สารส่องใจ Enlightenment

จิตเป็นของฝึกยาก (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๓๑




จิตเป็นของฝึกยาก (ตอนที่ ๑) (คลิก)



ดังนั้นเมื่อเห็นทุกข์แล้วก็ต้องสาวหาเหตุของมัน
เหตุมันมายังไง เมื่อเราสาวไป มันก็รู้ได้ เหตุของมันก็เพราะเหตุว่า
จิตใจมันยึดมั่นถือมั่นอยู่ในบุญในบาปดังกล่าวมาแล้วนั่นแหละ
เมื่อจิตใจมันสะสมทั้งบุญทั้งบาปมา
บุญและบาปนั่นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยพาดวงจิตอันนี้ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่
พาดวงจิตนี้ไปปฏิสนธิอยู่ในท้องของมารดา
อาศัยธาตุของมารดาบิดาผสมผสานกันเข้า
แล้วมีกรรมดีกรรมชั่วที่จิตใจทำนี่แหละ
ไปตกแต่งอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลายให้อยู่ในท้องของมารดาโน่น
เมื่อกรรมดีตกแต่งให้ก็ยังชั่วหน่อย
อวัยวะร่างกายนี่มันก็สมบูรณ์ทุกส่วน แล้วก็ไม่ค่อยมีโรคภัยเบียดเบียน
ขึ้นชื่อว่าบุญตกแต่งให้แล้ว มันง่ายทุกอย่าง
แม้นอนอยู่ในครรภ์ของมารดาก็ไม่เดือดร้อนเท่าไร มารดาก็มีสุขภาพอนามัยดี
ธรรมดาว่าคนมีบุญน่ะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเมื่อเวลาคลอดออกมาก็คลอดง่าย



เหมือนอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ
พระองค์ประสูติพระมารดาก็ประทับยืนอย่างนั้นแหละ
แล้วในตำรายังกล่าวว่ามีพวกเทวดาโน่นลงมารับ ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่โน่นนะ
มาคอยรองรับพระรูปพระกายของพระองค์ ไม่ให้ตกลงไปถึงพื้นดินนะ
พอพ้นจากท้องออกมาอย่างนี้ เทวดาก็รับเอาทันทีเลย
แล้วก็มีท่อน้ำร้อนน้ำเย็นลงมาโสร่งสรงพระองค์ ทำให้พระวรกายนั่นสะอาดสะอ้านดี
พระมารดาก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเรียกว่าเป็นไปอย่างเรียบร้อยนี้ละ
อาศัยบุญญานุภาพของพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาในอเนกชาติ มันมาตกแต่งให้


บัดนี้คนทั่วๆ ไปก็เหมือนกันแหละ คนผู้มีบุญวาสนา ผู้ได้สั่งสมบุญกุศลมามาก
ผู้ได้ให้ทาน ผู้ได้รักษาศีลมาให้บริสุทธิ์ ผู้ได้ฟังธรรม
ผู้ได้ประพฤติตนอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่
ผู้มีคุณงามความดีนั้นสูงกว่าตน หมู่นี้นะ
ผู้ไม่เบียดเบียนใครในชาติก่อนโน่น ไม่ทำใครให้เป็นทุกข์เดือดร้อนมา
ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยทางสุจริต
ไม่ไปทำลายล้างผลาญชีวิตของบุคคลอื่นและสัตว์อื่นมาเลี้ยงอัตภาพของตนเอง
มีความอารีอารอบ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลแก่เพื่อนมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน
อานุภาพแห่งบุญกุศลนั้นแหละ ตามมาปฏิสนธิในท้องของมารดา
ก็สะดวกสบายคล้ายคลึงกับพระโพธิสัตว์นั่นแหละ
แต่ว่าจะให้ยอดเยี่ยมเหมือนอย่างพระโพธิสัตว์นั้นไม่แล้ว
เพราะว่าการสั่งสมบุญกุศลมันคนละชั้นกันนะ



พระโพธิสัตว์ท่านสร้างบุญกุศลอย่างอุกฤษฏ์มาก
เช่นให้ทานอย่างนี้ คนธรรมดาสามัญจะให้ทานลูกตานี้ไม่ได้เลย
นี่แต่พระโพธิสัตว์นั่น เมื่อมีผู้มาขอลูกตา พระองค์ก็สละให้เลย
อย่างนี้แหละอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลาย นี่ ใครขอให้หมดเลย
นี่ คนธรรมดาสามัญสละไม่ได้ถึงขนาดนั้น ลูกก็ให้ทานได้ เมียก็ให้ทานได้
อย่างนี้ลองคิดดู จะไม่ให้พระองค์เป็นผู้ประเสริฐอย่างไรเล่า
ศีลพระองค์ก็รักษาให้บริสุทธิ์ไม่ยอมล่วงศีล
แม้ว่าใครจะมาบังคับให้ทำลายศีล พระองค์จะไม่ยอมเลย ใครจะฆ่าก็ฆ่าไป
อันอย่างนี้พระองค์เจ้าได้ทรงบำเพ็ญมาแล้วในวัฏสงสารนี้
แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เป็นมิจฉาทิฏฐิไปตลอดชาติ
บางชาติก็หลงอยู่ดอก แต่ว่าหลงไม่นาน เมื่อมีผู้มาชักจูงเข้าไปแล้วก็รู้ตัวได้
พอรู้ตัวได้แล้ว พระองค์ก็กลับประพฤติดีประพฤติชอบในพระธรรมวินัย



อย่างในครั้งที่พระองค์บังเกิดขึ้นในศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
นั่นชื่อ ธัมมปาล เกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ
มารดาบิดาเป็นผู้นับถือศาสนาพราหมณ์นั่นแน่ะ
พระองค์ก็เลยได้รับแนะนำสั่งสอนไปในลัทธิศาสนาพราหมณ์นั้น
แต่ว่าบุญของพระองค์มีอยู่อย่างว่า
แน่ะก็ไปได้คนผู้นับถือพุทธศาสนาอย่างสูงส่งเป็นมิตรเป็นสหาย เรียกว่าฆฏิการอุบาสก
ฆฏิการอุบาสกคนนี้ได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วสำเร็จอนาคามีผล
แต่ไม่ได้ออกบวช เพราะว่าเลี้ยงแม่ตาบอด

บังเอิญก็ไปได้ธัมมปาลเป็นสหายบัดนี้
ฆฏิการอุบาสกก็พยายามชักชวนธัมมปาลไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ไม่ยอม
ไปทีแรกไม่เชื่อ ก็ยังกล่าวจ้วงจาบไปอีกว่า สมณะศีรษะโล้นจะมีดีอะไร
ไปบิณฑบาตมาฉันแล้วก็นอนสบาย ไม่เห็นทำอะไร อย่างนี้แน่ะ
แต่ฆฏิการอุบาสกนี้ก็ไม่ยอม พยายามอยู่อย่างนั้นแหละ


วันหนึ่งไปอาบน้ำด้วยกัน อาบน้ำไปมา
ฆฏิการจับผมเปียของธัมมปาล ชวนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ผมเปียนี่เขาถือว่าเป็นของสูง ใครจะไปจับไม่ได้
แต่ธัมมปาลคิด แหมฆฏิการ นี่ลงมาจับผมเปียเราแล้วอย่างนี้
การที่ท่านชักชวนเราไปเฝ้าพระพุทธเจ้านี่นับว่าสำคัญนา
เอาล่ะ ถ้างั้นเราจะไปด้วย ตกลงไปด้วยกัน
พอไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์แนะนำสั่งสอนเข้าไป
เลยเกิดศรัทธาเลื่อมใส ออกบวชเลย เรียนธรรม เรียนวินัย
ตั้งมั่นอยู่ในสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ไม่ทำบาปตลอดชีวิต
นั่นแหละในชาตินั้นนะเป็นอันว่าพระองค์ได้บำเพ็ญเนกขัมมะบารมีให้แก่กล้า
นั่นแหละจึงเป็นเหตุปัจจัยอันใหญ่หลวง นำให้พระองค์ได้อุบัติบังเกิดขึ้นมาในยุคนี้



แม้จะสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติลาภยศสรรเสริญมากมายเท่าใด
พระองค์ก็ไม่หลงใหลติดอยู่ในกามสุขสมบัติอันนั้น
ก็เพราะอานิสงส์แห่งเนกขัมมะบารมีนี่แหละ มากระตุ้นพระทัยอยู่เสมอ
อานิสงส์การออกบวช หมายความว่าอย่างนั้นแหละ
จึงเป็นเหตุให้พระองค์ได้สละราชสมบัติออกบวชไป
เพื่อแสวงหาทางตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
แล้วจะได้ช่วยสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ตามไปด้วย
เมื่อพระองค์ออกบวช แสวงหาทางตรัสรู้ไปก่อนที่พระองค์เจ้าจะได้ตรัสรู้


ก่อนที่พระองค์เจ้าจะตรัสรู้ พระองค์ก็เจริญอานาปานสติ
ตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
แล้วก็สามารถบรรลุฌานที่หนึ่ง ฌานที่สอง ฌานที่สามไปโดยลำดับ
จนตลอดถึงฌานที่สี่ แล้วก็เจริญวิปัสสนาต่อ โดยยกเอาขันธ์ห้านี้ขึ้นพิจารณา
ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามสภาพความจริง
เมื่อเห็นขันธ์ห้านี้ว่าไม่ใช่ตัวตน เราเขา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ควรยึดควรถือ
พระองค์ก็จะปล่อยวางขันธ์ห้านี้ลง จิตก็รวมลงไป
บัดนี้ก็ได้ตรัสรู้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ นั่นแหละในปฐมยาม
เมื่อระลึกชาติหนหลังได้ สิ้นสงสัยในชาติความเกิดของพระองค์แล้ว
ก็ทรงพิจารณา เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกถึงเที่ยงคืน ก็ได้ตรัสรู้จุตูปปาตญาณ
ทรงพระปรีชาหยั่งรู้ความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลาย
จะเป็นสุขเป็นทุกข์ จะเทียวเกิดเทียวตายในโลกนี้
ก็เพราะว่ามันทำกรรมดีกรรมชั่วใส่ตัวเอง แล้วไปยึดเอากรรมดีกรรมชั่วนั้นไว้
ไม่ยอมทำกรรมดีฝ่ายเดียว พูดง่ายๆ คือบาปก็ยึดถือเอาไว้
บัดนี้ บุญบาปนี้แหละพาให้ท่องเที่ยว เกิด แก่เจ็บ ตาย ในสงสารอันนี้



ผู้ใด พระองค์เจ้าพิจารณาเห็นว่า ผู้ใดเพียรละบาปให้หมดไปจากจิตสันดานแล้ว
ตั้งใจบำเพ็ญแต่บุญกุศลไป บุญกุศลนั้นมันก็พลันเต็มได้เลย เพราะมันไม่มีบาปมาแย่ง
นั่นแหละพระองค์ก็เช่นเดียวกันแหละ
พระองค์ก็เพียรละบาปไปจนหมดสิ้นแล้วทรงสั่งสมบุญกุศล
จนว่าเต็มบริบูรณ์ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ สำเร็จตามพระองค์ได้
ก็เพราะว่าท่านเหล่านั้นก็ละบาปไปหมด
ฟังธรรมจบลงแล้ว จึงมีผู้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษตามพระองค์ไปมากมาย



นี่สรุปใจความลงแล้วว่า บุคคลจะพ้นทุกข์ได้นั้น
ก็เพราะมาพยายามภาวนา ทำจิตใจให้สงบ
ทวนกระแสจิตเข้ามาในปัจจุบัน เห็นตามว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวตน
อะไรเมื่อมันมาเห็นแจ้ง มันก็ตื่นตัว รู้ว่าตนนั้นมาหลงอาศัยอยู่ในของไม่เที่ยง
มาอาศัยในสิ่งที่บังคับไม่ได้ ไม่เป็นไปตามใจหวัง
เมื่อมันรู้ดังนี้ มันก็ปล่อยวาง นี่แหละ ไม่ยึด ไม่ถือ ไม่สำคัญว่าเป็นตัวเป็นตน
ก็เป็นอันว่า รู้จักต้นเหตุแห่งทุกข์ คืออุปาทานความยึดถือ
เมื่อละความยึดถือนี้ได้ ทุกข์ทางใจมันก็ดับไปหมดเลย เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อทราบความจริงอย่างนี้แล้ว
พึงพากันตั้งใจ บำเพ็ญทางจิตใจนี้ให้เป็นไปดังแสดงมา



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก พระธรรมเทศนา “จิตเป็นของฝึกยาก” ใน ธรรมโอวาทหลวงปู่เหรียญ
โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
จัดพิมพ์เป็นธรรมทาน โดย ชมรมกัลยาณธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP