วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๑๕



cover Amarit


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๑



            นิมิตอนาคตปรากฏอีกแล้ว

            คราวนี้ไม่ได้แสดงเหตุการณ์เรื่องราวอย่างทุกครั้ง มันปรากฏแค่ภาพนิ่งฉายในหัวภาพละไม่กี่วินาที รวมทั้งหมดสี่ภาพ

            ภาพแรก...โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ภาพสอง...ผู้ป่วยสองคนบนเตียงเข็น ภาพสาม...เมรุเผาศพ และภาพสี่...สุดท้าย เป็นดวงตาโตลึกทรงอำนาจยิ่ง เปล่งพลังงานเข้มข้นออกมาจนมัชฌิมาสะดุ้งเฮือก

            “เป็นอะไรน่ะมา” รอยธารานำจานชามไปคืนแม่ครัวกองถ่าย กลับมาพบเพื่อนสนิทนั่งเหม่อตาลอย จู่ ๆ ก็สะดุ้งเฮือกไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

            มัชฌิมาใจสั่นระรัว ความกลัวจับใจ มือไม้เย็นเฉียบ รอยธาราเห็นอย่างนั้นจึงนั่งข้าง ๆ ลูบไหล่ลูบหลังอย่างปลอบประโลม สัมผัสถึงร่างกายสั่นสะท้านแววตาตื่นกลัวอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน

            ครู่หนึ่งพอตั้งสติได้ หันมองทางห้องด้านหลังสตูดิโอ เอ่ยถามอีกเรื่อง

            “พี่ลุยกับคุณพายุคุยกันเสร็จหรือยัง” เธอพยายามพูดเรื่องอื่นเพื่อลืมดวงตาน่ากลัวคู่นั้น

            “ยัง...แต่อย่าห่วงไอ้พี่บ้านั่นเลย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

            “เปล่า” มัชฌิมาตอบโดยอัตโนมัติทั้งที่สีหน้าแววตาไม่ได้บอกอย่างนั้น

            รอยธาราสังเกตเห็นจึงเอ่ยถามตรง ๆ

            “มีปัญหาอะไรบอกน้ำดีกว่าจะได้ช่วยกันคิด”

            มัชฌิมาถอนใจแววตาสับสนก่อนพูดเบา ๆ เสียงไม่เกินกระซิบ

            “มามองเห็นภาพอนาคต...มันเป็นภาพนิ่ง ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์อย่างทุกที”

            ผู้ฟังนิ่งงัน เธอเชื่อคำพยากรณ์ของเพื่อนสนิทมาตลอดเพราะสมัยเด็กมัชฌิมาเคยเล่าเรื่อง ‘นิมิตอนาคต’ ให้ฟังแล้ว

            “มันเป็นภาพอะไรบ้าง” รอยธาราถาม

            “โรงพยาบาล คนป่วยบนเตียงเข็น เมรุ และดวงตาใครสักคนที่คุ้นเคย...แต่น่ากลัวมาก” ขณะพูดเจ้าตัวยังขนลุกพยายามอธิบายต่อ

            “มาไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร รู้แค่เป็นเรื่องร้ายแรง...แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง”

            รอยธาราหนักใจตามเพื่อน เข้าใจว่าการรู้เรื่องร้ายล่วงหน้าแล้วแก้ไขไม่ได้มันเป็นอย่างไร จึงแนะนำอย่างเด็ดขาดชัดเจน

            “ช่วยไม่ได้ก็ไม่ได้...ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าไปสนใจ อย่าให้นิมิตพวกนี้มาทำร้ายจิตใจเราสิ”

            วาจาตรงไปตรงมาเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ทำให้คนฟังเข้มแข็งขึ้น

            มัชฌิมาถอนใจเบา ๆ เหลือบมองทางห้องที่สองหนุ่มกำลังพูดคุยกัน

            “พี่ลุยเขารู้จักคุณพายุมาก่อนหรือเปล่าน้ำ” หญิงสาวเปลี่ยนประเด็นเพื่อขจัดร่องรอยนิมิตในหัว

            “ไม่นะ” รอยธาราไม่เคยได้ยินพี่ชายพูดถึงโปรดิวเซอร์เพลงคนนี้

            “งั้นทำไมดูคุ้นเคยกันเร็วจัง...” หญิงสาวพึมพำ

            ถ้าไม่รู้สึกชัดว่ารอยเธียร พยุหะมีลักษณะแววตาเหมือนนาค ครุฑแปลงในความฝัน ก็คงไม่อยากรู้เรื่องที่ผู้ชายสองคนกำลังคุยกัน ไม่สงสัยหงุดหงิดใจขนาดนี้

            “ไม่รู้สิ” รอยธาราตอบง่าย “พี่ลุยมันเข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว ไม่น่าแปลกหรอก ต่อให้เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ทำเป็นพูดคุยสนิทสนมอย่างกับรู้จักมาสิบปีได้เลย”

            รอยธาราพยายามพูดให้เพื่อนคลายความสงสัย ทั้งที่ตนเองเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง

            ตาอ่ำเล่าเรื่องชัยยะนาคา วินตกะครุฑ ผู้หญิงชื่อกัลยา และศัตรูข้ามภพชาติอย่างอาจารย์เนวะให้ฟังจนเข้าใจที่มาที่ไปแล้ว

            เธอรู้ว่ารอยเธียรเคยเป็นใคร มีศัตรูชื่ออะไร มีความผูกพันกับครุฑ และผู้หญิงชื่อกัลยาอย่างไร

            ตอนเห็นพยุหะแวบแรก ประคำข้อมือส่งกระไอร้อนออกมาให้สัมผัส นิมิตเงาพญาครุฑทาทาบร่างชายผู้มาใหม่ เกิดความเข้าใจทันทีว่านี่คือวินตกะครุฑผู้กลับชาติมาเกิด

            นั่นจึงเป็นเหตุให้เธอย่อมทำตามคำสั่งพี่ชาย เก็บจานชามออกจากห้องโดยไม่บ่นโยกโย้

            การพบกันครั้งแรกระหว่างนาค-ครุฑผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมมีเรื่องราวมากมายสนทนา ยิ่งถ้าระลึกชาติได้แล้วทั้งคู่น่าจะพูดคุยวางแผนรับมือศัตรูผู้ซ่อนตัวอย่าง ‘เนวะ’ ด้วย

            ส่วนผู้หญิงชื่อกัลยา...สตรีระหว่างกลางครุฑ นาคในชาติก่อน ย่อมอยู่ไม่ไกลเช่นกัน

            ตั้งแต่ฟังเรื่องราวชวนพิสดารจากตาอ่ำ ทำให้รอยธารานึกทบทวนเทียบเคียงคนใกล้ตัวว่าใครเข้าข่ายบุคคลในอดีตกลับชาติมาเกิดบ้าง

            มัชฌิมา-กัลยา ชื่อนี้ถูกจับคู่ในใจ

            ความสามารถพิเศษเห็นนิมิตอนาคตของเธอ รวมถึงการที่ป้าพันเกลียวยอมออกจากวัดเพื่อมาอยู่ด้วยเป็นปี ๆ แสดงว่าผู้หญิงคนนี้มีสายใยผูกพัน เป็นอีกภาระหนึ่งซึ่งสตรีกลางคนต้องก้าวมารับผิดชอบดูแลตามที่เคยรับปากนาคครุฑเอาไว้
            
            เมื่อพยุหะปรากฏตัววันนี้ จิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายเริ่มประกอบเป็นรูปร่าง
            
            รอยธาราไม่จำเป็นต้องบอกหรือชี้ทางใด ๆ แก่เพื่อนสนิท เชื่อว่าพอบุคคลทั้งสามมาอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว ย่อมมีวิธีให้พวกเขารู้จักตัวตนในอดีตของกันและกันเองโดยบุคคลอื่นไม่จำเป็นต้องยื่นมือยุ่งเกี่ยว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            การถ่ายโฆษณาช่วงบ่ายดำเนินต่อ

            พยุหะนั่งดูการทำงานเงียบ ๆ ปฏิเสธการดูแลเป็นพิเศษจากทีมงาน ขอแค่ความเป็นส่วนตัวไม่ให้ใครรบกวนก็พอ

            รอยธารานั่งมองชายหนุ่มห่าง ๆ ดูไปนาน ๆ เริ่มคุ้นตาเหมือนเคยเห็นเค้าหน้าแบบนี้มาก่อน พอคิดไม่ออกก็สลัดความสงสัยไร้สาระออกไป ดูเพื่อนสนิทกับพี่ชายทำงานด้วยแววตากังวล

            ถึงจะบอกมัชฌิมาไม่ให้สนใจนิมิตอนาคต ตัวเธอกลับเป็นห่วงเสียเองเพราะมั่นใจคำพยากรณ์กันมาแต่ไหนแต่ไร หนำซ้ำการที่ชัยยะนาคา วินตกะครุฑ และกัลยาในชาติก่อนมาอยู่ในสถานที่เดียวกันเช่นนี้ ศัตรูร้ายย่อมไม่พลาดโอกาสจู่โจม

            ...ใครจะเป็นคนป่วยบนรถเข็น และอาจต้องขึ้นเมรุตามภาพนิมิตมัชฌิมา...

            พรึบ...ไฟดับ

            รอยธาราลุกพรวด คิดไม่ถึงความคาดหมายหล่อนแม่นยำรวดเร็วขนาดนี้

            ทีมงานร้องโหวกเหวก เอะอะโวยวาย ตะโกนถามกันว่าเกิดปัญหาใด...ยังไม่ทันตรวจสอบหาสาเหตุ ไฟก็สว่างกลับมาดังเดิม

            หลายคนถอนใจโล่งอก ยังไม่ทันถึงชั่ววินาทีก็เกิดเหตุแทรกซ้อนตามมา

            กรี๊ดดด...สาวช่างแต่งหน้าที่คอยดูแลซับเครื่องสำอางต่างส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น กระโดดโหยงอย่างตกใจ

            บนพื้นดารดาษด้วยคราบงูน้อยใหญ่ เกลื่อนกระจายทั่ว ราวกับเมื่อครู่มีกองทัพงูพร้อมใจมาลอกคราบทิ้งไว้

            ทีมงาน นักแสดงประกอบกระโดดหนีแตกตื่นกระเจิดกระเจิง หวาดกลัวเจ้าของคราบที่น่าจะอยู่บริเวณใกล้เคียงแห่ออกมา

            ความวุ่นวายเกิดชั่วเวลาสั้น ๆ

            “มีเรื่องอะไรกัน” เสียงไม่ดังไม่เบาแทรกขึ้นกลางเสียงเอะอะโวยวาย

            บรรพต เจ้าของ บี.บี. พรอม. ก้าวเข้ามาในสตูดิโอพร้อมด้วยผู้บริหาร บอดี้การ์ด

            ทุกคนหยุดชะงักราวต้องมนตร์ มองผู้บริหารระดับสูงด้วยแววตาตื่นกลัว

            “งูครับ...คราบงูเต็มไปหมดเลย” หนึ่งในทีมงานละล่ำละลักบอก

            “อยู่ไหน ไม่เห็นมีเลย” บรรพตบอกพร้อมกวาดตาทั่วพื้น

            คราวนี้ทุกคนได้สติ มองตามสายตาผู้บริหารแล้วอ้าปากค้างงุนงง ไม่รู้จะพูดอย่างไร

            พื้นที่เคยเต็มไปด้วยคราบอสรพิษกลับว่างเปล่า ราวกับเมื่อครู่ทุกคนล้วนตาฝาดเห็นภาพหลอนเหมือนกันหมด

            “ขอโทษครับ” ผู้กำกับโฆษณาเข้ามาขออภัยบรรพตแทนทีมงานทุกคน

            รอยเธียร มัชฌิมายกมือไหว้แสดงความเคารพผู้บริหาร มีการทักทายพูดคุยถามไถ่ถึงเรื่องการทำงานทั่ว ๆ ไป บรรยากาศกลับสู่ความปกติรวดเร็ว

            บรรพตแอบมาเยี่ยมชมการถ่ายทำโฆษณาสินค้าตนเองโดยไม่บอกล่วงหน้า ไม่มีเจตนาจับผิดใด ๆ ไม่ต้องการให้ทีมงานเกรงใจต้องเตรียมตัวต้อนรับจนเกร็ง

            ระหว่างผู้บริหารระดับสูงพูดคุยให้กำลังใจทีมงาน มีกาแฟเย็น นมเย็นขนมของฝากมาแจกอย่างทั่วถึง รอยธาราจ้องมองชายกลางคนที่โดดเด่นกว่าใครด้วยสายตาแปลกประหลาด

            ตอนรอยเธียรรับงาน บี.บี. พรอม. คนเป็นน้องสาวไม่เคยใส่ใจ ต่อให้ได้ยินชื่อ ‘บรรพต’ เจ้าของบริษัทก็ไม่นึกสะดุดใจอย่างไร จนกระทั่งพบตัวจริงในระยะไม่ไกลครั้งแรกแบบนี้

            “คิดว่าใคร...นายบรรพต บัณฑูรย์นี่เอง” ชื่อนามสกุลหลุดจากปากหญิงสาว ดวงตาฉายแววรำลึกจดจำได้แม่น

            “ไม่เจอกันซะนานเลยนะ”

            รอยธาราพึมพำก่อนเป่าลมจากปากดังฟู่เพื่อสลัดความฟุ้งซ่าน ความทรงจำที่ไม่จำเป็นออกไป ถึงอย่างนั้นก็อดมองตามผู้บริหารระดับสูงคนนี้ทุกฝีก้าวไม่ได้

            บรรพตทักทายทีมงานทั่วถึงทุกคน พอมาพบพยุหะก็เปิดรอยยิ้มกว้างพูดคุยสนิทสนม

            “พายุ...ดีใจจริง ๆ ที่เจอกันอีก มาดูเขาถ่ายโฆษณาเหมือนกันหรือ”

            “ครับ”

            “แหม...คราวก่อนตอนมาประชุมไม่ได้คุยกันส่วนตัวเลย...พี่อรกับคุณชัยกาลสบายดีมั้ย”

            “คุณตาคุณยายแข็งแรง สบายดีครับ ท่านทั้งสองยังระลึกถึงและขอบคุณในน้ำใจที่คุณ...คอยให้ทุนสนับสนุนโรงพยาบาลเราตลอดมา”

            พยุหะไม่อยากบอกว่า นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่เขารับงานแต่งเพลงโฆษณาให้ บี.บี. พรอม. ง่ายดาย

            “ไม่เป็นไร โรงพยาบาลนั่น...คุณนายพิกุลก่อสร้างมากับมือ เราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ช่วยอะไรได้ก็ช่วยกันไป”

            ทั้งสองสนทนาถึงตอนนี้ คนที่คอยเงี่ยหูฟังอย่างสนใจเกิดอาการนิ่งงัน คาดไม่ถึง เข้าใจความสัมพันธ์ สถานภาพสองชายต่างวัยทันที

            บรรพต บัณฑูรย์เป็นน้องชายต่างมารดาของคุณหญิงเรือนอรที่มีอายุห่างกันมากพอสมควร

            เรือนอร กับชัยกาลมีบุตรธิดาสามคน พงศกร พรนภา และพราวพิรุณ ครอบครัวนี้สนิทสนมกับตระกูลนาคพิทักษ์มานานแล้ว

            เธียร นาคพิทักษ์เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับพงศกร เคยถูกจับคู่กลาย ๆ กับพรนภา แต่แคล้วคลาดเพราะต่างคนมีคนรักและแต่งงานสร้างครอบครัวตนเอง

            พราวพิรุณเป็นคนรักของราเมศว์ หรือ ‘หลวงน้า’ ของสองพี่น้อง เธอเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มาก เป็นสาเหตุหนึ่งให้ราเมศว์มองเห็นความน่ากลัวของวัฏสงสารขอออกบวชจนถึงทุกวันนี้

            การที่พยุหะเรียกชัยกาล กับคุณหญิงเรือนอรว่า ‘คุณตาคุณยาย’ แสดงว่าเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของพรนภา บุตรสาวที่แต่งงานสร้างครอบครัวออกไป

            รอยธารานึกทบทวนประวัติครอบครัวพรนภาที่ตนเคยค้นหาเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่าบุตรสาวของชัยกาล-เรือนอรเสียชีวิตเมื่อหลายปีที่แล้ว สามีแต่งงานใหม่ ส่วนลูกชายคนเดียวได้รับอุปการะดูแลโดยคุณตาคุณยาย

            หญิงสาวไล่เลียงลำดับญาติ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ แล้วต้องถอนใจเฮือกใหญ่

            วินตกะครุฑมาเกิดไม่ไกลจากชัยยะนาคา และกัลยาเลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พักเบรกช่วงเย็น

            มัชฌิมาหน้าซีดเดินมาพักด้วยแววตากังวล รอยธาราพาไปนั่งพักหยิบน้ำเย็น ๆ ให้ดื่ม

            “เป็นยังไงบ้างดีขึ้นมั้ย” ถามอย่างเป็นห่วง

            “ไม่” มัชฌิมาตอบตรงไปตรงมา “ใจมันสั่นเหมือนเหตุร้ายในนิมิตกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว”

            รอยธารารีบกวาดตามองรอบสตูดิโอ พยายามหาว่ามีจุดใดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายได้บ้าง

            ตั้งแต่ไฟดับ ทุกคนตาฝาดเห็นคราบงู ผู้บริหารมาเยี่ยมจนกลับไป ทีมงานทุกคนเกิดอาการระแวดระวังตัวโดยอัตโนมัติจึงยากจะเกิดเหตุร้าย ตอนนี้ดูจนทั่วไม่เห็นจุดใดผิดปกติ

            “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” พยุหะสังเกตเห็นจึงเดินมาถาม

            “ค่ะ...คุณพายุ” มัชฌิมาไม่ปิดบัง

            รอยธารามองสองหนุ่มสาวแล้วขมวดคิ้วสงสัย หากคนทั่วไปถามเช่นนี้ เพื่อนเธอมักตอบ

            ไม่มีอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ

            การตอบแบบไม่อ้อมค้อมแสดงว่าสนิทสนมคุ้นเคยเกินกว่าคนรู้จักทั่วไป

            “เล่าให้ฟังหน่อยสิ” พยุหะนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ โดยไม่สนใจน้องสาวรอยเธียร

            “มาเห็นนิมิตร้าย” พูดแล้วถอนใจ “แต่ไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นยังไง ไม่รู้ว่าจะเกิดกับใคร”

            พยุหะไม่เซ้าซี้ซักถามต่อ เข้าใจว่าหญิงสาวบอกเนื้อความสำคัญหมดแล้ว เขาใช้สัมผัสรู้อันแหลมคมเข้มข้นกว่าเดิมเข้าไปแตะความทรงจำหญิงสาว มองเห็นภาพโรงพยาบาล เตียงเข็น เมรุ และดวงตาดุทรงอำนาจ

            คำตอบเกิดในใจสองเรื่อง...โรงพยาบาลในนิมิตเป็นโรงพยาบาลคุณตาคุณยายเขาเอง และดวงตาทรงพลังคู่นั้นคือดวงตาเนวะ...ศัตรูร้าย

            ก่อนทบทวนภาพนิมิตซ้ำเพื่อใช้พลังพิเศษแปลความหมาย โทรศัพท์มือถือส่วนตัวก็ดังขึ้น

            “สวัสดีครับ” เบอร์โทรมาไม่ได้บันทึกชื่อไว้

            “คุณพยุหะใช่มั้ยครับ”

            “ครับ”

            “ผมมีข่าวจะแจ้งให้ทราบ”

            พยุหะถือโทรศัพท์ฟังข่าวด้วยอาการนิ่งงัน นัยน์ตาเบิกกว้างตกใจก่อนสลดเศร้าคล้ายต้นไม้โดนน้ำร้อนราด ความเจ็บปวดสูญเสียฉายออกทางแววตา

            อาการเช่นนี้สองสาวที่อยู่ใกล้สังเกตเห็น รับรู้ความเศร้าหมองที่แผ่ออกมาจากใจชายหนุ่ม

            “เกิดอะไรขึ้นคะ” มัชฌิมาถามทันทีที่เขาวางสาย

            ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ๆ ตั้งสติก่อนตอบ

            “นิมิตเธอแม่นยำเหมือนเคย” วาจาแรกฟังประชดประชัน “เสียดาย...บอกฉันช้าไปหน่อย”

            “เกิดอะไรขึ้นคะ เรื่องมันร้ายแรงขนาดไหน” หญิงสาวข่มกลั้นความตื่นกลัวเอ่ยปากถามอีกครั้ง

            “คุณตาคุณยายฉัน...เสียชีวิตพร้อมกัน...ที่โรงพยาบาล” น้ำเสียงชะงักชั่วขณะ “นิมิตเตียงเข็นสองเตียงที่เธอเห็น...เป็นของท่านทั้งสอง!”

            ข่าวนี้ไม่เพียงทำให้มัชฌิมาตกใจคาดไม่ถึง คนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงไม่แพ้พยุหะคือรอยธารา

            ต่อให้รู้...เข้าใจว่าชาติก่อนผ่านไปแล้ว ความทรงจำยังหลอกให้ใจหลงเชื่อ ยึดติดความเป็นเรา...ของเราอย่างไม่ยอมเสื่อมคลาย

            ลูกชาย ลูกสะใภ้คุณนายพิกุลเสียชีวิตกะทันหันพร้อมกันแบบนี้...จะไม่ให้เธอใจหาย เสียใจได้อย่างไร




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เลิกกองถ่ายโฆษณาวันแรกค่อนข้างดึกกว่าเวลาที่วางไว้

            รอยเธียรเข้าห้องน้ำล้างหน้าตา เปลี่ยนเสื้อผ้าคืนให้ทีมงานแล้วตั้งใจออกไปรับสองสาวกลับบ้านพร้อมกัน

            พอออกจากห้องน้ำ เห็นเงาตะคุ่มยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านนอก จึงส่งเสียงเรียกอย่างขำขัน

            “เดี๋ยวนี้สตอล์กเกอร์หญิงเขาตามดาราถึงหน้าห้องน้ำชายกันแล้วเหรอ” เขาหยอกอารมณ์ดี

            “พาเค้ากับมาไปโรงพยาบาลตอนนี้เลยได้มั้ย” น้ำเสียงรอยธาราไม่มีแววล้อเล่นอย่างเคย

            “มีเรื่องอะไร” รอยเธียรสงสัย

            เขาสังเกตความผิดปกติของมัชฌิมาตั้งแต่หลังเบรกตอนเย็นแล้ว ท่าทางเธอไม่ค่อยมีสมาธิทำงาน การถ่ายทำจึงล่าช้าจนดึกเช่นนี้ ส่วนพยุหะหายตัวไปเฉย ๆ ไม่บอกกล่าวใคร

            ถึงเห็นความผิดปกติอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ตัดสิ่งรบกวนต่าง ๆ มีสมาธิอยู่กับงานแบบมืออาชีพ

            “ชัยกาลกับเรือนอร...เอ๊ย...” พอเกิดอาการร้อนรน ความทรงจำเก่าทำให้เผลอคิดว่าทั้งสองยังเป็นลูกชายลูกสะใภ้ตนอยู่

            “ปู่ชัยกาลกับย่าเรือนอรเสียชีวิตแล้ว ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”

            เธียรกับรอยจันทร์เคารพนับถือทั้งสองเหมือนญาติผู้ใหญ่ แม้ไม่ได้ไปมาหาสู่กันประจำ แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสพบเจอก็จะแนะนำลูกทั้งสองให้รู้จักและแสดงความเคารพในฐานะคุณปู่คุณย่าเสมอ

            “เช็คดูดีแล้วเหรอ ตอนนี้ศพยังอยู่โรงพยาบาลหรือเขาเอาไปที่วัดแล้ว” ชายหนุ่มเตือนน้องสาว

            “มาถามคุณพายุตั้งแต่เย็นแล้ว...เขาบอกว่าศพยังอยู่ที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้ถึงจะพาไปตั้งที่วัด”

            “พายุ...พยุหะเกี่ยวอะไรด้วย”

            ตลอดเวลาสนทนากัน รอยเธียรไม่เอ่ยปากถามพยุหะเลยว่า ปัจจุบันเป็นใคร อยู่ที่ไหน ครอบครัวเป็นอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง

            “เขาเป็นลูกชายคนเดียวของป้าพรนภา...หลานตาหลานยายของ...เอ่อ...สองคนนั่น” รอยธาราพยายามตอบรวบรัดที่สุด

            “รู้ดีจังนะเรานี่” รอยเธียรอดแหย่น้องสาวไม่ได้ “รอพี่ที่รถได้เลย ไม่เกินห้านาทีจะตามไป”

            รอยธาราพยักหน้า สีหน้าไม่คลายความกังวล

            ชายหนุ่มมองตามหลังน้องสาว ถอนใจเบา ๆ ตลอดเวลาการถ่ายโฆษณาช่วงบ่ายจนถึงบัดนี้ เขารู้สึกว่าทั้งสตูดิโอโดนครอบงำด้วยอำนาจของเนวะ จนต้องคอยระวังตัวว่าจะเกิดเหตุร้ายพลิกผันเวลาใด

            คาดไม่ถึง ศัตรูร้ายจะใช้วิธีหลอกซ้ายจู่โจมขวา...ทำเหมือนจะเกิดเรื่องในสตูดิโอ กลับเล่นงานทางญาติพยุหะ ซึ่งน่าจะเป็นจุดอ่อนของเจ้าตัว

            คราวต่อไปเนวะจะเล่นงานใคร...ตัวเขาหรือมัชฌิมา




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            สภาพศพทั้งสองบนเตียงเหมือนคนแก่กำลังนอนหลับอย่างสงบ ใบหน้าซูบซีดได้รับการแต่งแต้มจนมีสีสัน เส้นผมหงอกขาวถูกหวีเรียบจัดทรงสวยงาม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดโปรดเข้าคู่ลงตัว

            พยุหะยืนมองด้วยใจเศร้าหดหู่ ต่อให้สองตายายได้รับการปฏิบัติดูแลดีอย่างไร ก็ไม่อาจปิดบังความจริงได้ว่า...ท่านทั้งสองไม่อยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว

            ...เหมือนกับแม่...ที่จากเขาไปตั้งแต่อายุ ๘-๙ ปี

            หลังแม่เสียชีวิต พ่อพาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้านพร้อมกับ ‘น้อง’ ที่เขาเพิ่งรู้ว่ามีตัวตนอยู่ในโลก

            สองแม่ลูกนั้นดีใจราวกับรอ ‘เสียบ’ มานาน

            ชีวิตช่วงนั้นเหมือนตกนรก จากเด็กชายร่าเริงแจ่มใสชอบเล่นดนตรีกลายเป็นหมาหัวเน่าไม่มีใครต้องการ ถูกเบียดเบียนลิดรอนสิทธิ สมบัติส่วนตัวทุกอย่าง เหลือเพียงโลกแห่งดนตรี เสียงเพลง บันไดโน้ตสูง ๆ ต่ำ ๆ จังหวะที่พาให้หัวใจโลดแล่นหลุดจากบ้านอันเหน็บหนาว ล่องลอยไปกับบทเพลง จินตนาการไร้ขอบเขต

            ความสุขอันน้อยนิดยังถูกพราก เมื่อเมียใหม่พ่อนึกขัดหูขัดตา ไม่ชอบแกรนด์เปียโนที่ตั้งกลางห้องรับแขก เปียโนที่แม่เคยสอนเขาเล่นตั้งแต่เล็ก เปียโนที่สามคนพ่อแม่ลูกเคยร่วมบรรเลงร้องเพลงด้วยกัน

            ความทรงจำอบอุ่นงดงามกำลังถูกพรากจากไป

            เด็กชายไม่เข้าใจ เมียใหม่พ่อได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ทำไมถึงยังอยากผลักไส ขับไล่ของรักของแม่ ตัวแทนความทรงจำอันสวยงามของเขาไปอีก

            พยุหะต่อต้าน ร้องโวยวายสุดฤทธิ์ ต่อสู้เพื่อรักษาเปียโนแม่เอาไว้ ขนาดยอมกอดขาเปียโนแน่นไม่ปล่อย ก็ยังถูกผู้ใหญ่ใจร้ายพรากมันออกไป

            เมื่อความทรงจำสวยงามสุดท้ายถูกพรากต่อหน้าเช่นนั้น เด็กชายไม่รู้สึกว่าผู้ชายที่ยอมตามใจเมียใหม่ทุกเรื่องเป็นพ่อคนเดิมอีกต่อไป

            เขาอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้ ที่นี่ไม่ใช่บ้านอันอบอุ่น อบอวลด้วยเสียงเพลงแห่งความรัก ความผูกพันอีกต่อไป

            พยุหะจำได้ว่าแม่เคยพาไปหาคุณตาคุณยายบ่อย ๆ งานศพแม่ พวกท่านก็เข้ามาแสดงความรัก เมตตาหลานชายตัวน้อย เคยบอกว่าให้ไปหาท่านบ้าง

            เด็กชายอายุเพียง ๙ ปี ไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ตายาย มีแค่ชื่อนามสกุล ที่อยู่พวกท่านทิ้งไว้ให้ จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านโดยไม่บอกใคร

            พยุหะขึ้นแท็กซี่โดยยื่นชื่อที่อยู่ตายายให้ มีเงินติดตัวในกระเป๋าไม่กี่บาท สุดท้ายโดนแท็กซี่หลอกพาไปทิ้งที่ไหนไม่รู้ แถมยังเอาเงินไปจนหมด

            ฝนตกหนัก เด็กชายนั่งตัวสั่นงันงกที่ป้ายรถเมล์ตลอดคืน ทั้งหนาว กลัว หวาดระแวงผู้คนไปหมด ถึงอย่างนั้นก็พยายามสะกดกลั้นไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอออกมา

            รุ่งเช้าพยุหะเป็นไข้หนาวสั่น ยังพอมีสติกัดฟันเดินโผเผไปสถานีตำรวจ หวังเป็นที่พึ่งสุดท้าย

            อาจเป็นความโชคดี หรือไม่ก็ตายายเป็นคนใหญ่โตมีชื่อเสียง นายตำรวจระดับสูงสถานีนั้นรู้จัก พยายามติดต่อให้จนพวกท่านทราบและรีบมารับหลานชายทันที

            พอเห็นสภาพเด็กชายขะมุกขะมอม เสื้อกางเกงเปียกชื้นตัวสั่น หน้าเผือด ปากซีดด้วยพิษไข้ คุณยายก็โผเข้ามากอดด้วยความเมตตาสงสาร

            “พายุ ใครทำกับหลานยายแบบนี้”

            อ้อมกอดอันอบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก ทำให้กำแพงความอดทนข่มกลั้นทั้งมวลพังทลายลง

            เด็กชายพยุหะร้องไห้เสียงดัง สะอึกสะอื้นตัวโยน น้ำตาไหลพรากแทบหมดตัว ความหวาดกลัว เจ็บปวด เงียบเหงาอ้างว้างล้วนถูกระบายออกมาจนหมดสิ้น

            ...นั่นเป็นครั้งเดียวตั้งแต่จำความได้ที่พยุหะร้องไห้มากมายขนาดนั้น...

            หลังจากนั้นสองตายายก็กางปีกเข้าโอบอุ้ม อุปการะหลานชายเต็มตัว

            แรก ๆ พ่อเขาไม่ยินยอม กลัวเสื่อมเสียหน้าตา เป็นที่ครหา แต่โดนคำพูดคุณตาเข้าจนทำอะไรไม่ถูก

            “ถ้าแกจะฟ้องร้องแย่งหลานชายกับฉัน คงหนักหน่อยนะ...ฉันมีทีมทนายความมือหนึ่งที่ถนัดว่าความพวกนี้...ถึงฉันจะไม่ได้ดูแลกิจการบริษัทแล้ว แต่มีเพื่อนฝูงในวงการอีกมากที่ทรงอิทธิพลสามารถเหยียบธุรกิจแกจมดินง่าย ๆ หรือไม่แค่ล็อบบี้ กีดกัน ตัดคอนเนกชั่นทั้งหมดที่แกเคยมี...ดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

            เมื่อท่านชัยกาลประกาศเช่นนั้น อดีตลูกเขยจึงไม่กล้าเสี่ยง รู้ว่าผู้เฒ่ามีอิทธิพลในวงการธุรกิจขนาดไหน แผ่พระคุณผู้คนมากมายเพียงไร

            แค่คำ ‘ขอร้อง’ เบา ๆ ก็ทำให้ผู้ทรงอิทธิพลขณะนั้นกระทืบเขาแบนติดดินได้แล้ว

            พยุหะไปอยู่กับตายาย โดยมีคำขอเพียงเรื่องเดียว

            “คุณตาคุณยาย...ช่วยเอาเปียโนของแม่คืนมาได้มั้ยครับ”

            ไม่นานเปียโนหลังนั้นมาอยู่คฤหาสน์สองตายาย และในคอนโดเขาปัจจุบัน



            วันนี้ไม่มีคุณตาคุณยายอีกแล้ว

            พยุหะอาจทำใจยอมรับการสูญเสียครั้งนี้ไม่ยากนัก หากเชื่อในคำวินิจฉัยแพทย์ที่ตรวจรักษา

            “ท่านทั้งสองเกิดอาการหัวใจล้มเหลวในเวลาไล่เลี่ยกัน น่าจะเพราะอายุมากแล้วครับ”

            ทว่า...เมื่อเห็นดวงตาดุ ทรงอำนาจจากนิมิตมัชฌิมา ใช้ปลายนิ้วสัมผัสข้อมือซูบผอมทั้งคู่ สัมผัสได้ถึงกระแสพลังมืดค้างคาภายใน บอกให้ทราบว่าพวกท่านไม่ได้เสียชีวิตตามธรรมชาติ

            วัยชราขนาดนี้ไม่ต่างจากเปลวเทียนหรี่แสง เพียงแค่โบกมือผ่านก็อาจดับง่ายดาย จำเป็นด้วยหรือต้อง ‘เร่ง’ เวลาตายขนาดนี้

            จิตใจพยุหะเต็มไปด้วยความโกรธเคือง คั่งแค้น ดวงตาวาวโรจน์เปล่งประกายโทสะเต็มที่

            ภายในห้องเก็บศพโรงพยาบาลเงียบ วังเวงเย็นยะเยือก เปิดไฟริบหรี่ดวงเดียว ทั้งห้องมีเพียงชายหนุ่มยืนโดดเดี่ยวเบื้องหน้าศพผู้มีพระคุณทั้งสอง

            หลังมารดาเสียชีวิต พยุหะมีแค่ตายายเป็นคนสำคัญ สายใยผูกพันเส้นเดียวในความเป็นครอบครัว

            ผู้ตัดสายใยเส้นนี้ มันต้องชดใช้!

            “เนวะ” ชายหนุ่มเอ่ยนามด้วยเสียงลอดไรฟัน “ลูกผู้ชายจริง ไม่ลอบกัดลับหลังหรอก ถ้าจะราวีกันก็กล้าเผชิญหน้าตรง ๆ สิ”

            “อย่างนั้นรึ” เงามืดมุมห้องปรากฏร่างดำๆ ซ่อนตัวอยู่

            “เล่นงานคนแก่แบบนี้ มันหน้าตัวเมีย!” เขากัดฟันส่งเสียงไม่ต่างจากขู่คำราม

            “ใครว่าเราเล่นงาน ทำร้ายคนแก่” เงาดำไม่ขยับเขยื้อน เสียงก้องกังวานทั่วห้อง “ร่างกายเหี่ยวเฉาเสื่อมโทรมขนาดนี้ จะอยู่ได้นานแค่ไหน...มีชีวิตอยู่หนึ่งวันก็ทุกข์ทรมานหนึ่งวัน...เราแค่ช่วยให้พวกเขาพ้นความทุกข์ความทรมานเร็วขึ้นเท่านั้น”

            พยุหะพุ่งไปมุมห้องด้วยโทสะ เงาดำหายวับแล้วไปปรากฏอยู่เบื้องหลัง ขยายร่างใหญ่โตเต็มห้อง แสงไฟริบหรี่กะพริบวับวาบ ความมืดของมันกำลังกลืนกินแสงสว่างน้อยนิดให้ดับสูญลง

            ชายหนุ่มหันกลับ ปักเท้ามั่น สัมผัสกระแสพลังงานวิ่งพล่านทั่วร่าง อำนาจแห่งครุฑาไหลเวียนอยู่ในสายเลือด กล้ามเนื้อ มันพร้อมจะโลดแล่น โจนทะยานออกมาจู่โจมศัตรูร้ายเบื้องหน้าแล้ว

            ...วับ...

            ไฟดับสนิท เหมือนภาพถูกตัดกะทันหัน บรรยากาศห้องเก็บศพเปลี่ยนไป กลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP