สารส่องใจ Enlightenment

บ้าหาบหิน


enlightenment
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร


ความจริงอย่างความหนักของหนัก
ถ้าเราไม่ไปหิ้วไปแบกไปหามไม่ไปหาบเอา
สิ่งของเหล่านั้นมันหนัก มันก็ไม่ว่ามันหนัก
มันก็อยู่ตามหน้าที่ของเขา

แต่ว่าจิตใจผู้ใดไปยึดไปถือมัน ก็เกิดเป็นหนักใหญ่ขึ้นมา
เขาจึงเล่าเป็นนิทานสอนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยตั้งโลกตั้งแผ่นดินตั้งมนุษย์
มาแล้วว่า คนเราที่เกิดมาในโลกนี้มันแบบเดียวกับว่า
มีผีบ้าชนิดหนึ่ง เรียกว่าผีบ้าหาบหิน
ผีบ้าคนเป็นบ้าอย่างนั้นไม่ทำอะไร
มีคานหาบแล้วก็มีกะต่ากระบุงแล้วก็หาบไป
พอเห็นก้อนไม้ก้อนดินก็เก็บใส่
เก็บใส่ข้างหน้า เก็บใส่ข้างหลังก็หาบต่อไป
มีอะไร ๆ ก็เก็บใส่หาบของแก เพราะว่าแกเป็นผีบ้าหาบหิน

คือว่าหาบทุกสิ่งทุกอย่าง
ไปเห็นขี้หมูก็หาบขี้หมูใส่กะต่าไป
ไปเห็นขี้หมาก็เก็บขี้หมาแห้งใส่กะต่าไป
ไม่ว่าแกเห็นอะไร แกต้องเก็บ
เก็บไปจนกระทั่งว่าเศษกระดาษเขาทิ้งแล้ว
เศษอะไรของโสโครกแกก็เก็บใส่กะต่าของแก
เอามันเต็มเข้าว่าละ เก็บไปอย่างนั้นแหละ

จนกะต่ากระบุงอันนั้นก็เต็มบ่มีที่ใส่
เมื่อมันเต็มมันหนักเอาไปไม่ได้แกก็เก็บออก
เก็บออกแล้วแทนที่จะไม่เอาใส่ใหม่ก็ไม่ยอม ก็เก็บใส่ใหม่อีก
แทนที่ว่าไอ้ที่มันเก็บออกก็ไม่เอา เอาเปล่า ๆ หาบไปมันสบายดี
มันหาบไปอย่างเก่านั้นแหละ
แล้วก็ยังเก็บอะไรต่ออะไรเรื่อยไป
ผลที่สุดมันก็หาบต่อไปไม่ได้ เขาเรียกว่า บ้าหาบหิน

ถ้าเราคิดไม่ถึง คิดไม่ได้ก็ว่า เอ! ทำไมถึงไปทำยังงั้น
หาบหินมันหนักอย่างนั้นอย่างนี้ว่าไป
แต่ถ้าดูอารมณ์ของจิตสัตว์ทั้งหลายมันอยู่นิ่งไม่ได้
สงบจิตสงบใจภาวนาพุทโธอยู่ไม่เอา
มันชอบหาบเป็นบ้าหาบหิน
มันหาบใส่ทุกคนนั่นแหละ
สติปัญญาของเราไม่ทันกับกิเลสมันก็เลยหาบ


ดูเวลาเรามาปฏิสนธิในท้องแม่ ไม่มีอะไรเลยติดตัวติดกายมา
มีแต่หนังหุ้มกระดูกมา มีตา ๒ หู ๒ จมูก ๑ ปาก ๑
หนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ในตัวก็ได้เท่านั้นแหละมา

กว่าจะได้คลอดได้เกิดมาลำบากรำคาญ
ต้องไปนอนในท้องแม่ตั้ง ๑๐ เดือน จึงได้เกิดมา
บางคนก็ไม่ถึง ๑๐ เดือน คลอดออกมาแล้วก็ยึดถือล่ะ
ลืมตาเห็นโลกใหม่ โลกใหม่ก็โลกเก่าของตัวเองนั่นแหละ
โลกเกิด โลกแก่ โลกเจ็บ โลกไข้ โลกตาย
ถ้าไปเกิดในประเทศใดก็ยึดถือว่าประเทศนั้นเป็นประเทศของตน
แผ่นดินนั้นก็เป็นแผ่นดินของตน
ตัวอุปาทานมันยึดถือ คือมันหาบหิน
เป็นผีบ้าหาบหิน หาบไปจนเฒ่าจนแก่ตาย


ตายแล้วก็ว่าจะแล้ว มันก็ไม่แล้ว
ก็เกิดมาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ เพราะมันหลง

พระพุทธองค์ท่านจึงทรงชี้แจงแสดงไว้เสร็จเรียบร้อย
ว่าจงภาวนาว่า ตาย ตาย ไว้นะสาวกของเรา พระองค์ว่าอย่างนั้น
ถ้าผู้ใดหมดวันหมดคืนหมดเดือนหมดปีหมดอายุไป
โดยที่ไม่ได้นึกถึงความตายที่จะมาถึงตน
นั่นแหละเป็นความประมาท

sathu2 sathu2 sathu2



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP