วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๑๙



cover Amarit

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เวลาผ่านไป ทุกวันศิษย์พี่ทั้งสองจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันมาพูดคุยไถ่ถาม เพื่อดูว่านางยังมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าจนต้องการเดินทางไปกุสินาราอีกหรือไม่

            ชาวเมืองอมฤตยึดมั่นในศีล ไม่โป้ปด นางจึงตอบความจริงอย่างที่รู้สึก

            “ข้าน้อยยังอยากไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เพราะรู้ว่ามันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว...โอกาสเช่นนี้เมื่อไรจะมีอีก ต้องเกิดตายอีกกี่ชาติ กว่าจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาสักพระองค์ ศิษย์พี่ช่วยขอร้องท่านอาจารย์แทนข้าได้หรือไม่”

            นางไม่ทราบว่าศิษย์พี่ทำตามที่ขอหรือไม่ อาจารย์เนวะไม่เคยลงมาที่คุมขัง ปล่อยนางไว้เช่นนั้นมีอาหารสามมื้อให้รับประทานแต่จำกัดอิสรภาพไว้ไม่ให้ออกไปไหน

            ...นี่เป็นโทษทัณฑ์สูงสุดสำหรับเมืองอมฤตแล้ว...

            ชาวเมืองอมฤตยึดมั่นในศีลสัตย์ อยู่กันมาอย่างสงบสุข นานครั้งจะมีเรื่องขัดแย้งซึ่งสามารถคลี่คลายง่ายดายเมื่ออาจารย์เนวะลงมาดูแลให้ความยุติธรรม

            วาจาของท่านศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างจากกฎหมายเทพเจ้า ทุกคนยอมรับไม่ขัดขืน

            อาจารย์เนวะมีปกติอยู่ด้วยอาการสงบ ไม่เคยแสดงโทสะ ความโกรธเคืองให้ใครเห็น กระทั่งลูกศิษย์คนสนิทพบอย่างมากแค่แววตาขุ่นเคืองเป็นบางครั้งเท่านั้น

            ผู้เป็นอาจารย์มักสั่งสอนศิษย์ในสำนักเสมอ เรื่องใช้ตบะสมาธิกดข่มกิเลสชั่วร้าย โทสะความโกรธเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ต้องไปทำร้ายใคร จิตจะสงบรวมเป็นฌานง่ายดาย

            กัลยาเคยพูดถึงคำสอนอาจารย์เนวะให้วินตกะ กับชัยยะฟังระหว่างเดินทาง

            ครุฑแปลงกล่าวค้านคำสอนนั้น โดยอ้างเทศนาจากพระพุทธองค์

            “พระพุทธเจ้าเคยสั่งสอนศิษย์ว่า...เมื่อจิตมีโทสะ ก็ให้รู้ชัดว่ามีโทสะ...เมื่อจิตไม่มีโทสะ ก็ให้รู้ชัดว่าไม่มีโทสะ

            “ถ้าทำเช่นนั้น โทสะจะดับได้อย่างไร...คนเราคงระเบิดโทสะ ทำร้ายคนรอบข้างกันจนเป็นปกติกระมัง” กัลยาสงสัย

            “ก่อนที่พระองค์จะสอนเช่นนั้น ท่านให้พวกเรารักษาศีล ตั้งใจที่จะไม่เบียดเบียนกันและกันด้วยกาย-วาจาเสียก่อน แล้วปล่อยให้กิเลสทำงานอยู่แค่ในใจ ไม่กดข่ม ไม่บังคับ ใช้จิตที่ตั้งมั่นดีแล้วดูกิเลสมันทำงาน เช่นเมื่อโทสะเกิดก็ดูมันอย่าง ‘รู้ชัด’ รู้ว่ามันเกิดเมื่อมีเหตุมีกระทบ พอหมดเหตุนั้นมันก็ดับเอง ไม่มีใครบังคับได้...เสมือนเราจุดไฟในเตา คอยระวังแค่ไม่ให้สะเก็ดไฟไปทำร้ายผู้ใด แล้วเราเฝ้าดูไฟในเตานั้นอย่างรู้ชัด เห็นว่าเมื่อเราใส่เชื้อเพลิง จุดไฟ เตาไฟจึงติด แต่พอทิ้งมันไว้โดยไม่เติมเชื้อเข้าไปอีก ครั้นหมดเชื้อเดิม ไฟก็ดับ โดยเราไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย”

            วินตกะสาธยายพร้อมยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ กัลยาฟังแล้วเข้าใจ

            ชัยยะช่วยเสริมปิดท้าย

            “การที่เอาแต่กดข่มโทสะ ด้วยมั่นใจว่าตบะสมาธิของตนเข้มแข็งจนสามารถเป็น ‘นาย’ ของกิเลสได้นั้น นับว่าประมาทเกินไป เสมือนตั้งกาน้ำร้อนโดยปิดฝาสนิทแน่น แล้วยังเติมเชื้อไฟในเตาไม่หยุด ย่อมมีสักวันที่ไอร้อนในกานั้นกระแทกฝาจนหลุดออกมาได้ จากนั้นกิเลสร้ายย่อมอาละวาดรุนแรงเกินหยั่งคาด ถ้าเป็นไฟโทสะก็อาจเผาผลาญโลกนี้ได้ทั้งใบ”

            พอได้ยินเช่นนั้น กัลยาก็ยิ่งมองเห็นความลึกซึ้ง แยบคายในธรรมะของพระพุทธองค์มากขึ้น ใจโลดแล่นอยากไปเข้าเฝ้าเพื่อขอเรียนธรรมจากพระองค์เสียเดี๋ยวนั้นทันที

            การถูกคุมขัง ทำให้นางมีเวลาทบทวนเรื่องราวระหว่างการเดินทางละเอียดขึ้น ระลึกถึงทุกบทสนทนาของตนกับ นาค-ครุฑแปลงเกี่ยวกับพระตถาคตในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องธรรมะที่พระองค์ทรงเทศนาสั่งสอนผู้คนในที่ต่าง ๆ จิตใจนางยิ่งเบิกบาน ความศรัทธาในธรรมมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ



            กัลยาถูกคุมขังนานเท่าใดไม่ได้นับ จนกระทั่งวันหนึ่งศิษย์พี่ในสำนักพาบิดามารดาของนางมาเยี่ยม เพื่อเกลี้ยกล่อมให้คลายศรัทธาพระพุทธองค์ แล้วกลับมาเชื่อถือในอาจารย์เนวะผู้เดียวดังเดิม

            “ข้าน้อยมิได้เลิกเคารพนับถือท่านอาจารย์เนวะเลย ท่านยังเป็นครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณดังเดิม เพียงแต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์จับใจข้าน้อยยิ่งนัก รู้สึกว่านั่นคือเส้นทางอันเกษมแท้จริง จึงอยากให้ท่านอาจารย์ ท่านพ่อท่านแม่ ศิษย์พี่และชาวเมืองเราได้ไปเข้าเฝ้า ฟังธรรมจากพระโอษฐ์สักครั้งก็ยังดี”

            พอพูดจบก็บอกเล่าสาธยายธรรมที่ตนจดจำ ระลึกได้ต่อบิดามารดาและศิษย์พี่ กระแสธรรมนั้นแสดงความจริง ดุจเปิดของคว่ำให้หงายขึ้น จนทำให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม

            “พอเสียที หยุดนำคำสอนผู้อื่นมาเผยแพร่ในเมืองของเราเดี๋ยวนี้!” เสียงอาจารย์เนวะดังขึ้นเหนือที่คุมขัง

            ทุกคนชะงักงัน สั่นสะท้านด้วยไม่เคยได้ยินวาจาเกรี้ยวกราดจากบุคคลผู้เป็นดุจเทพเจ้ามาก่อน

            อาจารย์เนวะยืนเด่นหน้าห้องคุมขัง กวาดตามองทุกคนก่อนหยุดจ้องเขม็งยังนักโทษสาว

            “เราให้โอกาสเจ้าได้มีเวลาอยู่กับตัวเองเพื่อสำนึกผิด ฝึกฝนตบะสมาธิอย่างที่เราสอน แต่เจ้ากลับคิดฟุ้งซ่านแต่จะออกไปข้างนอก มีใจออกห่างอีกทั้งยังชักชวนพ่อแม่ ศิษย์พี่เจ้าให้มีใจไขว้เขวจากเรา...นับแต่นี้เราจะเพิ่มโทษด้วยการงดอาหาร ไม่ต้องกินสิ่งใดนอกจากน้ำเปล่า จนกว่าจะสำนึกตัว”

            จบวาจา อาจารย์เนวะลับกายจากไป บิดามารดากัลยาต่างตื่นตระหนก สงสารบุตรสาว แต่ไม่กล้าคัดค้านคำสั่ง ใจหนึ่งหวังว่าบุตรีจะยอมแพ้ ผู้เป็นอาจารย์ให้อภัยในที่สุด

            กัลยาอดอาหารหลายวัน ร่างกายซูบผอม จิตใจยังหนักแน่นไม่ยอมแพ้ ไม่แม้แต่จะอ้อนวอนร้องขอความเห็นใจ

            ผู้ทนไม่ไหวกลัวนางอดอาหารจนตายคือศิษย์พี่ทั้งสอง

            พวกเขารอจนอาจารย์เนวะเก็บตัวเข้าสมาธิเจ็ดวันตามวงรอบปกติ จึงแอบมาปล่อยศิษย์น้อง แล้วให้บิดามารดานางรับตัวออกไปเพื่อหาทางออกจากเมืองอมฤตเอง

            เมื่อได้รับอิสระ กัลยาเป็นห่วงศิษย์พี่ทั้งสอง เกรงว่าจะต้องรับโทษทัณฑ์แทนตนเอง

            “ไม่เป็นไรหรอก ท่านคงไม่ฆ่าแกงพวกเรา อย่างมากคงถูกขังสักเดือน” ศิษย์พี่บอกให้คลายใจ

            กัลยาเกิดอาการละล้าละลัง ใจหายวูบแปลก ๆ มองศิษย์พี่ทั้งสองเหมือนจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้ว



            ระหว่างเส้นทางหนี กัลยาค่อยทราบว่าตนถูกขังมาสองเดือนกว่า พระพุทธเจ้าใกล้เสด็จปรินิพพาน จึงรีบบอกทางให้บิดามารดาพาออกจากเมืองโดยเร็ว

            พอถึงเขตแดนกำแพงกั้นมิติ อาจารย์เนวะยืนรอคอยด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แววตาอำมหิต

            กัลยาใจหายวูบ คาดเดาออกว่านี่เป็นแผนลองใจศิษย์ด้วยการบอกว่าจะเข้าสมาธิเจ็ดวันแต่ออกมาก่อน

            เมื่อพบว่าศิษย์คนโตทั้งสองแอบปล่อยนักโทษออกมาย่อมโกรธเคืองนักหนา ขนาดคนที่ตนฟูมฟักมากับมือยังทรยศ มีใจออกห่าง ไม่เคารพเชื่อฟังคำสั่งตนอีกต่อไป

            ความโกรธเคืองครั้งนี้รุนแรงนัก รุนแรงจนไม่มีสิ่งใดมายับยั้งได้

            ...ชะตากรรมศิษย์พี่ทั้งสองจะเป็นเช่นไร...

            “ศิษย์ทรยศ” เสียงกระหึ่ม ดุดันน่ากลัว “เจ้ามองข้ามความกรุณาของเรา ดูถูกผู้เป็นอาจารย์ หันเหไปเคารพเชื่อฟังผู้อื่น ควรรับโทษสถานใด!”

            เมื่อความกรุณาพลิกเป็นโทสะ เมื่อโทสะถูกกดข่มมานานระเบิดออกมา ตบะสมาธิที่ข่มกลั้นกลายเป็นอิทธิฤทธิ์ร้าย ชักนำโดยแม่ทัพใหญ่อย่างโทสะกล้า...ผลจะเป็นเช่นไร

            กัลยาไม่มีเวลาคิดถึงชะตากรรมของศิษย์พี่อีกแล้ว บิดามารดาเธอใช้ตัวเองเข้าปกป้องจนตัวตาย เพื่อให้ลูกสาวหนีออกจากเมืองอมฤต มุ่งหน้าสู่กุสินาราตามต้องการ

            นางเศร้าโศก เจ็บแค้นต่อการสูญเสียบุพการี แต่ไม่ยอมให้การตายนั้นสูญเปล่าจึงพยายามหลบหนี กระเสือกกระสนต่อสู้กับอาจารย์เนวะอย่างสุดกำลัง ไม่ยอมพ่ายแพ้

            ต่อให้แข็งแรงกว่ามนุษย์ทั่วไป มีตบะสมาธิวิชาอาคมพอรักษาตัว การต้องอดข้าวอดน้ำหลายวัน ร่างกายอ่อนเพลีย แล้วฝืนต่อสู้รับมือผู้เป็นอาจารย์ทำให้บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย กัดฟันหลบหนีกระเซอะกระเซิงสุดชีวิต

            ท้ายสุดคืบคลานพาร่างกายใกล้ตายมาจนมุมที่หน้าผาสูง ประจันหน้ากับผู้เป็นอาจารย์ด้วยใจหวั่น เกือบปลงตกว่าตนคงไม่มีวาสนาได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว

            ทันใดนั้นกำไลนาคที่พกติดตัวก็แสดงฤทธิ์ต่อต้านพลังของอาจารย์เนวะ กระตุ้นให้นางรู้ว่ายังมีผู้ที่เต็มใจช่วยเหลืออยู่ แม้ผ่านมานางไม่กล้าเรียกขานพวกเขา ด้วยกลัวว่าสองฝ่ายประจันหน้ากันจะเกิดการแตกหักสูญเสีย

            นางไม่อยากให้พญาครุฑ พญานาคผู้มีคุณทั้งสองต้องได้รับอันตรายจากอาจารย์ตน

            เวลานี้ไม่มีทางเลือก ความหวังสุดท้ายเพียงแค่ขอไปกราบแทบพระบาทองค์ตถาคตก่อนตายก็ยังดี

            มือจับกำไลนาคราช นัยน์ตามองฟ้า นึกอธิษฐานจิต

            “ท่านวินตกะ ท่านชัยยะ...ข้าน้อยอับจนหนทางแล้วจริง ๆ ได้โปรดเมตตายื่นมือช่วยเหลืออีกสักครั้งเถิด”

            หลังคำอธิษฐานจิต หวังว่าจะปรากฏหนึ่งนาค หนึ่งครุฑมาช่วยเหลือ หรือไม่ตนก็ถูกผู้เป็นอาจารย์สังหารด้วยโทสะ

            เหตุกลับพลิกผันเกินคาดเดา

            กัลยาหน้ามืดลงวูบหนึ่ง พอรู้สึกตัวก็พบว่าตนอยู่ในคุกสำนักอมฤตอีกครั้ง ศิษย์พี่ บิดามารดาล้วนยังมีชีวิต พวกเขากำลังเกลี้ยกล่อมให้นางหันมาศรัทธา เคารพอาจารย์เนวะดังเดิม

            เกิดความงุนงงไม่เข้าใจ...หนึ่งครุฑ หนึ่งนาคไม่ได้ปรากฏกายมาช่วย อาจารย์เนวะยังไม่ได้สังหารฆ่าฟันใคร

            นางถูกย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่อยู่ในคุกซ้ำอีกครั้ง เหตุการณ์ดำเนินต่อจนถึงหลบหนี ถูกไล่ล่าจนตรอก อธิษฐานจิตขอความช่วยเหลือ...แล้วกลับไปยังคุก...อีกครั้ง

            เหตุการณ์ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับว่า...ตลอดชีวิตไม่อาจหลุดพ้นจากช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ได้เลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลัทธิพิเพิล เทมเปิ้ล (People Temple) ชื่อนี้หมายถึงวิหารแห่งปวงชน ก่อตั้งโดยจิม โจนส์ (Jim Jones) นักเทศน์ชื่อดัง เขารวบรวมเงินจากสาวกที่ศรัทธาจำนวนมากมาซื้อที่ดินแปลงใหญ่ สร้างเป็นเมืองขนาดย่อมเรียกว่า โจนส์ทาวน์ (Jonestown) อยู่ประเทศกายอานา (Guyana) แถบอเมริกาใต้

            จิม โจนส์พาสาวกจำนวนมากมาอยู่ในเมืองนี้ โดยบอกว่าที่นี่คือดินแดนสงบสันติ เป็นสังคมในอุดมคติอย่าง ‘ยูโทเปีย’(Utopia) ทั้งที่ความจริงกลับตรงกันข้าม ผู้คนที่มาอยู่ต้องทำงานหนัก การกินอยู่จำกัด จิมปกครองโดยใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ออกกฎหมายหยุมหยิมกดดันผู้คน ใครคิดหลบหนีจะโดนลงโทษหนักสุดถึงตาย

            ทางการสหรัฐส่งคนมาตรวจสอบ ผู้คนที่ทนไม่ไหวลอบบอกความจริงอันเลวร้าย ทำให้กลุ่มทางการสหรัฐและผู้แปรพักตร์ถูกสังหารหมู่ก่อนขึ้นเครื่องบิน

            จิมรู้ว่าอีกไม่นานทางการจะส่งคนมาจับเขา จึงประกาศกระจายเสียงปลุกปั่นชาวเมืองเป็นครั้งสุดท้าย หลอกลวงทุกคนว่าทางการสหรัฐจะมาสังหารหมู่ชาวเมืองไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือเด็ก แล้วเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนชิงฆ่าตัวตายด้วยการดื่มน้ำผลไม้ผสมไซยาไนด์ ซึ่งเป็นพิษร้ายแรง

            ทางการสหรัฐมาถึงได้พบผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนถึงเก้าร้อยกว่าศพ รวมทั้งตัวจิม โจนส์ด้วย นับว่าเป็นการฆ่าตัวตายหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตอนแรกบรรพตแปลกใจที่ ‘ท่านเนวะ’ สนใจเรื่องของจิม โจนส์ และโจนส์ทาวน์มากเป็นพิเศษ ถึงขนาดศึกษาค้นคว้าประวัติชีวิต เส้นทางการสร้างศรัทธาจนเกิดสาวก คนหลงเชื่อนับพัน ตามไปอยู่ในเมืองอุดมคติด้วยกัน จนถึงสุดท้ายเหตุแห่งการล่มสลาย เกิดการฆ่าตัวตายหมู่ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์

            ต่อมาเมื่อได้พูดคุยสนทนาจึงเข้าใจ เนวะเล่าให้ฟังว่าตนเคยสร้างเมืองที่มีลักษณะคล้ายยูโทเปียจริง ๆ ไม่ใช่เมืองหลอกลวง ใช้วาจาสวยงามเป็นเปลือกล่ออย่างโจนส์ทาวน์

            เมืองนั้นชื่อ ‘อมฤต’ ผู้คนอยู่อย่างปรองดอง สงบสุข ต่างคนล้วนยึดมั่นในศีลธรรมไม่เบียดเบียนกันและกัน ตัวเขาปกครองด้วยความเมตตา ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร หนำซ้ำยังสั่งสอนแนะนำให้ชาวเมืองรู้จักวิธีรักษาชีวิต ยืดอายุให้ยืนยาวนับร้อยปีจนเกือบเป็นอมตะสมกับชื่อเมือง

            น่าเสียดาย เมืองสมบูรณ์แบบแสนสงบสุขเช่นนั้นโดนลูกศิษย์ที่ตนไว้วางใจทำให้ล่มสลาย

            บรรพตอยากรู้ว่าเมืองลับแลที่สงบสมบูรณ์ถูกคนคนหนึ่งทำให้ล่มสลายได้อย่างไร แต่ไม่กล้าปริปากถาม

            ท่านเนวะบอกเพียงแค่...

            “เรามีแต่ความเมตตากรุณา ปกครองชาวเมืองอย่างเป็นธรรม ทุกคนกินอิ่มนอนหลับมีอายุขัยยืนยาว เราไม่เคยกดขี่หลอกลวงหาผลประโยชน์จากใคร แตกต่างจากไอ้จิม โจนส์นั่นคนละโยชน์...ทำไมลูกศิษย์ที่เราสั่งสอนมากับมือยังทรยศกันได้”

            บรรพตฟังอย่างสงบนิ่งโดยไม่เอ่ยปากขัด เขาเองผ่านโลก ผ่านชีวิตพบผู้คนมามากทำให้ฟังคำบอกเล่าทุกวาจาอย่างเป็นกลาง ไม่เชื่อทั้งหมด

            ถ้าท่านเนวะเป็นอย่างที่พูดจริง รับรองว่าเมืองอมฤตไม่มีทางล่มสลาย แสดงว่าต้องมีหลายสิ่งที่เจ้าตัวไม่บอกเล่าออกมา...คนเรามักพอใจพูดถึงส่วนดีของตน มองว่าตนเองทำถูกต้องเสมอ ไม่เคยเห็นส่วนเสียที่มี ไม่เคยมองในมุมของฝ่ายตรงข้าม

            หากไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจเรา...จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่าสิ่งที่เรากระทำนั้นดีงาม หรือเลวร้ายอย่างไร

            ถึงอย่างนั้นบรรพตยังเคารพเชื่อถือเนวะ ด้วยบุคคลนี้สร้างผลประโยชน์แก่เขามหาศาล ไม่แปลกที่อาจเคยสร้างเมืองสงบสมบูรณ์ เปี่ยมสุขขึ้นมาได้จริง ๆ

            เนวะรอบรู้ศาสตร์เกือบทุกแขนงในโลกปัจจุบันอย่างเหลือเชื่อ ทั้งความรู้ และญาณหยั่งรู้นั้นช่วยชี้ทางการลงทุนในต่างประเทศให้แก่เขาอย่างแม่นยำ สร้างผลกำไรระยะสั้นมหาศาล อีกทั้งยังวางแผนธุรกิจระยะยาวอย่างรอบคอบ อ่านขาดจนคิดไม่ถึงว่าเป็นคนโบราณอยู่มาสองสามพันปีแล้ว

            ผลประโยชน์ได้รับเวลานี้ไม่น้อยกว่ามีขุมทอง บ่อน้ำมันในมือเลย

            เขาจึงยอมทำตามทุกคำสั่งโดยไม่มีข้อสงสัยโต้แย้ง



            คืนนี้บรรพตกับอาจารย์มิ่งเข้ามาในห้องทำงานท่านเนวะเพื่อรายงานความคืบหน้า ผลงานที่ได้กระทำ

            เนวะนั่งเอนหลังบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ เปลือกตาปิดสนิท มือประสานบนหน้าท้องหลวม ๆ ท่าทางผ่อนคลาย

            ทั้งสองเห็นอย่างนั้นจึงชะงักเท้า เตรียมถอยกลับไม่กล้ารบกวน

            “รายงานมาได้เลย” เสียงกังวานพอได้ยิน ทั้งที่ริมฝีปากเจ้าของห้องไม่ขยับ

            บรรพต อาจารย์มิ่งไม่รู้สึกแปลกประหลาด ยืนห้อยมือสำรวมรายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

            “กระผมทำตามคำสั่งท่านครบทุกอย่าง” อาจารย์มิ่งรายงานก่อน

            “งานสำเร็จด้วยดี ผู้หญิงคนนั้นติดกับดักมนตรา ตอนนี้ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว”

            “นาง...อ้อไม่ใช่...มันยังไม่ตายใช่มั้ย”

            “ไม่ขอรับ พระเอกนั่นตามไปด้วย น่าจะตั้งใจช่วยเต็มที่”

            “ดี เมื่อคืนพวกมันสูญเสียพลังไปเยอะ มาใช้แรงในคืนนี้อีกจะมีอะไรเหลือมาต่อต้านเรา”

            วาจาชะงักชั่วขณะคล้ายผู้พูด ‘เห็น’ บางสิ่ง

            “แน่ใจนะว่างานราบรื่นไม่มีปัญหา”

            “เอ่อ...” อาจารย์มิ่งอ้ำอึ้ง ก่อนกลั้นใจตอบ “มีผู้หญิงคนหนึ่งเห็นกระผมในสตูดิโอนั่นชั่วแวบก่อนใช้มนตร์พรางตัว และอาคมที่ใช้ล็อคเครื่องมือทำฝนเทียมก็ถูกใครไม่ทราบถอนออกได้ง่าย ๆ”

            เจ้าอาคมพูดจบเกร็งตัวรอรับโทษทัณฑ์

            “ฝีมือระดับเอ็งยังไม่รู้อีกหรือว่าเป็นใคร?” ถามกึ่งตำหนิ

            “มะ...ไม่ทราบขอรับ” อาจารย์มิ่งตอบไม่เต็มปาก

            ภายในห้องบังเกิดความเงียบชั่วขณะ ทั้งสองรู้ว่าท่านเนวะกำลัง ‘ดู’ เอง

            ไม่มีใครกล้าปริปากครู่ใหญ่จนกระทั่งได้ยินเสียงจากเจ้าของห้อง

            “มันเก่งจริง” วาจายกย่องแฝงโทสะกรุ่นโกรธ “อำพรางพลังกลบร่องรอย กระทั่งเราก็ไม่รู้ ตามรอยไม่ได้”

            คราวนี้ริมฝีปากเนวะขยับ คล้ายรำพึงกับตนเอง

            “ไม่น่าเชื่อ ยุคนี้ยังมีผู้ที่สำเร็จฌานสมาบัติ ได้ฤทธิ์อภิญญาถึงขั้นนี้ด้วย”

            อาจารย์มิ่งขนลุกซู่ พยายามระลึกถึงคนที่พบเห็นในวัดป่า พระภิกษุทุกรูปบนศาลา ใครกันมีฤทธิ์อภิญญาเล่นงานจนแกสับสน แยกแยะไม่ออก

            ฝีมือระดับนั้นถึงขั้น...สูงสุดคืนสู่สามัญ...ถ้าเจ้าตัวไม่แสดงออกมา ผู้อื่นไม่มีทางรู้เด็ดขาด

            ความเงียบครั้งนี้แสดงว่าเนวะหมดประเด็นพูดคุยกับอาจารย์มิ่งแล้ว

            ผู้รายงานต่อมาคือบรรพต

            “งานที่สั่งให้ผมทำ เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” นักธุรกิจใหญ่บอก “คาดว่าทางนั้นคงจะเริ่มต้นไม่เกินพรุ่งนี้เช้า”

            “ดี” คำตอบรับสั้น “บางทีคาถาอาคม ธาตุศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ไม่น่ากลัวไปกว่าคนธรรมดา คนที่ใจเปี่ยมกิเลส ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์”

            บรรพตยิ้มรับคำชมนั้น อดเหลือบตามองเจ้าอาคมอย่างอาจารย์มิ่งไม่ได้ รายนั้นได้วิชาอาคม ธาตุศักดิ์สิทธิ์อย่างต้องการ แต่ยังทำงานบกพร่องโดนตำหนิ

            บางทีสมัยนี้ สิ่งน่ากลัวอาจไม่ใช่มนตร์ดำใด ๆ เพราะคนทำร้ายคนด้วยกัน ร้ายกาจกว่าภูตผี




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            มัชฌิมาสลบไสล อาการป่วยไข้ขึ้นสูง ความดัน ชีพจรลดต่ำจนน่าเป็นห่วง

            เมื่อมาถึงโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาลเข้ามาดูแลรักษาอาการทันที

            รอยธาราตามทีมงานกับรอยเธียรมาด้วย ระหว่างเพื่อนสนิทรับการรักษา รอยเธียรคุยกับทีมงานรอฟังผลอาการคนป่วย เธอเดินดูบริเวณชั้นล่างห้องฉุกเฉินอย่างรู้สึกแปลกตา ไม่คุ้นเคย

            ที่นี่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนทันสมัยกว่าก่อนมากมาย การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อดทำให้ใจหายไม่ได้

            ชาติก่อน...รอยธาราเคยสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ ความทรงจำเก่านั้นหลอกให้เชื่อ หลงยึดติดว่ามันยังเป็นของตน ความรักความผูกพันต่อสถานที่ยังมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย

            พอได้สติก็เป่าลมจากปากแรง ๆ พร้อมกับสะบัดศีรษะสลัดความทรงจำเก่าออกไป หันมาสนใจผู้ป่วยที่กำลังรักษาอยู่ด้านใน

            ไม่นานนายแพทย์ออกมาบอกว่าอาการมัชฌิมาทรงตัวดีขึ้นแล้ว ให้ย้ายไปเฝ้าดูอาการที่ห้องผู้ป่วย

            เวลานั้นรอยธาราจึงทราบว่า พนักงานบริษัท บี.บี. พรอม. มีประกันรักษาโรคโดยผูกกับโรงพยาบาลแห่งนี้ เพื่อนเธอได้รับสิทธิรักษาพยาบาลฟรีแม้จะเป็นเด็กฝึกงานแบบพาร์ทไทม์

            นอกจากนี้ยังได้ยินพวกพยาบาลคุยกันว่านายบรรพต เจ้าของบีบี พรอมเป็นผู้บริจาครายใหญ่ สนับสนุนกิจการโรงพยาบาลมานานหลายปี

            พอฟังแล้วอดพึมพำด้วยความรู้สึกคุ้นเคยเก่า ๆ ไม่ได้

            “อืม...มันก็รู้จักสำนึกบุญคุณเหมือนกันนะ”



            ห้องคนป่วย

            อาการมัชฌิมาดีขึ้น ความดัน ชีพจรปกติ อุณหภูมิร่างกายลดลงจนไม่น่าเป็นห่วง อาการไข้หลงเหลือเพียงเล็กน้อย

            รอยธาราบอกกับทีมงานว่าตนเองจะนอนเฝ้าดูแลเพื่อนสนิท พร้อมกับติดต่อบอกญาติเอง ทั้งหมดจึงกลับไปอย่างสบายใจ

            รอยเธียรเดินออกไปพร้อมทีมงานเพื่อไม่ให้มีใครสงสัย อีกพักใหญ่ค่อยวกกลับขึ้นมาบนห้องคนป่วยบอกข่าวกับน้องสาวตน

            “พี่ไลน์บอกคุณพายุแล้ว อีกเดี๋ยวคงมาช่วยกัน”

            หญิงสาวพยักหน้า ทราบว่าเพื่อนไม่ได้เจ็บป่วยทางกายอย่างเดียว น่าจะมีปัญหาอื่นที่ทางการแพทย์ตรวจไม่เจอ รักษาไม่ได้อยู่เช่นกัน

            พยุหะตามมาในชุดดำงานศพ แสดงให้เห็นว่ารีบมาจริง ๆ

            “เกิดอะไรขึ้น” เขาถามทันทีที่มาถึง

            รอยเธียรสรุปเหตุการณ์ให้ฟังสั้น ๆ ก่อนบอกอีกฝ่ายว่า

            “ผมสงสัยว่าอาการที่เกิดตอนนี้ไม่ใช่ทางกายอย่างเดียว”

            พยุหะยืนอีกฟากเตียงหญิงสาวไม่พูดอะไรมาก ก้มลงมองใบหน้าเธอแล้วใช้จิตสัมผัสเข้าไปหยั่งทราบอาการแท้จริง

            “จิตเธอติดกับดักอยู่ในภพอดีตชาติ”

            รอยเธียรใจหายวาบใช้สมาธิเข้าไปหยั่งสัมผัส ตามรอยที่พยุหะนำทางจึงเข้าใจสาเหตุชัดเจน ในใจยอมรับว่าจิตสัมผัสการหยั่งรู้ของตนยังไม่เทียบเท่าอีกฝ่าย

            “ถ้าไม่พาออกมา เธอจะวนเวียนอยู่ในเหตุการณ์เดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา หรือถ้าฟื้นมาช้าสติอาจเสียจำอดีตปัจจุบันสับสนไปหมด” ดาราหนุ่มเสริมขึ้น

            รอยธารายืนฟังข้าง ๆ ใจหายวาบใบหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายถึงขั้นนี้ ไม่รู้ว่าการเข้าไปช่วยเหลือยากเย็นขนาดไหน

            “มีอะไรให้น้ำช่วยมั้ยคะ” หญิงสาวคิดว่าประคำตาอ่ำอาจมีประโยชน์บ้าง

            “อย่ารบกวนก็พอ” พยุหะพูดเรียบ ๆ

            รอยเธียรอมยิ้มเมื่อเห็นน้องสาวชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย

            “ออกไปโทรบอกพ่อแม่แล้วกันว่าคืนนี้พี่คงไม่ได้กลับบ้าน บอกป้าพันเกลียวด้วยว่าไม่ต้องห่วง ไม่จำเป็นต้องตามมา พี่กับคุณพายุรับมือไหว”

            รอยธาราพยักหน้าเดินออกจากห้องโดยไม่ต้องให้ใครสั่งซ้ำ หล่อนไม่รู้ว่าสองหนุ่มใช้วิธีใดช่วยมัชฌิมา แต่มั่นใจว่ามันต้องสำเร็จ



            รอยเธียร พยุหะลากเก้าอี้คนละตัวมาวางขนาบสองฟากเตียง การเข้าไปในความทรงจำอดีตชาติของมัชฌิมาไม่ยากเย็น อันตรายมีอย่างเดียวคือพวกตนต้องไปในสภาพวินตกะครุฑ และชัยยะนาคา เพื่อรับมือกับอาจารย์เนวะ ผู้ทรงฤทธิ์จากแรงโทสะ

            หากพลาดพลั้งมีสิ่งใดผิดพลาดสักนิดเดียว...เช่นกำลังของตนไม่เพียงพอ ต่อสู้พ่ายแพ้ขึ้นมา ทั้งสามต้องติดอยู่ในนั้นอีกนานไม่สามารถหลุดออกมาได้

            “เริ่ม...” รอยเธียรเอ่ยปาก

            พยุหะหลับตาตั้งกายตรง มือสองข้างวางไว้เหนือเข่า ระบายลมหายใจคั่งค้างออก ก่อนปรับลมหายใจเข้าออกเป็นธรรมชาติ ไม่เร็วไม่ช้า

            รอยเธียรนั่งบนเก้าอี้ ลักษณะไม่ต่างจากอีกฝ่าย ปิดเปลือกตา ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ จิตสู่ความสงบรวดเร็ว

            จังหวะลมหายใจเข้า-ออกสองหนุ่มค่อยปรับเข้าหา พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย กระแสจิตเชื่อมโยง พร้อมเกาะเกี่ยวเข้ากับหญิงสาวบนเตียง

            จมดิ่งสู่อดีตกาล ชาติภพที่เป็นวินตกะ ชัยยะ และกัลยา




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            กัลยาคืบคลานมายังหน้าผาสูงอีกครั้ง...เป็นครั้งที่เท่าใดยากตอบได้ แต่ละครั้งที่มาถึงจุดนี้ใจเริ่มทดท้ออ่อนล้าหมดหวังลงทุกที

            อธิษฐานจิตครั้งนี้แทบหมดความคาดหมายใด คิดว่าสุดท้ายคงกลับไปยังจุดเดิมอยู่ดี

            ทว่ารอบนี้จิตใจแปลกไปจากเดิม มันอบอุ่นขึ้น กำไลนาคราชเปล่งประกายสีทองให้ความหวัง จิตมีความเชื่อมั่น ศรัทธาเพิ่มมากกว่าทุกครา

            แสงสีทองจากกำไลนาคราชแผ่รัศมีจ้า สกัดกั้นอาจารย์เนวะผู้ดุดัน สภาพไม่ผิดอสูรร้ายให้ชะงักงันไม่กล้าเข้าใกล้

            เมื่อรัศมีหรี่แสง ปรากฏร่างมาณพหนุ่มทั้งสองยืนอยู่เบื้องหน้า ประจันกับเนวะร้ายอย่างไม่เกรงกลัว

            “หึหึ หนึ่งครุฑ หนึ่งนาค ไยร่วมทางกันได้” น้ำเสียงเสียดเย้ย ใบหน้าดุดัน คุมแค้น

            “ในเมื่อรู้ว่าเราเป็นใคร แสดงว่าคงไม่ได้โง่เง่ามุดหัวอยู่แต่ในกะลาอย่างเดียว” วินตกะหยัน

            เขารู้จักเนวะทั้งจากคำบอกเล่ากัลยา และอาศัยญาณหยั่งรู้ของตนมาประกอบ

            “ข้าขอชีวิตนางผู้นี้เถิด” ชัยยะรีบแทรกด้วยวาจาอ่อนน้อม เกรงเกิดการปะทะเนิ่นนาน อาการของกัลยาจะสาหัสเกินเยียวยา

            “ชีวิตของนางและทุกคนในเมืองเป็นของเรา จะอยู่หรือตายเราเป็นผู้กำหนด...หากขอชีวิตนาง เจ้ามีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน...ชีวิตเจ้างั้นรึ?”

            ชัยยะไม่โต้เถียง เขารู้จักอาจารย์เนวะ และเมืองอมฤตละเอียดกว่าที่กัลยาบอกเล่าระหว่างร่วมทาง เพราะกุมภนาคราชผู้เป็นนายได้ใช้ญาณหยั่งรู้เข้าไปตรวจสอบ และอธิบายให้ฟังจนหมดแล้ว

            เวลานี้จึงพยายามใช้สติปัญญาหาวิธีพูดจาเพื่อให้เรื่องราวจบโดยสันติ

            “เมตตาธรรม...ที่ท่านเคยมี...ใช้แลกเปลี่ยนกับชีวิตนางได้หรือไม่” ชัยยะใช้อุบายเตือนสติ

            ก่อนหน้านี้ อาจารย์เนวะสร้างและปกครองชาวเมืองอมฤตด้วยเมตตา พอได้รับคำสรรเสริญเยินยอ ความเคารพศรัทธามาเนิ่นนานนับร้อยสองร้อยปี ก็ลุ่มหลงจนเสพติด หลงผิดยึดมั่นถือมั่น คิดว่าทุกสิ่งที่ตนกระทำล้วนถูกต้องดีงาม ทุกวาจาคำสอนของตนคือสัจจะแท้...ความคิดความเห็นใดผิดแผกแตกต่างล้วนเป็นคำหลอกลวง ไร้ประโยชน์

            แล้ววันหนึ่งศิษย์ที่ตนสอนมากับมือมาบอกว่า พบบุคคลอื่นที่ชวนเคารพน่าศรัทธากว่า คำสั่งสอนของคนผู้นั้นถูกต้องกว่าตน

            เนวะย่อมเกิดโทสะไม่พอใจ พยายามกดข่มระงับไว้โดยใช้วิธีลงโทษกักขังนางเพื่อให้เกิดสำนึก ยอมเปลี่ยนศรัทธากลับมาดังเดิม

            ทว่ายิ่งผ่านไปนานนับเดือน ศรัทธาใหม่นางยิ่งมั่นคงฝังรากลึก ความโกรธในใจอาจารย์ยิ่งทบทวีจนแทบระเบิด อาศัยตบะข่มกลั้นไว้ไม่ยอมแสดงตัวตนร้ายออกมา

            สุดท้าย เมื่อวางแผนลองใจ พบว่ากระทั่งศิษย์คนโตทั้งสองก็ยังวางใจไม่ได้ ช่วยศิษย์น้องออกจากที่คุมขังเพื่อให้นางไปตามความต้องการ

            ตบะข่มไว้ไม่อาจต้านทานโทสะอัดแน่น มันจึงระเบิดมาในที่สุด

            เนวะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสังหารศิษย์คนโตทั้งสองอย่างไร เมื่อพลั้งมือกระทำไปแล้วก็หยุดแรงโทสะต่อไปไม่ได้อีก รีบตามศิษย์ทรยศไปยังกำแพงข้ามมิติ สังหารบิดามารดาผู้เข้ามาขัดขวางช่วยชีวิตลูกสาว

            จากนั้นตามไล่ล่า หวังปลิดชีวิตนางเป็นรายสุดท้ายเพื่อระบายโทสะในใจ

            พอเห็นครุฑ นาคมาขัดขวางห้ามปราม ไฟโทสะยิ่งลุกโพลงกว่าเดิม

            คำว่า ‘เมตตาธรรม’จากปากชัยยะนาคา แทนที่จะช่วยเตือนสติอีกฝ่าย กลับเป็นการกระตุ้นให้เกิดความอับอายรุนแรง

            ความอับอายนั้นแปรสภาพเป็นระเบิดลูกมหึมา พุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามทั้งสองโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าทันที



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP