วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๒๖



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ทุกคนในที่ประชุมออกไปจนหมดแล้ว บรรพตถอนใจเหน็ดเหนื่อยเหมือนผลักความหนักใจทั้งมวลออกไป สายตามองประตูห้องคล้ายต้องการจดจำภาพหญิงสาวที่พูดแทงใจตนเมื่อครู่ให้ชัดเจน

            รูปร่างหน้าตา วัยของเธอแตกต่างจากผู้มีพระคุณท่านนั้น แต่ทุกกิริยา วาจา ท่าทาง กระทั่งแววตาล้วนถอดแบบมาไม่ผิดเพี้ยน

            ...คุณนายพิกุล...ผู้หญิงคนเดียวที่เขานับถือ เคารพให้เกียรติเสมือนมารดาคนที่สอง...

            ครั้งแรกที่พบกันเขายังเป็นวัยรุ่น ไปร่วมงานศพบิดาแล้วโดนคุณเรือนอร พี่สาวต่างมารดาขับไล่ บอกว่าเขาเป็นแค่ลูกเมียน้อย ไม่ใช่น้องเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น

            บรรพตเกือบสะบัดหน้ากลับด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจแล้ว ถ้าหากไม่มีคุณนายพิกุล แม่สามีคุณเรือนอรอยู่ในงานศพนั้นด้วย

            ความเป็นผู้อาวุโส ทุกคนเกรงใจจึงเรียกเรือนอร และบรรพตมาคุยในห้องลับหูลับตาแขกผู้ร่วมงาน

            “เรือนอร...เธอก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นน้อง เป็นลูกชายพ่อเธอแล้วจะมาพูดแบบนี้ได้ยังไง” คุณนายพิกุลตำหนิ

            เรือนอรชักสีหน้าไม่พอใจแต่ไม่กล้าต่อปากต่อคำมารดาสามี

            บรรพตพูดแทรกขึ้นด้วยอารมณ์วัยรุ่นใจร้อน

            “ไม่เป็นไร ถ้าเขาไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่ ผมกลับก็ได้”

            “เดี๋ยวก่อน” ผู้อาวุโสรั้งไว้ “พ่อเธอตายทั้งคน จะไม่อยู่ร่วมพิธีในฐานะลูกได้ยังไง”

            “เขาไม่นับผมเป็นน้องเป็นลูกพ่อ...ผมจะอยู่ทำไม” เขาตอบอย่างถือดี

            เรือนอรปรายตาอย่างไม่พอใจ พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกว่าปกติ

            “คุณแม่คะ เด็กคนนี้เป็นใครมาจากไหนไม่รู้...ไม่มีหลักฐานยืนยันสักอย่างว่าเป็นลูกพ่อ และพ่อของอรก็ไม่เคยเซ็นรับรองใครเป็นบุตร นามสกุลก็ใช้ของแม่มัน...พวกเราไม่เกี่ยวดองอะไรกันเลย”

            ผู้อาวุโสกวาดตามองสองฝ่ายด้วยแววตาตรงไปตรงมา ไม่ไว้หน้าใคร

            “ใช่...เด็กคนนี้ไม่มีหลักฐานอะไรว่าเป็นน้องเธอ แต่พ่อเธอยอมรับเขาเป็นลูกแน่ ๆ ไม่งั้นตอนแรกเธอจะบอกได้ยังไงว่าเขาเป็นลูกเมียน้อย ที่พ่อเธอไม่เซ็นรับรองบุตรให้ก็คงเป็นเพราะแม่เธอยื่นคำขาด ห้ามไว้ใช่มั้ย”

            คุณนายพิกุลผ่านโลกมานานอ่านเกมออก พูดดักคออีกฝ่ายจนชะงัก

            คนเป็นลูกสะใภ้หน้าเสียไม่กล้าโต้แย้ง น้ำเสียงผู้สูงวัยกว่าจึงอ่อนลงประนีประนอม

            “งานศพมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ลืมความบาดหมางชั่วคราว ให้เขาทำหน้าที่ลูกอยู่ร่วมงานจนจบเถอะ อย่าสนใจหลักฐานไร้สาระอะไรเลย เพราะแค่ทุกคนรู้และยอมรับแก่ใจ...มันก็พอแล้ว”



            ในวันเปิดพินัยกรรม บรรพตถูกคุณนายพิกุลลากตัวมาร่วมฟังด้วย ส่วนท่านต้องอยู่ในฐานะผู้ใหญ่ซึ่งผู้ตายให้ความเคารพนับถือ

            ทนายความเปิดซองพินัยกรรม สิ่งประหลาดใจแรกเกิดขึ้นเมื่อพบหนังสือรับรองบรรพตเป็นบุตรอยู่ในนั้น แสดงว่าการคาดการณ์ที่ว่าผู้ตายถูกห้ามเซ็นรับรองบุตรเป็นความจริง แต่เจ้าตัวเลี่ยงด้วยการแอบทำหนังสือรับรองแล้วฝากทนายความพร้อมพินัยกรรม เพื่อนำมาเปิดหลังงานเผาศพเรียบร้อย

            สิ่งประหลาดใจตามมาคือ ลูกชายนอกสมรสมีส่วนได้รับเงินก้อนมรดกผู้ตายด้วย จำนวนมันน้อยนิดเมื่อเทียบกับทรัพย์สินอื่นที่ผู้ตายทิ้งให้ภรรยาตามกฎหมายและบุตรสาว

            แน่นอนว่าเรือนอรกับมารดาต้องคัดค้านหัวชนฝา ไม่ยอมให้ความต้องการผู้ตายเป็นจริง เตรียมคัดค้านพินัยกรรมเต็มที่ ส่วนบรรพตเองประกาศก้องไม่สนใจหนังสือรับรองบุตรนั่น ไม่ยอมใช้นามสกุลบิดา ขอสละเงินมรดกตามพินัยกรรมก้อนนั้นทันที

            ผู้ประนีประนอมพูดจาจนศึกสงครามสงบลงคือคุณนายพิกุล

            “คุณนาย...กับเรือนอรได้ทรัพย์สินมรดกตามพินัยกรรมไปถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ แทบจะเป็นสมบัติทั้งหมดที่ผู้ตายหามาทั้งชีวิตแล้ว...เทียบเด็กคนนี้กับแม่ของเขา ได้แค่เงินทุนตั้งตัวนิดเดียว กับการยอมรับว่าเป็นลูก ยังคิดอีกหรือว่าตัวเองโดนเอาเปรียบ”

            ผู้ฟังต่างเงียบ มารดาเรือนอรอ่อนอาวุโสกว่าคุณนายพิกุล บารมีไม่เทียบเท่าจึงไม่กล้าโต้เถียงดื้อรั้น

            “พูดกันตามจริงแล้ว ฉันว่าคนตายยังให้เกียรติเมียเขามากนะที่ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ยอมแสดงหนังสือรับรองนี้ออกมาทั้งที่ในฐานะคนเป็นพ่อ...เขาควรทำตั้งนานแล้ว!”

            ผู้อาวุโสพูดกับสองแม่ลูกอย่างนุ่มนวล

            “ในเมื่อผู้ตายให้เกียรติเมียเขาขนาดนั้น แล้วคนที่เป็นเมีย เป็นลูกสาวแท้ ๆ จะยอมให้เขาทำตามความต้องการสุดท้ายไม่ได้เชียวหรือ?”

            ไม่มีคำปฏิเสธคัดค้านนอกจากเสียงถอนใจหนักหน่วงอย่างต้องการสลัดความไม่พอใจออกไป

            คุณนายพิกุลหันมาพูดกับบรรพตตรง ๆ

            “บรรพต...ถ้าเธอไม่ยอมรับหนังสือรับรองนั่นเปลี่ยนมาใช้นามสกุลพ่อเธอ ก็เท่ากับเธอไม่รับเขาเป็นพ่อ ฉันถือว่าเป็นลูกอกตัญญู ถ้าเธอทิ้งเงินก้อนสุดท้ายที่เขาให้ก็เท่ากับดูถูกความต้องการบุพการี คนแบบนี้...ไม่มีวันเจริญ!”

            ผู้อาวุโสฟาดเด็กหนุ่มด้วยแส้วาจาเจ็บแสบถึงขั้วหัวใจ

            การพูดจาหลังจากนั้นผ่อนคลายลง ทุกคนยอมลดอัตตาความถือดีถอยกันคนละก้าวจนสามารถทำตามพินัยกรรมอย่างราบรื่น

            ด้วยเหตุนี้บรรพตจึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุล ‘บัณฑูรย์’ ตามบิดาและใช้เงินก้อนนั้นเป็นทุนการศึกษา ทุนเริ่มต้นการทำงานในเวลาต่อมา            

            ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณนายพิกุลยังไม่จบแค่นั้น ตลอดเส้นทางการบุกบั่นสร้างเนื้อสร้างตัว ผู้อาวุโสคอยแนะนำสั่งสอน ชี้ช่องทางทำมาหากิน รวมถึงหาลูกค้ามาให้โดยตลอด

            แม้ในวันที่เขาพลาดพลั้งล้มละลาย หมดเนื้อหมดตัวก็ยังเรียกไปหาที่บ้านเพื่อช่วยเหลือ

            บรรพตเข้ามาในบ้าน ยังไม่ทันพบคุณนายพิกุล ได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากห้องทำงานท่านผู้เฒ่า

            “เช็คอะไรคะคุณแม่ ทำไมจำนวนเงินมากขนาดนั้น” เรือนอรส่งเสียงไม่เบานัก

            “จะเช็คอะไรมันก็เงินของฉัน ไม่เดือดร้อนถึงเธอหรอก” คุณนายพิกุลพูดอย่างอ่อนใจ

            “คุณแม่จะช่วยไอ้บรรพตใช่มั้ยคะ อรได้ข่าวว่าธุรกิจมันเจ๊ง เป็นหนี้ท่วมหัว”

            “ใช่” คำตอบรับสั้น

            เรือนอรเสียงดังกว่าเดิม

            “คุณแม่จะไปช่วยมันอีกทำไมคะ ที่ผ่านมาก็เปลืองแรงเปลืองสมองเปลืองเงินกับมันตั้งไม่รู้เท่าไหร่”

            ผู้อาวุโสยังสงบใจเย็น

            “ธุรกิจของแกกับชัยกาลแม่ก็ช่วยอุดหนุนเงินให้ตั้งมากกว่าจะยืนได้ขนาดนี้ โรงพยาบาลของชัยพร แม่ก็แทบเทกระเป๋าร่วมก่อตั้ง แล้วทำไมจะช่วยบรรพตมันบ้างไม่ได้”

            “ถ้ามันเอาเงินก้อนนี้ไปทำให้ล้มละลายอีกจะทำยังไง บรรพตมันเป็นคนอื่นไม่ใช่ลูกชายคุณแม่นะคะ”

            ได้ยินเช่นนั้น คนแอบฟังรู้สึกสะเทือนใจจนอยากเดินหนีกลับบ้านทันที
            
            คำตอบคุณนายพิกุลทำให้บรรพตนิ่งอึ้ง
            
            “เขาไม่ใช่ลูกชายแม่...แต่เป็นน้องชายแก...แค่นั้นแม่ก็ถือว่าเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว...คนในครอบครัวเดียวกันต้องไม่ทิ้งกัน ต้องเชื่อใจ และให้โอกาสกันได้”

            เรือนอรพูดอะไรไม่ออก ความขัดใจย่อมมีแต่เมื่อมารดาสามีพูดเช่นนี้ก็เท่ากับยกย่องเธอเช่นกัน

            คนแอบฟังกัดริมฝีปากแน่น ข่มกลั้นน้ำตาความสะเทือนใจไม่ให้ไหลออกมา

            ในวันตกต่ำจนถึงที่สุด หันหน้าพึ่งใครไม่ได้ มีแต่เจ้าหนี้ตามไล่ล่า กำลังคิดฆ่าตัวตายหนีปัญหาทั้งมวล กลับได้ยินวาจาอันอบอุ่น จริงใจขนาดนั้น เขาอธิบายไม่ถูกเลยว่าจิตใจมันเต็มตื้นขนาดไหน



            บรรพตคอยจนเรือนอรออกจากห้อง จึงเข้าไปหาคุณนายพิกุล คิดว่าสามารถสงบสติอารมณ์ระงับความตื้นตันไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นได้แล้ว พอท่านยื่นเช็คมาพร้อมคำพูดให้กำลังใจ เขาก็ทนไม่ไหว

            “คนเราล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ได้...ไม่เป็นไร ติดขัดอะไรก็มาหาไม่ต้องเกรงใจ เราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน”

            นั่นทำให้น้ำตาเขาไหลพรากอย่างสุดกลั้น คุกเข่าก้มลงกราบเท้าคุณนายพิกุลอย่างไม่รู้จะหาวิธีใดมาตอบแทนพระคุณครั้งนี้ให้สมใจได้

            บรรพตใช้เงินก้อนนั้นอย่างระมัดระวังที่สุด แบ่งส่วนหนึ่งใช้หนี้สิน แบ่งอีกส่วนมาลงทุนอย่างรอบคอบ ใช้ความผิดพลาดเป็นครู ดำเนินธุรกิจอย่างไม่ประมาท ทำงานหนักแบบถวายหัวจนสร้าง บี.บี. พรอม. ยิ่งใหญ่ มั่นคงจนถึงทุกวันนี้

            น่าเสียดาย กว่าจะประสบความสำเร็จคุณนายพิกุลก็เสียชีวิต เขาไม่อาจชดใช้หนี้สิน ทดแทนบุญคุณแก่ท่านได้ จึงเลือกสนับสนุน ช่วยเหลือโรงพยาบาลที่คุณนายพิกุลร่วมก่อตั้งกับลูกชายคนโตแทน

            ไม่แปลกที่แต่ละคำพูดของรอยธาราวันนี้จะกระแทกใจ กระตุ้นให้บรรพตคิดถึงคุณนายพิกุลอย่างแรง จนทำให้ยอมพักรบ ถอยชั่วคราว ไม่กล้าลงดาบใช้อำนาจฟาดฟันสองแม่ลูกเต็มมือ

            วูบหนึ่งแห่งความคิด บรรพตอยากรู้เหลือเกินว่า...รอยธารา ผู้หญิงคนนั้นไปเอาคำพูดแทงใจเหล่านี้มาจากไหน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บนทางด่วนรถแล่นคล่องตัว

            รอยจันทร์กำลังขับรถกลับบ้าน สายตามองถนนในใจรู้สึกแปลกกับกิริยาท่าทาง วาจาลูกสาวในห้องประชุม พอออกมาขึ้นรถ ‘ตัวตน’ อีกร่างของเธอค่อยจางหาย กลายเป็นลูกสาวคนเดิม

            “น้ำไปเอาคำพูดพวกนั้นมาจากไหน” ข้อสงสัยในใจบรรพต ถูกเอ่ยถามโดยรอยจันทร์

            “คำพูดอะไรคะ” รอยธาราแกล้งทำหน้าเหรอหราทั้งที่เข้าใจความหมาย

            “อย่ามาโยกโย้ คำพูดที่เราซัดประธาน บี.บี. พรอม. น่ะ...เอามาจากไหน”

            “เอาแบบตอบตรง ๆ หรือตอบดี ๆ” หญิงสาวทำตาเจ้าเล่ห์

            “ตอบดี ๆ แบบตรงไปตรงมา” คนเป็นแม่รู้ทัน

            รอยธารานิ่งชั่วขณะ รอยยิ้มบาง ๆ แตะบนใบหน้า คนเป็นมารดารู้ว่านี่เป็นอีกตัวตนของลูกสาว

            “จาก...ความทรงจำในอดีต” ลูกสาวยอมตอบดี ๆ ตรงตามต้องการ

            รอยจันทร์ระบายลมหายใจยาว...เข้าใจ...ไม่ซักไซ้...ด้วยเมื่อสิบกว่าปีก่อน พระน้องชายเคยบอกไว้แล้ว

            “ลุยกับน้ำเขาระลึกชาติได้นะ...แต่ไม่ต้องห่วง...พวกเขาจะช่วยกันปรับตัวปรับใจให้ยอมรับปัจจุบันโดยมีความทรงจำอดีตได้อย่างเป็นธรรมชาติเอง แค่ดูอยู่ห่าง ๆ ก็พอ”

            เมื่อรับคำเตือนเช่นนี้ คนเป็นพ่อแม่ได้แต่ดูอยู่ห่าง ๆ ต่อให้รู้ว่าลูกชายมีสัมผัสพิเศษ มองเห็นบางสิ่งเกินกว่าคนปกติธรรมดา บางครั้งลูกสาวมีความคิดอ่านเหมือนคนแก่ในร่างเด็ก พูดจาคล้ายผ่านโลกมานาน มีมุมเข้าใจชีวิตอย่างฉลาดเกินตัว บางทีก็กลายเป็นเด็กธรรมดา ยอมรับปัจจุบันของตนโดยไม่รู้สึกแปลกแยก จนเป็นบุคลิกพิเศษที่คนเป็นพ่อแม่ต้องเข้าใจในที่สุด

            พอเห็นแม่ไม่พูดอะไร รอยธาราจึงเสริมขึ้น

            “เนื้อแท้ใจจริงอีตาบรรพตไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกค่ะแม่ ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งก็ได้ แต่ตอนนี้ดันไปศรัทธาคนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกเดี๋ยวก็คงรู้สึกตัว”

            “น้ำ...รู้จักเขามานานแล้วเหรอ” รอยจันทร์ถาม

            รอยธาราพยักหน้า

            “ค่ะ...นานแล้ว...นานมาก...ขนาดได้ยินชื่อ เจอกันอีกทียังจำเกือบไม่ได้เลย”

            รอยจันทร์เตรียมตั้งคำถามต่อมา แต่เกิดเหตุพลิกผันกะทันหัน ต้องหวีดเสียงร้องดังลั่นรถ

            ...กรี๊ด...

            รถปิคอัพฝั่งตรงข้ามวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ชนราวกั้นเลนแล้วพุ่งข้ามมาอย่างกับปาฏิหาริย์ มันตรงเข้าหารถเธออย่างจงใจ เสยเข้าใส่รุนแรงส่งผลให้รถสองคันกระแทกราวกั้นทางด่วน ตกลงไปถนนเบื้องล่างเสียงดังสนั่น

            ...โครม!...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ภาพอุบัติเหตุร้ายแรงบนทางด่วนถูกฉายวนบนจอโทรทัศน์ห้องเนวะรอบแล้วรอบเล่า ไม่มีใครสามารถปิดมันลงได้

            รอยเธียรมองเห็นรถมารดากำลังขับบนทางด่วน น้องสาวนั่งร่วมทางมาด้วย จู่ ๆ ก็ถูกรถปิคอัพคันใหญ่ขับข้ามราวกั้นพุ่งมาชนอย่างรุนแรง เสยจนรถทั้งสองคันพลิกตกลงไปข้างล่างอย่างน่ากลัว

            ยิ่งกว่านั้นบนทางด่วนอีกสาย

            เธียร นาคพิทักษ์ขับรถกลับจากบริษัทตามปกติ ถนนโล่งรถวิ่งไม่ติดขัด รถบรรทุกคันหนึ่งขับตามมาดี ๆ ไม่มีวี่แววอะไร แต่แล้วเหมือนถูกผีสิง มันเบียดเข้าใส่รถบิดารอยเธียรอย่างรวดเร็ว ดันรถยนต์คันเล็กว่าให้ร่วงจากทางด่วนแบบไม่ทันตั้งตัว

            ...นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ มันเป็นความจงใจ ที่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง!...

            ภาพในจอโทรทัศน์แสดงให้เห็นแค่นั้น ไม่แสดงชะตากรรมต่อมาให้ทราบ

            รอยเธียรคลุ้มคลั่งตั้งสติแทบไม่อยู่ ใจร้อนรุ่มกระวนกระวายอยากระเบิดพลัง ทำลายสถานที่แห่งนี้ให้สิ้นซาก พยุหะต้องคอยเตือนสติ ช่วยกันหาทางออกจากชั้นใต้ดินที่ปิดตายแห่งนี้โดยเร็ว

            อดีตครุฑ นาคาเร่งใช้สัมผัสพิเศษค้นหาทางออก พบว่ามันถูกปิดทึบเหมือนมีบางสิ่งที่ตนไม่รู้จักเชื่อมต่อจนไร้ร่องรอย ดังนั้นจึงทดลองใช้สรรพกำลัง ฤทธาที่มีพังทำลายกำแพงที่ละจุด ไล่จากข้างนอกเข้าไปจนถึงในห้องเนวะ

            ปรากฏว่าไม่มีประโยชน์ อย่าว่าแต่กำแพงจะไม่สะเทือน ข้าวของทุกชิ้นก็ไม่ถูกทำลาย แค่จะพังโต๊ะล้มเก้าอี้สักตัวยังทำไม่ได้ เหมือนพลังอำนาจเนวะคุ้มครองข้าวของตนไว้ให้คงสภาพเดิม ขยับเคลื่อนไหวใช้งานตามสภาพ แต่ไม่อาจทุบทำลายมันสักชิ้น

            นี่เป็นการแสดงแสนยานุภาพอย่างหนึ่ง ให้คนทั้งสองเห็นว่าพลังครุฑ นาคของตนอ่อนด้อยเพียงไรเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ทรงฤทธิ์เช่นเนวะ

            ถึงอย่างนั้นรอยเธียร พยุหะก็ไม่ยอมแพ้ใช้พลังอำนาจตนในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาทำลายกรงขังแห่งนี้อย่างเต็มกำลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ยอมหยุดพัก

            เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ พยุหะ รอยเธียรใช้พลังครุฑ นาคาจนเหือดแห้ง อ่อนแรง มองเห็นพลังเหนือโลกที่ถูกบรรจุในร่างมนุษย์เช่นตนมีขีดจำกัด ใช้ได้หมดได้ ไม่อาจไหลเวียนต่อเนื่องเฉกเช่นพญาครุฑ พญานาคตัวจริง ซึ่งมีพละกำลัง อิทธิฤทธิ์ตามชาติกำเนิดตน

            รอยเธียรยืนแทบไม่ไหว หายใจขัด เข้ามาในห้องเนวะจงใจไม่มองภาพชวนสะเทือนใจในจอโทรทัศน์ หันหน้าเข้าหากำแพงว่าง ขัดสมาธิพยายามสงบสติอารมณ์ ตั้งสมาธิฟื้นฟูพละกำลังตน

            พยุหะมองเพื่อนร่วมชะตากรรมอย่างเข้าใจ อยากปิดโทรทัศน์แต่ลองเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ ภาพในจอรบกวนเขาน้อยกว่า อาจเพราะไม่รู้จักคุ้นเคยกัน อีกทั้งเคยผ่านสถานการณ์คล้ายกันมาแล้วทำใจได้ระดับหนึ่ง

            ดาราหนุ่มนั่งหันหน้าเข้าข้างฝา กดข่มอารมณ์รวบรวมสมาธิ พยุหะเลือกนั่งบนเก้าอี้นวมหลังโต๊ะตัวใหญ่ ก้มมองแป้นคอมพ์ และเม้าส์อย่างสนใจ

            ก่อนหน้านี้พวกเขาลองขยับเม้าส์คลิกเพื่อปิดโทรทัศน์ หรือเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อติดต่อโลกภายนอก มันไม่ตอบสนอง เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือที่จอนิ่งสนิท ไร้สัญญาณใด ๆ

            พยุหะเอื้อมมือขยับเม้าส์เล่น ๆ ไม่คาดหวังสิ่งใด ภาพอุบัติเหตุบนจอก็ดับลง คล้ายพลังที่ควบคุมมันขาดหายชั่วคราวโดยไม่ทราบสาเหตุ

            น่าเสียดายพลังครุฑพยุหะเหือดแห้งเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงทดลองพังกรงขังอีกครั้ง เวลานี้ทำได้เพียงสงบใจฟื้นฟูพลังอย่างใจเย็น

            ภาพขึ้นใหม่โชว์เป็นหน้าจอแบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป มีโปรแกรมต่าง ๆ แสดงให้เห็น ยิ่งกว่านั้นมีกล่องบันทึกข้อมูลสำคัญสองกล่อง เขียนชื่อพยุหะ รอยเธียรชัดเจน

            พยุหะเปิดกล่องชื่อตนออกมาพบว่ามันมีเรื่องราว ประวัติ ผลงานของเขาอย่างละเอียด พอเปิดกล่องชื่อรอยเธียร ก็พบรายละเอียดชีวิต ผลงานต่าง ๆ ของซูเปอร์สตาร์หนุ่มตั้งแต่เริ่มต้น

            โปรดิวเซอร์หนุ่มนั่งคลิกดูข้อมูลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากลอย ๆ

            “เนวะเก็บข้อมูลพวกเราทุกเรื่องจากอินเตอร์เน็ต ไม่แปลกเลยที่มันรู้จักเราดีขนาดนี้”

            รอยเธียรถอนใจอย่างหงุดหงิด จิตไม่ยอมสงบ พลังไม่ฟื้นฟูทันใจ พอได้ยินคำพูดอีกฝ่ายอดตอบออกมาด้วยเสียงประชดประชันไม่ได้

            “ขอบคุณความดังของพวกเรา ที่มีแฟนคลับตามเก็บเรื่องราวผลงานทุกอย่างไว้ให้...มัน!”

            พูดจบสลัดศีรษะ หายใจออกแรง ๆ กดข่มอารมณ์เพื่อให้จิตใจสงบระงับโดยเร็ว ทั้งที่รู้ว่าทำอย่างนั้นยิ่งไม่เกิดประโยชน์ หนำซ้ำอาจได้ผลตรงข้าม

            พยุหะนึกเป็นห่วง กลัวว่าเร่งร้อนเกินไปธาตุไฟอาจเข้าแทรก นอกจากฟื้นฟูพลังไม่ได้ยังได้รับบาดเจ็บอีก คิดหาหนทางดึงอีกฝ่ายให้หลุดจากจิตใจเร่าร้อน

            “ผมอยากรู้มานานแล้ว ทำไมคุณถึงเลิกร้องเพลง เลิกเป็นวงบอยแบนด์”

            เจอคำถามแบบนี้จากคนบุคลิกไม่สนใจโลก รอยเธียรงุนงง หันกลับจากข้างฝา เมื่อไม่เห็นภาพชวนสลดใจจากจอโทรทัศน์ก็แปลกใจเล็กน้อย คิดว่าพยุหะคงทำอะไรกับมันสักอย่างเรียบร้อยแล้ว เอ่ยปากตอบวาจาเสียงเรื่อยเฉื่อย

            “ตอนนั้นพวกพี่ ๆ ที่ร่วมวงเขาไปเรียนต่างประเทศ ผมอยู่ ม.ปลายต้องขยันเรียน เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็เลยเลิกวง”

            คำตอบนี้เสิร์ชหาในกูเกิลก็เจอ พยุหะถามเขาเพราะอะไร

            “ถามทำไมหรือ” อดีตบอยแบนด์ย้อน

            พยุหะลอบคลายใจที่อีกฝ่ายหันมาสนใจเรื่องอื่นแทนเร่งกดข่มจิตใจให้สงบ พยายามหาเรื่องคุยต่อ

            “ตอนวง Three-Rex แตกผมเริ่มเข้าวงการแล้ว ตอนนั้นมีคนมาทาบทามผมแต่งเพลงให้คุณออกซิงเกิลเดี่ยว ผมตอบตกลงไป แต่จู่ ๆ เขามาบอกว่าคุณเลิกเป็นนักร้อง หันมาโฟกัสเฉพาะเรื่องเรียนกับงานแสดง”

            รอยเธียรนึกถึงช่วงเวลานั้นแล้วพยักหน้า

            “ใช่...เสียดายเหมือนกัน...ขอโทษนะไม่งั้นเราคงรู้จักกันเร็วกว่านี้...ที่จริงเหตุผลเรื่องเรียนกับโฟกัสเฉพาะการแสดง มันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นล่ะ”

            “เหตุผลจริงคืออะไร” คนถามชักเริ่มอยากรู้เหมือนกัน

            “หลวงน้า!”

            คำตอบที่ได้ทำเอาโปรดิวเซอร์เพลงงุนงง

            “หลวงน้า? ... พระท่านเกี่ยวอะไรด้วย” พยุหะสงสัย

            รอยเธียรมีสีหน้าผ่อนคลายเมื่อเห็นอีกฝ่ายแปลกใจจริงอย่างที่ตนคาดไว้

            “หลวงน้าสั่งสอนผมตั้งแต่เล็กเลยว่า...การไปกระตุ้นจิตคนที่ไม่มีโทสะให้มีโทสะ กระตุ้นจิตคนที่มีโทสะอยู่แล้วให้เกิดโทสะเพิ่มขึ้น...กระตุ้นจิตที่ไม่มีราคะให้มีราคะ กระตุ้นจิตที่มีราคะอยู่แล้วให้ราคะเพิ่มขึ้นนั้นเป็นบาป...จะพาเราลงนรก อย่างเบาก็จะมีความฟุ้งซ่าน แน่นทึบในหัว สติไม่ค่อยเกิด”

            “แล้วไง” โปรดิวเซอร์หนุ่มยังไม่เข้าใจ

            รอยเธียรไม่ตอบ มองอีกฝ่ายเป็นเชิงบอกว่าตัวเขาเองน่าจะเข้าใจ...ถ้านึกถึงบางเรื่องในอดีตได้

            พยุหะขมวดคิ้ว นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในสมัยพุทธกาล...จำได้ราง ๆ ว่าสิ่งที่หลวงน้าสอนรอยเธียรนั้น คล้ายคำสอนที่พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดนักแสดงชื่อดังผู้มีนามว่า ‘ตาลบุตร’

            “อ๋อ...” เท่านั้นก็เข้าใจ

            รอยเธียรเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เล็ก สมัยเด็กแค่ถ่ายโฆษณา ภาพนิ่ง ถ่ายละครสร้างสรรค์สังคม หรือไม่ก็รับบทพระเอกตอนเด็กไม่กี่ฉาก ไม่ค่อยเกิดผลอกุศลมากมายนัก

            พอเริ่มเข้าวัยรุ่นเป็นบอยแบนด์ชื่อดัง รูปหล่อติดอันดับ บัตรคอนเสิร์ตขายหมดในห้านาทีสิบนาที ไปที่ไหนมีสาว ๆ แฟนคลับแห่ตามกรี๊ด เล่นคอนเสิร์ตทีเสียงเชียร์กระหึ่ม เวทีลุกเป็นไฟ

            ใคร ๆ อาจมองว่าเป็นการสร้างความบันเทิง สนุกสนาน พยุหะกลับเห็นว่ามันเป็นการพาผู้คนขาดสติ จมอยู่กับราคะโทสะนานนับชั่วโมง

            ...เมื่อกระตุ้นอกุศลให้เกิดในจิตผู้อื่น...ตนเองย่อมรับกรรมเช่นกัน...

            วง Three-Rex โด่งดังสองสามปีก็ยุบวง รอยเธียรถอยจากวงการเพลง ไม่รับเชิญขึ้นคอนเสิร์ตใด ๆ งานแสดงแต่ละชิ้นเลือกแล้วเลือกอีกว่าบทไม่ล่อแหลม งานถ่ายแบบ เดินแบบต้องตรวจสอบเสื้อผ้าทุกชุดว่าเหมาะสม ตรงตามที่ตกลงกันไว้ ขนาดหน้าตาดี หุ่นเฟิร์มแบบนี้ก็ไม่เคยยอมถอดเสื้อผ้าโชว์เนื้อหนัง กระทั่งกางเกงฟิตเกินไปก็ไม่ใส่ออกสื่อ

            คนทั้งวงการต่างร่ำลือถึงการเลือกงานจนเหมือนเรื่องเยอะของซูเปอร์สตาร์ชื่อดังรายนี้ มีสักกี่คนรู้เหตุผลเบื้องหลัง เข้าใจเจตนาแท้จริงของเขา

            “ถ้าคิดอย่างนี้ไม่น่าทำงานวงการบันเทิงนะ” พยุหะออกความเห็นตรงไปตรงมา

            รอยเธียรพยักหน้าเห็นด้วย

            “เพราะอย่างนั้น ผมถึงหาเรื่องสมัครเป็นทหาร หลังปลดประจำการบอกว่าขอพักงานยาว...เพื่อดูใจตัวเอง แต่ดันพลาดรับงานโฆษณานี้ก่อน”

            พูดแล้วอดขันตัวเองไม่ได้

            “สมัยเด็ก กับตอนวัยรุ่นผมชอบงานนี้เพราะมันสนุก ได้เงินง่าย มีตังค์ใช้เยอะดี พอโตมาต้องรับวิบากกรรม...เห็นสาวสวย ๆ ทีไรใจแกว่งเอาง่าย ๆ หวาดเสียวจะผิดศีลข้อกาเม ขนาดระวังตัวสุด ๆ ชีวิตยังวุ่นวายเพราะเรื่องผู้หญิงหลายครั้ง ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรก็มีคนกุข่าวเสื่อมเสียออกมาให้หงุดหงิดรำคาญบ่อย ๆ ก็เลยชักอยากถอยเหมือนกัน”

            “แสดงว่าหลวงน้าคุณก็เตือน ‘เรื่องผู้หญิง’ เหมือนกัน” พยุหะดักคอด้วยวาจาที่ผู้ชายเข้าใจกัน

            “เตือนตั้งแต่เด็กเลยล่ะ” ดวงตารอยเธียรเริ่มมีรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงคำสอนผู้ทรงศีล “ท่านใช้วิธีเล่าเรื่องอดีตชาติของพระอานนท์มาขู่...เล่นเอาผมกลัวจริง ๆ”

            “เรื่องอะไร” คนฟังสงสัย นึกไม่ออก

            “หลวงน้าเล่าว่า...ในชาติก่อน ๆ โน้น...นานแล้ว...พระอานนท์ท่านเคยทำบุญใหญ่กับพระพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกฯสักองค์นี่แหละ ผมจำไม่แม่นเท่าไหร่...เสร็จแล้วท่านอธิษฐานขอให้รูปงาม ชาติถัดมาท่านก็รูปงาม หล่อจริง ๆ ผลที่ตามมากับความหล่อสุด ๆ ก็คือเป็นเหตุให้ท่านพลาดเรื่องศีลข้อสาม ไปผิดลูกผิดเมียคนอื่น ชาติต่อมาต้องไปใช้กรรมในนรกอยู่นานมาก...พ้นจากนรกก็มาเกิดเป็นวัว กุศลยังส่งต่อให้เกิดเป็นวัวรูปหล่อ วัวสาว ๆ ตามกันเกรียวจนเจ้าของรำคาญ จับตอนเสียเลย!

            ท่านเกิดมาเป็นวัวรูปหล่อถูกตอนแบบนี้อีกหลายชาติกว่าจะได้เกิดเป็นคน...พอเป็นมนุษย์ผลกรรมก็ส่งให้มาเกิดผิดเพศ กลายเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วอีกหลายชาติกว่าจะชดใช้กรรมหมด...คิดดูสิทำผิดแค่ชาติเดียวแต่ต้องชดใช้กรรมนานขนาดนั้น มันน่ากลัวมั้ยล่ะ

            รอยเธียรพูดอย่างสยดสยอง

            “ตอนวัยรุ่นผมมีสาว ๆ สวย ๆ รุมล้อมเต็มไปหมด ใจมันก็แกว่งอยากผิดศีลจะตาย แทบจะพูดออกมาเลยว่า...ได้ทุกคนนะจ๊ะ ไม่ต้องรีบ...แต่พอจะเผลอตัวเผลอใจเท่านั้น หน้าหลวงน้าลอยมาเชียว ผมก็เสียวสันหลังวาบไม่กล้าทำอะไรผิด เหมือนคำสอนนั้นก้องในหัวตลอด มันเลยติดนิสัยระวังตัว กลัวผิดศีลข้อสามมาจนถึงตอนนี้แหละ”

            พยุหะหัวเราะ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกันที่เขาแสดงอารมณ์ขันออกมา ด้วยรู้สึกว่าซูเปอร์สตาร์ ดาราดังตรงหน้าเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้สูงส่งสะอาดเป็นเทพบุตรบนฟ้าอย่างที่ใคร ๆ คิดกันเลย

            “หลวงน้าคุณนี่ เอาใจใส่หลานชายจริง ๆ นะ” พยุหะออกความเห็น

            ดวงตารอยเธียรอ่อนโยนลง ฉายรอยรำลึกอันอบอุ่นงดงาม

            “ชาติก่อนท่านกับผมเคยเป็นพญานาคเพื่อนรักกัน...เราเคยสัญญากันว่า ถ้าอีกคนมีปัญหา พลาดพลั้งจะคอยช่วยเหลือ...ตักเตือนกันไม่ให้หลงไปในทางที่ชั่ว”

            คำพูดต่อมาแฝงความหนักแน่น จริงจังจนผู้ฟังรู้สึกได้

            “รู้มั้ย...พญานาคอย่างพวกเราต้องตั้งใจรักษาศีล บำเพ็ญภาวนากันมานานขนาดไหน กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์สมบูรณ์ แล้วได้มาพบพระพุทธศาสนาแบบนี้...เมื่อได้รับโอกาสอันประเสริฐหายาก จะยอมหลงระเริงในกับดักของวัฏสงสาร จนพลาดพลั้งทำผิดตกลงไปในอบายภูมิอีกได้อย่างไร”

            วาจานี้ก่อให้เกิดกำลังใจฮึกเหิม จิตตั้งมั่นเองโดยธรรมชาติไม่จำเป็นต้องกดข่ม

            รอยเธียรสัมผัสรู้ถึงกำลังในใจตน เข้าใจทันทีว่าเหตุใดพยุหะพยายามชักนำโน้มน้าวให้พูดคุยเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะเกี่ยวกับธรรมะและหลวงน้า

            เพราะใจระลึกถึงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคล้าเคลียในพระธรรมคำสั่งสอน มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เป็นจิตที่ง่ายต่อการเข้าสู่สมาธิ

            หลังจากนั้น สองหนุ่มนิ่งเงียบไม่มีการพูดคุย หลับตาลงปล่อยให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิโดยไม่มีการบังคับ ฤทธา พละกำลังถูกฟื้นฟูเรื่อย ๆ โดยไม่เร่งร้อน

            ไม่นานนักทั้งสองลืมตาขึ้นสบกัน นัยน์ตาสองคู่ฉายถึงพลังอันกล้าแข็ง เต็มเปี่ยมอีกครั้ง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP