ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะมีสติรู้เท่าทันความโกรธได้อย่างรวดเร็ว



ถาม – เวลาที่ผมเกิดโทสะขึ้น ก็ใช้เวลานานกว่าที่จะรู้ทันจิตตัวเอง
จะต้องทำอย่างไรจึงจะรู้เท่าทันความโกรธและดับมันได้ครับ



ความโกรธ ถ้ามันกลายเป็นความเคยชินนะ
มันไปจงใจให้แบบว่ามีสติรู้ทันไวๆ ไม่ได้หรอก ต้องเอาคู่ปรับของมันมาสู้
คู่ปรับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้นะ ชัดเจนอยู่แล้วก็คือเมตตา
ตัวเมตตานี่เป็นอริ เป็นปฏิปักษ์กันกับความพยาบาท
แล้วก็รวมมาถึงความมีโทสะอะไรขึ้นมาด้วย



ถ้าเราแผ่เมตตาเป็นนะ ทำให้จิตของเรามีความว่าง มีความผ่องแผ้ว
มีความพร้อมที่จะเผื่อแผ่ความสุขให้กับคนอื่น
ดูใจจริงตรงที่ว่าเวลาเห็นใครเดือดร้อนแล้ว
เราอยากช่วยให้เขาพ้นจากความเดือดร้อน
เวลามีโอกาสจะเอาเปรียบใครได้ จะเบียดเบียนใครได้
เรารู้สึกถอนออกมาทันที ใจนี่ถอนออกมา
อย่างนี้เรียกว่าเมตตา เพราะว่ามันมีความพร้อมจะเผื่อแผ่ความสุข
แล้วก็รักษาป้องกันตัวเขาจากอันตรายจากเรานะ
คือไม่ตั้งตนเป็นอันตรายให้กับคนอื่น ตัวนี้แหละคือเมตตาแล้ว


เมื่อมีเมตตา เมื่อมีความสุข แล้วรักษาใจนั้นไว้ มันก็เป็นสมาธิขึ้นมาได้
แค่คิดขึ้นมานะ วันนี้ผิดศีลข้อไหนไหม แล้วปรากฏว่าไม่มีผิดแม้แต่ข้อเดียว
ก็รู้สึกแล้วว่า เออ มันเบา เบาเพราะอะไร
เพราะว่าลักษณะจิตที่ไม่ผิดศีล มันก็คือจิตมีเมตตา ไม่คิดเบียดเบียนนั่นเอง
มันก็เกิดความเบาความผ่องใสขึ้นมา
สำรวจตัวเองบ่อยๆ วันนี้ผิดศีลหรือเปล่า
พอไม่ผิดศีลเราก็ เออ เบา แล้วก็รักษาความเบาไว้ มันก็กลายเป็นสมาธินะ
เข้ามาอยู่กับจิตที่มันเบา ที่มันผ่องแผ้วจากการไม่เบียดเบียน
ตรงนี้ก็เป็นลักษณะหนึ่งของการแผ่เมตตาแล้ว



คุณสังเกตง่ายๆ ถ้าใจของเราแผ่ออกด้วยความผ่องแผ้วนะ
ไม่คิดเบียดเบียน ไม่คิดเอาเปรียบใคร คิดจะช่วยคนอื่นอยู่เป็นนิตย์นะ
ใจมันจะค่อยๆ ขยายออกๆ แล้วก็รู้สึกว่างออกมาจากตรงกลางนะ
ลักษณะความว่าง ลักษณะความที่มันตั้งอยู่กับความสบายอกสบายใจผ่องแผ้วแบบนั้นได้
นี่แหละเป็นลักษณะของการแผ่เมตตา
พอแผ่เมตตาจนกระทั่งคุณรู้สึกว่าใจนี่นะมันเป็นหนึ่งได้ง่ายๆ
คือไม่ใช่ต้องมาหลับตาทำสมาธิเสมอไป
เอาแค่นึกถึงนะว่าใจของเรากำลังเบาอยู่หรือว่าหนักอยู่
แล้วพบว่ามันเบา เบาแบบที่พร้อมจะเป็นหนึ่ง เบาแบบที่มันจะไม่ซัดส่ายไปไหน



ตัวนี้นะ แบบที่พระพุทธเจ้าตรัสเลย
คือศีลเป็นเหตุให้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจในระหว่างมีชีวิต
เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เป็นสิ่งที่สามารถเห็นผลได้ในชาตินี้ทันตา
และผู้ที่มีศีลเป็นปกติ ย่อมตั้งเป็นสมาธิได้ง่าย

เพราะอะไร เพราะใจมันสงบอยู่ ว่างๆ เป็นหนึ่งเดียว ไม่ซัดส่าย
ไม่มีความกังวล ไม่มีความอยากไปเบียดเบียนใครให้เดือดเนื้อร้อนใจ
มันมีความเย็น มันมีลักษณะของความเบา มีความพร้อมจะสว่างแผ่ออกมาจากตรงกลาง



ตรงนี้แหละถ้าเราจำไว้เป็นคำเดียวว่าถ้าเราฝึกแผ่เมตตาอยู่เรื่อยๆ
ไม่ใช่ไปฝึกแผ่ด้วยคำว่าสัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ แล้วหลับตาอย่างเดียวนะ
เสร็จแล้วใจยังหมกมุ่นกับความอาฆาตแค้น
ดูอยู่ระหว่างวันเป็นปกติว่าถ้าใจเราเบาจากการเบียดเบียน
อันนี้เรียกว่าสะสมการแผ่เมตตามากขึ้นๆ มากขึ้นๆ
แล้วจะมีผลให้ตอนคุณถูกกระทบหรือว่าถูกกระตุ้นให้โกรธให้เคืองให้เกิดความไม่พอใจ
มันเห็นถนัดว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นในความว่าง ความเบา ความเย็นนั้น
มันกลายเป็นความร้อน มันกลายเป็นความขัดความเคือง
มันกลายเป็นอะไรที่ระคาย ไม่เบา ไม่ว่าง ไม่โล่ง ไม่โปร่ง ไม่ใส

การเห็นได้ว่าว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในใจที่ว่าง ที่วาง ที่เย็น
นั่นแหละคือการมีสติในตัวแล้ว



สติเท่าทันความโกรธได้โดยไม่ต้องมาเบ่งกำลังภายใน
ว่าทำอย่างไรจะดับได้ทัน ความโกรธเข้ามาตอนไหนเราจะได้ไม่เผลอตัวอีก
คิดจะเบ่งกำลังภายในแบบนั้น มันทำไม่สำเร็จหรอก
มันไม่ใช่ธรรมชาติของจิตที่จะมีสติรู้เท่าทันความโกรธ
ในขณะที่เรายังคิดเบียดเบียนใครเขาอยู่ ยังคิดอยากเอาเปรียบเขา
ยังคิดไม่อยากช่วยเหลืออะไรใครเลย อะไรแบบนี้นะ
จิตแบบนั้นมันไม่มีทางเท่าทันโทสะที่มันไวกว่า ไวกว่าหลายร้อยหลายพันเท่านะ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP