วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อมฤต ๑๑
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
มัชฌิมารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง คลับคล้ายกลายเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งรูปลักษณ์ ความคิดความรู้สึกไม่เหมือนเช่นปัจจุบัน
‘เธอ’ คนนั้นตกอยู่กลางดงอสรพิษ จิตใจหวาดกลัวต่อสัตว์เลื้อยคลานน้อยใหญ่ บางตัวพันตามคาคบไม้ ซุกตัวใต้กองใบไม้แห้ง โพรงไม้ลึก ใช้หางเกี่ยวเถาวัลย์ห้อยตัวแกว่งไกวแลบลิ้นแปลบปลาบ
ขาค่อย ๆ ถอยกรูดพยายามออกจากสถานที่แห่งนี้อย่างระมัดระวัง หางตาแลเห็นกองทัพงูเลื้อยขวางปิดทางหนี โดนห้อมล้อมทุกด้านราวกับเป็นกรงอสรพิษขนาดยักษ์
ความกลัวพุ่งถึงจุดหนึ่งสติค่อยเกิด ระลึกถึงสรรพวิชาที่เคยร่ำเรียน
อาจารย์เคยสอนมนตร์ปราบงู ขับไล่อสรพิษสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ มาแล้ว เธอจิกหัวแม่เท้ามั่น สงบใจร่ายอาคมที่ร่ำเรียนอย่างเชื่องช้าแน่วแน่ ก่อเกิดพลังมนตร์ทรงอานุภาพแล้วเป่าลมออกไปรอบตัวด้วยความมั่นใจ
ฝูงอสรพิษร้ายถอยกรูด อานุภาพมนตร์จากหญิงสาวมีพลังไม่น้อย แทบทำให้พวกมันแตกตื่น เกือบแข็งทื่อไม่ต่างจากโดนสะกด
ทว่า...เพียงชั่วขณะเดียวอาคมนั้นถูกคลี่คลายง่ายดาย ฝูงงูเคลื่อนตัวเข้ามาหา บีบวงล้อมแคบลงกระแสกราดเกรี้ยวดุร้ายแผ่ออกมาจากทุกด้าน
สัมผัสรู้ว่า อสรพิษเหล่านี้มี ‘หัวหน้าใหญ่’ หนุนหลังคลายมนตร์ให้ ฤทธิ์เดชของผู้เป็นหัวหน้ากร้าวแกร่งเกินกว่าวิชาอาคมที่เธอร่ำเรียนมา
สิ่งที่พอทำได้คือสงบใจ ส่งกระแสอ้อนวอนขออภัย คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอขมา ขอให้ปล่อยเธอออกจากดงอันตรายนี้
คำตอบรับกลายเป็นภาพงูขนาดใหญ่มีหงอนบนศีรษะ ดวงตาแดงเพลิงวาวโรจน์ด้วยโทสะ ยืนยันให้ทราบชัด...ไม่มีทางอภัย
หัวหน้าใหญ่คือพญานาค
อาจารย์เคยสอน...คู่ปรับพญานาคคือพญาครุฑ
เมื่อไม่มีทางเลือก เธอหลับตาสงบใจส่งกระแสวิงวอนต่อเบื้องบน...
...หากบนฟากฟ้าเวหาหาวยามนี้ มีครุฑองค์ใดสถิตอยู่...ขอได้โปรดใช้อำนาจแห่งเจ้าปักษาเมตตาช่วยเหลือ พาข้าพเจ้าพ้นจากภัยครั้งนี้ด้วยเถิด...
กระแสใจส่งไป เกิดการเชื่อมโยง ตอบรับอย่างไม่คาดฝัน
เธอลืมตาขึ้นมาพบมาณพหนุ่มรูปงาม ผิวกายสีทองแดงมลังเมลือง ดวงตาคมดุยืนอยู่เบื้องหน้า
นัยน์ตาคู่นั้นจ้องตรง แลทะลุเข้ามาอ่านจิตใจจนหญิงสาวไม่กล้าเงยขึ้นสบตาด้วย
“ลุกขึ้นมาเถิดแม่นาง” เสียงเรียกกึ่งคำสั่ง
หญิงสาวลุกขึ้นตามวาจาโดยไม่อิดเอื้อน ริมฝีปากไม่กล้าขยับเอ่ยสิ่งใดออกมา
“เหล่างูน้อย ฤทธิ์เดชแค่แสงหิ่งห้อย ไฉนจึงคุกคามสตรีเพศอ่อนแอ ฤาศักดิ์ศรีแห่งตนไม่เหลือแล้ว”
ชายผู้นั้นเอ่ยลอย ๆ วาจาปรามาสเย้ยหยัน ส่งผลให้กลางดงอสรพิษบังเกิดเสียงครืดครืน ราวกับมีซุงท่อนใหญ่ลากผ่านแมกไม้จนพังราบ
เธอนึกหวาดเสียว คิดว่าอีกไม่นานคงเห็นพญานาคในนิมิตตนนั้น ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
อรุณรุ่งบนถ้ำยอดเขาเร้นลับ แดนพำนักชั่วคราวของกุมภนาคราชและเหล่าบริวาร
ชัยยะนาคาได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย
“เจ้าจงนำสัญลักษณ์ของเราไปหามฤคนาคา พญานาคผู้อาศัยอยู่บึงใหญ่กลางป่าข้างหน้า...บอกว่า...ขอให้เห็นแก่หน้าเรา อย่าสร้างเรื่องราวบาดหมางใหญ่โตอันใดเลย”
“ขอรับ”
นาคองครักษ์เร่งทำตามคำสั่งนาย เพราะทราบว่าญาณหยั่งรู้ของกุมภนาคราชลึกล้ำยิ่งนัก มองเห็นกว้างไกลลึกซึ้ง
เมื่อใดมีคำสั่ง ไม่จำเป็นต้องถามไถ่เหตุผล แค่ปฏิบัติตามวาจาอย่างเคร่งครัดเท่านั้นพอ
ชัยยะนาคามาถึงป่าใกล้บึงมฤคนาคา เห็นหนึ่งมนุษย์ หนึ่งครุฑแปลง และมฤคนาคากำลังปรากฏกายโจมตี ทราบทันทีว่าเหตุการณ์คับขันยิ่งนัก
ด้วยสัญลักษณ์แห่งกุมภนาคราช จะช่วยยับยั้งเหตุร้ายได้เพียงใด
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เสียงครืดครืดครืนครืนดังลั่น ตามด้วยเสียงกิ่งไม้ต้นไม้หักเปาะเป็นแถวแนว ดวงตาครุฑแปลงฉายแววเจิดจ้า รอยยิ้มกระหยิ่มเย้ยหยันคล้ายมองเห็นเด็กน้อยกล้าท้ารบโดยไม่รู้ความ
ก่อนมฤคนาคาจะปรากฏร่างแห่งพญานาคขึ้นจู่โจม ก่อนวินตกะครุฑจะแสดงแสนยานุภาพสยบพญานาคาไว้ใต้บาท บุรุษหนึ่งปรากฏกายรีบก้าวออกมาขวางกลางสองฝ่ายเอาไว้
“รอสักครู่เถิด...ท่านผู้เจริญ” น้ำเสียงสุภาพแสดงมารยาทอย่างจริงใจ
“เจ้า...” วินตกะครุฑแลเล็งผู้มาใหม่ ทราบทันทีว่าเป็นนาคาแปลง
ขณะแรกเห็นก็นึกดูหมิ่นคิดว่านาคตนนี้จะมาช่วยเหลือสหายตน พอพบกิริยาสุภาพอ่อนน้อม ค่อยเข้าใจเจตนาชัดว่ามาเพื่อเจรจาขัดขวางไม่ให้เกิดการปะทะระหว่างนาค-ครุฑ
“เจ้ามีวาจาอันใดก็ว่ามา” วินตกะเปิดโอกาส
“ขอให้ข้าน้อยเข้าไปคุยกับเจ้าของสถานที่ก่อน อย่างไรเสียคงไม่ทำให้เสียเวลาเดินทาง ไม่มีผู้ใดต้องเสียศักดิ์ศรี”
คำตอบชัยยะนาคาแสดงให้ทราบว่าเจ้าตัวได้ยินวาจาครุฑแปลงแต่แรก
วินตกะครุฑยืนนิ่ง ส่งสายตาเป็นเชิงอนุญาตนาคาแปลง ชัยยะนาคาค้อมศีรษะแสดงความเคารพรีบเข้าดงไม้ทันที
กัลยามองมาณพทั้งสองด้วยความสงสัย แปลกใจในการปรากฏตัว ค่อนข้างแน่ใจด้วยซ้ำว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปอย่างที่ตนเคยพบเห็น
“ท่านเป็นใคร” นางเอ่ยถามบุรุษผู้ยังอยู่นอกดงไม้
“ตะกี้เจ้าร้องเรียกใครล่ะ” ครุฑแปลงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
คำว่า ‘ครุฑ’ เกือบหลุดจากปาก พอดีได้ยินเสียงซัดซ่าโครมครามอึกทึกดังจากบึงน้ำกลางดงไม้ เหล่าอสรพิษรอบกายแตกตื่นลนลาน เร้นหายเข้าป่าโดยฉับพลัน
หนึ่งมนุษย์ หนึ่งครุฑเกิดความสงสัย...มีเหตุอันใดในบึงน้ำกลางดงไม้กันแน่
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
มฤคนาคาเป็นพญานาคดุร้าย ดื้อดึง ต่อให้ทราบนามได้ยินกิตติศัพท์สูงส่งของกุมภนาคราชมาก่อน เพียงแค่เห็นสัญลักษณ์แทนตัวองค์นาคราชใช่ว่าจะยอมก้มหัวเปิดทางให้ผ่านง่ายดาย
ชัยยะนาคาเป็นนักการทูตที่ดี สุภาพอ่อนน้อมกล่าวโวหารเป็นที่รักแก่บุคคลทั่วไป ยามเผชิญกับความดื้อดึงดุร้ายถือดีเช่นนี้ ก็กลายเป็นพญานาคทรงฤทธิ์ตนหนึ่งได้เช่นกัน
สองพญานาคโรมรันพันตูตั้งแต่ในบึงน้ำจนขึ้นมากลางป่า จำกัดพื้นที่เป็นอีกมิติแห่งนาคไม่ปล่อยให้ผู้อยู่ภายนอกล่วงรู้ ทว่าการแสดงฤทธิ์พ่นเพลิงพิษ ฟัดเหวี่ยงสัประยุทธ์ด้วยพลังยิ่งใหญ่รุนแรงขนาดนี้ย่อมสร้างแรงสะเทือนออกไปถึงด้านนอกไม่มากก็น้อย
เสียงซัดซ่าโครมครามเลื่อนลั่น แรงสั่นสะเทือนบนพื้นดิน ต้นไม้ใหญ่โยกไหวปานจะหลุดถอนล้วนเกิดจากการต่อสู้ระหว่างสองนาคานี้ทั้งสิ้น
การสัประยุทธ์สิ้นสุดรวดเร็ว มฤคนาคาพ่ายแพ้ไม่อาจบิดพลิ้ว
“ข้าพ่ายแล้ว...นับแต่นี้ ไม่ว่าผู้ใดถือสัญลักษณ์แห่งกุมภนาคราชผ่านมายังอาณาเขตนี้ ข้าจะยินยอมให้ผ่านโดยสะดวก บริวารอสรพิษน้อยใหญ่ล้วนไม่กรายกล้ำ ไม่สร้างความเดือดร้อนแม้สักกระผีก”
“ข้าขอขอบใจในนามองค์นาคราชด้วย นับแต่นี้ต่อไป หากท่านมีเรื่องเดือดร้อนประการใด ขอเพียงส่งสัญญาณไปถึง...องค์กุมภนาคราชย่อมไม่เพิกเฉยดูดายแน่นอน”
แม้รู้ว่านั่นเพียงวาจาตามมารยาท มฤคนาคาก็ต้องยอมรับโดยดุษฎี เพราะเห็นแล้วว่า ฤทธิ์เดชนาคองครักษ์ยังร้ายกาจปานนี้ ตัวนาคราชผู้เป็นนายคงมากด้วยอิทธิฤทธิ์เกินคาดหมาย ฝีมือตนไม่อาจเทียบได้แม้ปลายเล็บ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ด้วยสายตามนุษย์เช่นกัลยา ต่อให้มีวิชาอาคมพิเศษกว่าชาวบ้านทั่วไป ก็ยังไม่อาจมองเห็นการต่อสู้ระหว่างพญานาคทั้งสองอีกมิติหนึ่งได้
วินตกะครุฑแลเห็นการต่อสู้ชัดเจน ยอมรับฤทธิ์เดชชัยยะนาคา อดนึกเปรียบเทียบไม่ได้ว่าตัวกุมภนาคราชผู้เป็นนายจะร้ายกาจสักเพียงใด ตนเองเป็นเพียงครุฑธรรมดาไม่ใช่องค์มหาครุฑผู้ยิ่งใหญ่ อาจรับมือนาคราชชื่อเสียงเลื่องลือตนนั้นลำบาก หนักแรงไม่น้อย
...แม้ได้ชัยก็ไม่คุ้มค่า...เข้าใจแล้วว่าการหลีกเลี่ยง ไม่ให้เกิดสงครามครุฑ-นาคเป็นเรื่องราวเหมาะสมเพียงใด
การที่กุมภนาคราชส่งลูกน้องตนมาขัดขวางการเผชิญหน้าครุฑ-นาคเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือสตรีนางหนึ่งเท่านั้น ยังป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งเล็ก ๆ ระหว่างสองเผ่าพันธุ์กลายเป็นสงครามใหญ่โตยืดเยื้อเช่นในอดีต
ชัยยะนาคาเดินออกจากกลางดงอสรพิษ ใบหน้าคลี่ยิ้ม เอ่ยวาจาสุภาพอ่อนน้อมดังเดิม
“เชิญแม่นางและท่าน...ผ่านดงไม้แห่งนี้ตามสะดวกเถิด ไม่มีภยันตรายใดแล้ว”
วินตกะครุฑหัวเราะหึหึ ขำขันอย่างรู้ทันว่าเกิดเหตุใดหลังดงไม้นั้น กัลยามองชายทั้งสองอย่างงุนงงลืมเลือนวาจาที่ตนเกือบหลุดปากก่อนได้ยินเสียงโครมครามกลางดงไม้เสียสิ้น
“แม่นางจะไปที่ใด” ชัยยะนาคาถาม
“ข้าน้อยจะไปยังเมืองเวสาลี” กัลยาไม่ปิดบัง
“ไปด้วยเหตุอันใด” นาคาแปลงถามต่อ
“ข้าจะไปยังเวฬุวคาม เพื่อพบพระสมณโคดม”
เมื่อนามแห่งพระตถาคตเจ้าหลุดจากปากหญิงสาว ครุฑและนาคผู้เคยสดับธรรมต่างบังเกิดความสงสัยใคร่รู้
“เจ้าจะไปพบองค์ตถาคตเจ้าด้วยเหตุใด” วินตกะครุฑถาม
“ข้าได้ยินเสียงร่ำลือ กล่าวสรรเสริญพระองค์มานาน ครั้งนี้มีโอกาสจึงอยากเข้าเฝ้าสักครา”
“เพียงแค่เสียงลือ เสียงเล่าอ้าง ก็ทำให้เจ้าบุกป่าฝ่าเขาเพื่อไปพบพระองค์เชียวหรือ” ครุฑแปลงกล่าวกึ่งดูถูก
“มิใช่เพียงเท่านั้นหรอกเจ้าข้า...ระหว่างทางที่ข้าน้อยได้พบผู้คน ได้ฟังคำกล่าวสรรเสริญพระองค์มากมาย ข้าน้อยก็มักถามว่า...องค์สมณโคดมท่านสอนอะไร...กล่าวอะไรบ้าง”
“คนเหล่านั้นบอกว่าอย่างไร” คำบอกเล่าของหญิงสาวทำให้วินตกะอยากรู้
กัลยาเผยรอยยิ้มกระจ่าง ใบหน้าเปี่ยมด้วยกำลังแห่งศรัทธา
“ผู้คนเหล่านั้นล้วนเอ่ยวาจาคำสอนพระองค์แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าธรรมอันใดถูกกับจริตเหล่าชนผู้นั้น...ส่วนข้าน้อยเอง ได้ยินคำสอนที่พระองค์เทศน์โปรดชาวกาลามะ ซึ่งอยู่ในเกสปุตตนิคมแล้วรู้สึกลงใจ ศรัทธาพระองค์ขึ้นมา”
“ท่านสั่งสอนชาวกาลามะว่าอย่างไร” ชัยยะนาคาถามบ้าง ทั้งที่ตนทราบในคำสอนนั้นแล้ว
“พระองค์สอนถึงหลักความเชื่อเอาไว้ว่า...อย่าเพิ่งเชื่อถือด้วยเหตุสิบประการ” กัลยาตอบ
“ในเหตุสิบประการที่พระองค์ทรงตรัส มีประการใดบ้างที่เจ้าฟังแล้วเกิดศรัทธาลงใจขึ้นมา” วินตกะครุฑถามนำ
ใบหน้านางฉายรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาแจ่มจรัสด้วยความเคารพ
“มา สมโณ โน ครูติ...อย่าเพิ่งเชื่อถือ เพียงเพราะผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา”
คำตอบชัดเจน หญิงสาวกล่าวขยายความรู้สึกตน
“ท่านผู้เจริญฟังเถิด...ยังจะมีสมณะ ครูบาอาจารย์ผู้ใด สั่งสอนศิษย์ว่าอย่าเพิ่งเชื่อ...แม้วาจานั้นจะออกจากปากผู้เป็นครูบาอาจารย์...แต่จงเชื่อเมื่อได้นำธรรมนั้นไปทดลองปฏิบัติ แล้วเห็นผลประจักษ์แก่ใจตนเอง”
ดวงตาเปล่งประกายเคารพศรัทธาอย่างจริงใจ กระแสความรู้สึกบริสุทธิ์นั้นกระทบถูกหนึ่งครุฑ หนึ่งนาคาสัมมาทิฐิ จนอดปราณีเอ็นดูนางไม่ได้
“ข้าน้อยอยากมีโอกาสเข้าเฝ้าฟังธรรมสักครา อยากถามพระองค์ว่ามีธรรมอันใดเหมาะควรให้ข้าน้อยทดลองนำไปปฏิบัติ ฝึกฝน เพื่อเข้าสู่ความเกษมในที่สุด”
แรงศรัทธาอันจริงใจนั้นส่งผลต่อจิตใจชัยยะนาคาและวินตกะครุฑอย่างช่วยไม่ได้
“จากดงไม้นี้...ถ้าจะไปให้ถึงเมืองเวสาลีโดยเร็วสุด ต้องตัดผ่านป่าเขาวงกต ซึ่งเป็นอาณาเขตปกครองของหัสยักษา”
ชัยยะนาคาเอ่ยลอย ๆ ปรายตามองครุฑแปลงด้วยนัยยะเข้าใจกันดี
หัสยักษ์ไม่ใช่ยักษาดุร้ายเจ้าทิฐิ แต่ใช่ว่าจะให้ใครก็ได้เดินผ่านป่าเขาวงกต เห็นเขตปกครองตนดังเป็นสวนพฤกษชาติสนามเด็กเล่น
หากผู้มีศักดิ์ใกล้เคียงกันเข้าไปกล่าวขออนุญาตตามมารยาทดีงาม ยักษ์ตนนั้นย่อมเปิดทางให้ผ่านไปโดยไม่ติดใจอย่างใด
“ข้าจะนำทางไปเวสาลีเอง” วินตกะเอ่ยปากในที่สุด
ชัยยะนาคาคลี่ยิ้ม ทราบดีว่าครุฑแปลงตนนี้เคารพศรัทธาพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกันตน ศรัทธาบริสุทธิ์ของหญิงสาวผู้นี้ย่อมปลุกจิตเมตตาอยากช่วยเหลือในใจครุฑตนนี้ไม่ยาก
“เมื่อนางได้ผู้นำทางชั้นเลิศเช่นนี้ ข้าก็ขออำลา” นาคาแปลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ถอยหลังเตรียมกลับไปรายงานต่อผู้เป็นนาย
ทว่า...ในหูกลับได้ยินเสียงคำสั่งเพิ่มเติม
“ชัยยะ...ร่วมทางตามไปส่งนางด้วย...ระหว่างทางอาจมีนาคเกเร มิจฉาทิฐิ อสรพิษร้าย...เราไม่อยากให้ครุฑผู้นี้ต้องลงมือกับเผ่าพันธุ์พวกเรา”
“ขอรับ” ชัยยะนาคารับคำ
ครุฑแปลงเลิกคิ้ว ได้ยินคำสั่งนั้นทุกถ้อยวาจา ต่อให้เข้าใจเจตนารอยยิ้มหยันก็ยังผุดขึ้น
ใจอยากกล่าววาจาเย้ยเยาะสักสองสามคำ แต่นึกได้ว่าเส้นทางที่จะร่วมเดินนั้นมุ่งสู่เวสาลี เพื่อพบพระพุทธเจ้า จึงยอมลดทิฐิเพื่อเห็นแก่พระองค์ เห็นแก่ศรัทธาบริสุทธิ์ของนางมนุษย์ไม่กล่าววาจาเสียดสีใด ๆ
การเดินทางระหว่างนาค ครุฑ และนางมนุษย์เริ่มต้นขึ้น
บทที่ ๙
พันเกลียวทราบข่าวหลานสาวทางโทรศัพท์ระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล
เธอทราบดี ยามสนธยาหนุ่มสาวสามคนจะร่วมเดินทางย้อนความทรงจำไปสู่ช่วงเวลาที่เคยพบกันในอดีต
รอยเธียร พยุหะไม่มีปัญหาเดินทางราบรื่น ส่วนมัชฌิมาไม่ใช่เช่นนั้น
การใช้ผลึกครุฑนาคเป็นสื่อ กระตุ้นโทสะเนวะจนนึกอยากกลั่นแกล้ง ลองดีว่าสิ่งที่นาค-ครุฑทิ้งไว้ให้จะมีฤทธาเพียงใด
เนวะไม่มีเจตนาเล่นงานมัชฌิมาถึงชีวิต พันเกลียวจึงเห็นนิมิตแค่หลานสาวติดอยู่ในลิฟต์ มีคนช่วยออกมาพาส่งโรงพยาบาลโดยปลอดภัย
สตรีกลางคนวางใจเป็นกลางไม่แทรกแซง ทำได้ดีสุดเพียงออกจากบ้านไปโรงพยาบาลก่อนรับแจ้งข่าว
ถึงโรงพยาบาลพบหลานสาวยังไม่ได้สติ นายแพทย์ตรวจร่างกายละเอียดแจ้งให้ทราบว่าเหตุที่หมดสติอาจเกิดจากความเครียด อากาศในลิฟต์มีน้อย ร่างกายโดยรวมไม่มีปัญหา นอนพักดูอาการหนึ่งคืน เชื่อว่าพรุ่งนี้คงได้สติกลับบ้านปลอดภัย
พันเกลียวอยู่โรงพยาบาล นอนเฝ้ามัชฌิมาในห้องพิเศษซึ่งทางบริษัทจัดให้
ฟ้ามืดแล้วเมื่ออาคันตุกะไม่ได้รับเชิญเดินมาถึงหน้าประตูห้องคนป่วย เสียงหญิงกลางคนภายในห้องดังขึ้นก่อนเขาเปิดประตู
“เธอปลอดภัยดี ไม่จำเป็นต้องเข้ามาดูผลงาน”
“แสดงว่าผลึกนั่นมีฤทธิ์ไม่เลว” ชายหน้าห้องตอบเสียงเย้ยหยัน
“ท่านทำเกินไปแล้ว” วาจาตำหนิตรงไม่เกรงใจ
“ต่อให้มันต้องเสียชีวิต ก็ไม่ถือว่าเกินไปหรอก” ผู้พูดไม่ยี่หระ
“ในเมื่อตนเองก็รักชีวิต หวังเป็นอมตะพ้นจากความตาย เหตุใดจึงไม่มองว่าผู้อื่นก็มีชีวิต รักชีวิตของเขาเช่นเดียวกัน”
คำพูดตรงไปตรงมา เจาะกลางใจผู้ฟัง
เสียงหัวเราะในลำคอดังกระหึ่มบาดลึกเสมือนคมมีดมองไม่เห็นปาดเฉือนเข้าไปในห้อง
หญิงกลางคนด้านในระบายลมหายใจแผ่วเบาทว่าหนักแน่น กระแสลมหายใจสลายพลังบาดคมจากผู้มาเยือนจนสลายสิ้นซาก
“หึหึ นึกไม่ถึง...เราเร้นกายมาสองพันกว่าปี โลกรุ่งเรืองด้วยวัตถุก้าวล้ำเกินจินตนาการ แต่ยังมีผู้ทรงฤทธิ์หลงเหลืออยู่ในโลกเหมือนกัน”
ภายในห้องผู้ป่วยไม่มีเสียงตอบโต้ เกิดบรรยากาศสงบเยือกเย็น แผ่ซ่านความอบอุ่นออกมากว้างขวาง
“เอาเถอะ ไม่นานคงได้เผชิญหน้ากัน” อาคันตุกะหน้าห้องทิ้งวาจาไว้เท่านั้น
เสียงฝีเท้าหนักแน่นเดินจากไป กระแสพลังอำนาจปริ่มล้นกระจายทั่วหน้าห้องแทนตัว เป็นการบอกโดยนัยว่า ตนพอใจเดินจากมาเอง...ด้วยไม่เห็นประโยชน์ และไม่ถึงเวลาต้องปะทะกับใคร
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เรือนครัววัดป่า...เวลาค่ำ
รอยธารากำลังช่วยแม่ชีเตรียมอาหารของสดเพื่อปรุงตอนเช้า มองเห็นตาอ่ำเข้ามาหาอาหารมื้อเย็นรับประทานพอดี
“เดี๋ยวน้ำทำข้าวไข่เจียวทรงเครื่องให้กินค่ะ” หญิงสาวยิ้มแป้นรีบเสนอหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกหนูน้ำ ตากินข้าวที่เหลือจากเมื่อกลางวันก็ได้ อย่าลำบากเลย” ตาอ่ำไม่ได้ถือศีลแปด งดข้าวเย็น แต่เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย
“ไม่ได้ค่ะ...ตาอ่ำนั่งรอตรงนี้เลย เดี๋ยวน้ำจัดการให้แป๊บเดียวเสร็จ” หญิงสาวเจ้ากี้เจ้าการบอก
ชายชราตามใจ นั่งดูหญิงสาวตอกไข่ ซอยหอมแดงใส่หมูสับ ปรุงรสอย่างที่จำได้ว่าผู้เฒ่าชอบรับประทาน แล้วตั้งไฟจนกระทะร้อนพอดี เทไข่ลงไปฟูสวยน่ารับประทาน
ระหว่างรอไข่สุกเหลืองกรอบ ก็ตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่จาน หั่นพริกกระเทียมใส่ถ้วยน้ำปลาจัดเป็นชุดพร้อมสรรพ
ชั่วเวลาไม่นาน ข้าวไข่เจียวหอมฉุย พร้อมพริกกระเทียมน้ำปลาก็ถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า
ตาอ่ำอมยิ้ม มองหญิงสาวอย่างอ่านเจตนาออก
“บอกตามาก่อน อยากได้อะไร”
“เปล๊า...” แม่ครัวทำเสียงสูง “อยากทำกับข้าวอร่อย ๆ ให้ตาอ่ำกินเฉย ๆ”
ชายสูงวัยตักข้าวรับประทาน ทั้งที่ทราบว่าหลังมื้อเย็นแสนอร่อยนี้ ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน
ไม่นานข้าวหมดจานไม่เหลือสักเม็ด น้ำฝนเย็น ๆ ถูกรินใส่แก้วมาวางรอ
“เอาใจกันขนาดนี้ ตาคงปฏิเสธคำขอหนูน้ำไม่ได้แล้วใช่มั้ย” ชายชราดักคอ
“ดื่มน้ำให้คล่องคอก่อนค่ะ เดี๋ยวมีกล้วยน้ำว้าเป็นของหวานตบท้าย”
ตาอ่ำหัวเราะยอมแพ้
“เอ้า...อยากได้อะไรบอกมา”
“น้ำอยากถามอะไรนิ้ดเดียว” รอยธาราทำท่าเหมือนเรื่องเล็กนิดเดียวจริง ๆ
“อยากรู้อะไรทำไมไม่ถามท่านอาจารย์” ตาอ่ำโบ้ยให้ผู้ทรงศีล
“ถามแล้วค่ะแต่ท่านไม่ยอมบอก” หญิงสาวสารภาพในที่สุด
ชายชราหัวเราะขัน พอจะเดาได้ว่าผู้พูดเจออะไรมาบ้าง
“ที่ว่าท่านไม่บอกนี่...ท่านบอกอะไรบ้าง”
“เฮอะ...” รอยธาราทำน้ำเสียงขัดอกขัดใจ “ท่านบอกให้พี่ลุยขึ้นไปภาวนาบนถ้ำหลังวัดอย่างเดียว น้ำถามท่านเรื่องเมื่อเช้าว่าคนร้ายที่แอบตามเราเป็นใคร ทำไมต้องก่อกวนกันตลอดทางแบบนั้น มันเกี่ยวกับปัญหาในชาติของพี่ลุยหรือเปล่า...เฮ้อ...ท่านบอกน้ำมาแค่...สงสัยก็ให้รู้ทันใจว่ามัน ‘สงสัย’!”
ตาอ่ำมองหญิงสาวอย่างเอ็นดู
“ท่านก็บอกถูกแล้วไง...ถ้าหนูน้ำรู้ทัน ‘ความสงสัย’ ในใจ สติมันจะเกิดขึ้น...ความสงสัย อยากรู้ก็ดับไปเอง ถือว่าได้สติ หมดความสงสัย...เป็นประโยชน์ทางจิตได้ดีกว่าสงสัยแล้วพยายามวุ่นวายหาคำตอบไม่สิ้นสุดเสียอีก”
“สาธุ...ถ้าน้ำสติไว...ขยันรู้ทันใจตัวเองได้อย่างนั้น คงไม่เป็นยายบ้าเพ้อเจ้ออยู่นี่หรอกเจ้าค่ะ”
ประชดจบแล้วรีบรวบรัดตัดความเข้าประเด็นสำคัญทันที
“ตาอ่ำเล่าให้ฟังทีสิ...ทำไมเมื่อเช้าถึงบอกให้น้ำกับพี่ลุยรีบลงจากศาลา รู้ใช่มั้ยว่าตาแก่คนนั้นเป็นใคร ใช่คนที่แกล้งก่อกวนพวกเรามาตลอดทางหรือเปล่า...แล้วมันเกี่ยวกับชาติก่อนของพี่ลุยด้วยใช่มั้ย”
ตาอ่ำถอนใจเฮือกใหญ่ ข้าว-น้ำเมื่อครู่ยังคาคออย่างนี้คงยากหลีกเลี่ยง ใจจริงแกไม่คิดปิดบังเรื่องราวแต่แรกอยู่แล้ว
“ทำไมหนูน้ำถึงคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับชาติก่อนพี่ลุยเขาล่ะ”
“แหม...ก็ชาติก่อนพี่ลุยเคยเป็นพญานาคนี่ อาจสร้างศัตรูพวกมีอาคมมาตามแก้แค้นก็ได้ แล้วในชาตินี้ น้ำไม่เคยเห็นสร้างศัตรูที่ไหน อย่างมากก็มีแค่พวกสาว ๆ มาจีบทอดสะพานให้แล้วพี่ลุยไม่สนใจ กับพวกแฟนเก่าเคยคบแบบไม่ลึกซึ้งที่เลิกกันไปสองสามคน...ถือว่าน้อยมากนะสำหรับผู้ชายหล่อระดับนี้”
ตาอ่ำหัวเราะขัน
“เอ้า...งั้นหนูน้ำตั้งคำถามมาทีละข้อ...อยากรู้เรื่องไหนก่อน”
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|