฝูงนกแสก กองทัพอสรพิษชะงักงันเพียงครู่ก็บุกเข้ามาใหม่ คราวนี้อาจารย์มิ่งตั้งหลักได้ ล้วงมือหยิบก้อนธาตุศักดิ์สิทธิ์จากกระเป๋ากำไว้ในมือแน่น ทำกิริยาเหวี่ยงแขนกวาดไปโดยรอบทั้งบนและล่าง

            ทุกบริเวณที่มืออาจารย์มิ่งกวาดผ่าน อสรพิษ นกแสกล้วนหายวับเป็นแถบ แต่ปรากฏขึ้นใหม่ราวกับเสกได้ หนำซ้ำจำนวนเพิ่มมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

            ลูกน้องเนวะรับมือทั้งเบื้องบนโฉบตีไม่หยุดยั้ง เบื้องล่างเลื้อยปราดพุ่งเข้าใส่ทุกเส้นทาง ต่อให้เก่งกาจมากอาคมมีของดีเพียงใด โอกาสพลาดพลั้งย่อมเกิดขึ้น

            ฉับ...คมเขี้ยวอสรพิษฉกเข้าต้นขาอาจารย์มิ่ง เวลาเดียวกับกรงเล็บนกแสกตะปบตรงกลางศีรษะ จงอยปากจิกตีไม่ยั้ง

            อาจารย์มิ่งเซแซ่ด ๆ หมดสภาพใกล้ล้มลง พยายามกัดฟันแน่นไม่ส่งเสียงร้องโหยหวน แสดงความอ่อนแอ

            มัชฌิมาเห็นเช่นนั้นเกิดความสงสาร

            “ปล่อยเขาไปเถอะ” น้ำเสียงออกมาพร้อมกระแสใจเปี่ยมเมตตา

            ผลึกครุฑนาคส่องประกายวับ ฝูงนกแสก กองทัพอสรพิษสลายตัว อาจารย์มิ่งวิ่งกระเผลก ๆ หนีไปเท่าที่พละกำลังอำนวย

            หญิงสาวถอนใจยาว อีกฝ่ายมีวิชารักษาตนเองรับรองไม่ถึงตาย นกแสก อสรพิษเมื่อครู่ไม่ใช่ของจริง เป็นการเสกสร้างจากผลึกที่หล่อนคล้องคอ

            ใจผ่อนคลาย หันหลังเตรียมเลื่อนเปิดประตูแต่ช้าไปเสียแล้ว

            ...ครืด...ประตูเลื่อนช้า ๆ ก่อนมือเธอสัมผัสถึง ปรากฏร่างชายหนุ่มทั้งสองยืนเคียงกันหลังประตูบานนั้น




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมื่อพลังกลับคืนสู่อดีตครุฑ นาค จิตหยั่งทราบว่ากับดักปัจจุบันไม่แข็งแกร่งเหนียวแน่นเท่าตอนแรก ด้วยปราศจากพลังเนวะกำกับควบคุม

            พลังปิดผนึกกรงขังตอนนี้ เป็นฝีมืออาจารย์มิ่งใช้มนตราอาคมผสานธาตุศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำนาคอำพราง มันเหนียวแน่น แข็งแรงเกินธรรมดาก็จริง แต่ไม่ยากเกินกำลังร่วมมือของครุฑและนาค

            เปรียะ เปรียะ เปรียะ เกราะอาคมพลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ถูกสองหนุ่มคลี่คลาย กระแสจิตส่งออกไปรับรู้เหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณหน้าประตูโรงพยาบาลทันที

            มัชฌิมากำลังรับมืออาจารย์มิ่งอย่างดุเดือด!

            พยุหะ รอยเธียรแทบวิ่งแข่งกันออกจากชั้นใต้ดิน ก้าวกระโดดข้ามบันไดทีละสองสามขั้นจนมาถึงชั้นบน จากนั้นเร่งฝีเท้าสุดกำลังไปหน้าประตู

            ประตูเลื่อนออก สองหนุ่มหอบหายใจถี่ การต่อสู้ด้านนอกจบลงแล้ว พบหญิงสาวยืนตะลึงมองพวกเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

            “คุณพายุ พี่ลุย” มัชฌิมาเอ่ยปากอย่างโล่งอก “ปลอดภัยแล้วนะคะ”

            รอยเธียรพยักหน้ารับ

            “ขอบใจนะที่มาช่วยพี่”

            ถ้าหล่อนไม่มาต่อสู้ดึงความสนใจอาจารย์มิ่ง พวกเขาอาจเสียเวลาทำลายกับดักนานกว่านี้

            “คุณพายุ ฝากมาด้วยนะ”

            ดาราหนุ่มหันมาบอกเพื่อนร่วมชะตากรรม ก่อนวิ่งไปที่รถตนเองด้วยใจร้อนรุ่มกระวนวาย หัวอกแทบระเบิดด้วยความเป็นห่วงครอบครัว

            จิตใจเช่นนี้ย่อมไม่อาจส่งไปออกรู้ได้เลยว่าพวกเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร



            มัชฌิมามองตามหลังรอยเธียรอย่างไม่เข้าใจ หันกลับมาพบพยุหะจ้องเธอด้วยแววตาแปลก

            “เธอมาทำอะไรที่นี่” เขาถามทั้งที่น่าจะรู้เหตุผล

            “เอ่อ...” เจอคำถามพร้อมสายตาเช่นนี้มัชฌิมาอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก

            “ก็...มาช่วยค่ะ” ฝืนตอบอย่างเกรง ๆ ไม่เข้าใจอารมณ์อีกฝ่าย

            “ใครขอให้เธอมาช่วย!” น้ำเสียงดุพยายามซ่อนอีกอารมณ์ข้างใน

            หญิงสาวอยากอธิบายว่าตนเห็นนิมิต รู้ว่าพวกเขาติดกับดักจึงอยากมาช่วยเอง พอเห็นแววตาสัมผัสอารมณ์อีกฝ่ายก็เงียบไม่มีประโยชน์ที่จะตอบ

            พยุหะกำลังโกรธ ไม่พอใจ

            “รู้มั้ย...มันอันตรายแค่ไหน” เขาพูดระบายความคับข้องในใจ

            “มา...ขอโทษค่ะ” หญิงสาวเสียงอ่อนลง

            “ขอโทษทำไม...เธอไม่ได้ทำอะไรผิด”

            เจออารมณ์แบบนี้ มัชฌิมาเข้าใจแล้วว่าทำไมชายหนุ่มถึงได้สมญาศิลปินติสต์แตก

            สิ่งเดียวที่ทำได้คือหยั่งใจเข้าไปในหัวใจเขา...ซึ่งมันไม่ยากเลยเมื่อผลึกครุฑนาคยังแนบอยู่เหนืออกเธอ

            สัมผัสความรู้สึกจากใจของเขาจริง ๆ ทราบว่าพยุหะกำลังหวาดกลัว หวั่นใจ กลัวว่าเธอจะได้รับอันตราย กลัวว่าอาจต้องสูญเสียเธอไป

            พอเข้าใจอย่างนั้นหัวใจเกิดความหวานกำซาบแล่นขึ้นมา ปากบอกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน

            “ที่จริง...คุณพายุบอกกับมาแค่คำเดียวว่า...ขอบใจ...ก็พอค่ะ”

            เหมือนความลับซ่อนเร้นโดนเปิดเผย หัวใจถูกเปิดโปงไม่ทันตั้งตัว พยุหะนิ่งอั้นชั่วขณะหนึ่งก่อนแววตาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานอย่างไม่เคยมองใครมาก่อน ก้าวช้า ๆ แล้วรวบร่างบางนั้นมากอดกระชับแน่น

            “ขอบใจนะที่มาช่วย...ขอบคุณที่เธอปลอดภัย...อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงแบบนี้อีก”

            สามประโยคบอกความรู้สึกในใจชายหนุ่มชัดเจน

            มัชฌิมานิ่งงันคาดไม่ถึง ไม่กล้าขยับตัวออกจากอ้อมกอดนั้น

            ตอนอยู่ในกรงขังไม่รับรู้เรื่องภายนอก พยุหะสงบใจไม่กระวนกระวาย พอพลังเนวะคลี่คลายทลายกรงสำเร็จ เห็นหญิงสาวอยู่ด้านนอกกำลังเผชิญสถานการณ์คับขัน ใจร้อนรุ่มทนไม่ไหวอยากหายตัวออกมาช่วยทันที

            ต่อให้วิ่งสุดฝีเท้าเต็มกำลังขนาดไหน ยังรู้สึกเชื่องช้าไม่ทันใจ เพิ่งประจักษ์เดี๋ยวนี้เองว่า เขาทนไม่ได้ถ้าต้องสูญเสียผู้หญิงคนนี้ไป

            ความผูกพันมันเริ่มตั้งแต่เป็นวินตกะครุฑ กับกัลยา...หรือ...ไม่แน่อาจนานกว่านั้น คงเป็นชาติก่อนหน้าที่พวกเขาจดจำไม่ได้แต่มีกระแสใจผูกพันเชื่อมโยงกันมา

            ไม่เช่นนั้น วันที่กัลยาอธิษฐานร้องหาพญาครุฑ เขาไยบังเกิดจิตเมตตาอยากช่วยเหลือ ยอมมาหาทันทีโดยไม่ลังเล

            ยิ่งใกล้ชิดจดจำ ใจยิ่งเกี่ยวกระหวัด หัวใจเคยเย็นชาจืดชืดกลับอบอุ่น หวานละมุน มีสีสันเบิกบานทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน

            ยามเห็นเธอตกอยู่ในอันตราย คิดว่าอาจพลาดพลั้งรับบาดเจ็บใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย ทนไม่ได้แน่หากต้องเกิดการพลัดพรากสูญเสีย

            พอเห็นหญิงสาวปลอดภัยอยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกแรกจึงสับสนปนเประหว่างโล่งใจกับหงุดหงิด โมโหไม่พอใจตัวเอง

            กระทั่งหญิงสาวใช้วาจาเสมือนอ่านรหัสในหัวใจเขาออก อดไม่ได้ต้องดึงมากอดแนบแน่น บอกกล่าวความรู้สึกในใจ แสดงให้รู้ว่านับจากนี้เขาจะปกป้อง ไม่ยอมให้ภัยใดกรายกล้ำอีกเลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ใช่ว่ารอยเธียรไม่ห่วงกังวลความปลอดภัยมัชฌิมา เขาวิ่งเต็มกำลังเพื่อมาช่วยเธอเช่นกัน ใจเหมือนตกในกะทะร้อนไม่ต่างจากพยุหะ พอเห็นเธอปลอดภัยใจก็โล่งอกครู่เดียว แล้ววกกลับมานึกถึงบิดามารดาน้องสาวที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง

            นั่นทำให้ไม่อาจยืนอยู่ตรงนั้นได้



            หน้าโรงพยาบาลคลาคล่ำด้วยนักข่าว

            อุบัติเหตุเมื่อตอนเย็นเป็นข่าวผู้คนสนใจ รถยนต์ตกจากทางด่วนในเวลาไล่เลี่ยถึงสองคันเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

            ข่าวยิ่งได้รับความสนใจวงกว้างมากขึ้นเมื่อทราบว่า หนึ่งในผู้บาดเจ็บคือรอยจันทร์ อดีตนางร้ายชื่อดัง ปัจจุบันเป็นมารดาซูเปอร์สตาร์...รอยเธียร

            เนื้อข่าวถูกเผยแพร่หลังเกิดเหตุประมาณเกือบชั่วโมง และกระจายต่ออย่างรวดเร็วจนนักข่าวทุกสำนักต้องรีบมารอทำข่าวหน้าโรงพยาบาล

            ไม่มีใครติดต่อรอยเธียรจนกระทั่งมืด นักข่าวจำรถดาราหนุ่มที่แล่นมาจอดหน้าโรงพยาบาลได้

            ชายหนุ่มลงจากรถด้วยอาการเร่งร้อน ใบหน้าเผือดซีดแววตากระวนกระวาย ก้าวยาว ๆ จนเกือบวิ่งเข้าโรงพยาบาล ต้องหยุดชะงักเมื่อพบกองทัพนักข่าวดาหน้ารุมล้อม

            สารพัดคำถามถูกระดมใส่จนตั้งตัวไม่ติด ต้องอาศัยประสบการณ์เผชิญหน้ากับสื่อสะกดกลั้นโทสะ ข่มความคิดอยากอาละวาด ตะโกนไล่ตะเพิดผู้คนเพื่อเข้าไปดูอาการครอบครัว

            สิ่งทำได้คือพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น เอ่ยวาจาต่อนักข่าว

            “ผมยังไม่รู้อะไรเลย...พวกพี่ทราบมั้ยครับ ตอนนี้พ่อแม่...น้องสาวผมเป็นยังไงบ้าง”

            น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระวนกระวายเป็นห่วง

            นานครั้งหรอกที่ผู้สื่อข่าวจะเป็นฝ่ายโดนถามกลับจริงจังแบบนี้ โดยเฉพาะผู้ถามเป็นถึงดาราดังค่าตัวแพงลิบไม่จำเป็นต้องแคร์สื่อเลยสักนิด

            ครอบครัวเขาเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขนาดนี้ ใจเป็นทุกข์ร้อนนักหนา ยังยอมพูดจาไม่อาละวาดขับไล่ หนำซ้ำเอ่ยถามด้วยใจอยากรู้จริง ไม่มีการสร้างภาพใด ๆ

            นักข่าวต่างนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก จนมีนักข่าวสาวคนหนึ่งเอ่ยตอบอย่างเห็นใจ

            “คุณเธียรกับคุณรอยจันทร์อยู่ในห้องฉุกเฉิน...ส่วนน้องสาวของลุย...ปลอดภัยดีค่ะ”

            รอยเธียรถอนใจโล่งอกเปลาะหนึ่ง ยกมือไหว้อย่างจริงใจแววตาสำนึกขอบคุณนักข่าวสาวคนนั้น

            “ขอบคุณมากครับพี่...ผมขอให้สัมภาษณ์ทีหลังได้มั้ย...เป็นห่วงน้อง...ห่วงพ่อแม่”

            รอยธาราปลอดภัยก็จริงแต่อยู่ในสภาพไหนใจยังกังวล

            ไม่มีนักข่าวคนไหนใจดำพอจะรั้งเขาไว้กระทั่งไมโครโฟนยังถูกดึงกลับ ทุกคนแหวกเป็นทางให้ดาราหนุ่มเดินเข้าโรงพยาบาลอย่างสะดวก



            รอยเธียรเดินจนเกือบวิ่งไปทางห้องฉุกเฉิน เขตที่โรงพยาบาลกันไม่ให้นักข่าวเข้ามารบกวนผู้ป่วย            

            สายตามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่บริเวณหน้าห้อง เขาผ่อนฝีเท้าเดินช้า ๆ กวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างละเอียดจิตใจผ่อนคลายลงบอกไม่ถูก

            เสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาเรียกให้รอยธาราหันไปมอง หยุดยืนนิ่งชั่วขณะคล้ายถูกสาปก่อนถูกพี่ชายรวบเข้าไปกอดจนแนบแน่น หัวใจเต้นแรงด้วยความยินดี

            “ไม่เป็นไรแล้วนะ” เสียงเขาปนเปทั้งความอัดอั้นและคลายใจ

            เมื่อรอยธาราปลอดภัย ทั้งตัวไม่มีริ้วรอยบาดแผลเช่นนี้ พ่อแม่คงอาการไม่หนักหนา รักษาอยู่ในห้องฉุกเฉินแล้วคงไม่น่าเป็นห่วง

            รอยธารานิ่งงันทำอะไรไม่ถูกชั่วครู่...

            ตลอดเวลานับจากถูกส่งโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ เธอยืนหยัดจัดการเรื่องราวต่าง ๆ เรียบร้อยโดยไม่ขาดสติ ยิ่งติดต่อพี่ชายไม่ได้ก็บอกย้ำกับตนเองว่าต้องเข้มแข็งจะอ่อนแอล้มลงไม่ได้

            จนถึงเวลานี้...

            เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของคนที่ไว้วางใจ มอบภาระต่าง ๆ ได้ ความเข้มแข็งทั้งมวลก็พังทลาย น้ำตารินไหล สะอื้นไห้จนหัวไหล่สะเทือน จากนั้นกอดตอบร่างสูงเหมือนไถ่ถามว่า...เหตุใดเพิ่งมาตอนนี้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตอนเกิดอุบัติเหตุรอยจันทร์กรีดร้องลั่นรถด้วยความตกใจ รอยธารารีบคว้าลูกประคำข้อมืออย่างหวังหาที่พึ่งสำคัญ

            “ตาอ่ำ...ช่วยด้วย!” ใจตะโกนร่ำร้องสุดเสียง

            หญิงสาวมองเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นช็อตช้า ๆ ตั้งแต่รถถูกชนกระแทกมาปะทะราวกั้นทางด่วน ก่อนร่วงลงสู่พื้น

            การเห็นเหตุการณ์รอบตัวเคลื่อนไหวช้าขนาดนั้น ทำให้สามารถขยับแขนขาเบี่ยงตัวหลบ ป้องกันร่างกายไม่ให้กระทบกระแทกจุดอันตรายต่าง ๆ อีกทั้งเห็นสายคาดนิรภัยกระตุกรั้งทำงาน ควบคู่กับถุงลมนิรภัยที่โป่งออกป้องกันร่างกายส่วนใหญ่

            ยิ่งกว่านั้นเธอเห็นประคำข้อมือส่งแสงเรืองโอบล้อมร่างแน่นหนา เสมือนเกราะคุ้มกันที่ปลอดภัยกว่าถุงลมทุกใบบนโลก สายตามองออกไปข้างกระจกเห็นลำตัวยาวของพญานาคสามสี่ตนอยู่นอกตัวรถ พยายามโอบกระหวัดประคองรถยนต์ทั้งคันไว้ ช่วยลดแรงปะทะให้กระแทกพื้นถนนเบาที่สุด

            วูบหนึ่งนึกถึงนามสกุลตน...นาคพิทักษ์...

            มันไม่ใช่คำกล่าวลอย ๆ ตระกูลเธอมีพญานาคเป็นผู้พิทักษ์จริง ๆ

            ...แต่...การช่วยเหลือจากพลังภายนอกไม่อาจต้านกระแสกรรมได้

            ไม่มีใครรู้ว่าตนเคยสร้าง ‘เหตุ’ ใดจึงต้องมารับ ‘ผลกรรม’ เช่นปัจจุบัน

            เราทำได้เพียง...มีสติตั้งรับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจ

            ไม่ตีโพยตีพาย ร่ำร้องโทษเวรกรรม ใช้สติปัญญาความอดทนแก้ไขปัญหา

            แล้วสร้างกรรมดีใหม่ที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับบาปอกุศลเดิมอย่างเต็มกำลัง

            รอยธารามีสติ รู้สึกตัวตลอดเวลาที่มีคนช่วยพาออกมาจากซากรถยนต์ เห็นมารดาหมดสติ บาดเจ็บเลือดอาบก็ข่มใจไม่ร้องโวยวาย

            หลายคนแปลกใจที่เห็นร่างกายหล่อนปกติไม่มีริ้วรอยบาดเจ็บ ไถ่ถามกันเซ็งแซ่ หญิงสาวเลือกที่จะเงียบไม่ตอบ

            ระหว่างนั่งรถพยาบาลมากับมารดาพยายามติดต่อพี่ชาย โทรศัพท์เขาไม่มีสัญญาณตอบรับ ใจมันรู้เองว่าเขาน่าจะเผชิญปัญหาใหญ่เหมือนกัน

            เนวะ...ศัตรูร้ายไม่ใช่ผู้รับมือง่ายดาย

            ถึงโรงพยาบาล หัวใจแทบหล่นวูบ ขาดสติตกใจเมื่อเห็นบิดาถูกนำส่งในสภาพไม่ต่างจากมารดา

            มือไม้เย็น ก้าวขาไม่ออก ต้องกัดฟันสูดลมหายใจลึก ๆ บีบมือแน่น นึกถึงเหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ ที่ตนเคยประสบเท่าที่ความทรงจำย้อนทวนระลึกได้

            เมื่อระลึกได้ว่าตนเจอประสบการณ์ร้ายมาไม่น้อย กระทั่งผ่านความตายก็เคย...จิตใจค่อยเข้มแข็งขึ้น มองเห็นภาพรวมออกมา...ไม่ว่าเรื่องร้ายแรงใด มันผ่านมาแล้วก็จะผ่านไปทั้งนั้น...

            ...ไม่มีอะไรเที่ยงทน...อยู่กับมันอย่างเข้าใจ โดยไม่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับทุกเหตุการณ์

            รอยธาราจึงฝืนยืนหยัดหน้าห้องฉุกเฉินโดยไม่ล้มครืน รอฟังผลการรักษาอย่างใจจดใจจ่อ

            จนกระทั่งรอยเธียรปรากฏกาย เดินเข้ามาสวมกอดบอกกล่าววาจาอบอุ่น

            ความยินดีที่เห็นพี่ชายปลอดภัย กลายเป็นแรงปลดล็อคใจที่เข้มแข็ง กำแพงป้องกันความทุกข์ถูกล้มครืน รู้สึกว่านับแต่วินาทีนี้หล่อนมีที่พึ่ง ไม่โดดเดี่ยว สามารถวางภาระทั้งมวลไว้บนบ่าเขาอย่างคลายใจ

            นั่นเป็นจุดที่น้ำตาหยดแรกรินไหล



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP