วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อมฤต ๒๔
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
โต๊ะกาแฟเหลือแค่พี่ชาย น้องสาว...ตัวจริง
“กินอะไรอีกมั้ยไอ้เตี้ย...พอคนอื่นไปกันหมดก็ทำหน้าบูดเป็นตูดลิงเชียว” รอยเธียรเปลี่ยนโหมดเป็นพี่ชายคนเดิม
“แหม...พี่ชายที่แสนดีคนตะกี้หายไปไหนเนี้ย...หมดชั่วโมงองค์ลงแล้วเหรอ” หญิงสาวเหน็บแนม
“เฮ้ย มันก็คนเดียวกันแหละ แค่รู้กาลเทศะว่าควรแสดงออกอย่างไร แค่ไหนกับใครเท่านั้นเอง จะให้พี่เรียกเราว่าไอ้เตี้ยต่อหน้าคนอื่นเรอะ”
ชายหนุ่มเถียง ดวงตาอ่อนโรยกว่าปกติ
รอยธาราสังเกตสีหน้า แววตาพี่ชายอย่างละเอียดก่อนเอื้อมมือไปแตะแขนเขาเบา ๆ สัมผัสกระไอร้อนผะผ่าวบอกว่ามีอาการไข้
“ไม่สบายอย่างนี้แล้วออกมาทำไม” พูดแล้วนึกได้ว่าเมื่อคืนพี่ชายไม่กลับบ้าน อาจเผชิญหน้ากับศัตรูร้าย
“แม่บอกว่าเราออกมาชุมนุมกับพวกแฟนคลับที่ร้านกาแฟใกล้บ้าน เดาได้ว่าน่าจะมีเรื่อง เลยออกมาดูแล้วก็เห็นว่าระเบิดใกล้ลงจริง ๆ” เขายังมีอารมณ์ขันหยอกล้อ
“เค้าจัดการได้หรอก ไม่สบายขนาดนี้น่าจะนอนอยู่บ้าน แล้วนี่อะไรต้องมาฝืนอาการป่วยแสดงบทบาทพี่ชายแสนดีเพื่อช่วยเค้านี่นะ” หญิงสาวอ่อนใจ
“โชว์มัสโกออนไง” รอยเธียรหัวเราะ “พี่มีเรื่องอยากให้เราช่วยบ้างเหมือนกันนั่นแหละ”
“จะให้เค้าช่วยอะไร” รอยธาราสงสัย
“ถ้าไม่กินอะไรแล้ว กลับไปคุยที่บ้านดีกว่า...ตอนนี้หน้าจะมืดแล้ว”
ตลอดเวลาสนทนากับแฟนคลับ ไม่มีใครสังเกตเห็นอาการป่วยไข้ของเขาเลย พออยู่กับคนใกล้ชิดวางใจได้ ชายหนุ่มก็ไม่ปิดบังอาการตนเอง
รอยธาราถอนใจ เรื่องที่พี่ชายขอให้ช่วยน่าจะเร่งด่วนและไม่ง่ายดายเท่าไร
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
นับจากฟื้น จดจำอดีตชัดเจน ประสบเรื่องราวเป็นข่าว รับมือกับคนรอบข้างที่ทำงานและสื่อ มัชฌิมามีเวลาส่วนตัวสงบใจจริงก็เมื่ออยู่บ้าน
ช่วงเวลาสั้น ๆ รอยต่อหลังจบฝึกงาน ไม่มีงานพาร์ทไทม์ มหาวิทยาลัยยังไม่เปิดเทอม เธอใช้มันไปกับการเรียนธรรมะ
พันเกลียวเข้าใจธรรมะพอจะสอนหลานสาวอย่างถูกต้องไม่หลงทาง
สิ่งที่ดั้นด้นบุกป่าฝ่าเขาตามหาในชาติที่เป็นกัลยาถูกวางชั่วคราวตอนเป็นเทพธิดานางไม้ ด้วยชาตินั้นใจเผลอเพลินในความสุข และจิตติดยึดว่าจะต้องเรียนธรรมะกับพระพุทธเจ้าเท่านั้นอย่างเหนียวแน่น
พอเกิดเป็นมนุษย์ลืมเลือนอดีต ต่อให้มีใจศรัทธาเคารพพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่คิดศึกษาร่ำเรียนจริงจัง จนกระทั่งระลึกชาติ ระลึกถึงปัจฉิมโอวาทพระพุทธเจ้าได้
...จงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด...
พอนึกได้เช่นนั้น จึงเห็นว่าตนประมาทมานาน...ประมาทเป็นชาติจนน่ากลัว
ชาติที่เป็นนางไม้มีอิทธิฤทธิ์หยั่งรู้การเปลี่ยนแปลงดินฟ้าล่วงหน้า คิดว่าแค่ใช้มันช่วยเตือนภัยผู้คนสร้างกุศลก็เพียงพอแล้ว ยามใดมีพระภิกษุสาวกจาริกผ่านป่าเขามาในอาณาเขตตน ก็พยายามดูแลปกปัก ขับไล่สัตว์ร้ายสิ่งรบกวนต่อการบำเพ็ญธรรม สร้างความร่มเย็น เกื้อหนุนให้ท่านภาวนาสะดวก โดยมิเคยเข้าไปขอเรียนธรรมเลยสักครั้ง ด้วยใจผูกพันยึดมั่นความคิดความเห็นในชาติก่อนมากเกินไป
มาเกิดในชาตินี้ ประสบทุกข์จากการพลัดพรากบิดามารดา ชีวิตไม่ถึงกับลำบากฝืดเคืองแต่ไม่สุขสบายเช่นสมัยเป็นรุกขเทพธิดา ยิ่งมาเจอศัตรูเก่าตามไล่ล่าเช่นนี้ทำให้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในวัฏสงสาร เห็นว่าตนเองประมาทเหลือเกินจนไม่น่าให้อภัย
ในเมื่อเกิดเป็นมนุษย์สมบูรณ์พร้อม ได้พบพระพุทธศาสนา มีใจศรัทธาต่อธรรมะพระพุทธอยู่แล้ว ยังจะประมาทรีรออะไรอยู่อีก...ความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนบีบคั้นชีวิตอยู่ทุกขณะ หากตายจากชาตินี้จะมีโอกาสได้เรียนธรรมะอีกหรือไม่...ไม่มีทางรู้ได้เลย
ต่อให้วันนี้ไม่มีพระพุทธองค์ดำรงธาตุขันธ์อยู่ตรงหน้า พระธรรมที่ท่านสั่งสอนยังสืบทอดดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน
ดังคำกล่าวที่ว่า...
ตราบใดยังมีผู้สืบทอดปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เจริญอริยมรรคมีองค์แปดดังนี้...โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย!
พันเกลียวสอนการปฏิบัติธรรมหลานสาวให้เข้าใจเส้นทางตั้งแต่เริ่มแรก
“อริยมรรคมีองค์แปด สรุปให้เข้าใจง่ายคือศีล สมาธิ ปัญญา นี่เป็นสามสิ่งที่เราต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนปฏิบัติจริง...ศีลสิกขา...ศึกษาเรื่องศีลให้ถูกต้อง จิตตสิกขา...ศึกษาเรื่องการฝึกจิตอย่างถูกต้อง แยกแยะให้ออกว่าสมาธิอันใดใช้เพื่อพักผ่อน สมาธิอันใดใช้เพื่อการเจริญปัญญา ปัญญาสิกขา...ศึกษาให้เข้าใจเรื่องการเจริญปัญญาอย่างถูกต้อง มุ่งหน้าสู่เป้าหมายสำคัญโดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง...”
จากนั้นสตรีผู้สอนธรรมะก็อธิบายภาพรวมจนเห็นชัด แล้วสาธยายรายละเอียดต่าง ๆ อย่างกระชับชัดเจนจนหญิงสาวเข้าใจ เห็นว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยากเย็นไกลเกินตัว
ขณะพยุหะ รอยเธียรวุ่นวายแก้ไขปัญหา เตรียมรับมือเนวะอย่างจริงจัง มัชฌิมาไม่นึกหวั่นไหว ทั้งที่เธอไม่มีอำนาจ พลังอิทธิฤทธิ์ใดมาต่อกร
สิ่งเดียวที่มีคือ ‘ความไม่ประมาทต่อวัฏสงสาร’
หญิงสาวไม่อยากเสียเวลาไปอีกหนึ่งชาติ โดยไม่ได้เรียนธรรมะ ปฏิบัติภาวนา ทั้งที่เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาอีกแล้ว!
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
การปฏิบัติธรรมของมัชฌิมาไม่ใช่แค่นั่งสมาธิเดินจงกรมอย่างคนทั่วไปเข้าใจกัน พันเกลียวสอนให้เธอเจริญสติระหว่างวัน สร้างความรู้สึกตัวในการใช้ชีวิต ทำงานบ้าน ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว รู้ทันจิตใจตัวเอง ไม่ส่งจิตออกนอก
เช้าวันนี้ขณะทำความสะอาดบ้าน นิมิตอนาคตผุดขึ้น...เป็นภาพรถยนต์สีดำคันใหญ่ติดฟิล์มมืดมาจอดหน้าบ้าน
ใจ ‘ออกรู้’ ทันทีว่าใครอยู่ในรถคันนั้น
เมื่อจิตขยับ ‘ออกนอก’ สติก็รู้ทัน จึงเพิกเฉยไม่ใส่ใจ ทั้งที่รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน
เวลาผ่านไป ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน หูแว่วเสียงผู้ชายกระซิบเบา ๆ
“มากันแล้ว ออกไปดูเถอะ จะคอยคุ้มครองเอง”
หญิงสาวระบายลมหายใจแผ่ว รู้มานานแล้วว่าบ้านป้าพันเกลียวมีผู้ดูแล แต่ไม่เคยเห็นตัวจริง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาส่งเสียงสื่อสาร แสดงว่าผู้มาเยือนเป็นบุคคลไม่ธรรมดา
มัชฌิมาเงยหน้ามองขึ้นไปบนชั้นสอง ไม่ได้ยินเสียงขยับเคลื่อนไหว พันเกลียวน่าจะอ่านหนังสือ หรือไม่ก็เขียนหนังสือทำงานส่วนตัวเงียบ ๆ
ออกไปเปิดประตูเล็กข้างรั้ว ชะโงกหน้ามองเห็นรถยนต์สีดำคันใหญ่ไม่ต่างจากในนิมิต
‘บุคคลนั้น’ น่าจะนั่งรอในรถ
ชายชราท่าทางแข็งแรงคนหนึ่งเปิดประตูข้างคนขับลงมาหาหล่อน พอหยุดยืนเผชิญหน้ากลับเลื่อนสายตามองเข้าไปในบ้านคล้ายรับรู้มีใครบาง ‘ตน’ คุมเชิงอยู่เบื้องหลังเธอ
“ท่าน...ต้องการพบคุณ...เชิญไปคุยกันในรถ”
รอยยิ้มเยาะผุดบนใบหน้าชายชรา แสดงท่าท้าทายไม่เกรงใจผู้คุมเชิงข้างใน
มัชฌิมามองทางรถสีดำ ขยับขากำลังจะก้าวออกนอกประตู ในหัวได้ยินเสียงพันเกลียวกังวานชัด
“บอกอาจารย์มิ่งให้เชิญเจ้านายเข้ามาคุยในบ้านเรา”
มัชฌิมาชะงัก นี่เป็นครั้งแรกที่พันเกลียวใช้การสื่อสารแบบนี้ ตั้งสติชั่วขณะก่อนเอ่ยปากน้ำเสียงสุภาพ
“ฝากอาจารย์มิ่ง บอกท่านอาจารย์เนวะด้วยว่า...เชิญเข้ามาคุยกันในบ้านดีกว่า”
ชายชราเบิกตากว้าง คิดไม่ถึงหญิงสาวจะรู้จักชื่อตนจนกล้าเอ่ยปากเรียกตรง ๆ หนำซ้ำยังรู้ว่าใครรออยู่ในรถ
พอพูดจบมัชฌิมาก็เลื่อนบานประตูออกกว้าง เปิดให้รถยนต์สามารถขับเข้ามาโดยสะดวก เสมือนแสดงมารยาทเจ้าของบ้าน...หรือไม่ก็...ท้าทายฝ่ายตรงข้าม
บทที่ ๑๘
ห้องรับแขกดูแคบถนัดใจเมื่อร่างสูงใหญ่สวมสูทสีเทาก้าวเข้ามา ดวงหน้าคมใต้หนวดเคราเข้ม ปลายเส้นผมหยักศกสีดำสนิท จมูกโด่ง ดวงตาทรงอำนาจกวาดมองทั่วห้องก่อนนั่งบนเก้าอี้โดยไม่รอคำเชิญ
พันเกลียวเสิร์ฟชากุหลาบกลิ่นหอม มัชฌิมารอจนผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้เรียบร้อยค่อยนั่งลงตาม
อาจารย์มิ่งยืนรอระเบียงด้านนอก รับรู้ว่ามีผู้ดูแลบ้านซึ่งไม่ปรากฏตัวยืนคุมเชิงใกล้ ๆ
บรรยากาศต้อนรับแขกธรรมดาเช่นนี้ แฝงความอึดอัดกดดันกระจายโดยรอบกระทั่งคนธรรมดายังรู้สึกได้
เนวะยกน้ำชาขึ้นจิบ จมูกสูดกลิ่นหอม ริมฝีปากมีรอยยิ้มแตะบาง ๆ ประกายตาฉายแววเท่าทัน พันเกลียวนั่งสำรวมมือประสานบนตัก นัยน์ตาอ่อนโยนสีหน้าผ่อนคลาย ร่างกายจิตใจคล้ายกลมกลืนกับบรรยากาศโดยรอบ
มัชฌิมาเริ่มมีอาการหวั่นลึกในใจ ความที่รู้จักท่านอาจารย์มานาน ทราบว่าการมาเยือนครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ทักทายธรรมดา ยิ่งสีหน้าปกติริมฝีปากแย้มน้อย ๆ แสดงถึงความตั้งใจบางประการแฝงอยู่
“เราแวะมาทักทาย ไม่เจอกันนานนะ...กัลยา” ประโยคแรกเริ่มต้น
ถึงใบหน้ารูปร่างไม่เหมือนเดิม ผู้เป็นอาจารย์ยังเรียกชื่อตามความทรงจำเก่า
“ถ้าจะเรียกให้ถูก ชื่อปัจจุบันของเธอคือมัชฌิมา” พันเกลียวเอ่ยขัดเรียบ ๆ
“ค่ะ” มัชฌิมาสนับสนุนวาจานั้น
“เราไม่ใส่ใจ สำหรับผู้อยู่เหนือกาลเวลา อดีต ปัจจุบันมันแค่ชั่วพริบตาเดียว”
พันเกลียวไม่แสดงปฏิกิริยาใดต่อวาจานั้น พอเห็นน้ำชาพร่องลงก็ยกกาเทเติมให้อย่างเบามือ
เนวะยกชาขึ้นจิบต่อ สูดกลิ่นหอมเพิ่มขึ้น ปลายลิ้นซึมซาบรสหวานหอมจาง ๆ น่าแปลกใจ
“นอกจากมาทักทาย ยังมีธุระอะไรจะบอกอีกมั้ยคะ” มัชฌิมาทำใจกล้าเอ่ยถาม
ผู้มาเยือนยกมือลูบเครา แววตาฉายรอยเป็นต่อเหนือกว่า แกล้งยกชาดื่มจนหมดถ้วยโดยไม่พูดอะไร
“ถ้าอาจารย์ไม่มีอะไรจะพูด ดิฉันขอพูดเองได้มั้ยคะ”
มัชฌิมารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นที่เธอ จำเป็นต้องจบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“อาจารย์ต้องการอะไรก็บอกมาเถอะค่ะ เราน่าจะเจรจากันได้ จากนั้นควรเลิกแล้วต่อกัน เวลามันผ่านไปตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี ชาวเมืองอมฤตรุ่นนั้นเสียชีวิตกันหมดแล้ว เด็กรุ่นใหม่แยกย้ายออกไปสร้างบ้านเมืองตัวเอง กระทั่งดิฉันยังตายแล้วตายอีกถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ เราจะติดยึดอะไรกับเรื่องราวที่ผ่านมานานขนาดนั้นกัน”
พูดจบถอนใจเฮือกใหญ่ พลังความกล้าถูกใช้ออกหมดสิ้น
เนวะแค่ยิ้ม ฟังเหมือนลมผ่านหูแล้วหันมองพันเกลียว
“ช่วยเติมชาอีกได้มั้ย”
สตรีเจ้าของบ้านรินน้ำชาจากกาใบเดิมให้ เมื่อผสมกับชาก้นถ้วยก็มีกลิ่นหอมกว่าเดิมโชยชาย สีสันเข้มข้นชวนลิ้มลองเรื่อย ๆ
ผู้มาเยือนยกชาขึ้นจิบ สัมผัสรสหวานละมุน อบอวลความหอมลึกซึ้ง
“น่าแปลกนะ” เนวะเอ่ยปาก สายตามองถ้วยชาในมือ “ทำไมชาถ้วยนี้ยิ่งเติมใหม่กลิ่นยิ่งหอม รสหวานละมุนกว่าเดิม”
“คุณตอบได้มั้ย” พันเกลียวถาม
เนวะปรายตารู้ว่าถูกท้าทาย
“เราอยากฟังคำตอบจากเจ้าของชามากกว่า”
พันเกลียวไม่ขัดเมื่อถูกโยนคำถามคืนมา เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ปกติตามนิสัย
“เพราะมีที่ว่างในถ้วยชา! ... เมื่อเติมชาใหม่ลงไป ต่อให้เป็นน้ำชาจากกาเดิม แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน อุณหภูมิเปลี่ยน กระทั่งอารมณ์ผู้ดื่มเปลี่ยนแปลง รสชาติความหอมของชานั้นย่อมเปลี่ยนไป แปลกใหม่ขึ้น
นับประสาอะไรถ้าเปลี่ยนชาที่เติมเป็นกลิ่นอื่น รสอื่นที่มีความแปลกเปลี่ยน หอมหวานอีกแบบ...ถ้วยชาที่ว่างย่อมมีโอกาสเสพลิ้มน้ำชาแปลกใหม่กว่าเดิมอย่างไม่สิ้นสุดได้”
อาคันตุกะนิ่งอั้นหัวคิ้วกระตุก ขมวดมุ่นเหมือนบังเกิดประกายความคิดเข้าใจบางอย่าง มือยื่นถ้วยชาให้พันเกลียวเติมจนเต็มอีกครั้ง แล้วมองมันนิ่ง ๆ ชั่วขณะก่อนวางลงบนโต๊ะ
“เสียดาย...เราดื่มชาจนพอใจแล้ว ถ้าปล่อยมันไว้แบบนี้ ไม่คิดเติมหรือเปลี่ยนแปลงรสชาติใดอีกจะเป็นอย่างไร”
วาจานั้นเหมือนตั้งโจทย์ประลองปัญญา
“ทิ้งไว้เช่นนี้ น้ำชาย่อมเย็นชืด ปล่อยไว้นานอาจเกิดกลิ่นเหม็นเน่าในที่สุด” พันเกลียวตอบง่ายตรง
ดวงตาเนวะสาดประกายโทสะ มัชฌิมาใจหายวูบมือเอื้อมกุมผลึกครุฑนาคที่ลำคอทันที
พันเกลียวแค่เงยหน้าสบกับเปลวโทสะนั้นด้วยแววตาอ่อนโยนเปิดกว้าง คล้ายท้องฟ้ามหาสมุทรไร้พายุคลื่นลม
เนวะตั้งใจฟาดฟันสตรีกลางคนด้วยพลังจิตให้บอบช้ำกระอักเลือด พอจิตรวมตัวพร้อมเปล่งกระแสพลังออกไปก็บังเกิดอาการชะงักงัน อธิบายไม่ถูก
...เขาไม่เห็นเป้าหมาย ไม่รู้ควรส่งพลังไปทำร้ายตรงจุดใด...
สายตามองเห็นร่างสตรีกลางคนผมหงอกขาวแซมเกือบครึ่ง นั่งตรงหน้าด้วยกิริยาสำรวมไม่มีร่องรอยถือตัวท้าทาย ไม่มีความกลัว ไม่แสดงความกล้า มีแต่ใจปลอดโปร่งเปิดกว้าง และไม่มีตรงไหน จุดใดแสดงเป้าหมายให้จู่โจมเลย
...คล้ายเจ้าตัว...ไม่เห็นว่าร่างกายนี้เป็นเรา...ไม่เห็นว่าจิตใจนี้เป็นเรา...เมื่อไม่มี ‘ความเป็นเรา’ รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเป้าหมาย เนวะก็งุนงงไม่รู้ควรจู่โจมอย่างไร
ตั้งแต่ฝึกฝนวิชาสำเร็จมากด้วยอิทธิฤทธิ์ ยังไม่เคยประสบเจอผู้ใดมีลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย
พอหันมอง ‘กัลยา’ ศิษย์ทรยศก็พบความแตกต่าง จิตใจเธอสว่างด้วยบุญกุศล พลังปราณในผลึกครุฑนาคเต็มเปี่ยม พร้อมต่อต้านรับมือ แต่หญิงสาวมีความเป็น ‘ตัวตน’ ชัดเจน เนวะรู้ว่าจะฟาดฟันทำร้ายด้วยอำนาจพลังตนอย่างไร
ใจเกิดความงุนงงสงสัย พลังเตรียมจู่โจมถูกรั้งไว้ชั่วขณะ หรี่ตามองหญิงกลางคนอย่างชั่งใจใคร่ครวญ
ครั้งแรกที่โรงพยาบาล มีประตูกั้นกลางไม่เห็นหน้าตากันและกัน รู้ว่าพลังต่อสู้ อิทธิฤทธิ์ของคนภายในนั้นเข้มแข็งไม่อ่อนด้อย วันนี้จึงเตรียมปะทะต่อสู้แบบไม่ออมมือ อีกฝ่ายกลับไม่คิดต่อต้านรับมือใด ๆ
จิตเนวะกำลังเกิดความเข้าใจบางอย่าง แล้วพลันดับวูบกลายเป็นงุนงงไม่เข้าใจ โทสะลุกโพลงแทนที่ เหลือบมองถ้วยชาตรงหน้า เห็นมันกลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์
เนวะหัวเราะหึหึขำขันแกมหยัน
“น้ำชาถ้วยนี้...ต่อให้ทิ้งไว้ก็ไม่มีทางเย็นชืด เหม็นเน่าได้หรอก”
พูดจบ พลังที่เตรียมใช้ปะทะถูกส่งลงในน้ำชาแทนการระบายความอัดอั้นไม่เข้าใจ
ปุดปุดปุด ชาในถ้วยเดือดพล่าน ควันลอยฟุ้งจนเหือดแห้ง สุดท้ายถ้วยชาปริแตกให้เห็นต่อหน้า!
อาคันตุกะขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มร่าง สีหน้าเครียด ส่งวาจาสุดท้ายก่อนกลับ
“เวลาสองพันห้าร้อยกว่าปีสำหรับเรามันเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน...ฉะนั้นรอยแค้นย่อมฝังลึก ต้องเอาคืนแน่นอน ไม่ว่าเอ็งและครุฑนาคทั้งสองจะตายเกิดอีกกี่ชาติ เราผู้เป็นอมตะก็จะตามล้างผลาญไม่เลิกรา...หากคิดเจรจาต่อรอง...วาจาคำพูดใดล้วนไม่มีน้ำหนักทั้งนั้น เอ็งต้องแสดงให้เห็นสิว่ามีฤทธาเหนือกว่า สยบเราได้...แล้วค่อยมา...พูดคุยกัน!”
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
หลังงานพระราชทานเพลิงศพท่านชัยกาล คุณหญิงเรือนอร ทั้งพยุหะ รอยเธียรต่างเก็บตัวเงียบไม่ออกสื่อ ไม่ให้สัมภาษณ์รวมถึงงดรับงานโดยไม่มีกำหนด
อดีตครุฑและนาคาแอบสืบสาวตามรอยเนวะเงียบ ๆ
การติดตามผ่านโลกไซเบอร์ ไอที รอยเธียรมอบหน้าที่ให้น้องสาวผู้เป็นแอดมินเพจดำเนินการ
รอยธารารอบรู้เรื่องไอที อินเตอร์เน็ตในระดับหนึ่ง ไม่ถึงขั้นพวกแฮกเกอร์ แต่เธอรู้จักเครือข่าย มีคอนเนกชั่นกับกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อ ‘คนหลังจอ’ ซึ่งรวบรวมผู้มีความรู้ระดับเซียนหลายคน สามารถขอความช่วยเหลือได้แม้จะไม่รู้จักตัวตนหน้าตากันและกัน
พอวางภาระงานด้านโลกไซเบอร์ให้น้องสาว รอยเธียร พยุหะก็ลงสนามสืบเสาะร่องรอยเนวะผ่านทางบรรพต และน้องนิว
สองหนุ่มสืบรู้ว่าน้องนิวรับเงินก้อนใหญ่จากบรรพต สำหรับการเล่นละครฉากใหญ่หลอกคนทั้งประเทศ มีการวางแผนละเอียดรัดกุม ปกปิดร่องรอยหลักฐานแนบเนียน โดยส่วนตัวแล้วดาราประกอบสาวไม่เกี่ยวข้องหรือเคยเห็นหน้าเนวะเลย ทั้งคู่จึงยังไม่รีบเปิดโปงกลัวอีกฝ่ายรู้ตัวเปลี่ยนแผน การสืบสาวยากกว่าเดิม
เวลานี้การสืบหาที่ซ่อนเนวะสำคัญกว่า
เป้าหมายต่อมาคือบรรพต สมุนผู้สนับสนุนการเงิน ออกหน้าดำเนินแผนการต่าง ๆ แทน ซึ่งอยู่ในที่สว่างตามรอยง่ายกว่า
พยุหะ รอยเธียรผลัดกันสะกดรอยบรรพต ติดตามไปทุกแห่งเชื่อว่าบุคคลนี้จะพาไปหาเจ้านายใหญ่ไม่ยากเย็นนัก
วัน ๆ หนึ่งบรรพตต้องไปทำธุระดูแลสั่งงานหลายที่ ตรวจสอบสำนักงานหลายแห่ง โรงงานแต่ละประเภท สองหนุ่มติดตามไปจนหมดพบว่ามันไม่ได้พาไปสู่ร่องรอยเจ้านายใหญ่เลย
อดีตครุฑ นาคามั่นใจว่าพวกตนซุ่มตามอย่างไร้ร่องรอยไม่เป็นที่ผิดสังเกตเพราะใช้พลังอำนาจพิเศษพรางตัวแนบเนียน ศัตรูและคนรอบข้างไม่มีทางรู้ว่าเป็นคนดัง คิดว่าบรรพตน่าจะเลี่ยงการติดต่อกับเนวะจริง ๆ
รอยเธียรเสนอให้เปลี่ยนแผนลองไปตรวจสอบบ้าน คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน ตึกให้เช่า อาคารสำนักงานใหญ่ บี.บี. พรอม. อสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ที่มหาเศรษฐีผู้นี้เป็นเจ้าของดูบ้าง เป็นไปได้ที่เนวะจะหลบซ่อนอยู่ตามที่เหล่านั้น
ทั้งคู่แยกย้ายกันตรวจสอบทันที ใช้เวลาวันสองวันสำรวจจนหมด ใช้ทั้งสายตามองจากภายนอก และญาณพิเศษหยั่งรู้เข้าไปตรวจสอบถึงภายใน ไม่พบร่องรอยกระแสคลื่นความเป็นตัวตนของเนวะแม้แต่น้อย
...เข้าใจแล้วว่า เหตุใดกระทั่งพันเกลียวยังไม่รู้ว่าผู้ทรงฤทธิ์นี้ซ่อนตัวที่ใด...
ถึงเวลานี้จำเป็นต้องเล่นตามเกมศัตรูร้าย รอให้รอยธาราสืบหาที่อยู่ต้นตอคนปล่อยคลิปรอยเธียร มัชฌิมา และคนปล่อยข่าวพยุหะลอกเพลงให้ได้เสียก่อน ค่อยไปสืบดูอีกที
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
รอยเธียรตื่นใกล้เที่ยง เมื่อคืนไปตระเวนตามล่าสืบหาที่อยู่ศัตรูร้ายกับพยุหะจนดึกดื่น เข้านอนเกือบเช้า ลงมาชั้นล่างด้วยสีหน้างัวเงีย สวมเสื้อกล้ามเก่า ๆ กางเกงบ๊อกเซอร์ยางยืดใกล้หมดอายุ
พบมารดานั่งหน้ามุ่ยอยู่หน้าจอคอมพ์ หัวคิ้วขมวดแสดงท่าทางว่าเกิดเรื่องไม่สู้ดี
“ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้ เดี๋ยวหน้าเหี่ยวแก่เร็ว โบท็อกซ์เอาไม่อยู่นะครับคุณแม่รอยจันทร์” ชายหนุ่มหยอกล้อให้อารมณ์มารดาผ่อนคลาย
รอยจันทร์ถอนใจเฮือกใหญ่ เงยหน้ามองเห็น ‘ลูกชายซุป’ตาร์’ แล้วอยากกุมขมับ ไม่รู้จะพูดถึงข่าวชวนหนักใจ หรือบ่นสภาพปล่อยเนื้อปล่อยตัว สบายเกินไปของเจ้าลูกชายก่อนดี
“ลงมาอย่างนี้ แก้ผ้าเลยดีมั้ยลูก” สุดท้ายได้แค่ประชด
“ได้เหรอครับแม่” รอยเธียรรับสมอ้างตาใส
พอเห็นแม่ยังหน้าเครียดไม่ขำด้วยก็เข้าไปกอดประจบ
“ไหน วันนี้มีเรื่องเครียดอะไร บอกลูกชายคนนี้ได้เลย”
“เรื่องเรานั่นแหละ”
รอยจันทร์บอกพร้อมหันจอคอมพ์ให้ลูกชายดู
หัวข่าวหน้าจอขึ้นว่า... ‘น้องนิวแท้ง!’
รอยเธียรกวาดสายตาอ่านข่าว สีหน้าไม่มีร่องรอยผิดปกติ หนำซ้ำอมยิ้มนิด ๆ
เนื้อข่าวบอกสั้น ๆ ว่า หลังจากหมอช่วยล้างท้องจนปลอดภัย น้องนิวอยู่ในสภาพเครียด ต้องรับแรงกดดันจากสื่อที่เข้ามาเซ้าซี้ถามถึงชื่อ ‘พระเอกดัง’ อย่างไม่ยอมหยุด จนทำให้แท้งลูกในที่สุด
“พอแท้งแล้วเขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลไหนครับ” ชายหนุ่มถาม
รอยจันทร์ขมวดคิ้ว เลื่อนจอมาไล่อ่านข่าวใกล้เคียงจากที่ต่าง ๆ ครู่หนึ่ง
“ไม่มีข่าวไหนบอกเลย” คนเป็นแม่ตอบพลางมองลูกชายอย่างสงสัย
“อืมม์...งั้นแสดงว่าข่าวถูกปล่อยมาลอย ๆ ไม่มีหลักฐานยืนยันเหมือนตอนแรกที่บอกว่าท้องใช่มั้ยครับ”
“จริงด้วย” รอยจันทร์เห็นตามลูกชาย “แปลกนะทำไมตอนแม่อ่านข่าวไม่ยักสงสัย...คนอื่นที่อ่านน่าจะรู้สึกเหมือนกัน”
“คงโดนสะกดจิตหมู่กันหมดแหละครับ” รอยเธียรพูดเหมือนล้อเล่น แววตาแสดงความหมายตรงข้าม
“นั่นแหละ ไม่ว่าจะข่าวจริงข่าวปลอม โดนสะกดจิตหมู่หรือเปล่า...ตอนนี้มันเกิดเรื่องใหญ่ตามมาแล้ว”
คนเป็นแม่มองลูกชายเป็นเชิงชั่งใจ เรียบเรียงคำพูดให้ฟังดูนุ่มนวลที่สุด
“คืออย่างนี้...”
“บี.บี. พรอม. จะถอดโฆษณาผมออกแล้วฟ้องร้องด้วยใช่มั้ยครับ” รอยเธียรพูดเสียเอง
“ใช่...เอ๊ะ...ลุยรู้ได้ยังไง” มารดาสงสัย
การลอบติดตามบรรพตหลายวันทำให้คาดเดาแผนการไม่ยาก
“เดาเอา” ชายหนุ่มตอบส่ง ๆ
“คือตอนนี้มันเกิดกระแสแอนตี้พรีเซนเตอร์ขึ้นมา มีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องให้ชาวบ้านไม่ใช้สินค้าที่ลุยเป็นนายแบบโดยเฉพาะแป้งสามฤดู สินค้าตัวล่าสุดที่มันมีคลิปหลุดกับหนูมานั่นแหละ”
“บรรพตเลยหาเรื่องถอดโฆษณา แล้วตั้งใจฟ้องเราให้หมดตัวเลยใช่มั้ยครับ”
“ยังไม่ถึงขนาดนั้น เขาแค่โทรมาปรึกษา นัดเราไปคุยที่บริษัทวันนี้ว่าจะหาทางออกร่วมกันยังไง” รอยจันทร์พูดอย่างใจเย็น
“ไปก็ได้ครับ เขานัดกี่โมง” รอยเธียรไม่ปฏิเสธ
“ช่วงบ่าย ลุยไม่ต้องไปก็ได้ แม่คุยคนเดียวสะดวกกว่า เผื่อมีนักข่าวมารอหน้าบริษัทจะวุ่นวายเปล่า ๆ” คนเป็นแม่ต้องการปกป้องลูกชาย
“ได้ไง ผมต้องไปคอยปกป้องคุณแม่สุดที่รักจากกองทัพสื่อ แล้วก็ไอ้หมาป่าบรรพตนั่นด้วย” ชายหนุ่มพูดอย่างรู้ทัน แกล้งใช้น้ำเสียงเหมือนเรื่องเล่น
รอยจันทร์สังเกตเห็นแววตาจริงจัง ซ่อนรอยไม่พอใจบางอย่างในนั้น
“คุณบรรพตเขามีปัญหาอะไรกับเราหรือเปล่า” ถามด้วยความสงสัย
“เขาเป็นลูกน้องศัตรูเก่าผม” ตอบแบบไม่ปิดบัง
รอยจันทร์ถอนใจเฮือกใหญ่ ความที่ผ่านเรื่องราวแปลก ๆ มามากจึงเข้าใจรวดเร็ว ไม่เอ่ยปากซักไซ้ร่ำไร
“ถ้าจะไปด้วยกันก็อาบน้ำแต่งตัวใหม่” แม่สั่งเด็ดขาด
“ครับผม...เอาให้หล่อเป็นคนละคนกับตอนนี้เลยมั้ย” พูดพลางก้มหน้าลงมายิ้มล้อเลียน
“ไป๊...รีบไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ ขยับตัวจะกลับขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวตามคำสั่ง เห็นน้องสาวรีบลงบันไดมาด้วยสีหน้ายินดี ส่งเสียงมาก่อนตัว
“พี่ลุย...เค้าได้ที่อยู่ต้นตอข่าวทั้งหมดแล้ว...”
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|