วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๒๐



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            หลังอธิษฐานจิต กัลยาอยู่ในสภาพร่อแร่ รู้สึกตัวเพียงครึ่ง ๆ มองเห็นสองบุรุษที่ตนเรียกหาปรากฏกายแล้วหันไปเผชิญหน้ากับอาจารย์เนวะ

            สองฝ่ายเปิดฉากการเจรจาฟังไม่ถนัดนัก จนกระทั่งชัยยะกล่าวคำว่า ‘เมตตาธรรม’ ขึ้นมา เนวะจู่โจมทันทีโดยไม่บอกกล่าว

            สายตากัลยาเริ่มพร่ามัว มองเห็นหนึ่งบุรุษมีปีกมหึมางอกจากกลางหลัง สะบัดโต้กลับบังเกิดลมแรงกล้ารับการจู่โจมจากศัตรูร้าย จากนั้นก็โผนเข้าใส่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายโจมตีระลอกสองอย่างง่ายดาย

            อีกหนึ่งบุรุษรีบคุกเข่าลงข้างกายนาง พยุงร่างอ่อนปวกเปียกขึ้นมาแล้วกรอกตัวยาขมปร่ามาให้ รสขมซึมซ่านผ่านลำคอ กระจายไปทั่วร่างช่วยกระตุ้นหัวใจใกล้หยุดเต้นให้กลับมีแรงขึ้นอีกชั่วขณะ

            ถึงอย่างนั้นมันก็อ่อนล้าเกินจะฉุดรั้ง บอกให้ทราบว่าช่วยรักษาชีวิตนางได้อีกไม่นานนัก

            “ท่าน...ชัยยะ” กัลยาจดจำบุรุษผู้นี้ได้

            “เจ้า...” ชัยยะนาคาสะกดกลั้นก้อนขมขื่นลงในลำคอ “มีสิ่งใดที่อยากกระทำ...หรือไม่?”

            เขาไม่กล้ากล่าวเต็มวาจานั้น

            ...มีสิ่งใดอยากกระทำ ‘ก่อนตาย’ หรือไม่...

            กัลยาเผยรอยยิ้มงดงาม กล่าวหนักแน่น

            “ข้าน้อย...อยากไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์...เป็นครั้งสุดท้าย”

            ความตั้งใจนางแน่วแน่นัก หนักแน่นจนจิตใจเขาสั่นสะเทือน

            ชัยยะนาคาเงยหน้ามองดวงตะวันรอนบอกเวลาเย็นย่ำ ก่อนก้มหน้าพูดกับนางด้วยเสียงอ่อนโยน

            “ราตรีนี้เป็นคืนเพ็ญเดือนหก คืนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน...ข้าสัญญา จะช่วยนางให้สมปรารถนา”

            วาจาเป็นสัจจะ สายตามองฟ้าไกล จากหน้าผาไปยังเมืองกุสินารามีระยะทางยาวไกล เดินเท้าใช้เวลาร่วมเดือน

            ด้วยฤทธิ์แห่งนาคา เขาสามารถแปลงร่างมุดน้ำ ดำดินเดินทางไปถึงโดยใช้เวลาไม่เกินชั่วยามเดียว แต่ถ้านำนางไปด้วยย่อมไม่สะดวก ร่างกายอ่อนแอขนาดนี้ยากเดินทางร่วมกันได้

            ชัยยะนาคาส่งกระแสจิตถึงพญาครุฑผู้กำลังห้ำหั่น โรมรันกับผู้ทรงฤทธิ์เช่นเนวะอย่างดุเดือด

            “กัลยาใกล้เสียชีวิต ข้ายืดอายุได้เพียงชั่วคราว ความหวังสุดท้ายของนางคือเข้าเฝ้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า...วิงวอนท่านวินตกะครุฑ ช่วยพานางไปส่งยังเมืองกุสินาราที ข้าจะรับมือเจ้าเนวะผู้นี้เอง”

            สิ้นกระแสข้อความ พญาครุฑเปล่งสุรเสียงเป็นมนตร์กล้าเข้าปะทะเนวะอย่างรุนแรง ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องถอยไปตั้งหลักชั่วคราว

            วินตกะปรากฏกายในสภาพพญาครุฑ ย่อร่างเท่ามนุษย์ผู้หนึ่ง ชัยยะประคองกัลยาอุ้มส่งให้ถึงอ้อมแขนอีกฝ่าย ดวงตาฉายรอยหดหู่อาลัย
            
            นัยน์ตาพญาครุฑมองสตรีในอ้อมแขนด้วยแววอ่อนโยน จิตใจที่ศรัทธาเสมอกันมีสายใยเป็นห่วง ผูกพันโดยไม่รู้ตัว
            
            ก่อนวินตกะครุฑจะโผบินสู่นภา ได้มอบเม็ดมณีสีแดงไว้กับชัยยะนาคา

            “เนวะผู้นี้ฝีมือสูสีกับเจ้า หากจะเอาชัยมัน ต้องใช้พลังครุฑในมณีเม็ดนี้เข้าไปเสริม...เวลาไม่คอยท่าจงเร่งเอาชัยเถิด...แล้วพวกเราทั้งสามไปร่วมเข้าเฝ้าส่งเสด็จองค์พระบรมไตรโลกนาถสู่พระนิพพานด้วยกัน”

            จิตชัยยะนาคาบังเกิดปีติความตื้นตัน รับมณีเม็ดนั้นมาด้วยใจปราศอคติความถือดี ไม่ว่าจะเป็นพลังครุฑก็ดี พลังนาคาก็ดี หากร่วมกันใช้แล้วสามารถหยุดยั้งเนวะร้ายกาจผู้นี้ลงได้ เขายินยอมทั้งสิ้น

            ...เพื่อจะได้ร่วมใช้โอกาสสุดท้าย...น้อมส่งพระพุทธองค์ด้วยกัน...











บทที่ ๑๕



            เมื่อเข้าไปในความทรงจำอดีตชาติมัชฌิมา คล้ายกลับสู่ภพที่ผ่านมาของตน ทุกเหตุการณ์เรื่องราวไม่อาจเปลี่ยนแปลง มีแค่ความรู้สึกตัวปัจจุบันเข้าไปร่วมรับรู้ด้วยเท่านั้น

            ความรู้สึกรอยเธียรเข้าไปอยู่ในตัวชัยยะนาคา เข้าใจจิตใจยามอุ้มหญิงสาวส่งให้วินตกะครุฑ

            เขาเป็นห่วงผูกพัน กังวลอยากช่วยพานางไปส่งด้วยตนเอง จำต้องตัดใจด้วยเห็นแก่ประโยชน์ของนางเป็นสำคัญ มือกำมณีสีแดงไว้มั่นเหมือนตอกย้ำว่านี่คือภาระหน้าที่ของตน

            วินตกะบรรจุพลังครุฑไว้ในมณีเม็ดนี้ ใช้มนตร์บางอย่างสร้างเป็นสะพานเชื่อมไม่ให้อานุภาพพลังแห่งตนเข้าไปทำร้าย เกิดเป็นปรปักษ์กับพลังนาคา อีกทั้งยังสามารถหลอมรวมอำนาจครุฑ-นาคาขึ้นเป็นหนึ่งเดียวชั่วคราว

            ชัยยะมีความมั่นใจในตน วางแผนใช้มณีเม็ดนี้เข้าร่วมต่อสู้อย่างเหมาะสมแล้ว

            วินตกะครุฑพากัลยาโบกบินมุ่งหน้าสู่กุสินารานคร เนวะเปิดฉากจู่โจมตั้งใจขัดขวางการเดินทาง ชัยยะแปลงร่างเป็นนาคาลำตัวมหึมาเข้าสกัดกั้น ไม่ยอมให้ผู้ทรงฤทธิ์ร้ายประสบผล

            การต่อสู้เกิดขึ้น

            ฟ้าครึ้ม เมฆทะมึน สายวิชชุแลบเป็นเส้นสีเงินยวงบาดตา พญานาคาส่งเสียงคำรามสนั่นเลื่อนลั่น เกล็ดเปล่งประกายจ้า ลำตัวสะบัดเคลื่อนไหวคล่องแคล่วรวดเร็วสง่างาม

            เนวะเห็นเช่นนั้นจึงแสดงฤทธิ์ขั้นสูง อาศัยตบะบารมีฤทธิ์อภิญญากอปรสร้างพญาครุฑจำแลงขึ้นมาเพื่อจัดการพญานาคาตนนี้ให้สิ้นซาก

            ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยปีกพญาปักษา นภาแทบมืดมิด แรงโบกกระพือก่อให้เกิดพายุพัดแมกไม้ล้มครืน บ้างก็เอนลู่เกือบถอนราก

            พญาครุฑจากอิทธิร้ายลอยเด่น ดวงหน้าเชิดอหังการหมิ่นเหยียดผู้ที่ตนคิดว่าอยู่ใต้บาทาไม่มีทางเผยอหน้าขึ้นเทียบชั้น จงอยปากแหลมส่งเสียงกู่เย้ยหยัน กรงเล็บคมกริบพร้อมจิกฉีกนาคาเบื้องล่างเป็นชิ้น ๆ

            พญานาคาชูคอยืดกายเด่นสง่าแววตาไม่เกรงใคร หงอนบนศีรษะเป็นสัญลักษณ์บอกว่าตนก็เป็นที่หนึ่ง ไม่มีวันก้มหัวต่อศัตรูหน้าไหน

            รอยเธียรจำฉากเหตุการณ์ขณะนี้ชัดเจน มันเป็นความฝันที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ก่อนตนและน้องสาวจะไปที่วัดป่า เป็นความฝันที่มีส่วนผลักดันให้อยากพบหลวงน้า พอไปถึงจริงกลับประสบเหตุอื่นสำคัญกว่า

            ความฝันครั้งนั้นคือเหตุการณ์ที่ชัยยะนาคาต่อสู้กับพญาครุฑจำแลงที่สร้างด้วยฤทธิ์เนวะนั่นเอง

            การปะทะเกิดขึ้น พญานาคาทะยานร่างขึ้นยืดยาว พ่นเพลิงพิษเป็นลำสีส้มเจิดจ้า พญาปักษาถลากางกรงเล็บแหลมพร้อมโบกสะบัดปีกดับไฟร้าย เล็บแหลมตะปบใส่คู่ต่อสู้ชนิดไม่ทันให้ตั้งตัว

            ชัยยะนาคาพลิกตัวหลบ ลำตัวเฉี่ยวกรงเล็บ เกล็ดหลุดร่วง ปลายหางตวัดฟาดครุฑจนเป๋หมุนคว้างไปไกล

            เปรี้ยงเปรี้ยงเปรี้ยง อสุนีบาตหวังฟาดใส่พญานาคแต่พลาดโดนพื้นพสุธา เปลวไฟลุกวูบวาบมอดไหม้ผืนป่าเบื้องล่าง นาคาสั่งฝนฟ้ากระหน่ำให้พิรุณดับไฟ อีกทั้งยังก่อตัวเป็นม่านหนากั้นกลางระหว่างสองเผ่าพันธุ์

            จากนั้นทะยานขึ้นสู่อากาศพ่นเพลิงพิษร้อนเข้าใส่คู่ต่อสู้ พญาครุฑโผนเข้าใส่ศัตรูโดยไม่หวั่นเกรง สุรเสียงคำรามเป็นคลื่นสกัดกั้นเปลวเพลิงไม่ให้เข้าใกล้

            ทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ต่างหวังพิชิตชัยเด็ดขาด ระยะใกล้พอเหมาะพญานาคาก็พลิกตัววูบปล่อยให้ครุฑพลาดเป้า อาศัยจังหวะช่องว่างใช้หางและลำตัวตวัดรัดฉุดดึงเจ้าปักษาให้ร่วงหล่นลงพื้นพสุธา

            พญาครุฑสะบัดดิ้นรน จงอยปากจิกใส่ลำตัวนาคาไม่ยั้ง หวังกระชากเกล็ดฉีกเนื้อออกมาเป็นชิ้น ๆ

            ลำตัวนาคาเลื่อนขยับ จงใจให้บางส่วนในร่างโดนจิกตี เกล็ดอันแข็งแกร่งของพญานาคชิ้นสำคัญหลุดออก เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน

            วาบ...เม็ดมณีที่ซ่อนใต้เกล็ด ถูกจงอยปากจิกเข้ารุนแรงจึงปลดปล่อยพลังเป็นลำแสงแดงฉานพุ่งปะทะเต็มหน้าพญาครุฑจำแลง

            ก้าก...ก...กเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังสนั่น พญานาคาปลดขนดหางปล่อยครุฑจำแลงให้โซซัดโซเซออกไป ขนหลุดร่วงทีละน้อยจนเหลือเพียงปีกเปล่าเปลือย

            และแล้ว...ร่างแห่งครุฑก็ป่นสลายกลายเป็นผงคลีในพริบตา

            เมื่อพลังครุฑจากเม็ดมณีถูกปล่อยเต็มกำลังเช่นนั้น ชัยยะนาคาจึงไม่รั้งรอให้โอกาสผ่านเลย สำรวมจิตผสานพลังครุฑเข้ากับเพลิงนาคาตน แล้วพุ่งออกไปเป็นลำพระเพลิงสีม่วงเข้มตรงเข้าใส่เนวะจอมอิทธิฤทธิ์ คู่ต่อสู้สำคัญทันที

            เพลิงนาคาที่หลอมรวมพลังครุฑไว้ นับเป็นอัคคีพิษร้ายกาจยากเปรียบปาน ต่อให้เนวะมีตบะวิชาแกร่งกล้า สะสมอิทธิฤทธิ์นับร้อย ๆ ปีก็ไม่มีทางต้านทานได้

            โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลิงนี้จู่โจมทำร้ายในช่วงเวลาที่พลาดพลั้ง พญาครุฑจำแลงที่กอปรสร้างถูกทำลายต่อหน้าต่อตา จิตใจหวั่นหวาดจนไม่มีปัญญาต่อต้าน

            ตบะวิชาสะสมนับร้อยสองร้อยปีถูกดึงมาใช้รักษาชีวิตโดยอัตโนมัติ ช่วยให้ร่างกายไม่ถูกแผดเผามอดไหม้กลายเป็นฝุ่นผงสีดำ ทว่าไม่อาจรักษาอาคม ตบะฤทธิ์ อำนาจต่าง ๆ ที่เคยมีได้เลย

            ชัยยะนาคากลับคืนสู่ร่างมาณพหนุ่มผู้เดิม ยืนมองเนวะด้วยสายตาสมเพชเวทนา จิตหยั่งรู้ชัดว่าผู้ทรงฤทธิ์กลายเป็นคนธรรมดาแล้ว อำนาจแห่งฌาน ตบะอาคมที่สร้างสมล้วนสลายสิ้น สามารถใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติไปจนตายยังลำบากเต็มที

            เขาไม่มีวาจาใดกล่าวต่อผู้พ่ายแพ้ เห็นว่าบุรุษตรงหน้าพอกหนาด้วยโมหะอวิชชา การทำให้กลายเป็นคนธรรมดาไร้พิษสง น่าจะเป็นความปรารถนาดีช่วยเหลืออย่างที่สุดแล้ว

            ฟ้ามืด...ย่ำค่ำ

            ชัยยะนาคาหันกลับไปยืนริมหน้าผา พุ่งกายออกไปกลายร่างเป็นพญานาคามุ่งสู่กุสินาราโดยไม่รั้งรอ

            ทว่า...เหตุประหลาดบังเกิดแก่พญานาคผู้นี้เสียแล้ว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เหนือเวหา มองจากเบื้องล่างเห็นเพียงจุดเล็ก ๆ เคลื่อนที่ช้า ๆ ตามแสงสนธยา

            ความรู้สึกพยุหะเข้าไปรวมกับวินตกะครุฑอย่างแยกไม่ออก สัมผัสร่างบอบบางในอ้อมแขน ลมหายใจอ่อนล้า จนไม่กล้าเร่งทะยานไปข้างหน้า ต้องประคองนางอย่างอ่อนโยน เป็นห่วงว่าหากบินรวดเร็วเกินไปร่างกายนั้นจะทนทานไม่ไหว

            เส้นทางสู่กุสินารานครใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยาม จำต้องยืดให้เนิ่นช้าออกไป เพื่อถนอมชีวิตลมหายใจนางจนถึงเวลาได้กราบเข้าเฝ้า

            ย่ำค่ำ

            มองเห็นแม่น้ำหิรัญญวดีอยู่เบื้องหน้า ริมฝั่งมีคบไฟผู้คนที่เดินทางเป็นทิวแถวเข้าเมืองเพื่อถวายสักการะแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

            ภายในเมืองกุสินาราสว่างด้วยแสงไฟจากหมู่ชนทั่วสารทิศ ผู้หวังมาน้อมส่งพุทธสรีระเป็นครั้งสุดท้ายมีจำนวนมหาศาลประหนึ่งงานเทศกาล

            พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ที่สาลวโนทยาน อุทยานซึ่งเต็มไปด้วยต้นสาละ หมู่สงฆ์เฝ้าล้อมรอบด้านใน เหล่ากษัตริย์ผู้ครองนคร ชนชั้นอำมาตย์เสนาบดีก็มีจำนวนไม่น้อย

            วินตกะครุฑไม่สามารถพานางบินฝ่าข้ามหมู่สงฆ์ผู้เป็นพระอริยะเจ้าจำนวนนับพัน เพื่อไปยืนต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

            เขาจึงพานางมายังนอกสวนป่าสาลวโนยานอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางผู้คนหนาแน่นโดยไม่มีใครผิดสังเกต

            กัลยาผู้บอบบางคล้ายแสงเทียนใกล้ดับแข็งใจฝืนหยัดยืนด้วยความหวังจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พอเดินฝ่าฝูงชนไม่กี่ก้าว ได้ยินข่าวบอกต่อมาจากภายใน

            ...พระอานนท์ พุทธอนุชาได้แจ้งข่าวแก่มัลลกษัตริย์ ผู้ครองนครกุสินาราแล้วว่า...องค์พระตถาคต จักเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานในปัจฉิมยามราตรีนี้...

            เพียงเท่านั้น เสียงร่ำไห้ก็ดังระงมไปทั่ว คลื่นความโศกาอาดูรแผ่กระทบจิตใจทุกผู้คน

            วินตกะกัดฟันแน่นข่มความเศร้า พยายามพากัลยาฝ่าฝูงชนไปข้างหน้าเพื่อเข้าถึงเบื้องพระพักตร์ให้ได้...แต่แล้ว...เหตุประหลาดก็บังเกิดแก่พญาครุฑผู้นี้เช่นกัน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รุ่งสาง

            รอยธาราหลับ ๆ ตื่น ๆ ในห้องคนป่วย เห็นรอยเธียร พยุหะ มัชฌิมายังอยู่ในสภาพเดิม ไม่ขยับตัวจากลักษณะอาการเมื่อคืนเลยสักนิด

            ใจหวั่นวิตก ไม่รู้ควรทำอย่างไร พยุหะเคยบอกก่อนหน้านี้แล้วว่า...อย่ารบกวน...แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้จนหมอเข้ามาตรวจตอนเช้า คงถูกแอดมิดเข้าโรงพยาบาลกันหมด

            เวลานั้น พันเกลียว เธียร รอยจันทร์เข้ามาในห้องคนป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

            “พ่อแม่...ป้าพันเกลียว มาได้ยังไงคะ”

            หญิงสาวงุนงง เพราะเมื่อคืนบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดแล้ว คิดว่าผู้ใหญ่น่าจะวางใจ หมดห่วงรออยู่ที่บ้าน

            “ถ้าไม่มา เราจะจัดการเองได้เหรอ” รอยจันทร์บ่นลูกสาวไม่จริงจังนัก

            พันเกลียวเข้ามาดูลักษณะอาการหนุ่มสาวทั้งสามแล้วถอนใจเบา ๆ

            เธียรยิ้มให้ลูกสาวโดยไม่พูดจาอะไร ก้าวไปยืนข้างเตียงแล้วเอ่ยถามสตรีผู้ทรงเวท

            “เอาไงดีครับ”

            “พาสองคนนั่นมาทางด้านข้างนี้ก่อน” พันเกลียวบอก

            เธียรกำลังจะพยุงลูกชายจากเก้าอี้มาเป็นคนแรก รอยธาราเอ่ยขัดอย่างเกรง ๆ

            “เอ่อ...พ่อคะ...คนนั้นเขาบอกแต่แรกว่า...อย่ารบกวน” หล่อนชี้มือทางพยุหะ

            “เขาสั่งเราไม่ได้สั่งพ่อนี่” เธียรบอกง่าย ๆ

            ที่รอยธาราไม่กล้าแตะต้องขยับตัวสองหนุ่ม เพราะรู้ว่าทั้งคู่อยู่ในอาการเหมือนเข้าฌาน หลับลึก ถ้ามีการเคลื่อนย้ายอาจเกิดอันตรายได้

            “ไม่มีอันตรายหรอก” พันเกลียวพูดราวอ่านใจออก

            ครู่ใหญ่เธียรพยุงลูกชาย และพยุหะมานั่งกึ่งเอนนอนเคียงข้างกันตรงโซฟายาว

            “พ่อแม่มาได้ยังไงคะ” รอยธาราสงสัย

            “น้องชายเจ้านายเก่าพี่เราเขามาบอกน่ะ” รอยจันทร์พูดทีเล่นทีจริง

            หญิงสาวฟังแล้วฉุกใจคิดได้ ชาติก่อนรอยเธียรเคยเป็นพญานาค น้องชายเจ้านายเก่า’ คงเป็นนาคราชที่ตาอ่ำเคยเล่าให้ฟังสมัยก่อน

            “อาการพวกเขาเป็นยังไงบ้างครับ” เธียรถามพันเกลียวด้วยน้ำเสียงสุภาพให้เกียรติ

            “พวกเขาตั้งใจเข้าไปช่วยหลานสาวฉัน แต่พลาดติดกับดักด้วยเหมือนกัน”

            เพราะรู้เช่นนี้ พันเกลียวจึงออกจากบ้านแต่เช้ามืด หวังมาช่วยเหลือจนพบสองสามีภรรยาหน้าโรงพยาบาลจึงขึ้นมาห้องคนป่วยด้วยกัน

            “เราจะช่วยพวกเขาได้ยังไง” เธียรเป็นห่วง

            พันเกลียวเดินมาที่เตียงหลานสาว เอื้อมมือไปที่คอเสื้อดึงสายคล้องผลึกครุฑนาคออกมา

            “ใช้สิ่งนี้หรือครับ” ความที่เคยผ่านประสบการณ์เหนือธรรมชาติมาในช่วงวัยหนุ่ม จึงเข้าใจง่ายดาย

            ผลึกครุฑนาคถูกถอดจากคอมัชฌิมา นำมาวางบนมือรอยเธียรแล้วจับมือพยุหะประกบทับ หวังให้ผลึกนั้นถ่ายทอดและเชื่อมโยงพลังแก่คนทั้งสอง

            “แค่นี้เองเหรอคะ” รอยธาราไม่ค่อยมั่นใจ

            “เราช่วยได้แค่นี้” พันเกลียวบอกเรียบ ๆ “ที่เหลืออยู่ที่พวกเขาจะดึงดูดพลังจากผลึกออกไปใช้งานได้แค่ไหน”

            รอยธาราถอนใจเฮือกใหญ่แววตาขุ่นเคืองอดบ่นไม่ได้

            “ตอนนี้เราจะจัดการกับศัตรูพี่ลุยยังไงดีคะ น้ำเห็นมีแต่พวกเราโดนซัดเอา ซัดเอา ไม่เคยตอบโต้เอาคืนสักที”

            พันเกลียวไม่ตอบ รอยจันทร์เป็นฝ่ายบอกลูกสาว

            “ก่อนจะเป็นห่วงเขา...สนใจเรื่องตัวเองก่อนมั้ย”

            “น้ำทำไมคะ” หญิงสาวทำหน้าเหรอหรา “น้ำไม่มีศัตรูที่ไหนนี่”

            รอยธารานึกทบทวนความทรงจำทั้งชาตินี้ชาติก่อน หล่อนไม่เคยมีศัตรูร้ายกาจใดชนิดตามล่าล้างข้ามชาติเลย

            “เป็นแอดมินเพจ ‘คนรักรอยเธียร’ ภาษาอะไร โดนคนเข้ามาป่วนแล้วยังไม่รู้อีก” รอยจันทร์บ่น

            “เอ๋...” รอยธาราอุทานเบา ๆ หยิบโทรศัพท์มาเปิดดูแฟนเพจที่ตนดูแล

            ปรากฏว่าแฟนเพจ ‘คนรักรอยเธียร’ โดนแฮก มีการนำภาพและคลิปของรอยเธียร มัชฌิมาระหว่างอยู่ที่สตูดิโอถ่ายโฆษณามาลงเต็มไปหมด

            ก่อให้เกิดกระแส ผู้หญิงคนใหม่ของสามีแห่งชาติ’ ขึ้นมาในชั่วข้ามคืน

            รอยธาราได้นำภาพการถ่ายทำโฆษณาของรอยเธียรวันแรกมาลงเพื่อประชาสัมพันธ์ก่อนแล้ว แต่ไม่มีการเน้นถ่ายคู่กับมัชฌิมาเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

            ภาพและคลิปที่แอบนำมาลงนั้นกลับมีเจตนาตรงกันข้าม

            แต่ละภาพ-คลิปที่แอบลงในแฟนเพจ เป็นภาพที่รอยเธียรให้ความสนิทสนมกับมัชฌิมาเกินกว่าผู้หญิงทั่วไป ส่วนหนึ่งเป็นภาพการซ้อมเข้าฉาก อีกส่วนเป็นภาพร่วมรับประทานอาหารกันสามคน แต่ช่างภาพแอบถ่ายเลือกเจาะเฉพาะสองหนุ่มสาวเป็นหลักทำให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจผิดง่ายดาย

            ตั้งแต่เป็นวัยรุ่นรอยเธียรมีความระมัดระวังในการคบหาเพื่อนต่างเพศอย่างยิ่ง...ผู้หญิงที่เขายอมรับเป็นแฟนมีไม่เกินสามคนซึ่งต่างเลิกราด้วยดี

            ส่วนผู้หญิงที่พยายามทำตัวใกล้ชิด สนิทสนม แสดงท่าทีต่อสื่อว่ากำลังคบหาดูใจกลับมีจำนวนไม่น้อย ซึ่งเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาพเกินงาม

            เมื่อคืนรอยธารามัวแต่กังวลใจ เป็นห่วงสวัสดิภาพสามหนุ่มสาว ไม่มีอารมณ์เข้าไปเปิดดูสิ่งใดในโลกโซเซียล ไม่รู้ว่าภาพและคลิปเหล่านี้ถูกนำลงเมื่อไหร่ และแชร์ไปมากแค่ไหนแล้ว

            เธียรกับรอยจันทร์ฝันเห็นสิงหานาคราชมาเตือนจนสะดุ้งตื่น รีบมาโรงพยาบาลตั้งแต่ยังไม่สว่าง ระหว่างทางนึกสังหรณ์ใจเปิดอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ พบภาพคลิปเหล่านี้ มั่นใจว่าไม่ใช่ฝีมือลูกสาวตน ใจเป็นห่วงไม่รู้ฝ่ายตรงข้ามจะวางแผนเล่นงานด้านใดอีก

            รอยธาราพูดถูก ฝ่ายตนมีแต่โดนซัดเอา ซัดเอา...ไม่มีโอกาสตอบโต้เอาคืนบ้างเลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ชัยยะนาคาอุ้มกัลยาส่งให้วินตกะครุฑ...รอบที่เท่าใด เจ้าตัวจำไม่ได้แล้ว

            หลังจากได้ชัยสยบเนวะสำเร็จ ก็ตั้งใจมุ่งหน้าสู่กุสินารานคร เพียงแค่โผนกายออกไปก็ถูกดึงดูดให้ย้อนเวลากลับมาตอนที่ส่งนางมนุษย์ให้พญาครุฑ

            จากนั้นก็เริ่มต่อสู้กับครุฑจำแลงของเนวะ...อีกครั้ง

            เหตุการณ์วนอยู่เช่นนี้รอบแล้วรอบเล่าไม่อาจพ้นไปได้เสียที




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            วินตกะครุฑพากัลยามาถึงหน้าสาลวโนทยาน ได้รับข่าวพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานในปัจฉิมยาม ได้ยินเสียงร่ำไห้โศกาอาดูรระงมทั่ว กำลังจะมุ่งเข้าไปกลางสวนก้มกราบแทบพระบาท

            แต่แล้วเหตุการณ์ก็หมุนเวียนกลับมายังหน้าผา ต้องรับร่างของนางจากชัยยะนาคาซ้ำอีกครั้ง จนงุนงงสับสน

            เหตุใดพวกตนไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปในสวนป่าได้อย่างใจ

            ทำอย่างไรจึงจะฝ่าเหตุการณ์วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาออกไปได้สักที




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ความรู้สึกตัวของรอยเธียร พยุหะจืดจางลงทุกที เหมือนติดกับดักให้ลืมเลือนปัจจุบัน หลงวนเวียนในความทรงจำอดีต ไม่สามารถทะลวงผ่านได้

            ทั้งคู่ตั้งใจเข้ามาช่วยมัชฌิมากลับกลายว่า...มันคือกับดักหลอกล่อพวกตนอีกที!

            หมากเกมนี้ร้ายกาจยิ่งนัก

            รอยเธียร พยุหะพยายามกระตุ้นความรู้สึกตัวให้ชัดขึ้น ย้ำกับตนเองทุกขณะว่าทั้งหมดเป็นแค่ภาพลวง ความทรงจำอดีตที่ล่วงผ่านมาแล้ว

            ปัจจุบันไม่มีชัยยะนาคา วินตกะครุฑ กัลยาอีกต่อไป

            จิตฝืนกระตุ้นตัวเองซ้ำ ๆ เพื่อก้าวข้ามเหตุการณ์วนเวียนออกไป แต่เหมือนมีพลังอำนาจเหนือกว่ามาควบคุมบงการ จงใจให้ติดแน่นในความทรงจำอดีต ไม่สามารถล่วงพ้นได้

            เสียงหนึ่งเสียดเย้ยได้ยินแว่ว ๆ

            “เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน พวกเอ็งเอาชนะเราได้...ถ้าเช่นนั้นก็จงอยู่ชื่นชมชัยชนะปลอม ๆ นั้นไปตลอดกาลเถอะ นี่จะเป็นกรงขังที่ไม่มีวันหลุดรอดเด็ดขาด”

            เมื่อได้ยินใจหล่นวูบ กำลังที่จะต่อต้านถดถอยลง ความรู้สึกปัจจุบันริบหรี่เลือนรางแทบถูกกลืนจนกลายเป็นชัยยะ วินตกะจริง ๆ

            สมรภูมิจิตใจเกิดการต่อสู้รุนแรง ไม่สามารถแสดงภาพกระจ่างมีเพียงความรู้สึกที่ต้องต่อต้านพลังจิตหนักแน่นมหาศาล คล้ายถูกครอบด้วยกำแพงแก้วแล้วปิดทับด้วยแผ่นผลึกใสด้านบน จะพังออกทิศทางใดไม่ได้ทั้งนั้น

            พลังภายในอ่อนแอลงทุกที ความรู้สึกรอยเธียร พยุหะเลือนรางใกล้ดับคล้ายแสงเทียนกำลังหมดไส้ แล้วจู่ ๆ เหมือนมีกระแสไฟเข้าชาร์ต กระตุ้นให้รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง

            ...เฮือก...เหมือนคนจมดิ่งใต้น้ำนาน ๆ แล้วได้โผล่มาสูดอากาศหายใจเฮือกใหญ่

            ขณะนั้นเป็นช่วงที่ชัยยะนาคาส่งร่างกัลยาให้วินตกะครุฑอีกรอบ มือของผู้ส่งสัมผัสมือผู้รับ สตรีนางนั้นอยู่ในอ้อมแขนพวกเขาทั้งสอง

            ...จำได้แล้ว!...

            ปัจจุบันพวกเขาคือรอยเธียร ดารานายแบบดัง กับพยุหะ โปรดิวเซอร์เพลงมือหนึ่ง ภาพที่เห็นทั้งหมดเป็นแค่ความทรงจำในอดีต เพียงเข้ามารับรู้เพื่อช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งออกไป

            หากจะช่วยเธอต้องมีพลังมากกว่าเดิม...พลังกล้าแกร่งนั้น พวกตนได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

            ...มันอยู่ในผลึกครุฑนาค...

            ความทรงจำสองหนุ่มผุดขึ้นมาพร้อมกัน เกิดเสียงสนทนาครั้งสำคัญก้องขึ้นในหัว

            “วินตกะครุฑ ท่านก็มาที่หลุมศพนางเช่นกันหรือ”

            “เราจะไปที่ไหน เช่นไรเกี่ยวอันใดกับนาคาน้อยเช่นเจ้า”

            “ข้าเป็นนาคาชรา ไม่ใช่นาคาน้อย อายุขัยใกล้หมดสิ้นแล้ว”

            “เพราะใกล้สิ้นชีพ เจ้าถึงมาที่แห่งนี้รึ”

            “ใช่แล้ว...หรือว่าท่านก็มาด้วยเหตุผลเดียวกัน”

            “ครุฑเช่นเราก็มีเกิดแก่เจ็บตาย” วาจาบอกความปลงตก

            “ส่วนข้านั้นมองเห็นนิมิตอนาคตว่าต้องไปเกิดไปมนุษย์ และอาจได้พบนางผู้นั้นมาเกิดตามหลัง”

            “หึหึ นิมิตตรงกันอย่างกับกรรมจัดสรร แต่เราเห็นไกลกว่านั้นอีกว่า เจ้าเนวะมันจะตามมาราวีเราทั้งสามหลังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว”

            “ท่านคงเห็นไม่ผิดหรอก พวกนาคาน้อยที่คอยเฝ้าสอดส่องถ้ำอำพรางของมันก็มารายงานข้าว่า อีกไม่นานเนวะน่าจะออกจากฌานอันยาวนานของมันแล้วเช่นกัน”

            “เมื่อเกิดใหม่ เรา-เจ้าล้วนกลายเป็นผู้ลืมเลือน ขณะที่ญาณหยั่งรู้เนวะจะตามหาพวกเราไม่ยากเย็น”

            “ข้าไม่ห่วงตนเองเท่ากับนางมนุษย์ผู้นั้น ไม่รู้ว่าขณะนี้เกิดอยู่ที่ใด รู้แค่จะตามมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาหลังพวกเราไม่นานนัก”

            “นางคือเป้าความแค้นแรกของเนวะ ตามมาคือเรา-เจ้า”

            “ข้าขอบังอาจเสนอความเห็นที่อุกอาจพิสดารสักข้อได้หรือไม่”

            “เมื่อเห็นว่าอุกอาจพิสดาร ยังกล้ากล่าวต่อหน้าเราอีกหรือ”

            “เพราะมันพิสดาร ไม่เคยมีมาก่อน จึงเชื่อว่าน่าจะใช้เป็นเครื่องมือปกป้องนาง และช่วยเหลือท่าน-ข้ายามเกิดเป็นมนุษย์ได้”

            ความเงียบบังเกิดชั่วอึดใจ ฝ่ายนาคไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวสรรพคุณใดมากกว่านั้น เพราะพญาครุฑผู้ยิ่งใหญ่ย่อมมองเห็น เข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายต้องการพูดอยู่แล้ว

            ที่นิ่งเงียบเพราะต้องการเวลาไตร่ตรองชั่งใจ ทบทวนเหตุผลความเหมาะสมนานา

            “ได้...เราเห็นด้วยกับเจ้า” พญาครุฑเอ่ยปากในที่สุด



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP