วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อมฤต ๔



cover Amarit




ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            รอยเธียรหายสาบสูญไปอยู่ไหน?

            แรกทีเดียวมัชฌิมาตั้งใจพารอยเธียรหลบอยู่ในห้องเก็บของข้างห้องวีไอพี เมื่อปิดประตูสนิท มั่นใจว่าคงไม่มีอีกาตัวใดเล็ดรอดเข้ามาได้

            ชายหนุ่มปฏิเสธ เลือกวิ่งไปทางหนีไฟ ขึ้นบันไดยังดาดฟ้าแทนที่จะลงข้างล่าง หญิงสาวตามอย่างเป็นห่วง เขาหันกลับมาโบกมือไล่

            “น้องมาไม่ต้องตาม อยู่ใกล้พี่อันตราย”

            รอยเธียรพูดเช่นนี้แสดงเจตนาชัด เขาไม่ได้หนีภัย แต่ขึ้นไปท้าทายเผชิญหน้า

            “มาไปด้วยค่ะ” หญิงสาวตอบหนักแน่น

            ชายหนุ่มไม่มีเวลาพูดจาร่ำไร วิ่งขึ้นบันไดต่ออย่างรวดเร็ว พอถึงหน้าประตูที่จะเปิดออกไปยังดาดฟ้า หันกลับมาถามย้ำ

            “มากลับลงไปก่อนดีมั้ย ข้างนอกอันตรายนะ”

            “ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวใช้วิธีเปิดประตูเดินออกไปเองแทนยืนยันการตัดสินใจ

            รอยเธียรยอมตามใจหญิงสาว ดาดฟ้ากว้างโล่งปราศจากผู้คน ท้องฟ้าคราม ปุยเมฆขาว บรรยากาศชวนพักผ่อน หลบสายตาผู้คนมากกว่าใช้เป็นสนามรบ เตรียมประจันหน้า

            ชายหนุ่มยืนเด่นกลางดาดฟ้า เงยหน้ามองเห็นจุดดำ ๆ ปรากฏขึ้นไกลลิบ พอพุ่งใกล้เข้ามาพบว่ามันแยกออกเป็นสามจุด แต่ละจุดนั้นคือปักษาขนาดใหญ่กางปีกร่อนบินลงมาอย่างอหังการ

            “ยืนอยู่ใกล้ ๆ พี่นะ...อย่าตกใจ” แทนที่ชายหนุ่มจะผลักไส กลับเตือนหญิงสาวให้อยู่ใกล้ราวกับมั่นใจสามารถปกป้องเธอได้

            นกยักษ์ทั้งสามบินใกล้เข้ามา ห่างไม่เกินสามเมตรเตรียมปักจะงอยปากจู่โจม แต่แล้วพวกมันต้องชะงักค้างเมื่อเผชิญกับเกราะกำแพงที่มองไม่เห็น

            แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก พวกมันส่งเสียงร้องอย่างขัดใจ บินวนกลับไปตั้งหลักใหม่ ปรับแผนการโจมตี แยกย้ายบุกมาสามด้าน ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังพร้อมกัน

            มัชฌิมาเหลียววูบมองด้านหลังอย่างระวังภัย รอยเธียรยืนนิ่งสายตาจ้องปักษาตรงหน้า พลังงานป้องกันตัวไร้รูปแผ่พุ่งออกไป ปะทะเจ้านกตัวนั้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้มันกระเด็นไกล ปีกพับร่องแร่ง

            พวกที่จู่โจมด้านข้างกับด้านหลัง ไม่สนใจเพื่อนพ้องบาดเจ็บ มุ่งโจมตีชายหนุ่มจากสองด้านพร้อมกัน

            เปรี้ยง เปรี้ยง สายฟ้าสีเงินยวงปรากฏชั่วแวบ ฟาดใส่ปักษาทั้งสองโดยปราศจากที่มา ส่งผลให้พวกมันสะท้านขนปีกร่วงหล่น กระเสือกกระสนบินหนีอย่างทุลักทุเล

            มัชฌิมามองเห็นฟ้าผ่านกยักษ์ถนัดตา ตะลึงค้างพูดอะไรไม่ออก ไม่ทันสังเกตว่ารอยเธียรกำลังส่งรอยยิ้มให้กับเงาราง ๆ ที่แฝงกายหลังปุยเมฆขาว ยกมือประนมแล้วขยับริมฝีปากพูดสั้น ๆ

            “ขอบคุณมากครับท่าน”

            เงาราง ๆ เห็นเป็นลำตัวยาวเกล็ดเป็นเงาสะท้อนแสงสว่างหลังเมฆขาว กำลังเคลื่อนตัวช้า ๆ แล้วจางหายไปกับท้องฟ้าสีคราม

            หลังจากได้สติ หญิงสาวหันกลับมาด้านหน้าไม่เห็นเจ้านกยักษ์มาจู่โจม พอเงยหน้ากวาดตามองทั่วฟ้าคราม ไม่พบร่องรอยปักษาดุร้ายทั้งสามสักตัว

            พวกมันมาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า หายลับไปดังภาพมายา

            มัชฌิมามองชายหนุ่มด้วยแววตาคำถาม...นกยักษ์เหล่านั้นมาจากไหน หายไปได้อย่างไร?

            เสียงไลน์โทรศัพท์รอยเธียรดังขึ้นขัดจังหวะ

            พี่ลุยอยู่ไหน อีกาบินเต็มห้างเลย” ข้อความจากรอยธารา

            หลบพวกอีกา พวกมันไปหมดแล้วบอกด้วย” ชายหนุ่มตอบข้อความ

            น้องสาวส่งสติกเกอร์ OK แทนคำตอบรับ

            รอยเธียรเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า สบกับดวงตาคู่สวยที่กำลังมองเขาอย่างสงสัย อยากรู้คำตอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

            “บนนี้อากาศดีเนอะ” ชายหนุ่มเสพูดอีกเรื่อง

            “คะ...ค่ะ” มัชฌิมาตอบรับอย่างงง ๆ แววตาไม่คลายความข้องใจ

            ดาราหนุ่มอมยิ้ม

            “ถ้าพี่ถามน้องมาว่า...รู้ได้ยังไงว่าอีกาพวกนั้นจ้องทำร้ายพี่คนเดียว มาจะตอบได้มั้ย” ชายหนุ่มใช้วิธีเป็นฝ่ายรุกก่อนหญิงสาวตั้งคำถาม

            “เอ่อ...” มัชฌิมาอ้ำอึ้ง

            “เป็นความลับ...บอกไม่ได้ใช่มั้ย” เขาทอดเสียงอ่อนหวาน ดวงตามีรอยยิ้ม

            “ค่ะ” หญิงสาวไม่พร้อมบอกเรื่องนิมิตภาพอนาคตเวลานี้

            “อืม...ไม่เป็นไร ทุกคนก็มีความลับนี่เนอะ” รอยเธียรสรุป

            เจอคำพูดนี้หญิงสาวอึ้ง วาจาชายหนุ่มปิดปากไม่ให้หล่อนถามเขาเรื่องนกยักษ์ทั้งสาม และวิธีจัดการพวกมันอย่างแนบเนียน

            มัชฌิมาหัวเราะเบา ๆ รอยเธียรเห็นลักยิ้มบนแก้มนั้นชวนให้รู้สึกเอ็นดู

            “พี่ลุยนี่...นอกจากจะหล่อมาก ๆ แล้ว...” หญิงสาวเว้นช่วงให้คนฟังสนใจ “ยังฉลาดอีกด้วยนะคะ”

            โดนชมแบบรู้ทันเช่นนี้ชายหนุ่มยิ้มกว้างดวงตาอ่อนโยนกว่าปกติ

            “อืม...แล้วชอบหรือเปล่าล่ะ พี่ยังโสดอยู่นะ...จีบได้”

            ถ้าได้ยินแบบนี้เมื่อเกือบสิบปีก่อน มัชฌิมาคงดีใจแทบสลบ อิ่มอกอิ่มใจไม่ต้องกินข้าวสามวัน แต่เมื่อรู้จักกันนานขนาดนี้ จึงมีเพียงรอยยิ้มขำขันแสดงความรู้เท่าทันว่าเขาหยอกล้อ

            “ตั้งแต่รู้จักพี่ลุย...ก็เห็นสาว ๆ ยื่นใบสมัครจีบตั้งเยอะ ไม่เห็นคบใครยืดเลยนี่คะ”

            มัชฌิมาทราบข่าวสาว ๆ ของรอยเธียรมาตลอด เห็นว่าเขาไม่คบใครยืดยาวจริง ๆ

            “อือ...นั่นสิ เขาชอบบอกว่าพี่ ‘ดีเกินไป’ เลยขอเลิกกัน ทั้งที่พี่ไม่เคยหักอกนอกใจใครเลยสักคนนะ”

            หากผู้ชายคนอื่นพูดเธอคงไม่เชื่อ สำหรับรอยเธียรวาจานี้เป็นความจริง น้องสาวเขายืนยันหนักแน่น



            “ไอ้พี่ลุยน่ะเหรอ มันดีกับผู้หญิงทุกคนไปหมดแหละ คนที่เป็นแฟนเลยรับไม่ค่อยได้ จริง ๆ ถ้าพี่ลุยคบใครก็ไม่เคยนอกใจนะ แต่ให้ความสำคัญกับคนเป็นแฟนน้อยไปหน่อย พอผู้หญิงเขาไม่ได้เป็นที่หนึ่งคนเดียวก็งอน ท้าขอเลิกกันหมด ไอ้พี่ลุยมันก็ไม่ค่อยง้อใครด้วย...เลิกก็เลิก มันถึงเป็นโสดมีเวลามาคอยกวนน้องสาวอย่างน้ำนี่ไง”



            มัชฌิมายิ้มรับตอบวาจานั้นด้วยมุมมองผู้หญิง

            “ผู้หญิงเขาอยากเป็นที่หนึ่งคนเดียวของผู้ชายนี่คะ...ยิ่งผู้ชายที่ร้ายกับทุกคนบนโลก รักเธอคนเดียวอย่างนี้ยิ่งเป็นที่ต้องการเลย”

            รอยเธียรหัวเราะอารมณ์ดี

            “งั้นพี่ต้องหัดเป็นพวกแบดบอยบ้างแล้วมั้ง”

            “เป็นได้หรือคะ” หญิงสาวถามแกมหยอก

            “นั่นสิ เวลาแสดงละคร เล่นหนังเขาถึงให้บทพระเอกอย่างเดียว ไม่เคยได้บทผู้ร้ายเลย หน้าตาพี่คงเป็นคนดีเกินไปจริง ๆ แหละ”

            “มาว่า...พี่ลุยเป็นตัวเองดีแล้วล่ะค่ะ คนดีคู่กับคนดี ธาตุที่เหมาะสม ย่อมเข้ากันได้เพราะศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญาเสมอกัน ถ้าเจอคนอย่างนั้นเมื่อไหร่มันก็คุ้มค่าที่จะรอคอย”

            “สาธุ คุณแม่ชีจะบวชเมื่อไหร่” ชายหนุ่มหยอกล้อ

            หญิงสาวไม่ตอบ การอยู่ร่วมกับป้าพันเกลียวทำให้เธอซึมซับวิธีคิด การดำเนินชีวิตมาไม่น้อย

            การสนทนาดำเนินไปอย่างปลอดโปร่ง รื่นรมย์ชั่วครู่ ทั้งสองต่างได้รับไลน์ทางโทรศัพท์พร้อมกัน

            อีกาไปหมดแล้ว ออกมาได้ เจอกันที่ลานจอดรถ แฟนคลับปักหลักรออยู่ ไม่หนีไปไหนเล้ย” รอยธาราส่งข้อความมาบอก

            มัชฌิมาก้มอ่านไลน์ของตนแล้วบอกกับชายหนุ่ม

            “มาต้องขอตัวก่อนค่ะ เจ้านายไลน์เรียกให้ไปช่วยเก็บของเคลียร์งานแล้ว”

            “นั่นสิ ไอ้เตี้ยก็ไลน์เรียกพี่แล้วเหมือนกัน โหดเหมือนแม่เลย” รอยเธียรตอบขัน ๆ “ว่าง ๆ ไปเที่ยวบ้านบ้างนะ ตั้งแต่เรียนมหา’ลัยนี่ไม่ค่อยไปบ้านพี่เลย”

            “ค่ะ” มัชฌิมารับคำ “ที่จริงมาก็ไปบ้านพี่ลุยเรื่อย ๆ นะคะ พี่ลุยไม่อยู่บ้านเองต่างหาก”

            ชายหนุ่มหัวเราะ ยอมรับเป็นความผิดตนเองที่มีงานติดพันจนไม่ค่อยกลับบ้านบ่อย ๆ

            ทั้งสองลงจากดาดฟ้าด้วยความรู้สึกดี ๆ อบอวล



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -





            เธียร นาคพิทักษ์ลงมาเปิดประตูบ้าน แล้วขับรถเข้าไปจอดเรียบร้อย

            บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าตั้งแต่รุ่นพ่อแม่รอยจันทร์ พอทั้งสองแต่งงานก็ปรับปรุง สร้างต่อเติมใหม่จนทันสมัยน่าอยู่ รักษาต้นไม้ใหญ่เดิมไว้มีบริเวณเหลือรอบบ้านพอสมควร

            อาจเทียบไม่ได้กับคฤหาสน์ประจำตระกูลนาคพิทักษ์ที่เคยอยู่ แต่มันเปี่ยมสุข อบอุ่นอย่างหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วสำหรับเธียร

            ตระกูลนาคพิทักษ์เคยทำธุรกิจใหญ่โต ทรัพย์สมบัติมหาศาล กระทั่งเกิดเรื่องผิดพลาดธุรกิจล้มละลายก่อหนี้สินท่วมท้น เธียรจึงนำทรัพย์สินแทบทั้งหมดรวมถึงคฤหาสน์ขายชดใช้ เหลือเงินทุนไม่มากนัก

            เขาใช้สมบัติก้อนสุดท้ายลงทุนเปิดบริษัทเล็ก ๆ นำเข้า-ส่งออกสินค้า ความที่เคยอยู่ต่างประเทศหลายปี รู้จักเพื่อนฝูงแวดวงการค้ากว้างขวาง ทำให้การติดต่องานสะดวกราบรื่น บริษัทเติบโตมั่นคงจนถึงทุกวันนี้

            ด้วยวัยห้าสิบกลาง ๆ เขายังดูดีภูมิฐานสมวัย ความสุขฉายชัดในดวงตา แม้เส้นผมหงอกขาวแซม ริ้วรอยชราพาดผ่านหางตาให้คนทั่วไปได้เห็น

            เข้ามาในบ้านพบรอยจันทร์เพิ่งออกจากห้องทำงานพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในมือ

            “พี่เธียรกลับมาตั้งแต่ตอนไหนคะ ขอโทษทีรอยอยู่ในห้องทำงาน ไม่ได้ยินเสียงเลยไม่ได้ออกไปเปิดประตูรับ” ผู้เป็นภรรยาทักทายแกมออกตัวขออภัย

            “ไม่เป็นไรหรอก พี่ลงจากเครื่องก็เข้าบ้านเลย ลูก ๆ ไปหาท่านอาจารย์แล้วหรือ” เธียรเพิ่งกลับจากติดต่องานต่างประเทศ ทราบแต่แรกแล้วว่าลูก ๆ เดินทางไปเยี่ยมหลวงน้าที่ต่างจังหวัด

            เธียรเคารพนับถือหลวงน้าของเด็ก ๆ เป็นครูบาอาจารย์ หนำซ้ำยังเรียกขาน ‘ท่านอาจารย์’ หรือไม่ก็เรียกเต็มยศว่า ‘พระอาจารย์ราเมศว์’ อย่างเต็มใจไม่ขัดเขิน

            “ไปแต่เช้าแล้วค่ะ...เจ้าน้ำมันกลัวไปถึงวัดค่ำ เลยลากเจ้าลุยจากเตียงตั้งแต่ยังไม่สว่าง” รอยจันทร์เล่าขำขันแกมเอ็นดู

            เธียรวางกระเป๋าพักเหนื่อย รอยจันทร์วางเอกสารบนโต๊ะ กุลีกุจอรินน้ำเย็น ๆ มาเสิร์ฟ

            “รอยยุ่งเรื่องงานอะไรอีก ไหนว่าเจ้าลุยมันหยุดรับงานแล้วไง” เธียรใส่ใจภรรยา

            รอยจันทร์ยิ้มขำขัน

            “เจ้าลุยมันไม่รู้วิธีปฏิเสธเจ้าของงาน พอไปอีเวนท์ที่นึง เจอผู้บริหารตื้อหนัก ๆ ให้เป็นพรีเซนเตอร์ ก็เลยยอมรับปากเขา...นี่เพิ่งส่งเอกสารสัญญา รายละเอียดเกี่ยวกับงานมาให้อ่าน รอยก็เลยต้องดูละเอียดหน่อย”

            เธียรเหลือบตามองสัญญาชั่วแวบ เห็นตัวเลขค่าตอบแทนเป็นเงินแปดหลักก็เงยหน้าถามภรรยา

            “ค่าจ้างสูงขนาดนี้ ต้องทำอะไรให้เขาบ้าง”

            แทนที่จะตื่นเต้นยินดีกับค่าตอบแทน ซึ่งอาจสูงสุดสำหรับพรีเซนเตอร์ชายในประเทศ เธียรกลับสนใจภาระหน้าที่ที่ลูกชายต้องทำให้เจ้าของเงินมากกว่า

            “ถ่ายโฆษณาสามชิ้น เป็นซีรีย์ต่อกัน แล้วก็สัญญาที่จะต้องออกอีเวนท์โปรโมตสินค้าของเขาภายในหนึ่งปี” รอยจันทร์สรุป

            “ไหนตอนเป็นทหารเคยบอกว่าจะพักงานในวงการ” คนเป็นพ่อพูดเชิงบ่น

            “มันยากค่ะ” รอยจันทร์เข้าใจ “เจ้าลุยมันเป็นซุป’ตาร์ดังระดับแถวหน้า ใคร ๆ ก็อยากได้ตัวไปร่วมงาน ขนาดรอยตั้งราคาต่องานสูงลิบยังมีคนจ้าง ช่วงเป็นทหารหกเดือนนี่ รอยปฏิเสธงานปฏิเสธอีเวนท์ไปหมด คิดเป็นรายได้ที่หายไปก็หลายสิบล้านเลยนะคะ”

            เธียรหัวเราะ

            “เสียดายมั้ยล่ะ” ถามกึ่งล้อเลียน

            “ก็...เสียดายเหมือนกัน” รอยจันทร์ยิ้มแหย ๆ ยอมรับ “แต่ถ้ารายได้มันลด แล้วทำให้เจ้าลุยมันคลุกคลีกับโลกน้อยลง ไม่หลงโลก ไม่หลงแสงสีอย่างคนอื่นที่รอยเคยเห็น...มันก็คุ้มค่า...”

            สามียิ้มให้ภรรยาอย่างพอใจ การร่วมชีวิตผ่านอุปสรรคปัญหาใหญ่มากมายร่วมกัน อีกทั้งมีพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างพระอาจารย์ราเมศว์คอยแนะนำ สั่งสอนมาตลอด ทำให้ทั้งคู่รู้จักอยู่กับโลกได้อย่างคนไม่ประมาท ไม่โดนกลืนกินตามกระแสกิเลสของโลก

            “อย่างนี้มั้ง เจ้าลุยถึงอยากไปหาท่านอาจารย์” เธียรคิดแทนลูกชาย

            รอยจันทร์ถอนใจแววตากังวลเป็นห่วง

            “รอยว่าไม่ใช่แค่นั้นหรอก” ภรรยาเปิดรูปในโทรศัพท์ให้สามีดู

            เธียรเห็นแล้วเข้าใจ

            “เขามาเตือนเราแล้วใช่มั้ย”

            “ค่ะ”

            ในจอโทรศัพท์เป็นรูปกระถางธูปในห้องพระ ซึ่งหากมองให้ดีจะพบกองขี้เถ้าธูปตกอยู่ข้างกระถาง มีรอยเล็ก ๆ แต่เด่นชัดปรากฏอยู่บนกองขี้เถ้านั้น

            ...รอยพญานาค...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ห้องประชุมเล็ก บริษัทบี.บี.พรอม.

            วันนี้บริษัทโฆษณาจะนำเสนอความคืบหน้างาน โชว์สตอรี่บอร์ดที่จะใช้ถ่ายจริงสัปดาห์หน้า รวมถึงเปิดเพลงประกอบโฆษณาให้ฟังเป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้บริหาร กรรมการออกความเห็นครั้งสุดท้าย

            มัชฌิมาหอบเอกสารตั้งใหญ่เข้ามาเพื่อเตรียมรอผู้ร่วมประชุม พอเปิดประตูนำเอกสารวางบนโต๊ะ พบว่าภายในห้องไม่ได้ว่างเปล่า มีผู้ร่วมประชุมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

            เขาเป็นผู้ชายตัวโต สังเกตจากช่วงไหล่กว้างหนา ผิวสีแทน ผมยาวถูกรวบมัดเรียบร้อย ดวงหน้าเข้ม นัยน์ตาคมกริบ ดุน่าเกรงขาม เห็นแล้วคิดว่าคงไม่มีใครสบตาเขานานเกินสามวินาที

            หญิงสาวกลับสบตาเขานานกว่านั้น!



            ตั้งแต่พยุหะรับทำเพลงโฆษณาชิ้นนี้ ในใจรู้สึกเหมือนกำลังจะเจอคนที่รอคอย นั่นทำให้งานเสร็จรวดเร็วก่อนกำหนด และไม่ปฏิเสธเมื่อบริษัทโฆษณาเชิญเขามาร่วมประชุมด้วย

            ชายหนุ่มมาถึงบี.บี.พรอม.ก่อนเวลานัดหมายร่วมชั่วโมง ในใจเกิดกระแสเร่งเร้าผลักดันจนอึดอัด ทนไม่ไหวจึงรีบออกมา

            พนักงานต้อนรับเชิญมานั่งรอห้องประชุม แล้วนำกาแฟของว่างมาเสิร์ฟ ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน หัวใจก็เต้นรัวเร็วส่งสัญญาณบอกว่าใครสักคนที่อยากเจออยู่ใกล้แค่เอื้อม

            ...แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เปิดประตูเข้ามา...หญิงสาวนักพยากรณ์ที่ร้านกาแฟ...คนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง...



            ดวงตาสองคู่สานสบกัน หญิงสาวยืนนิ่งอั้นทั้งร่างราวถูกกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน ทำอะไรไม่ถูก ดวงตาคมดุส่งแรงดึงดูดประหลาด สะกดไม่ให้หล่อนถอนสายตา เมื่อมองลึกผ่านรอยคมกริบ น่าเกรงขาม รู้สึกในนั้นซ่อนเรื่องราวมากมายชวนค้นหา ทำให้เผลอมองเขาเนิ่นนานอย่างขาดสติ

            พยุหะมองผ่านดวงตาคู่สวยทอประกายอ่อนโยนเข้าไปภายใน เหมือนตนเองกำลังย้อนเวลา ทวนกลับไปยังอดีตอันแสนนาน นานเกินกว่าอายุยี่สิบเจ็ดปีของเขา

            มันยืนยันว่า นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งที่สองนับจากร้านกาแฟ เขากับเธอเคยเจอกันก่อนหน้านั้นนานแล้ว ทั้งยังมี ‘สัญญา’ บางอย่างผูกพัน ทำให้เกิดอาการประหลาดเช่นในปัจจุบัน

            เวลาผ่านไปเกือบนาที มัชฌิมาได้สติ ค้อมศีรษะลงอย่างเกรงใจ เอ่ยทักทายตามมารยาท

            “สวัสดีค่ะ มาประชุมหรือคะ”

            เขาผงกศีรษะรับ

            “ใช่...ฉันชื่อพยุหะ” เอ่ยวาจาบอกชื่อ สังเกตปฏิกิริยาหญิงสาว

            มัชฌิมาสะท้านเยือกในใจ ไม่ได้สะดุดที่ชื่อแต่สัมผัสถึงกระแสความเป็นตัวตนเด่นชัดอยู่ในน้ำเสียง

            ความเป็นตัวตนบอกว่าอหังการยิ่ง ไม่เหลือบแลผู้ใดในสายตา

            “เอ่อ...สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณพยุหะ” หญิงสาวทวนชื่อเขาพร้อมตั้งสติ ระลึกถึงรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด

            พยุหะ...โปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง ทางบริษัทโฆษณาได้ว่าจ้างให้มาแต่งเพลง ทำดนตรีประกอบงานชิ้นนี้เป็นพิเศษ

            “คุณพยุหะจะรับเครื่องดื่มของว่างเพิ่มมั้ยคะ” มัชฌิมาถามตามหน้าที่

            “ไม่เป็นไร” เขาตอบแค่นั้น

            หญิงสาวรีบวางเอกสารอย่างคล่องแคล่ว ระหว่างนั้นรู้สึกถึงสายตาชายหนุ่มจับจ้องหล่อนตลอดเวลา พอเสร็จงานรู้สึกเหน็ดเหนื่อยบอกไม่ถูก

            “ขอตัวนะคะ” มัชฌิมายิ้มให้เตรียมเปิดประตูออกจากห้อง

            “เดี๋ยวก่อน” พยุหะเรียกรั้ง

            “คะ” หญิงสาวมองด้วยสายตาคำถาม

            “เธอ...เอ่อ...คุณชื่ออะไร” แค่ถามชื่อ...นับเป็นงานยากเย็นสำหรับคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์อย่างเขา

            “มัชฌิมาค่ะ เป็นเด็กฝึกงาน” ตอบพร้อมค้อมศีรษะขอตัวออกไปอย่างมีมารยาท

            เพียงแค่ประตูปิดสนิท มัชฌิมาถอนใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก แข้งขาอ่อนเปลี้ยไม่มีเหตุผล มันไม่ใช่อาการตื่นเต้นยินดีเกินขนาดเหมือนตอนพบรอยเธียรครั้งแรก มันคล้ายออกรบทำศึก ทั้งที่สองฝ่ายแค่พูดคุยกันคำสองคำ

            หารู้ไม่...พอลับร่างหญิงสาว พยุหะก็ถอนใจโล่งอกไม่ต่างกัน ไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับเด็กหนุ่มพบสาวถูกใจ มันคลับคล้ายตื่นเต้นยินดี ที่ได้พบคนซึ่งตนรอคอยมาแสนนาน

            พยุหะไม่ชอบความรู้สึกคลุมเครือ เขาต้องหาคำตอบให้ได้ว่า เหตุใดสาวนักพยากรณ์ถึงปั่นป่วนสมองหัวใจเขาจนสับสนอธิบายไม่ถูกขนาดนี้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ท้องฟ้าข้างหน้าครึ้มด้วยเมฆฝน

            รถราหนาแน่นทั้งที่เป็นถนนสี่เลน รถแต่ละคันขับตามกันด้วยความเร็วไม่มากนัก จนกระทั่งผ่านแยกอำเภอต่าง ๆ ค่อยเบาบาง ทำความเร็วเพิ่มขึ้น

            ถนนเริ่มโล่งรถวิ่งเร็วขึ้น ท้องฟ้าข้างหน้ามืดทะมึน เมฆดำอุ้มฝนลอยต่ำ คาดว่าอีกไม่นานต้องเผชิญพายุฝนรุนแรง

            พอหยาดฝนเม็ดแรกกระทบกระจกหน้ารถ รอยธาราเอ่ยปากบอกพี่ชาย

            “หาปั๊มจอดพักก่อนเถอะ ฝนน่าจะตกหนัก ขืนขับไปอันตรายเปล่า ๆ”

            “เชื่อมือเหอะน่า” โชเฟอร์บอกอย่างมั่นใจ

            “พูดอะไรก็ฟังบ้างดิ” น้องสาวหงุดหงิด

            “เป็นน้องสาวหรือเป็นแม่วะ สั่งเอาสั่งเอา พอไม่ได้อย่างใจก็ดุเชียว” คนพูดบ่นแกมหยอก

            รอยธาราถอนใจเฮือกใหญ่ พูดไปพี่ชายก็ไม่ฟัง เพราะรถยนต์ที่ใช้มาจากยุโรป สมรรถนะดี ช่วงล่างแน่น เพิ่งเปลี่ยนยางใหม่เกาะถนนเยี่ยม ต่อให้เจอพายุฝนข้างหน้าก็ขับลุยได้ไม่ยากเย็น

            สังหรณ์ในใจต่างหาก กระตุ้นเตือนว่าหมู่เมฆดำข้างหน้าไม่ธรรมดา มี ‘ใคร’ บางคนคอยควบคุม เพื่อใช้มันสกัดขวางพวกเธอ

            หญิงสาวเหลือบมองพี่ชาย เห็นประกายในดวงตาก็รู้ว่ารอยเธียรไม่ประมาท...เขารู้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น

            สังหรณ์ในใจรอยธาราเกิดกับเขาเช่นกัน เพียงแต่ชายหนุ่มมั่นใจตนเองสามารถฝ่าด่านข้างหน้าได้

            ฝนกระหน่ำหนักสาดซัดพร้อมกระแสลมแรง ใบปัดน้ำฝนทำงานแทบไม่ทัน ทางข้างหน้าขาวพร่างมองไปได้ไม่กี่เมตร ชายหนุ่มเปิดไฟหน้า ขับรถช้าลงดวงตาฉายรอยระมัดระวังไม่ประมาท

            ฟ้าร้องดังครืนครืนสะเทือนเข้ามาในรถ ม่านพิรุณถักทอหนาแน่นราวกับเป็นตาข่ายสายฝนคอยดักเหยื่อผู้หลงเข้ามา มองเห็นรถยนต์หลายคันยอมจอดลงข้างทาง รอให้พายุฝนผ่านพ้นก่อนค่อยเดินทางต่อ

            ถนนยามนี้มองไม่เห็นไฟท้ายรถข้างหน้า ม่านสีขาวโอบล้อมทุกทิศทาง อาศัยเส้นขอบทางริมถนนเป็นที่สังเกตว่ายังไม่หลุดโค้ง หลุดถนนไปไหน

            ถึงอย่างนั้นยังรู้สึกว่าถนนสายนี้ยืดยาวเกินจริง พายุฝนกระหน่ำซัดไม่สร่างซา ตลอดสองข้างทางคล้ายมีสัตว์ร้ายคอยซุ่มใต้สายฝน รอเวลากระโจนจู่โจมรถที่แล่นมาคันเดียวอย่างโหดเหี้ยม ไร้ปราณี

            แวบ แวบ แวบข้างหน้ามีแสงไฟกะพริบบอกให้เลี้ยวซ้าย ถนนข้างหน้าเป็นทางโค้ง

            รอยเธียรสังเกตข้างทางตลอด แต่มองไม่เห็นป้ายเตือนแสดงทางโค้งข้างหน้า จึงตั้งสติขับรถเกาะเส้นขอบทางไปเรื่อย ๆ ไฟกะพริบข้างหน้าถี่เร็ว ร่นใกล้เข้ามา หากขับต่อไปต้องแหกโค้งหลุดลงข้างทางแน่

            รอยธารากำลังจะร้องเตือนพี่ชาย พอเห็นสีหน้ากิริยาก็รู้ชัด รอยเธียรไม่ได้ขาดสติ อีกทั้งอยู่ในสภาวะพร้อมรบ สมาธิมั่นคงยิ่ง การตัดสินใจผ่านการไตร่ตรองอย่างดี ไม่ประมาทเลินเล่อแน่นอน

                        ไฟกะพริบปะทะกระจกรถแล้วผ่านวูบหายต่อหน้าต่อตา ถนนข้างหน้าทอดยาวเป็นเส้นตรง ถ้าหลงเชื่อยอมเลี้ยวตามแสงไฟนั้น รถคงตกถนน ไถลตามทางลาดชันสูง จมสู่บึงใหญ่ข้างทางไปแล้ว

            ฝนซาเล็กน้อย ม่านขาวคลายตัว ไม่เห็นรถอื่นสักคัน ถนนเปลี่ยวร้างราวอยู่ในแดนสนธยา ขับต่อไปอีกสักหน่อยต้องหรี่ตา เพ่งมองสิ่งที่ลอยเกลื่อนอยู่ข้างหน้า

            มันเป็นร่างสีเทาของเหล่าภูตผีวิญญาณ สภาพแหว่งวิ่นไม่สมประกอบ พวกมันไม่ได้ยืนคอยตามทางโค้ง โบกเรียกรถชะตาขาดอย่างเคย แต่ลอยเคว้งคว้างเหนือท้องถนนนับสิบนับร้อย กระจายเกลื่อนเหมือนกำลังรอคอยเหยื่อด้วยความย่ามใจ

            พอรถของรอยเธียรแล่นเข้าใกล้ พวกมันหันขวับพร้อมกันเป็นตาเดียว แสยะรอยยิ้มอันน่ากลัวแล้วพุ่งเข้าใส่ไม่ผิดกับฝูงหมาป่าเจอเหยื่ออันโอชะ

            ฮ่าฮ่าฮ่า มันหัวเราะลั่นท้องถนน กรูเข้าหารถพยายามแทรกเข้ามาแต่ไม่สำเร็จ จึงโอบล้อมเบียดเสียดแน่นหนา ปิดทางไม่ให้เห็นถนนข้างหน้า พยายามสั่นคลอนสติสัมปชัญญะโชเฟอร์ให้เหยียบคันเร่งหนี หรือไม่ก็หักหลบลงข้างทางจนเกิดอุบัติเหตุ

            รอยเธียรประคองพวงมาลัย ยกเท้าจากคันเร่ง ตั้งสมาธิจิตรวมชั่วขณะ พอมีกำลังก็เปล่งวาจาสั้น ๆ พร้อมกับน้องสาวโดยไม่ได้นัดหมาย

            “เมตตาคุณณัง อรหังเมตตา”

            นี่เป็นบทเจริญเมตตาอย่างสั้นที่หลวงน้าเคยสอน ยามที่เปล่งออกมาด้วยจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ก็จะยิ่งแผ่กระแสเมตตาออกไปกว้างขวาง กระทบดวงวิญญาณเหล่านั้น ช่วยให้ดวงจิตพวกเขาเกิดความอ่อนโยน หมดความอยากทำร้าย

            ภูตผีเลือนหาย มองทางข้างหน้าชัด ฝนขาดเม็ด ท้องฟ้าเปิด แสงอาทิตย์ส่องลอดหมู่เมฆลงมาอาบถนนเบื้องหน้าจนสว่างเรือง

            “พวกเขาไม่คิดจะฆ่าหรือทำร้ายเราเลยนี่” ขณะแผ่เมตตา รอยธาราไม่สัมผัสกระทบถึงเจตนาอำมหิตหวังสังหารหมายชีวิตจากบรรยากาศโดยรอบ

            “เขาคงอยากทดสอบ วัดฝีมือพวกเราดูน่ะ...สงสัยเป็นพวกชอบเล่นของ อยากลองวิชาอย่างที่หลวงน้าเคยเล่าให้ฟังมั้ง” รอยเธียรพูดลอย ๆ หวังให้ ‘ใคร’ คนนั้นได้รับรู้

            “เราจะมีวิชาอะไรให้เขาลองล่ะ...โธ่เอ๊ย” รอยธารารู้ทันรีบพูดผสมโรง “ถ้าพลาดขึ้นมาพวกเราลงไปนอนเค้เก้ข้างถนน มันจะเป็นบาปกรรมกันเปล่า ๆ”

            รอยเธียรไม่พูดเสริม ถ้าใครคนนั้นคอยสังเกตพวกตนอยู่...เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

            สังเกตจากหลักกิโลเมตร บอกว่าใกล้ถึงจังหวัดที่หมาย สองพี่น้องตั้งใจแวะซื้อข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องดื่ม หยูกยารักษาโรค ของใช้จำเป็นเพื่อไปถวายพระที่วัด จากนั้นค่อยขับออกจากตัวเมืองตรงไปยังวัดป่า ซึ่งอยู่บนเขาห่างจากตัวจังหวัดประมาณห้าหกสิบกิโลเมตร



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP