ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เห็นนิ้วขาดแต่เห็นทันว่านิ้วไม่ใช่ของเรา


Answer

ถาม : ผมเพิ่งเกิดอุบัติเหตุกับตัวเองมาครับ คือบันไดหล่นทับเท้า
และก็นิ้วเท้าขาดไปสองนิ้ว ก็อาการสาหัส ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะดูจิตนะครับ
แต่มันเห็นขึ้นมาเองว่าเท้าไม่ใช่ของเรา ตัวไม่ใช่ของเรา นิ้วมันเป็นสิ่งอื่น

นี่เป็นตัวอย่างเลยนะ
มีนิทานเซ็นที่อาจารย์ทำให้ลูกศิษย์บรรลุด้วยการเอามีดไปตัดนิ้วลูกศิษย์
ลูกศิษย์ก็เกิดซาโตริขึ้นมา
คือจริงๆ แล้วนี่นะ อาการเจ็บปวด หรือว่าอาการสูญเสียครั้งใหญ่
ถ้าหากว่ามันประกอบควบคู่ไปกันกับสติ มันก็จะทำให้เกิดความเห็นชัดกว่าปกติ
คำว่าไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่แค่โวหารเล่นๆ แต่มันเข้ามาถึงใจ ว่ามันไม่ใช่จริงๆ

ตอนสมัยพุทธกาลมีเรื่องเล่ากันเยอะ
จะให้สติกันขณะใกล้ตายว่า
มันไม่เที่ยงนะ กายนี้เดี๋ยวมันจะทิ้งไว้ในโลกนี้ และไม่ได้เอาไปไหน
แม้แต่จิตมันก็จะดับอยู่ในโลกนี้แหละ ไม่ได้ไปอะไรที่ไหนล่ะ

คือที่จะไปเกิดใหม่ ถ้าเกิดใหม่ ก็เพราะยังหลงอยู่ ยังยึดอยู่
คือพูดไปพูดมาแค่นี้ ก็บรรลุธรรมกันได้ง่ายๆ ตอนก่อนตาย
นั่นเพราะอะไร เพราะว่า ก่อนตายมันจะเสียจริงๆ
มันไม่สงสัยเลย มันกำลังจะตายน่ะ แล้วจิตมันจะแน่ว มีกำลัง
ถ้าหากว่าพูดกระซิบอยู่ข้างหูว่า
ดูความจริงนะ ว่ากายนี้มันไม่ใช่ของเรานะ มันต้องทิ้งไปแน่ๆ
ใจมันก็แน่วไปอยู่กับอาการที่จะต้องทิ้งไปของสังขาร

อันนี้ก็เหมือนกัน คือ ผัสสะที่มันเกิดขึ้น
คือชาวโลกเขาเรียกว่า เคราะห์ร้าย แต่ทางธรรมะเรียกว่า เป็นโอกาสทอง
เป็นโมเมนต์สำคัญ เป็นช่วงจังหวะเวลาที่สำคัญ
ที่ว่าเราจะได้ตัวอย่างของความรู้สึกเต็มๆ จริงๆ
เวลาปุถุชนได้เป็นพระโสดาบัน มันก็ขณะจิตอะไรแบบนี้แหละ
ที่มันรู้สึกจริงๆ เต็มๆ ใจ ว่ากายนี้ไม่ใช่ ใจนี้ไม่ใช่
มันไม่มีอะไรที่ใช่ตัวเราเลย ตัวเราไม่มี ความรู้สึกที่มันเต็มๆ ดวงตรงนั้นน่ะ
ที่มันจะทำให้เกิดบรรลุมรรคผล การบรรลุมรรคผลขึ้นมา



ถาม : ครับ แล้วตอนนั้นก็คือว่า เวทนาความเจ็บปวด มันก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่
มันแยกออกจากเท้าไปอีกขั้นนึง นิดนึงด้วยอ่ะครับ มันห่างออกจากกัน
อันนี้ใช่ไหมครับที่เรียกว่า สติทำหน้าที่อารักขาตัวเอง
แล้วถ้าตายมันจะอารักขาไหมครับ
เรามีวิธีตรวจสอบตัวเราเองคร่าวๆ ไหมครับว่า
การปฏิบัติของเราตอนนี้ เพียงพอที่ว่าตอนเราใกล้ตาย แล้วมันจะมาช่วยเรา

(เดี๋ยวถามก่อน ตอนนี้ไปต่อนิ้วรึยัง หมอต่อได้ใช่ไหม
หมอต่อได้ครับ ตอนแรกหมอก็ยุให้ตัดเหมือนกันครับ หมอบอกว่าต่อยาก แต่ก็ต่อได้ครับ)


ผมก็ไม่เคยนิ้วขาด ผมก็เลยไม่รู้ว่าเวทนาตอนนั้นเป็นไง
แต่มันก็เจ็บใช่ไหม คือในอาการเจ็บ มันเจ็บหลังจากนั้นมาพักนึง
คือตัวเวทนา จริงๆ จะเห็นนะว่า แม้กระทั่งว่าถูกทำให้นิ้วขาดไป
มันก็เป็นทุกขเวทนาทางกายนี่แหละ
มันอันเดียวกับตอนที่เรา โดนตะปูตอก หรือว่าโดนอะไรที่มันมากระทบให้เจ็บมากๆ
มันเป็นเวทนาทางกายเหมือนกัน

ทีนี้ตัวที่จะไปพิจารณา มันก็เป็นตัวเดิมน่ะ
สติเห็นว่า มันสักแต่เป็นเวทนา คือมันไม่ใช่มี
ในธรรมชาติ มันไม่มีเรื่องใหญ่นะ แล้วก็ไม่มีเรื่องเล็กด้วย
มันมีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเช่นนั้นเอง
ตัวความรู้สึกเป็นทุกข์หรือเป็นสุขทางกายหรือทางใจก็แล้วแต่ มันมีแค่นั้นให้เรารู้
ส่วนเราจะไปปรุงแต่งว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องเล็ก
มันขึ้นอยู่กับแบคกราวน์ของแต่ละคนละ

อย่างคนนี้ถ้าหากว่า เขาไม่ได้มาทางธรรม ไม่ได้เจริญสติ
แน่นอน มันเป็นเรื่องใหญ่มาก มันเป็นเรื่องที่ต้องปรุงตาม
แต่เขาชะงักไปในช่วงที่เวลามันเกิดขึ้น แล้วเกิดความรู้สึกว่า
เออ ไอ้ที่ขาดออกไป มันไม่ต่างกับเล็บ ไม่ต่างกับเส้นผม
มันไม่ใช่ของเราอีกแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปเกิดอุปาทานยึดมั่นอีกแล้ว ว่านี่คือตัวเรา
หรือว่าเป็นส่วนประกอบของเรา
ตรงนั้นน่ะ จังหวะนั้นที่สำคัญที่สุดนะ

ส่วนที่ว่าเราจะรู้เวทนาโดยความเป็นยังไงเนี่ย มันก็ตัวเดิมนั่นแหละ
เวทนาอันเดิม คือทุกขเวทนาทางกาย หรือว่าสุขเวทนาทางกาย
แต่ตัวใจนี่แหละที่จะเป็นตัวตัดสินว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องเล็ก
หรือเป็นเรื่องเช่นนั้นเอง
ถ้าหากว่าเห็นเป็นเรื่องเช่นนั้นเองได้มากๆ เข้า
ในที่สุดมันก็จะรู้สึกว่า อะไรๆ ทั้งกายทั้งใจนี่นะ มันเป็นเครื่องฟ้อง
มันเป็นพยานให้พระพุทธเจ้าหมดเลยว่า ไม่มีอะไรที่เราจะยึดไว้ได้
หรือว่าเราจะควรไปหวงไว้ หรือรู้สึกไว้ว่านี่คือสัญลักษณ์แทนตัวเรา
มันเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เที่ยงไปทั้งสิ้น
เป็นสัญลักษณ์ของความที่วันนึงมันจะต้องหลุดออกไป มันจะต้องหายไป
มันจะต้องกลายไปเป็นอื่น

ตรงนี้ก็อนุโมทนานะที่ได้จังหวะ เป็นจังหวะที่สำคัญ แล้วเราไม่ปล่อยให้หลุดไป

นี่คือตัวอย่างของการเจริญสติมาถึงเลือดถึงเนื้อนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP