วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๑๒



cover Amarit


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            การเดินทางระหว่างนาค-ครุฑแปลงกับหญิงสาวชาวเมืองประหลาดเป็นไปอย่างราบรื่น ตลอดเส้นทางมีการเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล แม้สองบุรุษจะขีดเส้นแบ่งระหว่างกันชัดเจน ไม่ยอมก้าวล่วงเข้าใกล้ ไม่แสดงท่าทีเป็นอริศัตรูอย่างใด หนำซ้ำยังแสดงความเมตตา เอ็นดูสตรีเพียงผู้เดียวในคณะด้วยใจจริง

            ป่าเขาวงกต อาณาเขตดูแลของหัสยักษ์

            หากผู้ใดหลงเดินทางเข้ามาโดยมิรู้ความ จักหลงวนเวียนอย่างน้อยสามวันห้าวัน เมื่อจัดตั้งกองดินบูชา กล่าวขอขมาลาโทษ หัสยักษ์ย่อมเปิดทางปล่อยให้ไปโดยสะดวก

            หากผู้ใดอวดดี ท้าทาย ผ่านเข้ามาหวังลองดีไม่มีความเคารพเกรงใจ จักเดินวนเวียนหลงทางในป่าวงกตนานนับเดือน จนกว่าความดื้อด้านอวดดีจะได้รับการกำราบ ยอมลดทิฐิถือดีตั้งกองดินกล่าวขอขมาลาโทษทั้งสี่ทิศสี่ทาง หัสยักษ์เห็นว่าความผยองอวดดีในใจพวกมันถูกสยบแท้จริงแล้ว จึงปล่อยไปในที่สุด

            ชัยยะ วินตกะ กัลยาหยุดยืนหน้าชายป่าเขาวงกต มองจากภายนอกแลเห็นเป็นป่าโปร่งเดินทางสะดวกดาย อีกทั้งยังมีเส้นทางเก่าของนายพรานเคยเข้าไปล่าสัตว์ ทิ้งไว้เป็นรอยให้เดินตาม

            “รออยู่ที่นี่ก่อน” วินตกะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

            ชัยยะไม่ขัด กัลยารับรู้ถึงความตึงเครียดจากผู้พูด จึงพยักหน้ารับทราบแสดงความเข้าใจ

            ครุฑแปลงก้าวล่วงเข้าไปในป่าเพียงผู้เดียว ใช้เวลาไม่นานนักก็ออกมาด้วยสีหน้าปกติเรียบเฉย

            “เจ้าของสถานที่ยอมเปิดทางให้แล้ว ขอเพียงพวกเราผ่านทางด้วยอาการสำรวมแสดงความเคารพต่อเขา ก็จักไม่มีปัญหาใด เร่งฝีเท้าสักหน่อย ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งวันก็จะพ้นจากป่าเขาวงกตนี้”

            ผู้ฟังทั้งสองรับคำ ไม่มีผู้ใดอยากทำให้หัสยักษ์ไม่พอใจอยู่แล้ว

            เส้นทางข้างหน้าโล่งสะดวก ราวกับเจ้าของบ้านเปิดประตูต้อนรับ ไม่มีอุปสรรคปัญหาใด จนกระทั่งเดินมาครึ่งค่อนวัน บังเกิดเหตุพิสดารขึ้นมา

            ครืนนนน...ผืนดินสงบนิ่งกลับเกิดอาการไหวสะเทือนเลื่อนลั่นดังมีใครเขย่า หมู่สัตว์น้อยใหญ่แตกตื่น แมกไม้สั่นกราว ฝูงนกแตกรังบินกระเจิดกระเจิงไม่รู้ทิศทาง

            “เกิดเหตุอันใดเจ้าข้า” กัลยาถามผู้นำทางทั้งสองหลังเหตุนั้นสงบลง

            วินตกะเงยหน้ามองท้องฟ้า ใช้ญาณหยั่งรู้ตรวจสอบ ชัยยะก้มมองแผ่นดินสงบใจสำรวจสิ่งผิดปกติ

            ชั่วเวลาไม่นานนาคาหนุ่มและครุฑแปลงล้วนทราบสาเหตุ...คำตอบที่ได้นั้นพาลให้จิตใจหดหู่ ความเศร้าเกาะกินใจเกินระงับ หยาดน้ำตาแทบหยดรดพสุธา ต้องฝืนเงยหน้าด้วยนึกถึงภาระสำคัญ

            “เร่งเดินทางเถิด” วินตกะบอกแค่นั้นโดยไม่ยอมตอบคำถาม

            ชัยยะไม่ยอมพูดอะไรก้าวนำด้วยฝีเท้ารวดเร็วยิ่ง กัลยาเดินตามอย่างไม่เข้าใจ วินตกะปิดท้ายด้วยสีหน้าหดหู่

            ทั้งสามเดินทางด้วยอาการเงียบงัน ไม่มีใครยอมเปิดวาจา สตรีนางเดียวผู้เดินกลางอึดอัดในอก อยากรู้อยากถามถึงที่มาเหตุการณ์พิสดารเมื่อครู่

            นางทราบดี...การที่พสุธาเคลื่อนไหวรุนแรงเช่นนี้ย่อมเกิดเหตุไม่ปกติขึ้น และที่ทราบดียิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะเซ้าซี้ถามอย่างไรบุรุษผู้ร่วมทางทั้งสองไม่เปิดปากบอกเด็ดขาด

            การร่วมทางชั่วเวลาไม่นาน พอทำให้รู้จักนิสัยเนื้อใจพวกเขาไม่น้อย

            วินตกะกับชัยยะไม่ใช่สหายกัน ไม่ใช่อริศัตรู และยิ่งกว่านั้น...ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา

            พวกเขามีอำนาจพิเศษ ญาณหยั่งรู้ พลังลึกลับที่มองไม่เห็นสามารถสยบป่าเขาแสนอันตรายให้กลายเป็นสวนพฤกษชาติเดินเที่ยวได้

            ทั้งสองแสดงตัวชัดเจนว่าเป็นคนละฝ่าย คนละเผ่าพันธุ์ สิ่งเดียวทำให้สองเผ่าพันธุ์ร่วมทางโดยไม่ขัดแย้งกันได้คือ ‘ศรัทธา’

            บุรุษทั้งคู่มีศรัทธา เคารพต่อองค์พระสมณโคดมเสมอกัน

            ด้วยศรัทธานี้ พวกเขาจึงเอ็นดูเมตตาหญิงชาวบ้านเช่นเธอ นำทางไปเวสาลีโดยไม่จำเป็นต้องร้องขออ้อนวอน แต่แสดงความชัดเจนว่า เรื่องราวใดหากไม่ต้องการบอก จะปิดปากสนิท ต่อให้ไถ่ถามเพียงไรล้วนไม่มีประโยชน์

            ทั้งหมดออกจากป่าเขาวงกตในเวลาเย็น อาทิตย์ใกล้อัสดง

            “พักก่อนดีหรือไม่” กัลยาเอ่ยถาม เนื่องเพราะนางเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งฝีเท้าตามบุรุษทั้งสองแทบไม่ได้พักจนถึงเวลานี้

            ชัยยะมองอย่างเห็นใจ พยักหน้าให้นางนั่งพักตรงโขดหินใกล้ ๆ แล้วนำถุงหนังใส่น้ำดื่มไปให้แก้กระหาย

            วินตกะหรี่ตามองฟากฟ้าถูกระบายด้วยแสงอัสดง ครุ่นคิดบางประการแล้วถอนใจเบาอย่างตัดสินใจไม่ถูก

            ชัยยะเดินเฉียดใกล้ กระซิบแผ่วเบาพอได้ยินกันสองคน

            “นางเป็นมนุษย์ ควรไปเข้าเฝ้าอย่างมนุษย์ หากใช้ฤทธิ์แห่งท่านนำนางโบกบินไปเวสาลียามนี้ นับเป็นเรื่องไม่สมควร”

            นาคาแปลงรู้ใจอีกฝ่าย แผ่นดินไหวสะเทือนเมื่อกลางวันเป็นนิมิตบอกเหตุชวนให้ชาวพุทธสลดใจประการหนึ่ง วินตกะครุฑแทบอยากโบยบินไปเมืองเวสาลีเสียตั้งแต่เดี๋ยวนั้น แต่เพราะเกรงใจหัสยักษ์ ไม่ต้องการอวดฤทธิ์บินข้ามป่าเขาวงกต จึงรอกระทั่งพ้นเขตป่าในปกครองยักษาแล้วค่อยทะยานออกไป

            แต่แล้วระลึกขึ้นได้...ตนเป็นครุฑ บินไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าไม่นับว่าแปลกประหลาดใด หากพานางมนุษย์ไปด้วยนับว่าไม่สมควร แค่นำทางนางบุกป่าฝ่าเขาก็ถือว่า ‘ข้ามเส้น’ ระหว่างภพภูมิชาติพันธุ์พอแล้ว ขืนอุ้มนางบินลัดฟ้าสู่เวสาลีในพริบตานับว่าไม่เหมาะควรอย่างยิ่ง

            “ข้าจะทำสิ่งใด จำเป็นต้องฟังคำแนะนำจากเจ้าด้วยรึ” คำย้อนแผ่วเบาแฝงโทสะอารมณ์ขุ่นมัว

            “ขออภัย...ข้าพลั้งปากกล่าวมากความไปเอง...ครุฑผู้ทรงศักดิ์เช่นท่าน ย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดสมควรกระทำ...เรื่องใดไม่เหมาะที่จะก้าวก่าย”

            ชัยยะก้มศีรษะเชิงขออภัย ก่อนเลี่ยงไปนั่งพักโขดหินอีกก้อน

            วินตกะถอนใจเบา...คำตอบว่าควรไม่ควรประจักษ์แก่ใจอยู่แล้ว การระบายโทสะใส่นาคาแปลงผู้นั้น ด้วยความขัดใจที่อีกฝ่าย ‘รู้ใจ’ ตนมากเกินไป

            ครุฑแปลงสงบใจจนเป็นปกติ เห็นฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ สตรีผู้ร่วมทางคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย มีเรี่ยวแรงเดินทางต่อได้

            จันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลสกาว อาบป่าทั้งผืนให้สว่างกระจ่างตา

            “เร่งเดินทางเถิด พรุ่งนี้เช้าจะได้ไปถึงเวสาลี...อาจจะทัน” ท้ายประโยควินตกะแผ่วเบา ราวกับไม่ต้องการให้นางได้ยิน

            “ราตรีนี้...วันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนสาม” ชัยยะมองจันทราเอ่ยวาจาชวนหดหู่

            ดวงตาวินตกะฉายรอยอาลัยเศร้าลึก พอเห็นกัลยามองมาอย่างสงสัยจึงเปลี่ยนแววตา เอ่ยวาจาหนักแน่นขึ้น

            “ฟ้าไร้เมฆา จันทราสว่างไสว พวกเราควรเร่งเดินทางเสียแต่บัดนี้ อย่าเสียเวลาเลย”

            กัลยาทราบชัด เหตุแผ่นดินไหวเมื่อกลางวันซ่อนนัยยะลึกซึ้ง ทำให้สองบุรุษหดหู่เศร้าใจจนถึงบัดนี้ นางไม่มีวาจาไถ่ถาม นอกจากไว้เนื้อเชื่อใจกระทำตามคำบอกกล่าวโดยไม่ขัดแย้ง

            การเดินทางบุกป่าข้ามคืนเช่นนี้สะดวกดายจนผิดวิสัย แสงจันทราส่องสว่างลอดใบไม้จนเห็นเส้นทางชัดเจนไม่พลัดหลง

            ปกติยามค่ำคืนกลางป่าย่อมมีสัตว์ร้าย ผีโขมด ภูตลี้ลับออกมาไล่ล่าหากินเต็มไปหมด ทว่าตลอดเส้นทางนี้กลับสงบราบเรียบ ไม่มีเสือ สิงห์สัตว์ร้ายใดย่างกรายมายังเส้นทางเดิน ผีโขมด ภูตร้ายน่ากลัวล้วนเงียบหาย เร้นกายไม่เห็นแม้เงา ราวกับว่ามันถูกกรุยทางด้วยพลังอำนาจเหนือกว่า จนไม่มีใครกล้ากรายใกล้

            ออกจากป่าตอนรุ่งสาง กว่าจะเข้าเมืองเวสาลี เดินทางไปถึงเวฬุวคาม ที่พำนักจำพรรษาของพระพุทธองค์ก็ล่วงเข้าเวลาสายแล้ว

            เมื่อบรรลุถึงจุดหมายแทบเข่าอ่อน ผิดหวังจนพูดอะไรไม่ออก

            “องค์ตถาคตเจ้าเสด็จพร้อมพระอานนท์และภิกษุรูปอื่น มุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินาราแล้ว”

            นี่เป็นคำบอกเล่าจากภิกษุชราผู้รั้งอยู่เวฬุวคาม

            “พระองค์เสด็จไปกุสินาราด้วยเหตุอันใดพระคุณเจ้า” กัลยาถามอย่างผิดหวังอ่อนล้า

            “เมื่อวานสีกาไม่ได้ยินเสียงแผ่นดินไหวเลื่อนลั่นหรอกหรือ...นั่นเป็นนิมิตหมายบอกว่า องค์พระตถาคตเจ้าได้ปลงอายุสังขารแล้ว”

            คำบอกนั้นดังสายฟ้าฟาดพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ เข้าใจทันทีว่าเหตุใดวานนี้บุรุษผู้ร่วมทางทั้งสองจึงมีกิริยาหดหู่เศร้าใจนัก เพราะเหตุใดวินตกะจึงเร่งเดินทางตลอดคืนเพื่อจะมาถึงเวสาลีโดยไว

            “พระองค์...ปลงอายุสังขารที่ไหน...เมื่อใด...แล้วเหตุใดไม่มีผู้ทัดทาน” ถามโดยหวังว่ามันจะเป็นสายใยสุดท้ายเหนี่ยวรั้งความหวังตนไว้

            “องค์ตถาคตเจ้าทรงปลงอายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์ พระอานนท์อาราธนาไม่ทัน...พระองค์ทรงตรัสแล้วว่าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในอีกสามเดือนข้างหน้า ที่กรุงกุสินารา”

            “อย่างนี้นี่เอง...” กัลยาพึมพำแล้วกล่าวตัดพ้อชะตากรรมตน “ข้าน้อยคงไม่มีโอกาสฟังธรรมจากพระองค์อีกแล้ว”

            “เจ้าถามพระภิกษุรูปนี้ก็ได้...ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนอะไร”

            วินตกะเห็นว่าภิกษุชราผู้นี้ดูผ่องใส จิตใจสว่างไสวน่าจะเรียนธรรมกับองค์ตถาคตมานาน

            เมื่อได้ยินเช่นนี้กัลยาค่อยได้สติ เอ่ยถามอย่างมีความหวัง

            “ขอพระคุณเจ้าบอกข้าน้อยด้วยเถิด ว่าพระพุทธองค์ได้สอนท่านอย่างไรบ้าง”

            ภิกษุชราทอดมองสตรีชาวบ้านด้วยแววปรานี จิตสัมผัสรู้ขึ้นมาทันทีว่าควรยกธรรมอันใดมาบอกต่อนาง

            “พระพุทธองค์ทรงสอนว่า...ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้เป็นทุกข์ และสุดท้ายความตายเป็นทุกข์”

            กัลยาฟังแล้วเอ่ยถามทันที

            “เช่นนั้นพระองค์บอกหรือไม่...ทำเช่นไรจึงจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย”

            “บอก”

            “ท่านบอกเช่นไรเจ้าข้า” กัลยากระหายอยากรู้

            “ท่านบอกว่า...ถ้าพ้นเสียจาก ‘ความเกิด’ ได้...ก็จะไม่มีความแก่ ความเจ็บ และความตาย!”

            เหมือนคนถูกเขย่าปลุกจากนิทรา คล้ายแสงสว่างลำใหม่ชำแรกหมอกมัวม่านมืดปกคลุมมาแสนนาน กัลยาสะดุ้งเฮือกด้วยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำสอนเช่นนี้

            ตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ ‘เนวะ’ ท่านอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาเฝ้าเพียรสอน ตอกย้ำ...ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ชาวเมืองอมฤตทุกคนจึงยึดมั่น ถือเป็นแนวปฏิบัติ พากเพียรเพื่อให้ถึงความไม่แก่ไม่ตายนั้น

            พอได้ยินพระพุทธเจ้าสอนด้วยวาจาง่ายดาย ตรงไปตรงมาว่า...หากจะพ้นความแก่ เจ็บ ตายเสียได้ ก็คือ...ไม่ต้องมาเกิดอีก!

            กัลยาจึงสะดุ้งตื่นจากความเห็นผิดอันยาวนาน มองเห็นเส้นทางเกษมอันแท้จริงที่ชาวเมืองอมฤตใฝ่หา

            ยามนี้เป็นโอกาสดียิ่ง นางจึงไม่รอช้าที่จะไถ่ถามขอความรู้เพิ่มเติม

            “แล้ว...พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนต่อหรือไม่...ว่าควรปฏิบัติตนเช่นไร จึงจะไม่ต้องมาเกิดอีก”

            นี่คือคำถามสำคัญที่สุดในชีวิต

            ภิกษุชรายกมือประณมไปทิศทางที่องค์ตถาคตทรงอยู่ กล่าวด้วยวาจาเคารพในธรรม

            “พระองค์ทรงสอนเรื่อง ‘มรรคแปด’ หนทางที่ควรบำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้นไว้แล้ว”

            ก่อนจะอธิบายความต่อ สายตามองเห็นหญิงสาวจ้องมองอย่างกระตือรือร้น รอฟังด้วยใจใคร่รู้...ทว่าเมื่อเล็งเข้าไปยังจิตของนาง เห็นว่าลำพังความสามารถตนคงยากอธิบาย ชี้แจงธรรมให้เข้าใจกระจ่างแจ่มแจ้งได้

            “แต่...อาตมาเป็นเพียงสาวกปลายแถว ไม่มีความสามารถในการแถลงองค์มรรคทั้งแปดให้สีกาฟังอย่างกระจ่างแจ้งได้...เอาอย่างนี้เถิด องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังดำรงขันธ์อีกสามเดือน เส้นทางที่จะไปกุสินารานั้นต้องแวะผ่านภัณฑุคาม โภคนคร และปาวา เชื่อว่าถ้าเร่งติดตามทั้งวันทั้งคืนน่าจะทัน...โอกาสเช่นนี้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว”



            หลังจากได้รับคำแนะนำอันประเสริฐจากภิกษุชรา ณ เวฬุวคาม กัลยา วินตกะ ชัยยะทั้งสามก็เร่งออกจากเมืองเวสาลีทันที

            ...ถึงเวลาต้องแยกย้ายกันแล้ว...

            “เจ้าจะตามพุทธองค์ไปยังกุสินาราหรือไม่” ชัยยะเอ่ยถาม หมดหน้าที่พามาส่งแล้ว ต้องรีบกลับไปรายงานกุมภนาคราชผู้เป็นนาย

            “ข้าน้อยย่อมติดตามไปแน่นอน แต่ก่อนไปต้องรีบกลับบ้านเมืองเสียก่อน เพื่อไม่ให้ท่านอาจารย์เนวะ และพ่อแม่เป็นห่วง จากนั้นข้าคิดจะชักชวนพวกท่าน ผู้คนในเมืองออกติดตามพระพุทธองค์ไปยังกุสินารา เวลาสามเดือนน่าจะทัน...อย่างช้าสุดน่าจะติดตามพระองค์ทันที่เมืองปาวาก็ได้”

            กัลยาศึกษา สอบถามเส้นทางจากภิกษุชราอย่างละเอียด มั่นใจว่าไม่หลงทางแน่นอน

            “เวลากระชั้นเหลือน้อยเพียงนี้ ทำไมเจ้าไม่เร่งทำประโยชน์ตนให้สำเร็จก่อน มัวไปชักชวนผู้อื่นให้เสียเวลาไปไย” วินตกะขัดใจ

            “ก็เพราะเวลาเหลือน้อยเพียงสามเดือนอย่างไรเจ้าข้า ถึงต้องชักชวนท่านอาจารย์เนวะ พ่อแม่และชาวเมืองให้ออกมาฟังธรรมอันเกษมร่วมกัน ไม่เช่นนั้นทุกคนที่ข้าน้อยรู้จักก็คงพลาดโอกาสสำคัญครั้งนี้กันหมด”

            วินตกะหงุดหงิด ถอนใจ ตนคิดจะพานางไปส่งถึงเบื้องหน้าองค์พระตถาคต เมื่อเจ้าตัวยืนยันเช่นนี้ ก็จำต้องปล่อยให้กลับบ้านเมืองด้วยตนเอง

            ชัยยะหยิบสัญลักษณ์แห่งกุมภนาคราชไว้ในมือ น้อมใจขออนุญาตต่อผู้เป็นเจ้านาย

            “ข้าพระองค์ขออนุญาตนำสัญลักษณ์แห่งนาคราชนี้ มอบแด่สตรีผู้ศรัทธาในองค์ตถาคตได้หรือไม่พระเจ้าข้า”

            “ได้สิชัยยะ ข้าอนุญาต” เสียงตอบในหัวเต็มไปด้วยความปรานี

            สัญลักษณ์แห่งกุมภนาคราชเป็นกำไลนาคราชสีทอง อ่อนนุ่ม นาคาแปลงยื่นของสิ่งนี้ให้แก่สตรีผู้กำลังจะแยกทางกันด้วยใจอารี

            “กัลยา...เจ้าจงสวมกำไลนาคราชนี้ติดตัวไว้เถิด สิ่งนี้จะป้องกันภยันตรายทั้งมวลในป่าไม่ว่าจะเป็นอสรพิษร้าย สัตว์เลื้อยคลานใหญ่น้อย ภูตผี กระทั่งพญานาคดุร้ายที่เจ้าอาจพลาดพลั้งไปประสบ”

            นางรับของชิ้นนั้นมาสวมข้อมือโดยไม่ปฏิเสธ ทราบว่าตนจำต้องบุกป่าลำพัง สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง

            วินตกะครุฑเอ่ยขึ้นบ้าง

            “เจ้าจงมุ่งหน้ากลับยังเส้นทางเดิมโดยไม่ต้องหวั่นกลัว ข้ารับรองว่าตลอดทางนั้นจะปลอดโปร่ง ปราศจากภยันตรายใด และหาก...มีอุปสรรคปัญหาที่คาดไม่ถึงจริง ๆ ขอให้เจ้าเงยหน้ามองฟ้า...เปล่งนามที่เคยระลึกถึงตอนเผชิญดงอสรพิษครั้งแรก...แล้วเจ้าจะปลอดภัย”

            วินตกะพูดเช่นนี้ กัลยาฉุกใจคิดได้

            ตอนเผชิญดงอสรพิษ นางใช้คาถาอาคมเอาตัวรอด ไล่อสรพิษร้ายได้ พอรู้ว่ากลางดงนั้นเป็นบึงพญานาคอันร้ายกาจนางไม่มีทางรับมือจึงระลึกถึง ‘พญาครุฑ’ เพื่อขอความช่วยเหลือ และวินตกะผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นทันที

            สตรีผู้ฉลาดเฉลียวฉุกใจรู้ทันทีว่าบุรุษมหัศจรรย์ทั้งสองเป็นผู้ใด

            วินตกะ…พญาครุฑ

            ชัยยะ...ผู้มอบสัญลักษณ์แห่งนาคราชไว้เป็นที่ระลึก...จะเป็นผู้ใดได้ถ้าไม่ใช่...พญานาคทรงฤทธิ์

            สิ่งเหลือเชื่อปรากฏแก่ชีวิตนางแล้ว...มีผู้ใดคาดคิดว่าตนจะได้ร่วมทางกับสองเผ่าพันธุ์ผู้เป็นอริกันมาช้านาน

            พญาครุฑ และพญานาค




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ฟ้าเริ่มสาง

            พระอาจารย์ราเมศว์เปิดประตูกุฏิออกมาพบหลานชายนั่งพับเพียบรอ สีหน้าสงบสำรวมผิดเคย ดวงตาเงยขึ้นสบกันฉายแววคุ้นเคยเนิ่นนาน

            “ชัยยะนาคา” พระภิกษุเอ่ยขึ้น “ยังไม่ตายตั้งแต่ชาติที่แล้วหรอกหรือ”

            ใบหน้ารอยเธียรผุดรอยยิ้มรับคำทักทายจาก ‘เพื่อนเก่า’

            “เมื่อคืนผมระลึกชาติ จดจำเรื่องราวที่ค้างคาใจได้จนหมดสิ้นแล้ว” ถึงจะสนิทสนมตั้งแต่ชาติก่อน ก็ยังคุ้นเคยกับการใช้สรรพนามแบบปัจจุบัน

            “แล้วยังไง” หลวงน้าถาม

            “นี่ครับ...”

            ชายหนุ่มวางเกล็ดนาคาไว้ตรงหน้าผู้ทรงศีล เดิมเกล็ดนี้มีสีเขียวอ่อนอมเหลือง บัดนี้มันใสกระจ่างแลทะลุได้ ราวกับ ‘พลังอำนาจ’ และสิ่งที่อยู่ภายในถูกดึงดูดออกมาจนหมดสิ้นแล้ว

            พระภิกษุเห็นอย่างนั้นจึงทราบ นอกจากหลานชายจะจดจำเรื่องสำคัญในอดีตจนหมด ยังได้พลังอำนาจเก่าส่วนหนึ่งของตนคืนมาด้วย

            รอยเธียรระลึกชาติได้ตั้งแต่หลายปีก่อน ตอนนั้นยังไม่รู้สึกแปลกแยกระหว่างตัวตนสองชาติภพขนาดนี้ นั่นเพราะแค่เป็นผู้ดู มองเห็นรับรู้เรื่องราวห่าง ๆ

            คราวนี้นอกจากจดจำเรื่องราวสำคัญได้หมด ยังดูดซับพลังงานเก่าที่แฝงในเกล็ดนาคา ความผูกยึด ติดพันกับชาติภพเก่าจึงเพิ่มพูนโดยไม่รู้สึกตัว ทั้งที่ครั้งหนึ่งตนเคยสอนน้องสาวไม่ให้ยึดติดกับอดีต

            “เมื่อคืนบอกให้ไปภาวนาไม่ใช่หรือ” ผู้ทรงศีลเท้าความ

            “ครับ...แต่ทัตตะ...เอ่อ...หลวงน้าก็บอกให้ผมเอาเกล็ดนาคาไปด้วย” ชายหนุ่มไม่ลืมคำสั่งนี้

            “การระลึกชาติ จดจำอดีตได้...เป็นเรื่องหนึ่ง...การภาวนารู้ทันใจ ก็เป็นอีกเรื่องซึ่งสำคัญกว่า...ถูกต้องเราเคยเป็นสหายรักกัน ผูกพันด้วยน้ำใจมิตรแท้...ทัตตะนาคา ชัยยะนาคาสององครักษ์คู่หูสร้างเรื่องราวน่าตื่นเต้นมากมายไม่มีใครเทียมทาน”

            รอยยิ้มบนใบหน้ารอยเธียรสว่างขึ้น ดวงตาฉายแววรำลึกภูมิใจ

            พระอาจารย์ราเมศว์เห็นเช่นนี้จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง

            “ต่อให้จดจำว่าเคยเป็นใคร ก็ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวตนนั้นไว้...ทัตตะนาคา ชัยยะนาคาตายไปแล้ว ไม่มีสององครักษ์คู่บารมีของกุมภนาคราชอีกต่อไป...ที่ปรากฏอยู่นี้ก็แค่...ความทรงจำอันหลอกลวงให้ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวตนในชาติก่อนอย่างโง่เง่า งมงาย”

            รอยเธียรชะงักเริ่มได้สติ

            “ธรรมดาแล้ววัฏสงสารจะมีกระบวนการทำให้ลืมชาติก่อน เพื่อไม่ให้โลกวุ่นวาย แต่พวกที่ความจำดี จำเรื่องเก่าได้นาน ๆ ก็จะยึดมั่นถือมั่นในชาติภพดี ๆ ว่าเราเคยเป็นโน้นนี่แล้วก็หลงภาคภูมิใจ ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมอยู่กับปัจจุบัน...ทั้งที่จริงชาติก่อนจบไปแล้ว จะยึดเป็นตัวตนได้ที่ไหน ความทรงจำที่มีก็แค่มายาลวง หลอกให้เชื่อว่ามี ‘เรา’ ในอดีต”

            จิตผู้ฟังเกิดอาการตั้งมั่น เข้าใจมากขึ้น ผู้ทรงศีลจึงพูดปิดท้าย

            “ที่บอกให้ไปภาวนาเมื่อวานก็คือเรื่องนี้...ภาวนาดูความจริงให้เห็นจริง...แยกให้ออกอะไรคือสภาวธรรมตามความเป็นจริง อะไรคือมายาจากความทรงจำ และอะไรคือเรื่องหลอกลวงให้หลงเชื่อจากฝีมือปรุงแต่งของจิต...ในเมื่อปัจจุบันเรามองเห็นความเป็นตัวตนแค่สภาวะเกิด-ดับ สั้นนิดเดียว...ตัวเราในปัจจุบันยังไม่มีจริง แล้วตัวเราในอดีตจะมีจริงได้อย่างไร

            รอยเธียรก้มลงกราบด้วยใจเคารพ ความหลงผิดยึดถือว่าตัวเคยเป็นพญานาคผู้ทรงฤทธิ์ถูกสลัดทิ้งจนสิ้น ต่อให้มีพลังนาคาในตัวเช่นนี้ ก็มองเห็นว่ามันเป็นแค่สิ่งมาอาศัยชั่วคราว เพื่อให้ใช้งานตามความจำเป็น

            อำนาจฤทธีแห่งนาคาเป็นของไม่เที่ยง มาอยู่แล้ววันหนึ่งต้องสาบสูญหายไปอยู่ดี

            ความเข้าใจบังเกิด สติกลับคืน กำลังจะเอ่ยปาก ‘ขอบคุณ’ ผู้ทรงศีล นึกได้ว่าคงโดนเขกกะโหลกอีกรอบ เพราะการที่หลวงน้าพร่ำสอนขนาดนี้ไม่ได้หวังคำขอบคุณใด ๆ

            “วันนี้ผมจะขึ้นไปภาวนาอีกรอบครับ จะพยายามฝึกรู้ทันใจ แยกสภาวะเป็นจริง กับสิ่งปรุงแต่งออกมาให้ชัดเจน”

            คราวนี้หลวงน้ายกมือลูบศีรษะหลานชายเบา ๆ

            “ดีแล้ว หัดดูอย่างน้องสาวตัวเองบ้าง...เจ้าน้ำไม่ลืมความทรงจำตอนเป็นคุณยายพิกุลก็จริง แต่ไม่เคยเอาความทรงจำเดิมนั้นมายึดถือเป็นตัวตนอีกแล้ว ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างปกติ...ถึงมันจะเผลอเพลิน ไม่ค่อยขยันรู้สึกตัวเท่าไหร่ก็เถอะ”

            สุดท้ายหลวงน้าก็ยังชี้ข้อบกพร่องหลานสาวออกมาอยู่ดี



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP